ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    หายแล้วจร้า.......
     
  2. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ใครทราบแนะนำด้วยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ สวัสดีเพื่อนๆค่ะ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ๑.จัดเรียงเส้นสายครั้งเดียวก็หาย
    ๒.ทุกครั้งที่เคลียพลังงานตกค้างควรทำจนรู้สึกเบาทั้งตัว
    อย่ารีบร้อน ใจร้อน และประมาท หรือขี้เกียจกับเรื่องแบบนี้
    โดยเฉพาะช่วงนี้ที่จิตรับรู้เกี่ยวกับพลังงานได้ดีขึ้น
    และควรมีการอุทิศส่วนกุศลร่วมด้วย ทำแล้วไม่หาย
    ก็ให้กรวดน้ำอีกที จบ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ข้อ ๑ ๒ ๓ และ ๔ รับทราบครับ...
    ทำได้ครับ..ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ...
    เพียงแต่ทำแล้วก็ให้แล้วๆไป ไม่อะไรๆกับสิ่งที่ทำ..
    จะได้ไม่มีกระแสที่สัมพันธ์กันที่อาจจะทำให้วกวนเวียน..
    อยู่ในไตรภพครับ..จะได้ไม่ติดในกองบุญกุศลครับ..

    ปล.กระแสแม้ว่าจะดี แต่มันจะขวางการคลายตัวของจิตเรา
    ในระหว่างวันได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง หากเราไม่รู้จักแล้วๆไป
    หรือวางๆมันไป ซึ่งระยะเวลาการคลายตัวของจิตเราในระหว่างวันนั้น
    มันมีผลการกลับมาของความสามารถแบบพิเศษไม่ว่าตาพิเศษ
    หรือหูพิเศษตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราที่จะมาได้
    ของมันเองอัตโนมัติด้วยครับ
    จะมาช้ามาเร็วขึ้นอยู่กับประเด็นที่กล่าว
    ของคุณไม่ใช่ว่าจะไปฝึกให้มันมีขึ้นมา
    แต่ต้องวางเผื่อให้มันได้ขึ้นมา
    พอเข้าใจที่สื่อนะครับ
     
  5. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๒.๓๔

    ไม่ได้แนะนะครับ แต่มาเล่าว่าเราเคยเจอมาแบบใด

    ๑. ร้อนที่หลัง แล้วลามขึ้นตัว
    อันนี้เราเป็นตอนเดินลมปราณ เข้าใจเอาเอง ว่าน่าจะเป็นปราณแผ่ขยายออกนะ เนอะ
    ปัจจุบันนี้ จะทำตอนต้องการแผ่พลังงานออกไปทั้งกาย
    และมักจะให้ลงไปตามขา และขึ้นหัว ให้ขยายออกไปได้ ทั้งร่างกายน่ะครับ

    หรือจะมีอาการตอนกระตุ้นจักระล่างๆ อัดให้เต็ม แล้วมันจะล้นออกมาได้
    หรือตอนทำวิชา "เชื่อมกายากับฟ้าดิน ถิ่นทั้งมวล" ก็มีอาการนี้
    หรือแม้แต่แค่นึกให้มันซ่านขึ้นมาเอง ก็ได้
    แต่ต้องตอนจิตกับปราณเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ก็จะดึงพลังงานขึ้นมาได้ โดยง่าย

    หรือล่าสุด เพิ่งได้วิชามาใหม่ซักเดือนนึงนี้เองนะ ว่า
    อยู่ๆ ในจิตก็ปรากฏภาพตัวเรา เห็นด้านหลังนะครับ ยกสองมือระดับอก
    หงายขึ้น เหมือนรอรับพลังงานจากข้างบนลงมาน่ะ
    แล้วนึกนั้น ก็ปรากฏพลังงานไหลเข้าสู่มือท้้งสองข้าง
    แล้วไหลหลั่งเข้าสู่กายส่วนกลาง รู้สึกภาพในหัวจะไฟลุกท่วมตัวเลยอ่ะ
    นึกแล้วเหมือนภาพโงกุน ชาวไซย่า ในดราก้อนบอลเลย ๕๕๕
    ตอนแปลงเป็นซุปเปอร์ไซย่าน่ะครับ ที่เหมือนจะไฟลุกพรึบๆ

    ในจิตเห็นภาพเหล่านั้น แต่กายกลับซู่ซ่าตามไปด้วยแฮะ แปลกใจนะ ครั้งแรก
    เหมือนในจิตรับพลัง แต่กลับมาออกที่กายเราได้ด้วย ดีจัง
    เหมือนปราณจะตื่นขึ้นมา จากจักระหนึ่งหรือสอง
    ทะลุทะลวงขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง ทะลุหัวไปเลย รู้สึกดีนะ คึกคักดี
    พักหลังก็เลยทำเล่นบ่อยๆ ตอนนั่งสมาธิ กระตุ้นปราณได้ดี
    ทางลัด เร็วและง่ายดีจัง ขอบคุณ ไม่รู้ใคร มาสอนให้ล่ะมั้ง นะ เนอะ

    แต่ร้อนแล้วจะเย็นหรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้ ไม่เคยอ่านเจอที่ไหนนี่ เนอะ
    ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่า หรือเป็นคนละเรื่องกันเลย ก็ไม่ทราบได้
    แต่ว่า อ่านของท่าน แล้วพลันอยากเล่าออกมาน่ะครับ
    คิดไว้หลายวันแล้ว ว่าอยากจะเล่าเรื่องนี้ออกมาซะหน่อย
    บังเอิญจังนะ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมมาเล่าตรงนี้อ่ะ หึหึหึ

    ๒.มีอาการแปลกๆ ตามร่างกาย
    เราเคยเป็นตอนฝึกลมปราณน่ะนะ ตอนเดินลมปราณไปทั่วร่าง
    ให้ไหลต่อเนื่องไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
    บางทีก็จะเจอจุดสะดุด ติดขัด หรือรู้สึกแปลกๆ แบบที่ท่านว่า
    แต่เรามักจะใช้วิธี เดินลมปราณเข้าไปตรงนั้น พักนึง
    แล้วเดินขึ้นหรือลง ไปตามเส้นทางแห่งปราณ จากจุดที่รู้สึกนั้นน่ะนะ

