ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,329
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,273
    ขอแสดงความยินดีและขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้เป็นผู้ดูแลดวงแก้ว และพระขรรค์แก้วด้วยนะครับ

    ขออนุโมทนาบุญกับผู้มีส่วนร่วมในการประมูลเพื่อร่วมบุญทุกท่านครับ
     
  2. Chutha

    Chutha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    981
    ค่าพลัง:
    +16,824
    ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญบูชาดวงแก้วและพระขรรค์ค่ะ
    ขออนุโมทนาบุญดัวยค่ะ
     
  3. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,641
    ค่าพลัง:
    +55,532
    วันนี้ 29/5/58 ได้ทำการโอนเงิน 6,000 บาท
    บูชา รายการที่ ๕ พระขรรค์สีชมพู เรียบร้อยแล้วครับ


    [​IMG]
     
  4. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,329
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,273
    พี่น้ำใสครับ
    พระโยชนเศรษฐีฤาษี ในประวัติดวงแก้ว 49 ดวงที่พี่น้ำใสเล่าให้ฟังใหม่
    นี่ท่านเป็นองค์เดียวกับที่เคยมาเล่าเรื่องพระแก้วของ สมเด็จพระโภครัตนสัมภาวพุทธเจ้า เปล่าครับ
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    เป็นองค์เดียวกันค่ะ ปัจจุบันท่านยังทรงขันธ์อยู่แถบเทือกเขาหิมาลัยค่ะ
     
  6. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ประกาศสำหรับท่านที่ประมูลดวงแก้ว ๖ สี..

    เนื่องจากเป็นดวงแก้วขึ้นมาพร้อมกัน 49 ดวงในรังเดียว เดิมเคยพบเฉพาะในรังหิน มีขนาดเล็กกว่า ดวงแก้วพระพุทธเจ้าที่เคยให้บูชา (นับแก้วที่เคยขึ้นมาก่อนหน้านี้ เป็น ๙ ชุด)

    เดิมน้ำใสมีความเข้าใจว่า เป็นขนาดเดียวกันกับแก้วพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือแก้วพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น น้ำใสขอเพิ่มดวงแก้วองค์ประธานสีขาวขนาดผลส้มเล็ก ๑ ดวง ทราบว่าได้ขึ้นมาแล้ว จะจัดส่งให้ในภายหลังค่ะ(มูลค่าที่เคยประมูล ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐๐ บาท)

    ดวงแก้วทั้ง ๖ ดวงนี้ เป็นดวงแก้วที่เกิดจากการอธิษฐานของพระบรมโพธิสัตว์ที่สำเร็จกายสายรุ้ง จำนวน ๙ พระองค์ (รายละเอียดจะนำเสนอต่อไปค่ะ)

    จึงเรียนเพื่อโปรดทราบ และอนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

    Numsai
     
  7. anantapats

    anantapats เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,199
    วันนี้โอนร่วมบุญพระขรรค์แก้วสีแดงจำนวน 5,999.99บาท น้อมถวายบุญนี้แด่

    ๑. สมเด็จองค์ปฐมบรมพุทธเจ้า พระสิกขีทศพลที่1 พระต้นธาตุต้นธรรมสายมณีรัตนไตรกาล พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่2 พระต้นธาตุต้นธรรมสายนพเก้าไตรกาล พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่3 พระต้นธาตุต้นธรรมสายปราบมาร
    พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่4 พระอาทิพุทธเจ้า พระต้นธาตุต้นธรรมสาย กายสายรุ้ง
    พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่5 พระธยานิพุทธเจ้า พระต้นธาตุต้นธรรม สัมโภคกาย

    พระกกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมโนพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรย

    พระไวโรจนะพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้า พระอักโษภยพุทธเจ้า พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า

    พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสุมังคละพุทธเจ้า พระเรวะตะพุทธเจ้า
    พระวิสุทธิพุทธรังสีพุทธเจ้า พระบรมพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าทั้งภาคโปรดและภาคปราบทั้งลับทั้งเปิดเผย พระพุทธเจ้าประเภทบารมีพิเศษ
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พระธรรมเจ้า
    พระอริยเจ้า พระสงฆ์เจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ บิดา มารดาทั้งอดีต อนาคตกาล และ ในปัจจุบันนี้ทุกพระองค์ทุกๆท่าน

    ๒.คู่กรรมคู่เวรของข้าพเจ้าที่ส่งผลให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วยขณะนี้ทุกท่านและทุกๆท่านในทุกภพทุกชาติ

