ผมขอขมาแล้วน่ะครับ

นี่แหละ คือประเด็นหลัก ของพุทธศาสนาเลยครับ

เพราะเราแบ่งแยกไม่ออกมาตลอดระหว่าง

คำว่า ปรามาส หรือ การตั้งข้อสังเกตุอย่างปัญญา หรือ การตั้งข้อสังเกตุอย่างคนจับผิด

ผมจะพูดให้ฟังว่า คนพุทธ สมัยก่อน เขาก็ไม่ซื่อบื้อแบบคนเดี๋ยวนี้นะ คือ กลัวปรามาสไปเสียทั้งหมด

จะพูดให้ฟัง

ประเด็นแรก คือ คนเขาไม่เชื่อ ว่าหลวงพ่อจง ทำกสิณน้ำได้จริง ก็ว่าเขาเอาสายยาง รอดในจีวรหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้สึกว่า นี่คือการปรามาส แต่ นี่คือ การตั้งคำถาม และ การตั้งสมมติฐาน

ทีนี้ ประเด็นที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ผมก็ไม่สนใจ แต่สนใจว่า ถ้าเกิดคำถามแบบนี้ขึ้น จะเป็นการปรามาสหรือไม่

พระศาสดา ท้าให้มาพิสูจน์ เสมอ แม้กระทั่ง พราหมณ์ สมัยก่อน มาถึง มาด่าพระพุทธองค์ก่อนเลยว่า พระสมณโคดม เป็นคนถือมานะ ไม่ไหว้อาวุโส หรืออะไรอีกมากมาย

แต่ ให้สังเกตุให้ดีว่า คำกล่าวเหล่านั้น เป็นคำพูดที่คิดได้ พระศาสดา ไม่เคยบอกว่า นั่นคือการปรามาส ซ้ำยังสอนจน พราหมณ์เหล่านั้น บรรลุ อริยบุคคล

ตรงกันข้าม กับ หญิงร้าย ที่ป้ายสี พระศาสดา เช่นว่า ป้ายสีว่า พระศาสดา ทำเธอท้อง
หรือ ตามด่าว่า เพราะแค้นที่พระศาสดาไปตำหนิ ว่า มีแต่มูตรคูถ

นี่จะเห็นว่า ไม่เหมือนกันเลย กรณีแรก ตั้งคำถาม เพราะมีแง่คิดให้คิดไปได้

กรณีที่สอง ด่า ตามตำหนิ ด้วยความชัง

กรณีที่สองนี้แหละ เรียกว่า ด่าบริภาษ ปรามาส ก็เห็นได้ว่า พระเทวทัต ก็มีพฤติกรรมเช่นนี้

สตรีที่ถูกธรณีสูบ ก็มีพฤติกรรมเช่นนี้

เรื่องนี้ แหละ สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องแยกให้เป็น ไม่เช่่นนั้นแล้ว เราก็จะไม่กล้าที่จะคิด

แล้วเราก็จะเชื่อ ไปเสียหมด

พุทธศาสนาจะเจริญ อยู่ที่ สติและปัญญา่ พิจารณา ไตร่ตรอง ด้วยหลักกาลมสูตร แต่ต้องรวมถึง ไม่เชื่อในตรรกะของตน ด้วย แล้วเราจะเห็นความจริงที่ชัดเจน

 

อนุโทนาคุณขันธ์ ตอบได้ชัด

การปฏิบัติ หาก เราทำสติปัฏฐาน 4 .
เราจะไม่สนใจ ว่าใคร ได้ หรือไม่ได้
ใครจริง ใคร ปลอม
คนส่วนใหญ่ ชอบพิสูจย์ ผู้อื่น แต่ไม่ค่อยชอบพิสูจย์ตัวเอง
และชอบนักชอบหนา คือ ชอบพิสูจน์ ครูบาอาจาย์ว่าจริงหรือปลอมเสียด้วยซิ
ทั้งที่ตัวเอง มีกิเลส อยู่เต็มหัวใจพร้อมด้วยมานะทิฐิ อันนี้พูดถึงคนทั่วไปนะ