    ตอนนั้น ครั้งแรกๆ ก็เดาเอา ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกาย ตรงไหนซักแห่ง
    อาการถึงแจ้งออกมาตามเส้นลมปราณ ระหว่างการเดินพลัง
    จากการค้นหา ด้วยการไล่ปราณไปตามเส้นทางของมันนั้น
    ก็มักจะพบกับจุดที่เกิดปัญหา อาจจะใกล้เจ็บป่วย หรืออื่นๆ
    ซึ่งมักจะไม่ใช่จุดที่เจอการสะดุดครั้งแรก แต่ต้นเหตุมักจะอยู่ที่อื่นแฮะ

    จับได้บ่อยๆ จากตรงนี้ แต่ต้นเหตุอยู่ตรงโน้น ก็ต้องไปแก้ตรงโน้น
    ด้วยการใส่ปราณอัดเข้าไป หรือใช้ปราณลูบไล้ขึ้นลงตามเส้นทาง
    บางทีก็ทำปราณเป็นเข็ม ทะลวงเข้าไป แบบทุบๆ ก็มี ทุบตรงนั้นให้ราบลงไป
    จับปราณหมุนๆ ตรงนั้น, ใส่สีลงไป, บางทีก็ใช้จักรฝ่ามืออัดพลังเข้าไป
    หรือทำปราณกลมๆ คลุมจุดต้นเหตุ แล้วอัดโดยรอบเข้าสู่ศูนย์กลาง
    หรือหาศูนย์กลางเล็กๆ แล้วขยายออกไป โดยรอบก็มี
    และยังมีวิธีอื่นๆ ที่เคยทดลองอีกมากมาย แต่ขี้เกียจค้นห้วแล้ว ๕๕๕

    วิธีที่เคยทดลอง ก็หลากหลาย สารพัดจะลองทำดู
    ไม่รู้ใครสอน หรือคิดเอาเอง ก็ไม่ทราบได้ ไม่ค่อยสนใจจะค้นตรงส่วนนั้น

    คุยไปคุยมา จะเกี่ยวกะอาการของท่านหรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้นะครับ
    เล่าให้ฟัง เผื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
    หรืออาจจะมีใครคนอื่น รอข้อมูลเหล่านี้อยู่รึป่าวหว่า ไม่รู้ดินะ เนอะ

    แต่ที่แน่ๆ ฝากให้ท่านนพด้วยล่ะครับ เผื่อจะอยากปวดหัวคิดบ้าง ๕๕๕

    และขอบคุณที่เปิดช่องให้ปล่อยของครับ
    นึกว่าวันนี้จะไม่ได้โม้ซะแล้วสิ หึหึหึ
    อ่านโพสท์วันนี้ ไม่มีโดนใจเลย


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    แห๋มๆ โงกุน ๕๕๕ ยังดีที่รับรู้แบบนั้นได้ แต่มาช้ากว่าคนอื่นๆไปหน่อยประมาณ
    ๕ ถึง ๖ เดือน พูดถึงตรงกิริยาที่บอกว่า ยกมือตรงหน้าอกแล้วก็บลาๆๆๆๆ
    ไฟออกศรีษะนะ...ถ้าจับสังเกตุดีๆมันจะขึ้นตรงกลางหน้าอกขึ้นบนก่อน..
    แต่การนำไปใช้นั้น โดยปกติถ้าไล่เปิดจักระแล้วและ ๑ ๒ ๓ (ค่อยว่ากัน)
    จะเริ่มจากตรงกลางกายและจะดันเป็นท่อขึ้นไปกลางศรีษะ(ย้ำว่ากลาง)
    แล้วกลับมาดันตรงต่ำแหน่งกลางหน้าอก
    ดันลงมาจนทะลุจักระหนึ่งลงล่างไป เป็นเสร็จขั้นตอน
    จะใช้งานอะไรต่อไปก็ว่ากัน...
    ส่วนถ้าเป็นกรณีอย่างที่ ซุ่นหงอคงเล่าให้ฟัง
    ถ้ารับพลังงานจากภายนอกมาก่อนเพื่อร่วมใช้งานนั้น
    จะต้องผลักพลังงานจากตรงกลางร่างกาย(คือมันจะเป็นเหมือนท่อวงกลม
    ประมาณเหมือนมีท่อผ่าตรงกลางร่างกาย) ดันขึ้นไปตรงกลางศรีษะและ
    ในขณะเดียวกันก็ดันลงไปจักระ ๑ พร้อมๆกัน ถึงจะเป็นอันเป็นครบขั้นตอน
    การรวมกับพลังงานภายนอกและพร้อมใช้งานต่อไปอะไรก็สุดแล้วแต่...
    ถ้าทำได้ สังเกตุได้ว่า ผลสำเร็จในการนำไปใช้งานจะดีกว่า ใช้งานได้สูงกว่า
    กิริยาแบบนี้
    ถ้าจะให้เรียกเป็นภาษาสมมุติก็จะใช้คำว่า '' เป็นระบบการทำงานของภาคทิพย์ร่วมกัน
    หรือที่รู้ๆจักกันดีในหมู่พวกที่ใช้กำลังจิตก็คือ ระบบพลังงานแนวใหม่''
    เค้าว่ามันเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เฉพาะบนโลก เกิดขึ้นตั้งแต่แกนโลกมันเอียง
    ปล.ประมาณที่เล่าให้ฟัง
     
  7. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ขขอบคุณ คุณกระต่ายป่าและ คุณนบค่ะ

    ปล.ความร้อนขึ้นศรีษะ คงยังรับไม่ไหว เพราะเคยเป็นค่ะ แขกไม่ได้รับเชิญมาสถิตบนหน้าเลย กว่าจะหายต้องงดฝึกสมาธินานพอควร ดีที่ตอนนี้ความร้อนดันลงขา และมือค่ะ อาจเพราะถือบางอย่างไว้ เลยช่วยลดความร้อนลง (อะไม่เคยฝึกปราณนะคะ)
     
  8. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    เย้ ป๋านพกลับมาแล้ว มาปูเสื่อติดตาม ครัซผม (f)
     