    ๓.หลวงปู่ทวด หลวงตาแสง สมเด็จฯโต หลวงพ่อเนียม พระมงคลเทพมุนี สด จันทสโร หลวงพ่อปาน หลวงพ่อโหน่ง พระราชพรหมญาณ หลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อธัมมชโย
    ท่านLopen Gembo Dorji หลวงปู่ฤาษีเกษรี
    พระมหาโพธิวงศาจารย์(ทองดี สุรเตโช) พระอุปัชฌาย์
    คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง คุณยายทองสุข สัมแดงปั้น คุณยายรัมภา โพธิ์คำฉาย
    พระนารทธรรมราชาบดีพระบรมจักรพรรดิ์ และพระเจ้าบรมจักรพรรดิ์ ทุกๆพระองค์ รัตนะทั้งเจ็ดแห่งข้าพเจ้า
    พระนพโลกุตตระธรรมเจ้าเก้าประการ ฤาษี พรหม เทวดา นางฟ้า กายสิทย์ และทุกๆสายทุกๆท่านทั้งหมดที่รักษา
    ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา อีกทั้งเทวดา กายสิทธิ์ที่รักษาดวงแก้ว วัตถุมงคลของข้าพเจ้า รักษาอายุของข้าพเจ้า และอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลข้าพเจ้าทั้งหมดทุกภพชาติ
    หลวงปู่ฤาษีเกษรีและคณะ
    ท่านศรีสุทโธและคณะ
    ท่านสุนันโทนาคราชและคณะ
    ท่านพญาโภคนาคราชและคณะ
    ท่านอัสดรนาคราชและคณะ
    ท่านปู่ศรีทันตรนาฆราชและคณะ
    ท่านโสตัตวาทะเทวราชและคณะ ท่านนิลกะอรรณพโพธิราชและคณะ
    พระแม่ธาตุทั้งสี่ พระปุญญสิตาศิริมาตย์รัตนวรกานต์บรมเทวี
    ปรมาจารย์เซียน ทั้ง 1008 พระองค์ เทพเซียนทุกๆ พระองค์
    ผู้อธิษฐานและผู้รักษาพระเขี้ยวแก้วสมเด็จพระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่๒
    ผู้อธิษฐานและผู้รักษาพระขรรค์แก้วสมเด็จพระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่๒
    ผู้อธิษฐานและผู้รักษาพระขรรค์แก้วท่านพ่ออัสดรนาคราช
    ผู้อธิษฐานดวงแก้ว เทวดาผู้รักษาดวงแก้ว กายสิทธิ์ที่รักษาดวงแก้วและจักรพรรดิ์ที่รักษา
    ดวงแก้ว อภิบวรสุริยโชติ
    ดวงแก้ว ปฐพีไตรภพโรจนะ
    ดวงแก้ว พระไวโรจนะพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว พระอมิตาภพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว พระอักโษภยพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว พระรัตนสัมภวพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว พระอโมฆสิทธิพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว พระวิปัสสีพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้ว สัตยาราชาบดี ดวงแก้วภัสสินีปรีดาโชติ
    ดวงแก้วพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
    ดวงแก้วพญานาคราชทั้งหมด
    ดวงแก้วจุยเจียทั้งหมด

    ๔. พระแม่ธาตุทั้งสี่ พระปุญญสิตาศิริมาตย์รัตนวรกานต์บรมเทวี แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย แม่พระพิรุณ แม่พระโพสพ พระยายมราช นายนิรบาล ท้าวเวสสุวรรณ ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรูฬหก ท้าวธตรฐ ท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่าสุชาดา ท้าวสันตดุสิต เหล่าพญานาค เหล่าพญาครุฑ พ่อพระกาฬ พระพรหมทุกชั้นฟ้า เทวดาทุกขั้นฟ้าและชั้นดิน ทุกท่านที่เป็นสัมมาฐิทิ และหมู่คณะ "ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ " หมู่คณะห้อง "ปรนิมมิตตสวัสตี" ทุกท่าน

    ๕.นายประพันธ์ เสริฐจำเริญ นายทองดี บุญกมล นาย สวาท บุญกมล ยายโสภา บุญกมล ลุงอุ้น และหมู่ญาติ จำนวน
    ๖.ท่านอัสดรนาคราชและคณะ หลวงปู่ฤาษี พรหมมุนี ที่คอยปกป้องข้าพเจ้าและคณะ จำนวน

    ๗.นาย โชติ
    ๘.นาย ทองเหม็น
    ๙.ชาวบ้านบางระจัน ทั้งหมดที่เคยล่วงเกินกันมา
    ๑๐.ชาวยิวทั้งหมดที่เคยล่วงเกินกันมา

    ขอทุกๆท่านที่เอ่ยนามมานี้จงมีส่วนในบุญนี้เหมือนประหนึ่งว่าทุกท่านทำด้วยตัวเอง สาธุ

    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตรวบรวมบุญกุศลที่ได้กระทำในครั้งนี้ และที่ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว นับตั้งแต่ ปฐมชาติ จวบจนถึง ปัจจุบันชาติ

    ทั้งการบวชพระ สร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์ เจดีย์ วิหาร กุฎิ ศาสนสถาน ถาวรวัตถุในบวรพระพุทธศาสนา ถวายที่ดิน อาสนะ ผ้าไตรจีวร สังฆทาน อาหาร ยารักษาโรค แสงสว่าง ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา การตั้งใจปฏิบัติบูชาทั้งทาศีลภาวนาและทุกๆบุญที่จะระลึกได้ก็ดี มิระลึกได้ก็ดี