 

common sense แปลว่าสามัญสำนึก

สามัญสำนึก จะต้องมี ดี ชั่ว ผิด ถูก ควร ไม่ควร รวมอยู่ด้วย

แต่ความรู้สึก ที่คุณขันธ์กล่าวอ้่าง

มันไม่จำเป็นต้องมี สิ่งเหล่านี้ รวมเข้าไปอยู่ด้วย

เช่น ความรู้สึกโกรธ อยากจะทำร้ายใครสักคน ก็คือรู้สึกอยากจะทำร้าย

คิดอยากจะทำร้าย

และ common sene ก็คือสามัญสำนึกง่ายๆด้วย

ที่คนเราปกติทั่วไป พึงจะมีได้

คุณก็ชาวพุทธ

ผมก็ชาวพุทธ

พุทธบริษัทเหมือนกัน

เรืองสองมาตณฐาน หรืออะไรต่างๆ ที่คุณว่ามา

ผมขอยก ไม่ขอต่อ ความยาว สาวความยืด

 

ไม่มีเหตุผล อะไรเลย โต้แย้งไม่มีเหตุไม่มีผล

ก็บอกว่า ความสำนึกของคุณ มีน้อย คุณก็จะพูดตามเท่าที่คุณสำนึก

เช่น ถ้ามองด้วย สามัญสำนึกง่ายๆ ว่า คำพูดแบบนี้ คุณควรมีสามัญสำนึกไหม

ผมเอาข้อมูลมาให้อ่าน ทั้งพระไตรปิืฎก สารพัด คุณมีสามัญสำนึกไหม ที่จะถามตนเองว่า นี่ คุณไม่พอใจอะไรถึงกับกล่าวคำว่า จะลงโลง บ้าง หรือ หัดใช้สมองบ้าง

คุณควรมีสามัญสำนึกให้มากกว่านี้ ก่อน เพราะคุณเองบอกว่า สามัญสำนึกนั้นคือ

 

ถูกที่สุด แล้วครับ ชัดเจน

ผมพรานยึ้มครับ

 

ข้อความนี้ ก็เห็นด้วยจริงๆๆเลยครับ

สงสัยกันจัง

อยู่ดีๆหาเรื่องลงนรก ไม่มีไรทำ

พรานยึ้ม โมทนาในแง่คิดของท่านนะครับ

 

สรุปอย่าทำอะไรเพราะความไม่รู้ก็จบ ก่อนทำอะไรต้องคิดพิจารณาอย่าเอาเหตุผลข้างๆคูอันเป็นทิฐิส่วนตนมาใช้เผยแพร่ความคิดเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งต่างๆ คำว่า สงสัย กับ ปรามาส มันต่างกันที่ สงสัย ถ้าเป็นคนมีปัญญาก็หาคำตอบได้เองถ้าไม่ได้ก็ถามคนที่เขารู้เพื่อให้หายสงสัย ไม่ใช่ด้นเดาไปเรื่อยให้เกิดความเสียหายแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่ร่ำไปแบบนี้เรียกว่าไม่รู้จักคิดและบางคนคิดว่าเพราะรู้จึงกล่าวสิ่งต่างๆออกไปก็ควรคิดว่าแน่ใจหรือว่าเป็นแบบนั้น ลักษณะของความไม่แน่ใจและทำลงไปหรือกล่าวออกไปนั่นแหละเรียกว่าปรามาส สอดคล้องกับคำว่าประมาท อย่างเห็นได้ชัด เห็นชัดเลย คนที่ไม่ชำนาญเส้นทางขับรถและขับด้วยความเร็วส่วนใหญ่ก็พบว่ามักจะเกิดอุบัติเหตุ เช่นกัน เมื่อไม่รู้สิ่งใดก็ไม่ควรประมาท การปรามาสก็จะไม่เกิดขึ้น อย่าไปเอาอย่างคนที่เขามักจะประมาทในสิ่งต่างๆ คนเหล่านี้แยกแยะอะไรไม่ออกมีแต่สิ่งที่เรียกว่า ด้นเดาเท่านั้น เจ้าของกระทู้เขาคงเข้าใจแล้ว คนอื่นช่างเขาเถอะครับ จะว่าปัญญาในเบื้องต้นก็ได้เพราะมันก็ common sene จริงๆในการจะทำอะไรในเบื้องต้น
นี่สำหรับเจ้าของกระทู้นะครับ

 