  9. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เมื่อก่อนเคยเป็น...มันเป็นก้อนกลม ๆแข็ง ๆ ประมาณลูกเทนนิส เริ่มจากลิ้นปี่ก่อนแล้วก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่อก คอ และเลื่อนมาที่หน้าผาก บางครั้งเลื่อนมาท้ายทอย และกลางหัว บางครั้งก็เลื่อนลงไปที่เท้า เจ้าก้อนกลมนี้อยู่ตรงไหนจะรู้สีกตึง แน่น หนัก และจุกที่บริเวณนั้น เคยลองใช้จิตควบคุมดูก็สามารถเคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่เราต้องการได้อย่างช้า ๆ ปัจจุบันไม่มีอาการแบบนั้นแล้วค่ะ

    ส่วนเรื่องร้อนนั้น เมื่อก่อนขี้ร้อน ร้อนมากจนกระทั่งต้องเปิดแอร์ที่ ๑๐ องศา + พัดลมจี้แรง ๆ แม้ในหน้าหนาวก็ตาม

    และในยามปกติตั้งแต่เป็นเด็กมาเลยชอบนอนคลุมโปง แต่ต้องโผล่เท้าออกมาหายใจอยู่หน่อยหนึ่งทุกครั้ง เมื่อก่อนเคยผ่าตัดเมื่ออกจากห้องผ่าตัดใหม่ ๆ พอฟื้นขึ้นมารู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกทั้ง ๆ ที่สายออกซิเจนก็ยังคาจมูกอยู่ อีดอัดจนต้องโวยวายดิ้นรน พอมีสติเต็มที่ถึงได้รุ้ว่าเขาเอาผ้ามาห่อและมัดที่เท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา ต้องขอร้องให้เขาเอาออกถึงได้รู้สึกโล่งและนอนสบาย

    เมื่อก่อนตอนสมัยเรียนอยู่เคยไปนอนกลางวันที่บ้านย่า อากาศร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็นอนไปได้ด้วยความสามารถพิเศษ คือหลับได้ทุกที่ และแล้วก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับพึ่งจะรู้สึกตัวว่าอากาศมันร้อนมาก มองไปเห็นพัดลมตั้งอยู่ตรงปลายเท้าห่างจากเราไปประมาณ ๒ ม. ใจก็อยากลุกขึ้นไปเปิดพัดลม แต่ติดว่าขึ้เกียจลุก แต่แล้วจู่ ๆ พัดลมก็ถูกเปิดและล็อคสำหรับจี้มาหาเราคนเดียว ในใจก็นึกขอบคุณที่ไม่รู้ใครที่ใจดีและรู้ใจเรามาเปิดให้ ทำให้เรานอนสบาย

    พอนอนจนเต็มที่แล้วจึงลุกขึ้นมาแต่เห็นพัดลมนั้นปิดอยู่ ก็ได้แต่นึกในใจว่าคงมีคนเดินมาปิด พอน้องสาว (ลูกพี่ลูกน้อง)ขึ้นบ้านมา เลยถามน้องว่า ใครเปิดพัดลมให้พี่เหรอ แบบว่าจะขอบคุณ น้องตอบว่า ไม่ได้เปิด เราก็เลยพูดขึ้นว่า ถ้างั้นคงเป็นอาละมั้งที่มาเปิดให้ น้องรีบตอบว่า ไม่มีใครเปิดทั้งนั้นแหละเจ้ ก็พัดลมมันเสีย เราก็..?????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2015
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ภพภูมิถ้าท่านนับถือเราเป็นมิตรแล้ว
    หลายๆท่านก็จะมาช่วยเหลือเราไม่ว่าทาง
    ด้านใดด้านหนึ่ง ท่านที่อยู่ระดับเดียวกันกับโลก ก็ชอบ
    ช่วยแบบทางโลกๆแบบเรารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้างมีเยอะแยะ
    ประเภท เปิดปิดไฟ ดูแลความเรียบร้อยของบ้านให้ก็มีเยอะแยะ
    เคยได้ยินประเภทบ้านโจรเว้นไหมครับ นั้นหละครับ...
    แบบประเภทเปิดปิดพัดลม หรือ ห่มผ้าให้เรากลัวเราไม่สบาย
    หรือจะมานั่งทำตาหวานมองหน้าเราเฉยๆ
    หรือแบบเด็กน้อย มาหลับมานอนใกล้ๆก็มี
    พวกนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาและไม่แปลก
    ที่บอกไม่แปลกเพราะเรื่องแบบนี้
    มันเห็นกันได้แม้กระทั่งตอนที่เราลืมตาปกติ
    สำคัญว่า เราจะเกิดเครื่องรู้มาเห็นตอนที่
    ท่านกำลังจะช่วยเราไหม....
    และหลายๆท่าน ดวงจิตสุดท้ายก็มีความชำนาญในแต่ละด้านแตกต่างกัน
    ซึ่งสามารถมาช่วยแนะ ช่วยสอนเราได้เช่นกัน สมมุติเราเล่นกีฬาอย่างหนึ่ง
    เก่ง เราไปเห็นเด็กบางคน เราถูกชะตารู้สึกว่า อยากไปแนะนำ อยากไปสอน
    แบบไม่ได้คิดหรือหวังผลอะไร ทางภพภูมิก็มีที่เป็นแบบนี้ครับ..
    สำคัญว่า เราจะปฏิบัติตัวและทำตัวอย่างไร ให้เข้าถึงผู้ที่มีความชำนาญ
    ทางด้านนั้นๆ จนท่านเมตตามาสอนครับ ประเด็นนี้
    สำคัญกว่าเรื่องนั้นที่ทำให้เรายังงงๆว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร
    ว่ามันคืออะไรครับ..
     
