ผลของการแยก กาย ใจ จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 23 สิงหาคม 2012.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คนโง่ๆ ถามยังเป็นคำที่ถามแบบโง่ๆ
    คำถามครับ
    อะไรก่อให้เกิดในสิ่งเหล่านี้ ? สิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไรล่ะจะได้ตอบถูก
    และ อะไรก่อให้เกิดความเคยชิน ? ไม่รู้ความหมายของคำถาม
    อะไรก่อให้เกิดการอยากรู้ อยากเห็น ? ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง โวหารสูงจัด
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ๑.หลวงปู่ชา บอกกล่าวไว้ว่า สมถะ และ วิปัสสนา ก็เหมือนมีดด้ามหนึ่งเท่านั้น

    ๒.ผู้ที่ไม่เห็น จิต ย่อมต้องแสวงหาสิ่งที่มายึดเกาะให้เป็นอารมณ์

    ๓.ตอบตรงคำถามแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับเอง

    ๔.ผู้รักษาศีล ๕ ย่อมไม่ทำผิดศีลแม้แต่น้อย ใครจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ เป็นสิทธิของบุคคล

    ๕.อธิบายไปมากแล้ว ดั่งนกที่ไม่สามารถเห็นสิ่งในน้ำได้ และ ปลาก็ไม่สามารถเห็นสิ่งบนฟ้าได้

    ๖.ใครจิตทรามย่อมรู้อยู่แก่ใจของตนเอง

    สาธุครับ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใครเป็นคนโง่ สิ่งที่สามารถเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ก็ยังไม่รู้

    สาธุครับ
     
  4. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ตรงนี้ ใช่เลยครับ จิต กับ ใจ อยู่คนละส่วนครับ

    ใจ นิอยู่ใน สังขาร

    จิต มี อยู่ หลาย ดวงครับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    ถ้ามีสติ ดู จิต เรา ก็ จะ รวม เป็นหนึ่ง ทำสิ่งใดก็จะไม่ประหมาด

    เจ้าของกระทู้ กำลัง บิดเบือน พระตถาคต ทำให้ผู้เข้ามาอ่านเข้าใจผิดครับ
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    มีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีกไหมครับ ใครกำลังบิดเบือนครับ ไตร่ตรองดูดีกว่าครับ

    สาธุครับ
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอโทษนะครับ ผมเพิ่งได้เข้ามาอ่าน ได้อ่านไป 2 หน้า แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จับยาก เนื่องจากการใช้คำศัพท์ไม่เหมือนกับที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา เลยอยากจะขอรบกวนถามท่านเจ้าของกระทู้เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่ท่านได้กล่าวออกมา ตามที่ท่านได้กล่าวมาแล้วนั้น สติอยู่ตรงส่วนไหนครับ หรือส่วนไหนที่พอจะอนุโลมเรียกได้ว่าเป็นตัวสติ หรือในนี้มีเรื่องของการใช้สติเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไรครับน่ะครับ...
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิต มีพลังงานอยู่สองชนิด คือ สติ๑ สัมปชัญญะ๑ เมื่อไหร่ที่ จิต เข้าไปรับรู้ความรู้สึก

    เมื่อนั้น สติ จะคอยระลึกในหน้าที่ของตน ด้วยการเตือน จิต ให้หยุดการปรุงแต่ง

    เพราะหาก จิต รับรู้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้วยหน้าที่ของ ใจ การปรุงแต่งจะเกิดขึ้นทันที

    นอกจากระลึกได้แล้ว ยังต้องมีความรู้ตัวพร้อมด้วย ไม่เช่นนั้น จิต จะเผลอได้ครับ

    สาธุครับ
     
  8. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะ
    ที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึง ละได้เพราะเสพเฉพาะก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้นก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะเว้นรอบก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะบรรเทาก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะอบรมก็มี.