ส่วนข้อความนี้ ไม้แก่ เกินที่จะดัด เหมือนพรานยึ้มเลย

รอวันเข้าโลง อย่างที่คุณอะไรนะ ว่าไว้

อ้อ!! คุณปราบจราจลว่าไว้

พรานยึ้มนึกถึงเพลง มาช่าเลยนะ เพลงไรน้า

อ้อ!!! ความดันทุรังสูง เพราะนะ เพลงนี้

ความดันทุรังสูง ดนตรีมา!!! ติแน้ว ติแน้ววว

 

พวก ไร้เหตุผล มันอ่านหนังสือเป็นกันบ้างไหมนั่น

เขียนซะยาว ไม่ได้ซึมเข้ากะโหลกกะลา หนาๆ กันบ้างเลย

 

อีกสักครั้งนะครับ ช้าๆ และก็ชัดๆ

common sense =สามัญสำนึก ง่ายๆ ธรรมดา

feeling =ความรู้สึก

แต่คุณขันธ์บอกว่า common sense ก็คือการไช้ ความรู้สึกในการตัดสินเป็นหลัก

เขียนก็คนอย่าง ความหมายก็ต่างกันไกล

แค่นี้ คุณขันธ์ยังตีความผิด คำว่าวิทยาศาตร์ คุณก็ตีความผิดเช่นกัน ไห้ความหมายผิดลิบโลก

คุณบอกนักวิทยาศาตร์ ก็คือนักเชื่อ มันไช่สะที่ไหนล่ะ นักวิทยาศาตร์ ก็คือ

นักค้นคว้า นักวิจัย นักพิสูจน์ นักทดลอง มั่วตลอดเลย

แล้วก็อ้า้งจัง ตำรา เกาะตำรา คุณขันธ์ มีความ้ข้าใจ พระในไตรปิฏก ดีลึกซึ้งแค่ไหน ที่ยกมากล่าวอ้าง แต่ละครั้ง

ที่ยกตำรามาแล้ว มาตีความไห้ชาวบ้านเค้าฟังกัน คุณตีความผิด ห่างไกลจากข้อเท็จจริง ที่เห็นกันอยู่ทนโท่

สามัญสำนึกง่ายๆ เจ้าของกระทู้ คนทั่วไป ก็ยอมรับ ว่าเออ ที่พูดแบบนี้

มันออกไปในทาง ปรามาส สาธาระชน รับทราบ

แต่คุณขันธ์ ไม่รับทราบ แล้วยกตำรา มาตีความซะไห้มันใหญ่โต ขยายความไห้มั่วไปหมด

case by case นี่เข้าใจไหมครับ ว่ากันเป็นเรื่อง ว่ากันเป็นกรณีไป

กรณีนี้ หรือ case นี้ มันจบได้แล้ว

แค่นี้ คุณยังใช้ ความคิด สมองตัวเองไม่เป็นเลย

คุณจะมาพูด มาอ้าง อย่างนั้น อย่างนี้ มันผิดหมด

การตีความของคุณ มันไม่เหมือนคนอื่น แตกต่างจากคนอื่น

ซึ้ง สังคมส่วนใหญ่ คิดต่างจากคุณ

ถ้าเป็นระบบประชาธิไตย์ คุณต้องรับฟัง ความคิดเห็นส่วนใหญ่

ไม่ไช่ ดันทุรัง ยืนกระต่าย ขาเดียวอย่างที่คุณเป็นอยู่

ควรที่จะเงียบได้แล้ว

 

เสียดายเพลงดนตรี ของคุณเล่าปังจริงๆ เลย เพลงเพราะจัง

ขออีกสักครั้ง ได้ไหมครับ

เอาเหมือนเดิมนะครับ มาช่า

 

เรื่องของธรรมเอาประชาธิปไตยเข้าว่าไม่ได้หรอกครับ
ต้องเอาความจริงเข้าว่า

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระองค์แรก รู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมด
แต่สัตว์อื่นคนอื่นมีกิเลสเต็มหัวใจ เปรียบเหมือนคนตาบอด

หากเอาประชาธิปไตยเข้าว่า
คงไม่มีใครตามเสด็จพระพุทธองค์ได้

ต้องเอาความจริงเข้าว่า....