  11. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ส่งท้ายปีเก่า พร้อม ปีใหม่

    สวัสดีชาวปถุชน คนช่างสงสัยค่ะ

    (u)(u)(u)
     
  12. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    คือขอโทษนะคะ การอยากเจริญพรหมวิหาร๔ร่วมด้วย ทั้งๆที่ครูบาอาจารย์ไม่ได้สั่ง แต่ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ และอยากเป็นที่รักของทุกภพภูมิ อย่างนี้เป็นวิภวตัณหารึเปล่าค่ะ เพราะปัจจุบันนี้รู้สึกว่าช่างยากที่จะเจริญฯน่ะค่ะ ..ขอบพระคุณค่ะ
     
  13. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เป็นคนเครียด ย้ำคิด ทำร้ายตัวเองค่ะ ไม่รู้จะยังไงกับตัวเองดีแล้วค่ะ เหอะๆ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตัวอยากโน้นอยากนี่มันมีกันทุกคนครับ เรารู้ว่ามันไม่ดีแต่เรา
    ก็ต้องพึ่งพิงอาศัยมันอยู่ เพราะมันอยู่คู่กับโลกมานาน แต่เรา
    ฝึกเพื่อที่จะค่อยๆคลายมันออกไป ก็เหมือนร่างกายกับจิตใจเรา
    นี่หละครับ เรารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นรังแห่งทุกข์
    แต่มันก็ต้องอาศัยอยู่กับจิตเราอยู่ แต่จิตที่อาศัยอยู่กับกายนี้
    มันจะไม่ยึดร่างกายที่มันอาศัยอยู่นี้ได้อย่างไรนี่คือประเด็นหลัก


    คุณ นวลปราง ขอขมากรรมพระรัตนตรัยบ่อยๆ ที่สำคัญฝึกอุทิศส่วนกุศล
    ด้วยการรวมบารมีพระฯตั้งต้นไว้ก่อนและถึงค่อยรวมบารมี
    ตนเองเข้าไป และค่อยอุทิศส่วนกุศลออกไปให้กว้างที่สุด
    เท่าที่ตนเองจะนึกได้ นึกถึงภูมิอะไรได้ก็ขยายไปให้ถึง
    จะเป็นการเพิ่มวงสมาธิของเราไปในอัตโนมัติ วงสมาธิ

    คือความสามารถที่จิตเราสามารถไปถึงหรือสื่อไปถึงได
    จะเป็นการเริ่มต้นสร้างเมตตา ภพภูมิต่างๆจะเริ่มรับรู้ได้
    และเป็นการเริ่มต้นสร้างเมตต
    จากภายในไปภายนอกได้อัตโนมัติเอง เรื่องอื่นๆในพรหมวิหาร ๔
    จะตามมาเอง และการขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยบ่อยๆจะช่วยแก้
    ความลังเลสงสัยต่างๆทุกๆเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นกับจิตเรา
    ที่มักจะรวมกับความคิดที่เกิดจากจิต รวมกับขันธ์ ๕ นามธรรมคือความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วปรุงแต่งเป็นความคิดเชิงลบทุกๆกรณีได้ครับ

    ปล.จับประเด็นดูครับ มีวิธีแก้ ๒ วิธีเท่านั้น







     
  15. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ขอบพระคุณมากค่ะ ขอบพระคุณคุณนพฯและสมาชิกทุกท่าน ที่ให้คำแนะนำ คอยติติง มาโดยตลอด ..หากมีอะไรข้องใจอีก ขออนุญาติตั้งประเด็นถามในนี้นะคะ จะได้ลดภาระที่ครูบาอาจารย์ด้วย เพราะไม่ค่อยได้เข้าไปกราบท่านค่ะ /||\
     
  16. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เมื่อสักครู่สวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลแล้วค่ะ ขอให้ทุกท่านได้อนุโมทนาด้วยนะคะ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
    /||\
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้โชคดี มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เจริญขึ้น
    ทั้งทางโลกให้ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่จน มีใช้ไม่ขาดมือ
    และก็เจริญขึ้นในทางธรรมด้วยครับ..ส่วน จะใช้คำว่า เผื่อ หรือ เพื่อ ก็ได้ครับ ได้ทั้งสองความหมายครับ
    คุณ oldman ส่วนที่ว่าเป็นเทพบุตรอะไรท่าน ถ้าสัมผัสได้และคิดว่ามีมา
    คือเน้นมาให้สร้างเมตตาให้ออกจากภายในไปภายนอกให้ได้
    สังเกตุดูง่ายๆว่า เวลาแผ่เมตตาเราสังเกตุเห็นกระแสอะไรหมุนขยายกว้าง
    ออกจากกลางหน้าอกเราไหม
    พวกนี้เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือรู้สึกว่ามีกระแสอะไรหมุนออกจาก
    กลางหน้าอกเราไหมอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักสังเกตุอีกอย่างคือ
    ภพภูมิต่างๆให้ความเคารพเราไหม เป็นมิตรกับเราไหม
    ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับตาที่ ๓ โดยตรงครับ..
    ถ้าเสียงยังมาทางด้านซ้ายของหู ให้เราอุทิศส่วนกุศลไปก่อนครับ
    กลุ่มนี้ยังกำลังไม่มาก หรือกำลังบุญไม่มากครับ อาจจะทำให้เรา
    เค้าใจผิดได้ว่าเป็น พยานาคครับ ให้เราเฉยๆนิ่งๆและอุทิศบุญไปก่อน
    และถ้ารักษาสภาพจิตให้เป็นทิพย์ได้ให้จ้องพวกนี้นานๆ
    เราจะทราบได้เองว่าจริงๆเค้าเป็นภูมิอะไรครับ
    ...
    และปกติแล้วถ้าเป็นพยานาคจริงๆ
    การที่เราไปเอ่ยปากขอลุกแก้วเค้าจะไม่พอใจครับ เพราะเค้าได้มาจาก
    การนั่งบำเพ็ญ นั่งสมาธิครับ และปกติถ้าเราเดินเข้าไปในถิ่นเค้า
    หากส่งเสียงดังหน่อยเค้าก็ไม่ค่อยชอบแล้วครับ แม้เราเจตนาดี
    เวลาเค้าออกมานะครับ แม้ว่าจะไม่ปรากฏกายที่รวมธาตุดิน
    เพราะถ้าเค้าปรากฏกายแบบรวมธาตุดินเราจะไปเหยียบไม่ได้ครับ
    คือปรากฏด้วยกายทิพย์ แม้ว่าเค้าจะยิ้ม แต่เราจะสัมผัสได้ถึงฤิทธิ์
    ที่เค้ามีครับ เวลาเราเจอภพภูมิมีฤิทธิ์ จิตเรามันจะทราบได้เอง
    เค้าเรียกว่า จะมีความเกรงลึกๆซ่อนอยู่ในจิตครับ ยกเว้นพยานาค
    สีขาวแม้ว่าเค้าใกล้เรา เราก็ไม่สามารถบังคับอะไรได้ครับ
    และเมืองของเค้าจริงๆ ไม่ใช่จะเข้าได้ง่ายๆครับ ถ้าคุณเข้าไป
    คุณจะเจอ ท่านที่เฝ้าอยู่ ๒ สี และจะมองเห็น อะไรบางอย่าง
    ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอยู่ครับ..
    และถ้าเป็นกลุ่มเมืองย่อยของเค้า ถ้าเราตาดีเราจะมองเห็นเมือง
    ของเค้าได้ครับถ้าเค้าให้เราดู และเค้าจะแข่งกันนั่งสมาธิอยู่ครับส่วนมาก
    ถ้าประเภทส่งเสียงมาทางซ้าย ตีไว้ก่อนว่า อาจเป็นกลุ่มที่กำลังบุญมี
    เพราะว่าเสียชีวิตมานานมาก แต่อาศัยอยู่ระดับความสูงเดียวกัน
    กับระดับพื้นโลก และถ้ามีฤิทธิมาหาปกติสภาพแวดล้อมจะเงียบกริ๊บ
    ยกเว้นว่าระดับ มีฤิทธิที่เอ่ยนามใครก็รู้ๆจัก ประกันได้ว่าถ้าปรากฏ
    บนโลกอลังการแน่ครับไม่เงียบแน่นอน...
    ยังๆไงลองอ่านดูก่อน อย่าพึ่งไปยึดมั่นถือมันกับที่สัมผัสได้มากอะไรตอนนี้
    ให้เฉยๆไปก่อนทุกกรณี เน้นสร้างเมตตาให้ออกจากภายในไปภาย
    นอกให้ได้ คือ ทำอะไรอยู่เบื้องหลังโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนหรือมีใคร
    มาเห็น ทำดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เป็นมิตรกับทุกภพภูมิ รวมทั้งคนและสัตว์
    อุทิศส่วนกุศลให้กว้างที่สุด เพื่อขยายวงสมาธิเราไว้ ทำความดีไม่มีแบ่งฝ่าย แบ่งแยก
    มุ่งเน้นสร้างความดีเพื่อผู้อื่นมากกว่าตน ประมาณนี้หละครับ
    แนวทางการสร้างเมตตาให้ออกจากภายในไปภายนอกครับ
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง และถือว่าเป็นนิทานนะครับในบางเรื่อง
    แต่ถ้าจะมีความพิเศษต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
    ๑.อย่าคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับหรือต้อนรับ
    ด้วยว่าเรามีอะไร ไม่ว่าเราจะไปอยู่สถานที่ใดสังคมใดๆก็ตาม
    ๒.ไม่พูดจาอะไรที่เห็นเหตุในเกิดการโต้แย้งไม่หยุด ต้องยุติก่อน
    ๓.เว้นจากที่ๆเสียงอึกทึกครึกโครมเป็นเหตุให้เราไม่มีสมาธิ
    หรือที่ๆมีคนหมู่มากที่ส่งผลให้เราไม่มีสมาธิครับ
    ยิ่งถ้ายังใช้งานทางจิตเป็นรูปธรรมไม่ได้ยิ่งต้องระวังครับ