    ทั้ง ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ทั้งหมด

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาด ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ซึ่งปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน ขออาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาด ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
    ขออาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ของบูรพาจารย์ทั้งหลายในประเทศไทยที่ได้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนามาจนกระทั่งถึงพวกเราและขออาราธนาบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ที่พวกเราทั้งหลายได้สร้างได้บำเพ็ญกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

    จงมาประมวลรวมกันเป็นตบะ เดชะ พลวะปัจจัย ส่งผลดลบันดาล อภิบาล ปกป้อง คุ้มครอง รักษา และส่งผลให้ข้าพเจ้า เข้าถึงพระธรรมกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย ที่ ชัด ใส สว่าง ที่ละเอียดสุดละเอียด จะนับจะประมาณมิได้ ให้ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ในธาตุธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็น กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และอัพยากตาธัมมา ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    คำว่า "ไม่ดี" คำว่า "ตกต่ำ"อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า ให้มีแต่สิ่งที่ "ดี" ที่ "ก้าวหน้า" ที่ "สำเร็จ" ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ

    ขออย่าให้พญามารปิดรู้ ปิดญาณ ของข้าพเจ้าได้ คำว่า "แพ้" อย่าได้รู้จัก ไม่รู้จักคำว่า "แพ้มาร" ไปทุกภพทุกชาติ ให้เป็นผู้ที่ชนะพญามารไปทุกภพทุกชาติ ให้เป็นผู้ที่พญามาร ตัดรอนกำลังไม่ได้ ตัดรอนบุญบารมีไม่ได้ ตัดรอนทรัพย์สมบัติไม่ได้ ตัดรอนอายุไม่ได้ ตัดรอนชีวิตไม่ได้ กดธาตุธรรมให้ตกต่ำไม่ได้ ให้สมบูรณ์พร้อม ด้วยมงคลชีวิตทั้ง 38 ประการ ด้วยคุณธรรมทั้งปวง มีความอ่อนน้อมเป็นต้น

    ให้ได้ที่สุดแห่งรูปสมบัติ ที่สุดแห่งทรัพย์สมบัติ ที่สุดแห่งคุณสมบัติ ที่สุดแห่งบริวารสมบัติ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ ของทิพย์ ของพระนิพพาน ที่เป็นไปเพื่อการสร้างบารมี และรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เพียงฝ่ายเดียว มีแต่คำว่า"ได้" คำว่า "มี" คำว่า"สำเร็จ" ในการสร้างบารมีตลอดไป ให้กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถรองรับความบริสุทธิ์ของวิชชาธรรมกาย บาปกรรมอันใด ที่ผิดพลาดทำไป ตั้งแต่ปฐมชาติ ปฐมกัปป์ ขอให้ตามไม่ทัน ขอให้ไม่มีโอกาสส่งผล บุญกุศลใด ที่ตั้งใจทำไว้ดีแล้ว ขอให้ส่งผลก่อน ส่งผลศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดช มีอานุภาพ

    คำอธิษฐานใด ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ที่คุณยายอาจารย์ อธิษฐานไว้ดีแล้วนั้น จงบังเกิดมี ใน กาย วาจา ใจ ของข้าพเจ้า และเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง ทั้งหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล

    ก่อนหมดอายุขัย ขอให้สติบริบูรณ์ จิตใจผ่องใส ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ให้ถอดเอาพระธรรมกาย ออกไปได้โดยสะดวกง่ายดาย เมื่อละจากโลก ขอให้บังเกิดด้วย ทิพยกาย ที่เป็นสมณเทพบุตร มีรัศมีตั้งพันเป็นอย่างน้อย พร้อมด้วยฝนดอกไม้ พันสี พันชนิด ฝนรัตนชาติทั้ง 7 ประการ ตกลงมาต้อนรับ การกลับไปของข้าพเจ้า ทั้งตั้งแต่มนุษย์โลก จรดดุสิตเทวโลก ให้ได้เกิดในดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ สด จันทสโร พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ ให้เป็นอย่างนี้ ทุกภพทุกชาติ
    ภพชาติต่อไป ขอให้เข้าถึงพระธรรมกาย ระลึกชาติได้ทั้งแต่เกิด สมบูรณ์ด้วย ศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 รู้พระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ เชี่ยวชาญตั้งแต่เกิด รู้แจ้ง แทงตลอด ในกฎแห่งกรรมทั้งปวง สามารถสั่งสอนตักเตือนตัวเองได้ ให้ได้เกิดในครอบครัวแก้ว ครอบครัวธรรมกาย มีมหาสมบัติจักรพรรดิมากมายตักใช้ไม่รู้จักพร่อง ไว้ใช้สร้างมหาทานบารมี เลี้ยงคนได้ทั้งโลก ขอให้ข้าพเจ้า อย่าได้ไปทำร้ายใคร และใครๆ ก็อย่าได้คิดทำร้ายข้าพเจ้า ให้ได้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสุคติภูมิ แต่เพียงฝ่ายเดียว รื้อสัตว์ขนสัตว์ ปราบมารประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ยกตนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร

    ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้คิดก่อน พูดก่อน ทำก่อน ในทุกๆโครงงานของพระพุทธศาสนา ของวิชชาธรรมกาย ได้สำเร็จวิชชา 3 วิชชา 8 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ 4 วิโมก 8 จรณะ 15 เชี่ยวชาญในทุกๆวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าพบเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดีเท่านั้น ขอให้ได้ติดตาม ตามติด พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ สดจันทสโร พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง สร้างบารมีไปได้ทุกภพทุกชาติ

    ขอคำอธิษฐานทั้งหมดนี้ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ และจงปรากฎแก่ข้าพเจ้าไปทุกภพ ทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จงทุกประการเทอญ
    สุทินนัง วะตะเมตานัง อาสวะขยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ฯ
     
  8. วาสุเทพ

    วาสุเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +5,174
    โอนแล้วครับ 16,000 บาท

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  9. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    วันนี้31/05/15 เวลา08.42น. ผมโอนเงิน10100บาท เพื่อร่วมบุญบูชาพระขรรค์รายการทีา4 และ พระขรรค์รายการที่6เรียบร้อยแล้วครับ
     
  10. rarkmai1

    rarkmai1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +2,087
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse; WIDTH: 946pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=1261 border=0><COLGROUP><COL style="WIDTH: 946pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 40352" width=1261><TBODY><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; WIDTH: 946pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 width=1261 align=left>แจ้งโอนเงินร่วมบุญประมูล รวม 31,999 บาท เมื่อ 30/5/58 17:42 น</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>รายการที่ ๑ ดวงแก้วสีหโรจนมณี อธิษฐานโดยพระสีหวารีฤาษี (สมเด็จพระพุทธไวโรจนพุทธเจ้า) ก่อนสมัยพุทธกาล ๒๕๕๐ อสงไขย</TD></TR><TR style="HEIGHT: 16.5pt; mso-height-source: userset" height=22><TD class=xl66 style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 16.5pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; WIDTH: 946pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=22 width=1261>รายการที่ ๓ พระขรรค์สีขาว อธิษฐานโดยพระวิศวปราณีโพธิสัตว์ เมื่อ ๒,๑๕๐ อสงไขยก่อนพุทธกาล โดยการเข้าสมาบัติ ๑๐๐๐๐ ปี