พระพุทธองค์ทรงสอนให้มีเหตุมีผล
การภาวนาคือการฝึกใจตนให้ยอมรับในเหตุในผล

ไม่ใช่พวกมากลากไป....

 

แสดงว่า โง่จริง ไม่ได้โง่เล่นๆ นะนี่ พูดแบบนี้ออกมา
พระศาสดา ทรงปกครองด้วย ธรรมาธิปไตย คือ เอาธรรมเป็นใหญ่

ส่วนเรื่อง ที่กล่าวหา ว่า มั่วบ้าง กระต่ายขาเดียวบ้าง หรืออะไร ก็ตาม ก็ ไม่มีเหตุผลอะไร

เป็น คำกล่าว ดุจดัง นาง จิญจย ที่กล่าวตู่ว่า ท้องกับพระศาสดา อย่างไม่มีมูล

คุณ ปราบจลาจล คุณ ได้เข้าถึง ทุคติ ดุจดังสตรีประมาทนั้น

 

สังคม พวกลากมากไป ไม่ได้อยู่บนหลัก ของสังคมประชาธิปไตย์นะครับ

คำว่าพวกมากลากไป เค้าจะไช้ กับก๊วน หมู่ เหล่า ที่มีพรรคพวกสนับสุน

ไม่ได้คำนึง ถึง สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เอาพวกมากเข้าว่า


แต่สังคมประชาธิไตย์ ก็คือว่าด้วยเหตุ และผล

ถ้าเหตุและผล ของใครดีกว่า

ก็เอามาหักล้างกัน และสังคมส่วนใหญ่ยอมรับ ได้

และมีประโยชน์ นำความสุข ความสงบมาไห้สาธาระชน หมู่ชน อย่างแท้จริง

ประเด็นเรื่องนี้ เรื่องนี้ จริงๆแล้วก็คือ

อยู่ตรงที่ว่า การขอขมา เราชาวพุทธ การกล่าวคำขอโทษ

กล่าวคำขอขมา กับสิ่งที่เรารู้สึกว่าล่วงเกิน และยิ่ง ท่านเป็นพระอริยเจ้าด้วย แค่ตั้งใจ ตั้งจิต ขอขมาท่านแค่นี้ มันผิดตรงไหน

เงินก็ไม่เสีย อะไรก็ไม่เสีย ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียหายเลย

ตรงข้าม ที่จะมีแต่ได้กับได้กับคืนมา จิตใจก็อ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง

ความรู้สึกดีๆ กลับคืนมา

และการตั้งใจ ขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่เราได้ประมาท พลาดพลั้ง

รู้เท่าไม่ถึงการ เพื่อเป็นการงดโทษ ที่จะพึงมีแก่ตน มันก็มีแต่ประโยชน์นี่ครับ ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย

เราไม่ไช่ผู้รู้แจ้ง ไม่ไช่พระศาสดา ถึงจะรู้อะไรอย่างแท้จริง

การไม่ประมาท มันผิดตรงไหน กันไว้ดีกว่าแก้ไม่ไช่หรอครับ

สามัญสำนึก ง่ายๆ ในความรู้สึกของคนธรรมดา

ที่คุยกันอยู่ พูดกันอยู่ ว่าเจ้าของกระทู้ รู้สึกว่าล่วงเกิน หรือปรามาส

เจ้าตัวก็รู้สึก คนทั่วไป ก็รู้สึก

แต่มีคนบางคน ไม่รู้สึก ทั้งที่เจ้าตัว ก็รู้สึกยอมรับ

และคนบางคนก็เอาเหตุผล ของตัวเอง มาถกเถียง มากล่าวอ้าง

เพื่อไห้คำพูดของตัวเองนั้นถูก

สังคมไทย เป็นสังคมไห้อภัย จะตะแบงไปทำไมล่ะครับ

คุณลองไปดูสิ บางท่าน เค้ายังรับไม่ได้ เค้ารีบตั้งกระทู้ ขึ้มมาไหม่ทันที


ว่า มีการปรามาสหลวงพ่อจง จึงเอาชีวประวัติ ของหลวงพ่อท่าน

ออกมาเผยแพร่ ไห้ได้รับรู้กัน

ความเป็นมาของเรื่อง มันเป็นมาอย่างนี้ครับ

 