    ประมาณที่เล่าให้ฟังครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่องนิมิตต่างๆ เรื่องสัมผัสการรับรู้แบบพิเศษต่างๆ เล่าให้ฟังได้
    แนะให้ได้ แต่ก็จะพยายามบอกและย้ำเสมอว่ามันไม่ใช่ประเด็นหลักครับ..
    ถ้าเรายึดติดในนิมิต เราก็จะไม่ต่างอะไรกับคนขาด้วน ที่ฝันว่าตัวเองมีขา
    วิ่งไปมา แม้ว่าจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงๆแต่จิตใจลึกๆก็ยังคิด
    ว่าตัวเองมีขาเป็นปกติอยู่นั่นหละครับ(นี่พูดเปรียบเทียบให้ฟังครับ)..
    เรื่องการเห็นด้วยตานะครับ ไอ้การเห็นแบบ
    ในนิมิต เห็นคนเดียว รู้คนเดียว พวกนี้ยังไงมันก็ยังติดสัญญาเพื่อความ
    จำได้อยู่ครับ แม้ว่าจะเห็นแบบไหนๆได้ก็ตาม เพราะจิตมันจะยังต้องใช้
    ตัววิญญานเพื่ออุปโลกน์ขึ้นมาให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ร่วมกับภายนอกที่เข้า
    มาสุดท้ายเพื่อให้เราจำได้ เรียกได้ถูก แต่ประเด็นมันไม่ใช่ที่เราเห็นอะไรได้
    หรือเราเห็นเพราะอะไร. ประเด็นคือ วัตถุประสงค์ที่เราเห็นครับ
    มันเป็นไปเพื่ออะไร ทำไมเราถึงเห็นได้
    และมันเป็นไปเพื่อการลด ละ คลาย กิเลส ลดละคลาย
    ความยึดมั่นถือมั่นในใจเราได้ไหม ตรงนี้สำคัญที่สุดครับ..
    ไม่งั้นแล้วถ้ายิ่งไปยึดมั่นถือมั่น มันยิ่งเพิ่มพูนตัววิญญานที่ไปเชื่อม
    เพิ่มพูนตัวไปรู้ ทำให้กลายเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาอย่างที่เราไม่รู้ตัว
    เปรียบเหมือนคนขาด้วนที่ฝันว่าตัวเองมีขาเป็นปกติทั่วๆไปนั่นหละครับ
    ขนาดอยู่ในโลกความเป็นจริงก็ยังคิดว่าตัวเองมีขา เรื่องการยึดติดแบบ
    นี้มันเกิดขึ้นได้จริงๆนะครับ คุณมองว่าแปลกไหมครับ แม้แปลกก็ยัง
    เป็นกันปกติ แม้ปากจะบอกไม่ยึด แต่ก็ไม่เคยลืม เล่าได้เป็นฉากๆ
    สร้างเป็นเรื่องเป็นราวเสมือนจริง หาสาระอะไรไม่ได้ซักอย่าง
    และมันจะใช่อย่างที่ปากบอกว่าไม่ยึดไหมหละครับ ถ้าเราไม่ยึดคือ
    จิตมันจะไม่สนใจที่จะเก็บเอามาเป็นสัญญาหรอกครับ และปกติ
    มันก็จะไม่นึกถึงเรื่องนั้นๆด้วยครับ..
    ก็คิดดูเอาเองแล้วกันว่ามันทำให้ยึดมั่นถือมั่นได้ขนาดไหนครับ...