    <o:p></o:p>
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ความสงสัย เกิดจากการนึกคิดเป็นเหตุ ซึ่งการนึกคิดมาจากการรับรู้ซึ่งความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ เมื่อการนึกคิดเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่เข้าใจความสงสัยย่อมเกิดขึ้นมา หากจะทำการทำลายความสงสัย ต้องหยุดการนึกคิด ในขั้นตอนแรก ต้องเพิกเฉยเสียก่อน จนกว่าการแยกจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือแยก ใจ ออกจาก จิต เมื่อไม่นึกคิดย่อมไม่สงสัย แต่จะทดลองทำแทนเพื่อให้รู้เห็นตามความจริง

    สักกายะทิฎฐิ การนึกคิดจะเกิดได้ต้องมีการกระทบทางกาย จิต จึงมีผลกระทบเพราะกายส่งผ่านมาทางความรู้สึกให้ จิต รับรู้ จึงเกิดการยึดมั่น ถือมั่นว่าด้วยร่างกายนี้เป็นของตนอย่างชัดเจน จึงจำเป็นที่จะต้องแยก กาย ออกจาก จิต จนความรู้สึกไม่เกิดสิ่งที่จะเห็นคือ ร่างกายนี้ไม่มีผลกระทบกับ จิต มีอยู่แต่หาใช่เราไม่ ซึ่งชี้ชัดแล้วว่าเมื่อแยก กาย ออกจาก จิต จนชัดเจน การแยก ใจ ออกจาก จิต จะมีผลอย่างชัดเจน ด้วยรับรู้แล้วว่าร่างกายนี้เรามาอาศัยโดยแท้ ความยึดมั่นในร่างกายจะคลายตัวลง

    สีลัพพตปรามาส เมื่อรับรู้ว่าร่างกายไม่ใช่เราอย่าชัดเจนแล้ว และ การปรุงแต่งไม่มีผลกระทบแล้ว ย่อมเห็นต้นสายปลายเหตุของการปรุงแต่งว่ามาจากสิ่งใด ซึ่งนั่นก็คืออาสวะ หรือ ความเคยชิน การรักษาศีลจึงเป็นการฝึกนิสัย ไม่ให้กระทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่จะก่อให้เกิดความขุ่นมัวทาง จิตใจ จึงได้รักษาศีลโดยปกติ จนศีลนั้นรักษาตนเองเพราะกลายเป็นนิสัย เป็นความเคยชินในรูปแบบที่ไม่ข้องแวะกับสิ่งยั่วยุทางอบายมุข จิต ที่มีความนิ่งสงบเป็นนิสัย จะเริ่มแสดงผลในขณะนี้นี่เอง

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มาจากการแยก กาย ใจ จิต และยังส่งผลไปถึงการก้าวข้ามความยินดี ยินร้ายด้วย

    ปฎิฆะ ความยินร้าย ความไม่พอใจ ความโมโห ความโกรธ ทั้งหลายเหล่านี้มาจากการปรุงแต่งที่มีผลมาจากการรับรู้ความรู้สึกที่กระทบทางกาย แม้จะรู้เห็นว่าร่างกายนี้เราเพียงมาอาศัย แต่เมื่อรู้สึกไม่พอใจในการกระทำบางอย่างที่เกิดขึ้น โดยแค่มองเห็น ได้ยิน หรือ กระทบทางอื่น แต่ไม่ได้มาถูกร่างกาย และ หาใช่เรื่องของตนเองก็ตาม แต่มีสาเหตุที่ขัดต่อความรับรู้ที่จดจำมา ก็เกิดการปรุงแต่งขึ้นได้ด้วยสิ่งนั้นไม่ถูกใจ การปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น อารมณ์จึงแสดงออกด้วยความไม่พอใจ ไม่ยินดี นี่คือที่มาของ ปฎิฆะ