ผมเห็นด้วยกับการขอขมา พระรัตนตรัย

แต่นักตำราอย่างมหาขันธ์ คำก็พระพุทธเจ้า สองคำก็พระพุทธเจ้า อ้างตลอด

แต่ค้านหัวชนฝา ในกรณีนี้ เกี่ยวกับการขอขมา

ไม่เห็นด้วยกับการขอขมาในครั้งนี้

จิตใจคุณขันธ์จะกระด้างไหปถึงไหน จะดำมืดไปถึงไหนกัน

คุณน่ะพุทธเทียม มากกว่าพุทธแท้นะ

 

ขอพูดตรง ๆ นะครับ
ขออย่าได้เคืองกัน....

พฤติกรรมที่ส่อให้เห็นเจตนาตอนนี้
เหมือนกับพวกมากลากไปครับ...

ปรามาสไม่ปรามาสอยู่ที่เจตนาครับ

เห็นมั้ยครับ หลวงปู่แหวนท่านเอาเงินแบงก์ 500 มามวนบุหรี่สูบ
พระกรรมฐานท่านไม่ให้จับเงินนะครับ
แต่องค์ท่านจับเอาแบงก์ 500 มามวนบุหรี่สูบ

ธรรมท่านแสดงให้โลกเห็นว่าท่านเหนือโลกอย่างนี้ล่ะครับ

 

ลองอ่านดู อีกสูตรหนึ่ง เพราะว่า
ในพระสูตรว่าไว้เลยนะว่า จะไม่พึงถึงความฉิบหายนี้ ไม่ใช่โอกาส

หมายความว่า จะต้องถึงความฉิบหายนี้แน่นอน

การกระทำนั้น คือ ด่าบริภาษ เพื่อนพรหมจรรย์
และ กล่าวโทษพระอริยะ

ด่าบริภาษ เพื่อนพรหมจรรย์ ก็ ที่แสดงให้เห็นกันอยู่นี้แหละ เรียกว่า ด่าเพื่อนพรหมจรรย์
คือ คนมีสัจมีศีล
กล่าวโทษ พระอริยะ คือ กล่าวว่า พระอริยะ ไม่ดีอย่างนั้น เลวอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่า กระทำชั่วอย่างนั้นอย่างนี้

ทีนี้ ใครกันแน่ที่อ้างมั่ว ตีความมั่ว กระโดดไปตีความถึง ประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครออกเสียงสักคน ประชาธิปไตย คนเดียว

ใครกัน ที่ เป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งๆที่ เรื่องนี้ เป็นการพูดถึง คนเล่นบอรดคนหนึ่ง ที่เขามาพูดแสดงความเห็น ที่ไม่ควรโดนตำหนิมากมาย แต่มีคนเดือดร้อน ในทำนองว่า จะต้องขอขมาพระอริยะ

ก็ ตลกไหม คำว่า ปรามาส ไม่รู้ แต่อ้างความรู้สึก
ยกพระไตรปิฎกมา ก็อ้างว่า จะต้องประชาธิปไตย
แต่ว่า ยกประชาธิปไตย ของตนเองขึ้นมาคนเดียว

555

 

อ้อ แน่นอน ผมไม่ได้มองว่า จะต้องขอขมา

เพราะว่า คนทุกคนมีสิทธิ ในความเป็นมนุษย์ เหมือนกัน

ไม่ใช่ว่า ห้ามคิด ผมก็บอกเหตุผลไปแล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่ง สมัยพุทธกาล มีคนมากมาย ส่งเสียงอึกทึก ด้วย ข้อปฏิบัติที่ไม่สมควรของลูกศิษย์ พระพุทธองค์ ถามว่า พระพุทธองค์ไปบอกไหมว่า นั่น พวกเธอจงขอขมา พระอริยะเดี๋ยวนี้ มีแต่ ทรงบอกให้บัญญติศีล และวินัยเพื่อเป็นไปเพื่อความศรัทธา เพื่อความเลื่อมใส ของ อุบาสก อุบาสิกา

คุณ ปราบจลาจล คนแบบคุณนี้ หลวงตาท่านว่า หงายหมา คือ หมดท่า

 

เล่นอะไรกันอยู่หรือครับ
อิอิ

 

เล่น ตำรวจจับโจร ครับ