    การเห็นแม้ว่า จะเห็นด้วยตาปกติ แบบเต็มๆ ก็ยังไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ครับ
    เพราะว่า มันเป็นมายาจิต เป็นกลจิตอย่างหนึ่งครับ
    บางคนก็มาถามว่าเห็นแบบไหน แม้ว่าเราจะตอบว่าเห็นแบบไหน
    มันก็สร้างสัญญาให้คนที่มาถามเกิดความยึดมั่นถือมันได้ทั้งนั้นหละครับ
    เพราะการไปเห็นอะไร
    การไปรู้อะไรนั้น ตัวจิตเรามันจะสร้างตัววิญญานการรับรู้ ทางอายตนะ
    ตัวใดตัวหนึ่ง ไปเชื่อมทั้งนั้นหละครับ และสร้างสัญญาเพื่ออุปโลกน์
    การเห็นขึ้นมาให้จำได้ เรียกได้ถูก แถมบวกกับตัวไปรู้อีกว่ามันคืออะไร
    เพราะฉนั้นแม้ว่าเห็นด้วยตาเปล่าๆ ก็ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นอะไร
    เพราะพวกนี้ เป็นเครื่องขวางการคลายตัวของจิตเราทั้งนั้น
    ไม่ว่าเราจะเห็นในนิมิต หรือ ลืมตาเห็นๆได้เหมือนเรามองคนทั่วๆไปครับ...

    เราต้องมาคอยสังเกตดูว่า ตัวอุปทานต่างๆของเรา ที่มันไปยึดนั้น มันเกิด
    จาก โทสะ โมหะ หรือโลภะ มันเกิดจากอะไร จากสาเหตุใด
    มันเกิดตอนไหน มันดับได้อย่างไร ตรงนี้เราจะได้ปัญญาครับ
    ซึ่งโทสะ โมหะ โลภะ พวกนี้หละครับ ที่มันจะขวางการคลายตัว
    ของจิตเราและทำให้เราเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาเพราะเราไปเผลอยึดมันจน
    กลายเป็นตัวเราของเรานั่นหละครับ...เพราะฉนั้นตัวสติทางธรรมที่จะเห็น
    โทสะ โมหะ โลภะ ในใจเรานี้จึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญตลอดจนปัญญาทาง
    ธรรมที่จะเห็นว่า มันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มันทำให้
    เป็นไปอย่างใจเราไม่ได้ เพื่อที่จะให้จิตเรามันคลายตัวได้ในสภาวะปกติ
    จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
    เค้าจึงให้มองว่า เรื่องพิเศษอะไรต่างๆก็ตาม มันไม่ใช่สาระ ถ้าจะใช้
    ก็เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช้แล้วก็แล้วไป อย่างนี้ไม่เป็นไร
    เรื่องพลังงานต่างๆมันก็ไปเล่นในระดับอะตอม ไปเปลี่ยนแปลงในระดับนี้
    มันก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรอีกเช่นกัน. สาระมันคือการใช้เพื่อหนุนการ
    ดับของ กิเลสต่างๆ ไม่งั้นมันก็จะเพิ่ม อัตตา เพิ่มการไปยึดมั่นถือมั่น
    ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ได้อย่างใดอย่างหนึ่งแบบไม่รู้ตัว
    กว่าจะรู้ตัว มะเร็งก็ถามหาและก็ตายภายใน ๗ วันก็มีให้เห็น
    มาแล้วหลายราย หรือสุดท้ายก็ต้องไปคอยรักษาโรคเรื้อรังตอน
    ที่อายุมากๆ หรือต้องพักเพราะร่างกายตัวเองเป็นไม่รู้กี่โรคต่อกี่โรคครับ
    นี่ก็มีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมืองให้ลองสังเกตดีๆครับ ดูท่านที่ใช้จิตดูดวง
    ทำนายทายทัก ปลุกเสกโน้นนี้ ที่ฐานะดีขึ้นๆไว้เป็นตัวอย่างได้ครับ..
    จะเป็นโรคเรื้อรัง หลายๆโรค ที่รักษาไม่หายขาดซักคนตอนอายุมาก...


    ปล.ที่เล่าให้ฟังนี้ จะได้เห็นอีกมุมมองครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    โดยภาพรวมก็ไม่มีอะไรมากครับ
    หากยังมีวิบากมีภาระทางโลกอยู่ เราก็ต้องรับผิดชอบตรงนี้ให้ดีที่สุด
    แม้หากว่าจะพยายามให้ว่าง ยังไงมันก็ไม่ว่าง
    แต่ถ้าวาระมาถึง แม้ไม่อยากว่าง มันก็ว่างของมันได้เอง
    ตรงนี้เหนือวิสัยที่คนอย่างผมจะไปทราบได้ครับ
    แม้แต่ตัวเองจะได้รับคำพยากรณ์จากท่านที่มีชื่อเสียงหลายท่าน
    หรือแม้แต่ท่านที่เราไม่ควรกล่าวอ้างถึง. ละเอียดถึงขั้นปีลงถึงเดือนก็ยังไม่ได้ไปยึด
    เพราะจะระลึกไว้เสมอว่า อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

    และคนเราเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ไม่ต้องเสาะแสวงหาครูบาร์อาจารย์ที่ไหนหรอกครับ
    การไปเสาะแสวงหาครูบาร์อาจารย์ก็เพื่อที่จะหาแนวทางของเราให้เจอ
    เมื่อเจอแล้วก็ มาสร้างตัวเราเองนี่หละครับ
    อารมย์นี่หละครับ
    ที่จะเป็นอาจารย์คอยเตือนเรา เหตุเกิดจากภายในเรารู้จักดับมันไหม
    เหตุเกิดจากภายนอกเรารู้จักใช้สติพากายไปแก้ปัญหาไหม
    สร้างตัวเองนี่หละ คอยตรวจสอบตัวเอง วันนี้จิตเราเกิดไปกี่รอบ
    จิตมันเกิดเพราะอะไร ทำไมมันถึงเกิด และมันดับไปตอนไหน
    โลภะ โมหะ โทสะ มันเกิดเพราะอะไร มันเผลอไปยึด ลาภ ยศ
    สุข สรรเสริญ ได้อย่างไร มันเกิดตัวตัณหาไปยึดเข้ามาจนกลาย
    เป็นตัวเราได้อย่างไร มันทำให้เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเรา
    ไปยึดมันเข้ามา เราเลยคิดว่ามันจะต้องเป็นของเรา มันจะต้องเป็น
    อย่างใจเราต้องการ มันจะไม่เปลี่ยนแปลง ตรงนี้เราต้องดูมันให้ออก
    ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน ดับไปตอนไหน ตัวเราเองต้องคอยตรวจสอบ
    ตรงนี้เราถึงจะเกิดประโยชน์กับตัวเราได้ครับ....