    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 15pt" height=20><TD class=xl64 style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 15pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=20 align=left>ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญกุศลตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน บูชาแด่ </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า จนถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่1 พระต้นธาตุต้นธรรมสายมณีรัตนไตรกาล พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่2 พระต้นธาตุต้นธรรมสายนพเก้าไตรกาล พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่3 พระต้นธาตุต้นธรรมสายปราบมาร พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่4 พระอาทิพุทธเจ้า พระต้นธาตุต้นธรรมสาย กายสายรุ้ง พระพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่5 พระธยานิพุทธเจ้า พระต้นธาตุต้นธรรม สัมโภคกาย</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระกกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมโนพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรย</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระไวโรจนพุทธเจ้า พระอักโษภยพุทธเจ้า พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า พระรัตนสัมภาวพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้า </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสุมังคละพุทธเจ้า พระเรวะตะพุทธเจ้า</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระพุทธเจ้าประเภทบารมีพิเศษ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรมเจ้า</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระอัครสาวก พระอรหันตสาวก และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ พระสถามปราปต์มหาโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ พระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์ พระรามโพธิสัตว์ พระสุริยประภาโพธิสัตว์ พระจันทรประภาโพธิสัตว์ พระนางตาราสีขาว พระนางตาราสีเขียว </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ คู่บารมี ทุกพระองค์ และบริวาร ทั้งสายเถรวาท มหายาน พุทธตันตระ </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวมหาชมภูบดี ท้าวผกาพรหม พรหมทุกพระองค์ และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท้าวสักกเทวราช พระมเหสีทั้ง ๔ มเหสักข์เทพทุกพระองค์ ท่านมุจลินทร์เทวบุตร ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท่านอินทกะ และบริวาร พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อพระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหลักเมืองทุกจังหวัด และเทพเทวาทุกพระองค์ทั่วสากลพิภพ อนันตจักรวาล</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• องค์เง็กเซียน องค์เจ้าแม่สวรรค์ องค์เจ้าพ่อกวนอู ท่านปรมาจารย์เซียน และเทพเซียนทั้ง ๑,๐๐๘ องค์ พระเสวียนจั้ง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านธารรัฐทสเทวราช เทวราชทุกพระองค์ และบริวาร </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• หลวงปู่เกษรี และสหธรรมมิกทั้งหมด ท่านLopen Gembo Dorji </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านมหาโภคโชติราชเทวราช พระนางนิมมารตีมหาเทวี ท่านสุนันโทนาคราช ท่านศรีสุทโธนาคราช ท่านอัสดรนาคราช และสหธรรมมิก ๔๘ ตน เจ้าเมืองพญานาคทั้ง ๗ และบริวาร </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านอนันตกโชตเทวราช ท่านมหันธชินเทวบุตร ท่านโมลียเทวบุตร ท่านอิสริยชาติเทวบุตร ท่านสุรสีห์ฤทธิไกรเทวบุตร ท่านนวราชกุมารเทวบุตร ท่านราชภูติโชติเทวบุตร ท่านโชติยสิทธินาทเทวบุตร ท่านวาณิชตเทวชุตร ท่านสิทธิสารนาทเทวบุตร ท่านสุทธิสัตตวากรเทวบุตร เหล่าเทวดาม้าแก้วทั้ง ๑๐,๐๐๘ องค์ และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• พระอุปปมรัตนวรกานต์เทวราช รวมทั้งบริวารของท่านทุกๆพระองค์</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านฉัททันต์วัชรโพธิราช และบริวารของท่านทุกๆพระองค์ ท่านสุรสีห์ฤทธิไกรเทวบุตร และบริวารของท่านทุกๆพระองค์ รวมถึงเทวดาที่ทำหน้าที่รัตนะทั้ง๗ทุกพระองค์ และบริวารทั้งหมด</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท้าววิษณุกรรมเทวราชและท่านโชติรสศิลปกรรมเทพธิดา และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท้าวรสทสกุมารเทวราช ท้าวเทวราชและเทวดาบริวารที่รักษาพระพุทธวิปัสสีโภครัศมีโชติ</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านพาหุลกะเทวบุตร และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านปวันรัตนสิริมาศเทพธิดา และคณะของท่าน</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านศุภสัตตบรรณ ท่านิลกะอรรณพโพธิราช ผู้ดูแลผ้าไตรจักรภพ และบริวารรวม ๑๑,๑๐๐๙ องค์</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ตลอดถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• บูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ และเหล่าวีรชนผู้กล้าที่ปกป้องรักษาแผ่นดินไทยในอดีต</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า มีหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ หลวงปู่ปานวัดบางนมโค หลวงปู่โตวัดระฆังฯ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่เทพโลกอุดรและคณะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ดู่วัดสะแก หลวงพ่อสดวัดปากน้ำฯ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระวัดท่าซุง ครูบาอาจารย์ในสายธาตุกายสิทธิ์ มีหลวงปู่อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เกษรีฤาษี