    ราคะ ความยินดี ความพอใจ ความอยาก ความใคร่ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดเฉกเช่นเดียวกับปฎิบัติคือ มาจากการปรุงแต่งที่เกิดจากการกระทบทางกาย โดยที่ร่างกายนี้ตนเองรู้ว่าแค่มาอาศัยอยู่เท่านั้น แต่สิ่งที่พบเจอ ได้ยิน ก็แสดงผลได้ นี่คือสาเหตุที่จะต้องแยก ใจ ออกจาก จิต อย่างชัดเจน และ การแยก ใจ ออกจาก จิต นี้ยังมีผลต่อเนื่องไปจนถึงการทำลายการยึดเกาะของ จิต ที่มีต่อ ใจ ทั้งในเรื่องรูป ความรู้สึก อารมณ์ ความมุมานะ และ ความไม่รู้ความเป็นจริง เมื่อรับรู้ความเป็นจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมาเกิด ผลแห่งกรรมที่จะแสดงออกให้เกิดผล กระแสแห่งกาลเวลาที่เป็นที่กักขังดวงจิต ที่มีเกิดขึ้นบนโลกที่อาศัยอยู่นี้ เพียงแค่หยุดเท่านั้น การหลุดพ้นจะเกิดขึ้นด้วยการดับการรับรู้ทั้งหมดด้วยการแยก กาย ใจ จิต

    สาธุครับ
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ควบคุมสติอารมณ์เสียบ้าง เจ้าเอ็กช์ อย่าเพ้อเจ้อให้มากนัก ปฏิบัติยังไงถึงได้บ้า
    ขาดครูบาอาจารย์ควบคุมดูแลย่อมเสียหาย ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้มีเยอะแยะไปทำไมไม่ไปศึกษา
    ผู้รู้ทั้งหลายเขามีเมตตาเตือนสติมากมายไม่เคยสนใจ ที่พูดมาทั้งหมดนั่นน่ะเป็นการปิดเบือนคำสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2012
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    รูปฌาณ เป็บผลจากการแยก กาย ออกจาก จิต เพียงแต่ว่าการรับรู้นั้นยังมีอยู่ ยังเกิดการรับรู้ในสัญญาว่าร่างกายเป็นรูปแบบนี้ แม้จะแยกได้แล้ว ยังคงสภาพอยู่ไม่ได้เลือนหายไปแม้แต่น้อย แต่หากปฎิบัติไปจน จิต ไม่จำรูปแบบของร่างกาย จะเหลือเพียงความรู้สึกที่มีจึงเป็นผลต่อไป

    อรูปฌาณ เป็นผลที่ต่อจากการแยก ใจ ออกจาก จิต จน จิต ไม่ได้จดจำถึงสภาพร่างกาย คงเหลือแต่ความรู้สึกที่ยังมีอยู่ ยังมีการนึกคิดอยู่แม้จะเพิกเฉยได้ แต่ไม่ได้เลือนหายไป ในส่วนนี้จะมีผลที่ก่อให้เกิดเป็นอรูปพรหม ที่ไร้ร่างกาย และ จะไม่มีการรับรู้ จนกว่าผลแห่งกรรมจะตอบสนอง ถึงจะเกิดความรู้สึกให้ จิต รับรู้ จึงเป็นเหตุให้มีการกลับมาเกิดอีก แต่หากข้ามพ้นในส่วนนี้ไปแล้วจะเป็นผลแห่งการหยุดการปรุงแต่งอย่างชัดเจน

    อุทธัจจะ ซึ่งความฟุ้งซานที่เป็นผลมาจากการปรุงแต่ง จะหยุดได้ต่อเมื่อแยก ใจ ออกจาก จิต อย่างชัดเจนเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ซ้ำยังจะส่งผลไปยังการยึดมั่นในขั้นตอนสุดท้าย

    มานะทิฎฐิ เป็นผลของการปรุงแต่งในขั้นตอนสุดท้าย ที่ยึดมั่นถึงตนเองด้วยการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ในความคิดเห็นของตนเอง มีความมั่นใจว่าตนนั้นรู้มากกว่าผู้อื่น ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ ซึ่งเป็นผลที่มีการปรุงแต่งโดยการรับรู้สภาวะของความรู้สึก ในส่วนนี้จะมีการตัด ละ ความเป็นตัวตนของการยึดเกาะที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดการวางทุกสิ่งที่ได้รับรู้มาตั้งแต่ต้นเป็นผลให้มีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในทุกสรรพสิ่ง