    พุทธศาสนาท่านเน้นเรื่องปัญญา เรื่องอื่นๆท่านไม่ได้เน้น ไม่ได้เน้น
    ไม่ใช่ว่าท่านไม่มี หรือท่านไม่สามารถทำได้ หรือว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้
    แต่ให้มองว่ามันไม่ใช่สาระ แม้มีก็ใช้เพื่อความไม่มี จึงกลายเป็นแนวทาง
    ที่ให้ทำเพื่อผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็เพื่อให้เข้าถึงความไม่มี ความดับ
    '' เธอพึ่งรักษาความดีให้ถึงพร้อม ชาตินี้เธอจักได้ไป...... ''
    ยกตัวอ่านถ้าท่านอ่านอะไรมา
    เราอ่านตรงนี้เราต้องเข้าใจ
    ว่ามันไม่ใช่คำบรรยาย หรือคำพูด. หรือเป็นข้อความในตำรา
    และมันไม่ใช่ว่าเป็นคำสอนที่เป็นข้อความ หรือเป็นข้อเขียน
    แต่มันเป็นคำสอนที่เราต้องเข้าถึงด้วยสภาวะ มันเป็นสภาวะ
    เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติ
    ถ้าเราไปติดสุข เราก็จะทุกข์ทันที เพราะอะไร เพราะเรากลัวการสูญเสีย
    กลัวไม่ได้ดังใจเราต้อง กลัวมันมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไปติดดี
    เราก็จะทุกข์ทันที เพราะเราจะไปยึดดี ถ้าแตกต่างจากดีที่เรายึด
    ไม่เหมือนดีที่เราเข้าใจ ไม่เป็นแบบดีที่เราเป็น ก็ทำให้เราไม่พอใจ
    มันก็จะทุกข์อีก

    เพราะฉนั้น การปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุด คือการปล่อยวาง วางไม่ใช่ว่า
    ไม่ทำอะไรเลย ไม่สนใจอะไรบนโลกนี้เลย หากเราว่านี้ดี
    เด่วนั้นก็ไม่ดีอีก หากเราว่านี้ใช่เด่วโน้นก็ไม่ใช่อีก เพราะฉนั้นทางพุทธศาสนา
    ท่านจึงได้กล่าวว่า ''ดูก่อน" คือให้เราๆวางทิฐิมานะของตัวเองลงก่อน
    ว่าจะต้องเป็นไปตามที่ตนเองเข้าใจ ว่าจะต้องเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
    ในทุกเรื่องๆ ไม่เว้นว่าเรื่องการปฏิบัติด้วยครับ
    ไม่งั้นก็จะเกิด มานะทิฐิ ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้
    ทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้. นี้ก็เพราะสนองตัณหาตัวเองทั้งนั้นหละครับ
    ไประลึกคิดให้ดีๆครับ และท่านก็
    ให้เราไปปฏิบัติ ให้เข้าถึง ให้รู้ เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องวาง
    สำคัญว่า เราจะเข้าถึงได้อย่างไร เราจะรู้ได้อย่างไร และเราจะวางได้อย่างไร
    นี่เป็นนัยยะที่เราต้องเข้าถึง สภาวะพวกนี้ด้วยตัวเราเองครับ

    ท่านๆเราๆควรพอที่จะทำความเข้าใจครับว่า
    สมัยพุทธกาลถ้าผู้เป็นเลิศทางด้านทิพยจักขุ หรือน้องชายท่านผู้ไม่มีกิเลส
    ท่านไม่เข้าฌานตามผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพในขณะที่ท่านกำลังเสด็จปรินิพพาน
    ท่านๆทั้งหลายจะไม่ได้ยิน คำว่า ฌาน อรูปฌาน อัปนาฯ อุปจาระฯ อะไรหรอกครับ
    แม้ท่านแนะกสิณก็เพื่อความเป็นไปแห่งการดับ เน้นเพื่อจิตมันสงบ
    เน้นใช้เพื่อการพิจารณาให้เกิดปัญญาครับ เพราะฉนั้นเราจับกิริยาให้ดีๆครับ
    ไม่งั้นเราจะหลงประเด็นได้ครับ ว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงสอนอะไรเรา
    เราเข้าใจตรงนี้ก่อน เราถึงจะไปเข้าใจคำสอนต่างๆว่า อย่างนี้เป็นแนวฤาษี
    แนวนี้เป็นแนวนักพรต แนวนี้เป็นแนวพระโพธิสัตว์ แนวนี้เป็นโยคี ซึ่งมันเกิด
    ก่อนพระพุทธศาสนา มีคู่กันมา มีเพื่ออะไร มีเพื่อให้ท่านรู้และเข้าใจหรือเพื่อ
    ให้ท่านยึดแล้วก็ใสทิฐิของท่านเข้าไปเสริม
    ให้ท่านพิจารณาให้ดีๆ
    และก็ไม่ลืมใจความทางพุทธคือเรื่องปัญญานะครับ