และคณะเป็นที่สุด</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• เทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พระธาตุ พระพุทธปฏิมา พระสังฆปฏิมา พระเขี้ยวแก้วเนรมิต ดวงแก้ว จักราชา จักรแก้ว พระขรรค์แก้ว ธาตุกายสิทธิ์ มงคลวัตถุทั้งหลายที่ข้าพเจ้าบูชารักษาอยู่และร่วมประมูล ตลอดถึงเทวดาที่ปกปักษ์รักษาตัวข้าพเจ้าและคนในครอบครัว ภพภูมิเจ้าที่และเทวดาที่อยู่เขตที่อยู่อาศัยของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• พระทศทัสสิทธิ์มหาปัญญาโชติโพธิราช พระโมษยณปรเวทย์ราชาบดี พระนางวิญญูรัตนปวารตีมหาเทวี พระรัตนบัลลังกฺโพธิราช และพระนางสามาวดีมหาเทวี พระศิรสุทธิธรรมราชาบดี และพระนางตาราพิณปารมาวดีมหาเทวี และบริวาร</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• พญาครุฑทุกพระองค์ อันมีพญาครุฑมหาเวชไชยยันต์มหาราช พญาครุฑเวนไตยปักษี พระยาครุฑจิตรสุบรรณ สหบดินทร์ครุฑา พญาครุฑทั้งหลายที่สงเคราะห์ผู้ที่บูชาเหรียญท่านจิตโต และบริวารของท่านทั้งหลาย</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ท่านพยายมราช ท่านสุวรรณ ท่านสุวาณ นายนิริยบาลทุกท่าน</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• แม่พระธรณี และพระแม่ธาตุทั้ง๔</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ขออุทิศบุญกุศลนี้แก่ นางแก้ว ญาติ มิตรสหายและท่านสมันตราชปาลโพธิสัตว์ พร้อมบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>• ขออุทิศบุญกุศลนี้แก่ เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าและคนในครอบครัวของข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติ ทั้งที่มาถึงแล้ว และกำลังจะมาถึง สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ที่ยังเวียนว่ายในวัฏสงสารทั่วทั้งอนันตจักรวาล</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD class=xl65 style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19>ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายและอุทิศนี้ ขอท่านสุรสีห์ฤทธิไกรเทวบุตร และคณะ ได้โปรดบอกกล่าวบุญนี้ และขอให้ทุกๆท่าน ได้โปรดตั้งจิตประหนึ่งท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมา เหมือนได้กระทำด้วยตัวท่านเอง ทุกประการด้วยเถิด ขอท่านทั้งหลายได้โปรดโมทนาและเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเถิด และขอให้บุญนี้ส่งผลให้วงศ์ตระกูลและเกี่ยวเนื่องกับข้าพเจ้า พ้นจากอบายภูมิ ท่านใดที่ยังไม่ทราบบุญนี้ ขอเทวดาทั้งหลาย บอกกล่าวให้ทราบ และโมทนาสาธุการ หากท่านที่ยังทนทุกข์อยู่เบื้องล่าง เมื่อใดที่ขึ้นมา ขอท่านพระยายมราชได้โปรดแจ้งข่าวบุญนี้แก่ญาติหรือวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โต วัดระฆังฯ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่เทพโลกอุดรและคณะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงพ่อสด วัดปากน้ำฯ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง ครูบาอาจารย์ในสายธาตุกายสิทธิ์มีหลวงปู่อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เกษรีฤาษี และคณะเป็นที่สุด</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>ขอบุญบารมีทั้ง 30ทัศน์ ตั้งแต่ต้นชาติจงรวมตัว ให้ข้าพเจ้ามีญาณหยั่งรู้ ระลึกชาติได้ตั้งแต่เกิด และได้เกิดในครอบครัวแก้ว ได้พบครูบาอาจารย์ทางธรรมแต่วัยเยาว์ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ตั้งอยู่ในศีล มีดวงจิตสว่างไสวเยือกเย็นอยู่เป็นนิจขอให้บรรลุธรรมโดยง่าย และรู้แจ้งโลก ทั้งใบไม้ในกำมือและนอกกำมือ รู้และสามารถสั่งสอนตักเตือนตัวเองได้ อย่าได้เกิดความหลงแต่อย่างใด มีความสามารถถ่ายทอดธรรมให้ผู้อื่นเข้าใจได้โดยง่าย ขอให้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องได้สมบัติอัศจรรย์ทันใช้ไว้สร้างบารมีอย่างไม่รู้หมดสิ้น ขอให้เป็นผู้มีจิตใจสูง พบแต่ความดี เจริญรุ่งเรือง ปรารถนาในความดีใด ขอให้มีแต่ความสำเร็จ มีบริวารดี ทำการสิ่งใดก็ขอให้สัมฤทธิ์ผลได้โดยง่าย มีผู้คอยเกื้อหนุน อุปถัมภ์ อย่าได้มีศัตรูหมู่มารอุปสรรคขวางกั้นได้ ขอจงมีความมั่นคง แน่วแน่ ไม่คลอนแคลนในการทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป ขอให้มีกำลังใจสูงไม่สิ้นสุด ศัตรูหมู่มารทั้งหลายจงหลีกทางห่างไกล เปลี่ยนเป็นกัลยาณมิตรทั้งหมด ไร้ซึ่งอุปสรรคน้อยใหญ่คอยขัดขวาง ขอให้คู่ครองเสมอกันด้วย ทาน ศีล ปัญญา และจาคะ เป็นผู้ที่เข้าใจและส่งเสริมซึ่งกันและกันในทุกด้าน ขอให้ครอบครัวมีความสุข พ้นจากสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย ในทุกที่ทุกสถานและทุกกาล มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจสามารถปฏิบัติธรรมได้โดยสะดวก ตราบเท่าถึงพระนิพพาน</TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>ขอกุศลผลบุญทั้งหมดตั้งแต่ต้นชาติ ทั้งที่ระลึกได้หรือไม่ได้ก็ตาม จงปรากฏและส่งผลในทุกภพ และขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงปัญญา ญาณหยั่งรู้ และวิชาความรู้ในอดีต จงรวมตัวและได้กลับคืนมา สามารถใช้คล่องโดยพลันได้พบครูบาอาจารย์ ประสิทธิประสาทพร เสริมสรรพวิชาทั้งหลายทั้งมวล พร้อมทั้งให้ได้เรียนรู้สรรพวิชาทั้งหลายให้ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อต้องการฝึกสรรพวิชาใดๆก็ตามขอให้สามารถเรียนรู้ได้โดยสะดวก และแตกฉานในวิชานั้นอย่างรวดเร็ว สามารถสร้างคุณประโยชน์ใหญ่แก่บวรพระพุทธศาสนาและชนหมู่มาก ขอให้ข้าพเจ้าพร้อมครอบครัว และประเทศไทย พ้นจากภัยพิบัติทั้งมวลด้วยเทอญ </TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19></TD></TR><TR style="HEIGHT: 14.25pt" height=19><TD style="BORDER-TOP: #f0f0f0; HEIGHT: 14.25pt; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent" height=19 align=left>ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ด้วยครับ</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2015
  11. จิรญาโณ

    จิรญาโณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +2,800
    บุญใดๆ ที่เกิดจารการบวชเนกขัมมะบารมีในช่วงวันวิสาขบูชานี้
    อันมีทาน ศีล ภาวนา ตลอดจนบุญสังฆทานและงานสาธารณประโยชน์ทั้งหลาย

    ลูกขอยกบุญนั้นทั้งหมดให้แด่ญาติธรรมของลูก

    ขอทุกๆ ท่านจงร่วมโมทนาบุญนี้เสมือนท่านได้ทำบุญนั้นด้วยตัวเองนะครับ
     
  12. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    สาธุๆๆๆกับทุกๆกองบุญครับ
     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ปัจจัยร่วมบุญจากประมูล 8-15 พค.58 และบูชาดวงแก้วพระพุทธเจ้า ๔๙ ดวง

    [​IMG]

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
    Numsai
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. เศวตอุบล

    เศวตอุบล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ขอกราบโมทนาสาธุการทุกบุญทุกกุศลครับ
     
  15. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214
    10 เคล็ดกินทุเรียน ให้สบายกายสบายใจ
    โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
    ผลไม้แห่งราชาและราชาแห่งผลไม้

    เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “ทุเรียน”

    ทุเรียนเป็นผลไม้แห่งราคาด้วยอีกฉายาหนึ่งเพราะเป็นของดีที่ราคาค่อนข้างสูงมาทุกยุคสมัย อย่างในสมัยก่อนบางบ้านกินทุเรียนแล้วต้องทิ้งเปลือกไว้หน้าบ้านคล้ายกับจะบอกว่ามีฐานะพอจะเปิบทุเรียนได้น้า

    เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์แบบทุเรียนๆ

    ชาวบ้านหรือละครประเภทถึงอกถึงใจหลายเรื่องอาจใช้ “เปลือกทุเรียน” เป็นพร็อพ เพราะนอกจากจะเผาไล่ยุงหรือสกัดใส่ยาสีฟันได้แล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือที่นางอิจฉาใช้ขู่เข็ญนางเอกผู้แสนดีได้ด้วย

    ทุเรียนจึงเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์ด้วยประการฉะนี้

    ดีและร้ายต่างอยู่ในทุเรียนครับ แต่เหตุใดสิ่งที่จัดเป็น “ผลไม้” นี้จึงเป็นทั้งที่ชื่นชอบและครั่นคร้ามได้มากถึงเพียงนั้น ซึ่งทุเรียนเพียง 1 ลูกที่สุกกำลังดีและวางอยู่ในบ้านโดยไม่มีอะไรห่อหุ้ม อาจเป็นประเด็นร้อนที่ต้องลงประชามติกันโดยไม่ต้องหาโร้ดแม็พก็ได้

    ส่วนหนึ่งที่คนห่วงสุขภาพเกรงทุเรียนก็เพราะความหวานมันของมันที่มาพร้อมกับพลังงานสูง ซึ่งของสำคัญในทุเรียนที่นอกจากกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ได้แก่

    - คาร์โบไฮเดรตได้แก่ซูโครสและฟรุกโตส

    - กำมะถันอินทรีย์ (Organosulfur)

    - แอนตี้ออกซิแดนท์ (Polyphenols,flavonoids)

    - วิตามินและแร่ธาตุทั้งวิตามินเอ, ซี, อี, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก, แมงกานีส, ทองแดงฯลฯ

    ได้เคยมีผู้สร้างสรรค์ทุเรียนแบบ “ไร้กลิ่น” ขึ้นมา ซึ่งคอทุเรียนบางท่านก็บอกว่ามันดูเหมือนขาดอะไรไป เพราะเสน่ห์ของทุเรียนอย่างหนึ่งก็คือกลิ่น แต่เรื่องนี้ก็เป็นนานาจิตตังแล้วแต่ใครจะชอบอย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรักทุเรียนหรือไม่ปลื้มนัก ก็ล้วนต้องรู้จักผลไม้หนามชนิดนี้กัน

    วันนี้เลยขอฝากเคล็ดเรื่องทุเรียนไว้ให้กันว่าถ้าจะกินทุเรียนแบบสบายใจได้ทั้งสุขภาพและความอร่อยนั้นจะต้องทำอย่างไรบ้าง
    มีบัญญัติจัดการกับทุเรียนเนื้อดีอยู่ดังนี้ครับ

    >>ดีหรือร้ายอยู่ที่เราเลือกกิน



    1) กินไม่เพิ่มพุง ความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งของทุเรียนคือ “กินแล้วอ้วน” ชวนให้ผู้รักสุขภาพ แต่ก็รักทุเรียนไม่น้อย หลายท่านบ่นอุบว่าไม่กล้ากินหรือจะกิน ก็ต้องกินแบบเกรงอกเกรงใจแทบจะสะกิดพูกินกัน ซึ่งที่จริงการกินแบบไม่เสี่ยงเพิ่มพุงให้ยุ่งยากของทุเรียนก็คือไม่ควรกิน มากเกินไป และที่สำคัญคือ ไม่ควรกินกับอาหารแป้งหรือของหวานอื่นๆ บ่อยนัก เช่น กินทุเรียนแล้วก็ไม่ต้องซ้ำด้วยของหวานอื่น หรือถ้าจะกินทุเรียนมื้อนี้ ก็ควรกินข้าวให้น้อยแล้วเผื่อท้องไว้แทน รวมถึงไม่ควรกินข้าวเหนียวทุเรียนที่อร่อยหวานมันบ่อยนัก

    2) กินลดไขมัน ใครว่าทุเรียนมีแต่น้ำตาลกับแป้งก็ผิดถนัดเพราะในความหวานมันและกลิ่นแรงของ มันนั้นมีสารเคมีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันได้จากการวิจัยครับ โดยการทดลองชี้ให้เห็นว่าสารสำคัญในทุเรียนหมอนทองมีส่วนช่วยลดไขมันในเลือด ได้ แต่ทั้งนี้อยู่ที่การกินในปริมาณที่เหมาะสมและต้องคุมอาหารอย่างอื่นๆ ด้วยนะครับ เพราะการกินหมอนทองแสนอร่อยทีเดียวหลายพูแล้วก็นั่งอืดอยู่ ไม่สามารถช่วยให้สุขภาพดีได้เลยครับ