    อวิชชา ความไม่รู้ในสรรพสิ่งที่มีเกิดขึ้นมา ตั้งแต่มีการเกิด ได้รับรู้ทุกสิ่ง และ ยึดติดในสิ่งเหล่านั้น ว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะการรับรู้นี่เองที่นำพามาให้เกิด เป็นการเคลื่อนไหวจากเหตุที่ก่อร่างสร้างภพ สร้างชาติ เป็นผลที่มาจากการยอมรับในสิ่งที่ จิต ยึดเกาะมานานแสนนาน หากไร้ความรู้สึก การรับรู้ย่อมไม่เกิดขึ้น

    สาธุครับ
     
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมเชื่อมั่นของผมเช่นนี้ คุณเดือดร้อนด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบครับ

    ผมได้บอกไปหลายครั้งแล้วว่า ใครจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ เป็นสิทธิส่วนตัวครับ

    หากผมเห็นผิดต้องตกนรก คุณก็ไม่ได้ตกไปกับผมครับ จะเดือดร้อนเพื่ออะไรครับ

    คนที่มีความปราถนาดีจริงๆ ย่อมตักเตือนด้วยจิตใจที่ดีงาน แต่หากสั่งสอนไม่ได้ก็ควรปล่อยวาง

    ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมเห็น และ คนที่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น มีคนมาบอกอีกอย่างให้เชื่อ

    อย่าว่าแต่ผมเลย คุณเองก็ไม่เชื่อ แล้วจะมาเดือดร้อนทำไม ผมยังไม่เดือดร้อนเลย

    สาธุครับ
     
  13. หวันเที่ยง

    หวันเที่ยง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +7
    ต้องเข้ามากดไม่เห็นด้วยทั้งสองความเห็น เนื่องด้วยเป็นการคิดเอาโดยความเข้าใจส่วนตัว
    หากเป็นการเขียนเพื่อบันทึกความเห็น เพื่อนำสู่การพิจารณาตนเองในการปฏิบัติแล้วทวนสอบกับครูอาจารย์ตลอดจนคำตถาคต ผมก็ยังเห็นในส่วนดี หากแต่การนำมาเผยแพร่ในสื่อสาธารณะที่ สุ่มเสี่ยงต่อการเห็นตามได้ ตรงนี้อาจจะทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจตาม ความเห็นตาม ผิดไปจากคำตถาคต จึงควรพิจารณาในข้อเขียนในสื่อสาธารณะให้มากครับ
    คุณโอ๊ตน่าจะนำคำหลวงปู่มั่นก็ได้ครับ มาเทียบเคียงกับคำที่คุณโอ๊ตยกกล่าวเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาอีกทางหนึ่งครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ทุกอย่างที่รู้ก็ใช่ว่าจะทำได้ทันทีเลย ต้องมีการฝึกฝนจนกว่าจะชำนาญ

    สมัยเป็นเด็กก็รู้ว่าปั่นจักรยานต้องถีบตรงนี้ แต่พอไปปั่นก็ปั่นไม่เป็น ทำไม่ได้

    พอเข้าวัยทีนก็รู้ว่าขี่มอเตอร์ไซค์ต้องบิดคันเร่งแล้วใส่เกียร์ แต่ก็ขี่ไม่เป็น

    กว่าจะเป็นก็ต้องฝึกหัด บางคนใช้เวลาไม่นาน แต่บางคนใช้เวลานาน บางคนยอมท้อถอยเลิกไป

    การปฎิบัติธรรมภาวนานั่งกรรมฐานก็ไม่ต่างกัน เมื่อรู้แล้วก็ต้องฝึกฝน ฝึกหัด มุ่งมั่นตั้งใจจริง

    ในการปฎิบัติเพื่อให้ได้ผลที่พอใจ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ทันทีทันใด แต่พอถึงที่สุดแล้วหาได้มีอะไรไม่

    มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นที่รออยู่ ว่างเปล่าจากการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง แต่ที่ต้องฝึกนั้นเพราะการใช้ชีวิต

    ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ที่เป็นสิ่งให้ จิต ยึดติดจนไม่อาจจะตัดได้ เผลอเมื่อไหร่ก็กระทำตามความเคยชินที่มี

    ซ้ำร้ายบางครั้งทำมากกว่าที่เคยทำเสียอีก ความไม่พึงพอใจก็เกิดมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

    เป็นเหตุนำพาให้เกิดความเป็นทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งใดที่เสพคุ้นอยู่เสมอ มีแต่นำพาให้ต่ำลงไป

    นี่จึงเป็นเหตุให้ต้องรักษาศีลธรรม เพื่อเป็นการฝึกนิสัย และ มีผลต่อการปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน

    เพื่อกลับไปสู่ต้นเหตุของการมาเกิด เพื่อการดับการรับรู้ทั้งหมด ให้สิ้นไป

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ขอบคุณที่เข้ามาเตือนครับ เมื่อก่อนผมสงสัยว่าทำไมพระอาจารย์ทั้งหลาย

    ไม่อธิบายเรื่อง ใจ ให้ชัดเจน จนกระทั้งผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ผมได้เข้าใจแล้วว่าทำไม

    อาจารย์ทั้งหลายพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้การถกเถียงเกิดขึ้นมานั่นเอง

    เพราะกลัวว่าจะเป็นเหตุให้การถกเถียงนั้นนำไปสู่การเสื่อมของพระพุทธศาสนา

    ผู้ที่มีอัตตาสูง ยึดติดในสิ่งที่เชื่อมั่น แต่หาได้เห็นด้วยตนเอง มักจะทัดทานด้วยพระธรรมคำภีร์

    ผมแสดงเจตนาที่ชัดเจนแล้วครับ และ ไม่ลบโพสที่ได้แสดงไปแล้ว และ ขอจบเพียงเท่านี้ครับ

    สาธุครับ
     
  16. GoingMarry

    GoingMarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +124
    ถ้าจขกท.พอมีเวลา อยากให้ลองศึกษาพระอภิธรรมดู
    แล้วนำมาตรวจสอบกับอารมณ์ต่างๆของท่านว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรๆ
    ท่านจะสามารถสื่อสิ่งที่ต้องการสื่อได้ชัดเจนขึ้นนะขอรับ
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    โลกของความจริงอาจจะเจ็บปวด แต่มันก็คือความเป็นจริง
    ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็จะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข
    ผิดกับโลกที่เราจินตนาการมันขึ้นมา มันไม่ใช่ความจริง
    เป็นเพียงทำได้แค่หลบหลีกชั่วคราว ไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง

    เหมือนคนที่มีความกลัว กลัวผีมาก กลัวความมืดมาก แล้วถูกบังคับให้ไปเดินในป่าช้า
    ความกลัวมาก จึงใช้วิธี จินตนาการไปว่า นี่ไม่ใช่ป้าช้า แต่เป็น หาดทราย สายลม สองเรา
    จินตนาการไปเรื่อย ๆ ใจก็เลยไม่กลัว กลับมีความสุขดี แต่นั่นมันเป็นเรื่องไม่จริง ก็เท่านั้นเอง
    ผลสุดท้าย ผี เราก็ยังคงกลัวอยู่ ความมืด เราก็ยังคงกลัวอยู่ ผีกับความมืดมันมีอยู่ทุกที่
    นี่เราต้องหอบหาดทราย สายลมไปด้วยตลอดชีวิตเลยรึป่าว เมื่อไหร่ใจเราจะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริงกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  18. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เดือดร้อนซิเจ้าเอ๊กช์ เพราะเจ้าเองชอบบิดเบือนคำสอน ในสิ่งที่ใครๆทั้งโลกเขารักและบูชาอย่างยิ่ง
    แม้เพียงคนที่เรารักหรือคนในครอบครัว ใครมาว่าเรายังเกิดความไม่พอใจ
    จะเชื่อมั่นยังไงก็ไม่ควรเอาคำสอนของพระตถาคตไปบิดเบือน
    บอกไปเลยซิว่า นี่ไม่ใช่สอนของพระพุทธเจ้า นี่คือคำสอนเราเองโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเท่านี้จะไม่ยุ่งเลย
    อย่าลืมซิว่า สื่อสารทางนี้มันกว้างไกล
    คนที่เข้ามาศึกษาใหม่ๆ เขาอาจเชื่อทำให้เขาหลงทางหรืออย่างน้อยก็เนิ่นช้า
    อย่าโกหกหน้าด้านๆ ทั้งๆที่ผิดไปจากคำสอน เพื่อหวังให้เขาเชื่อแล้วจะได้อะไร ฟังจิ้งจกร้องทักบ้างซิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2012
  19. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ๒๖๐๐ ปีเท่าที่เหลืออยู่นี้ก็สอนกันตามๆกันมา
    เหล่าสาวกทั้งหลายที่แท้จริงต้องนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเผยแพร่