    การแนะการสอนถ้าส่วนตัวพอทราบหรือพอมีประสบการณ์ก็จะพอ
    เล่าให้ฟังได้หมดนั่นหละครับ.และรู้ตัวตัวเองยังเป็นเพียงแค่เด็ก
    พึ่งเริ่มปีนเขามาถึงบนลานกว้าง และไม่มีอะไรเลย
    ทั้งๆที่ ณ ลานกว้างต่างๆนั้น
    มีหลายๆท่านสร้างบ้าน ปลูกบ้านเรียบร้อยแล้ว
    .สำคัญที่ว่าท่านได้อ่านแล้วลึกๆในใจท่านนั้น
    ตัวท่านเผลอ(ใช้คำว่าเผลอนะครับ)ยึดโดยที่ท่านไม่รู้ตัวหรือไม่ครับ
    ถ้าท่านไม่ยึดได้จริงๆ ไม่ว่าใครที่มีประสบการณ์ก็แนะนำท่านได้
    แต่ก็ต้องเน้นในประเด็นสำคัญไว้ก่อน เพราะว่ากลัวท่านจะเผลอนี่หละครับ
    ท่านลองนึกดู ทำไมบางท่าน ได้คุยได้สนทนากันเป็นเวลานาน
    แต่ความเข้าใจอะไรก็ตามเกี่ยวกับนามธรรมท่านถึงได้คาดเคลื่อน
    ทุกวันนี้ก็ยังเข้าใจคาดเคลื่อนอยู่ เรื่องนามธรรมง่ายๆทำไมไม่เข้าใจ
    ทำไมสติทางธรรมในการที่จะเข้าใจทางด้านนามธรรมมันถึงมีไม่พอ
    ที่จะทำให้ท่านเข้าใจ ทำไมบางท่านตัวจิตถึงไม่เกิดความสามารถ
    ในการทำงานได้จริง เกิดประโยชน์ได้จริง ติดอยู่แต่ในโลกแห่งมายา
    ติดแต่ในโลกของความฝัน ติดอยู่แต่ในโลกของนิมิต
    ทั้งที่ตัวเองรายล้อมและได้พบเจอท่านที่เก่งๆมากมายครับ
    ทำไมท่านถึงเผลอกลายเป็น
    คนขาด้วนที่ฝันว่าตัวเองมีขา ทั้งที่ลืมตามาอยู่กับโลกความ
    เป็นจริง ลึกๆก็ยังคิดว่าตัวเองมีขาเหมือนคนปกติทั่วไปอยู่ครับ
    ทำไมบางท่านที่พอเจอกันไม่กี่ครั้ง ทำไมกรรมฐานที่ชาวโลกบอกว่า
    มันยากเย็นเหลือเกิ๊น ทำไมบุคคลเหล่านั้นเค้าถึงมีความสามารถทำได้
    รับรู้ได้ โดยที่ไม่ต้องฝึกหนักอะไรให้มันยุ่งยาก และสามารถนำไปใช้ได้
    ตรงนี้ให้ท่านลองไปพิจารณาด้วยท่านเองให้ดีๆครับ


    เรื่องนามธรรมเป็นเรื่องไม่ควรยึด
    เรื่องความสามารถพิเศษต่างๆ กำลังจิต
    พวกนี้มันเป็นมายาจิต บางเรื่องมันเหลือเชื่อ
    มันประหลาด มันสามารถเกิดมีบนโลกได้
    แต่ท่านต้องไม่ลืมว่าจริงๆมันไม่ใช่สาระ
    แต่มันจะเป็นสาระทันที ถ้าท่านยังเผลอ(เผลอไปยึดจนเป็นท่านโดยไม่รู้ตัว)
    เผลอพัฒนาเพื่อตัวเอง ทำเพื่อยกตัวเอง และเผลอนำไปใช้งานในทาง
    ที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น
    และเผลอนำไปใช้เพื่อสร้างให้จิตท่านพอกพูนกิเลส
    ก่อให้มีทั้ง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    หรืออยากได้รับการยอมรับต่างๆจากสังคม
    ประเด็นนี้ท่านต้องพึงระวังให้ดีๆครับ




    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังจากประสบการณ์
    ที่ระลึกเข้าถึงแค่เพียงเสี้ยววินาทีครับ
    ส่วนตัวมีธุระไปเฉียดๆ กทม.ช่วงนี้
    อาจไม่ได้แวะมาตอบช่วงนี้นะครับ
    สบายๆ ฮาๆ พอขำๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ
     
  20. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    มันเป็นจังซี้ค่ะ (มโนคิดนะคะ)

    ใหม่ๆนี่ดิฉันจะชอบถามไปทั่ว ถามในคำถามที่ชอบที่อยากรู้ แต่ละท่านที่ให้ความเมตตาก็จะตอบไขข้อกระจ่างให้ ทีนี้พอได้รู้คำตอบก็จะมีคำถามใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ
    ทีนี้ถ้าติดตามอ่านคำตอบของคุณนพ มักจะแอบอิงเรื่องวิธีการปฎิบัติตัวอย่างไรให้การฝึกฝนเดินหน้าโดยที่ไม่หลง ไม้ยึดติดกับนิมิตที่เกิด
    ตอนแรกก็อ่านผ่านๆ ตอนหลังๆเน้นหนัก เห็นบ่อย เลยหยุดถามไปโดยอัตโนมัติ พอหยุดสนใจ กลับมาอ่านคำถามคำตอบอีกรอบจะงงว่า "ฉันถามอะไรไปหว่า" คือเป็นคำถามที่ไม่มีประโยชน์ หลงงมงาย จะถามไปทำไม ถ้ามันจะเป็นจริง จะเกิดขึ้นจริง พอทุกอย่างพร้อม ก็คงจะเห็นเองรู้เอง (แต่บางทีก็อดไม่ได้เหมือนกัน)

    ทีนี้ก็มาดูทำไมในโพสคำตอบถึงเหมือนถูกว่า ถูกดูหมิ่น จริงๆคือไม่มีอะไรเลย เป็นแค่หลักปฎิบัติที่เราควรมีควรทำให้ได้ถ้าต้องการไปให้ถึงจุดนั้น ซึ่งปัจจุบันเรายังขาดหลายข้อ พออ่านครั้งแรกเลยเหมือนถูกว่ากระทบ แต่พออ่านตอนใจเบาก็เฉยๆ ร้อง"ออ"

    สรุป ก็ทำต่อไป พยามต่อไป เอาเรื่องศีล5 กับพรหมณ์วิหารให้แน่นก่อน อย่างอื่นจะทำได้รึเปล่าช่างมัน ถ้าเทพพรหมณ์เทวดาอยากให้ทำให้ช่วยจริง เดี๋ยวเค้าก็ติดต่อบอกเอง เพียงแต่เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นก็พอ (อันนี้บอกคุณ old )
     

แชร์หน้านี้

Loading...