    ในครั้งเมื่อได้มีภิกษุได้เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์
    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
    แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก
    เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
    เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเธอทั้งหลายอย่าได้ไปทางเดียวกัน ๒ รูป

    เธอทั้งหลายจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์
    พร้อมทั้งอัตถะพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีน้อยมีอยู่
    เพราะไม่ได้ธรรมะย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงซึ่งธรรมะยังจักมี แม้เราก็จะไปอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม

    ถ้าเจ้าเอ็กช์เอาความเห็นของตนมาใส่แทนเท่ากับทำลายคำสอนโดยสิ้นเชิง พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
    โดยที่ไม่ต้องดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น ลดก็ไม่ได้ เพิ่มก็ไม่ได้เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2012
  20. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    เจ้าของกระทู้...นี้

    มีแต่ อัตตา จัด ..แถม ดื้อรั้นมากๆด้วย..ใครจะเตือนอย่างไร ก็เถียงไป แบบข้างๆคูๆ..แถมไม่ยอมรับด้วยว่า ตำราพระไตรปิฏก ถูกต้อง และหมิ่นคนอ่านตำราด้วยว่า กอดตำรา ไม่ลงมือปฏิบัติ...ทำไม คุณ จขกท.ถึง มีนิสัย ดื้อรั้นขนาดนี้หนอ....

    พระไตรปิฏกนั้น มีไว้ทดสอบ จิต ใจเราเองด้วยการนำ การปฏิบัติของเราไป เทียบเคียงกับ คัมภีร์ ว่าเราได้ลองปฏิบัติธรรม จนเข้าถึง สภาวะไหน แล้ว การเรียนปริยัติ ต้องเรียนให้จดจำได้และ ต้องนำไปปฏิบัติ แล้วจึงจะเกิด ปฏิเวธ...นี่คือ หลักการ ที่ถูกต้อง ตาม คำสอนของพระพุทธศาสดา

    หาก ไม่ทำ ตามนี้ แล้ว..คุณ จะมากล่าวว่า คุณเป็นชาวพุทธ ไม่ได้..การออกมาบอกว่าคุณ ปฏิบัติเองเห็นเอง.และรู้เองโดยไม่อิงตำรา..มันจะเหมือน คนในโรงบาลศรีธัญญาครับ..ที่คิดว่าตนเองเป็นพระราชา เป็น พญานั่งเมือง ใน ลิเก หรือ เป็น มหา อวตารของเทพเจ้า..การ คิดๆเอาเอง.คิดอะไรก็ได้ ..คิดว่าเป็น แชมป์โลก อะไรก็ได้ ก็คิดๆไป แต่ไม่ควรมา พิมพ์ อวดใครๆ ในที่สาธารณะ นี้ครับ..คุณ จขกท.((เพี้ยนๆ))
     

แชร์หน้านี้

Loading...