    3) กินกับผลไม้คู่ พ่อแม่ปู่ย่าเราท่านมีเคล็ดดีๆ ที่น่าประทับใจหลายอย่าง โดยเฉพาะกับเรื่องทุเรียนนี้ท่านว่าให้กินกับ “มังคุด” เพราะท่านว่ามังคุดมีฤทธิ์เย็นช่วยต้านกับทุเรียนร้อนได้ดี ซึ่งเรื่องการกินคู่นี้เป็นสิ่งดียิ่งครับ เพราะในมังคุดมีเส้นใยอาหารสูง มีสารต้านการอักเสบช่วยแก้เรื่องร้อนในและยังมีน้ำในปริมาณมาก ดังนั้นการกินทุเรียนกับมังคุดจึงเข้ากันดีช่วยสุขภาพราวกับกิ่งทองใบหยก จริงๆ ครับ

    4) กินดับกลิ่น ปัญหาสำคัญอีกเรื่องคือ กลิ่นที่แรงจัดของทุเรียน ซึ่งถ้าคนชอบก็ยังพอรับได้ แต่ถ้าคนไม่ก็จะกลายเป็นสิ่งชวนไม่ปลื้มทันที ในเรื่องกลิ่นนี้มาจากสารอินทรีย์กำมะถันในทุเรียน ซึ่งการแก้กลิ่นหลังกินทุเรียนนี้คงไม่ถึงขนาดทำให้ไร้กลิ่น แต่ก็พอช่วยบรรเทาไปได้ มีเทคนิคคือ กินฝรั่งห่ามๆ สัก 3-4 ชิ้น เคี้ยวใบสะระแหน่สด หรือสูตรโบราณท่านว่าให้ดื่มน้ำที่รินใส่เปลือกทุเรียน

    5) กินช่วยลำไส้ ถ้าจะกินลูกไม้หนามแหลมนี้ให้ช่วยลำไส้ ขอให้อย่ารับประทานหนักเกินไป เพราะเนื้อทุเรียนจะหมักให้แก๊สทำให้อึดอัดท้อง แต่อาจรับประทานแบบพอประมาณแล้วดื่มน้ำตามได้ หรือจะกินตอนท้องว่างก็ได้ เพราะจะช่วยระบายและไล่เชื้อในลำไส้ด้วยฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์แบบธรรมชาติ ส่วนที่เปลือกมีของดีที่ใช้ฆ่าเชื้อฟันผุในช่องปากได้

    6) กินชะลอวัย ทุเรียนไม่ได้กินเพื่อประชดพุงอย่างเดียวนะครับแต่ยังช่วยกระชากวัยได้ด้วย เพราะในทุเรียนมีสารต้านสนิมแก่ที่สำคัญหลายตัวดังที่บอกไป อย่างโพลีฟีนอลส์ และฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีพลังในการต้านอนุมูลอิสระที่โดดเด่น . นอกจากนั้นยังมีวิตามินที่ช่วยสุขภาพผิวพรรณอย่างเบต้าแคโรทีน วิตามินอี และวิตามินซีด้วย ขอท่านที่รักอย่าคิดว่าต้องเปรี้ยวจึงมีซีนะครับ เพราะทุเรียนก็มีกรดแอสคอบิกนี้เช่นกันซึ่งช่วยทำงานร่วมกับคอลลาเจนของท่าน ด้วย

    7) กินเติมแร่ธาตุ ในทุเรียนเนื้อเหลืองมีแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายคนเราขาดไม่ได้อาทิ ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และสังกะสีครบ . ท่านที่มีโลหิตจางขาดธาตุเหล็กก็กินทุเรียนอร่อยๆเ ป็นตัวเติมเหล็กได้ ส่วนท่านที่อยากบำรุงเส้นผมก็ได้ “ซิงก์” คือ แร่สังกะสีกับกำมะถัน ที่ช่วยสุขภาพผมที่มีอยู่ในทุเรียนได้ . นอกจากนั้นถ้าไม่ได้ป่วยด้วยโรคไตเสื่อมหรือโรคหัวใจทุเรียน ก็เป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันได้ด้วยครับ .

    8) กินเลี่ยงกับยา . ท่านที่รับประทานยาประจำอยู่ขอให้จับตาดูนิดหนึ่งครับโดยเฉพาะกับท่านที่เป็น “เบาหวาน” เพราะทุเรียนมีผลให้น้ำตาลขึ้นในเลือดได้ . ยิ่งทุเรียนสุกเนื้อเหลืองกลิ่นอวลยิ่งชวนให้น้ำตาลพุ่งปรี๊ดกลายเป็นคนหวาน มากแทนอ่อนหวานไปส่วนในท่านที่มีไขมันสูงก็ควรจำกัดปริมาณรับประทานให้เหมาะ สมด้วย . นอกจากนั้นขอเสริมการกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่ไม่ดีมีผลต่อสุขภาพแน่ ขออย่าทานร่วมกันครับ .

    9) กินเติมวิตามินบี . ทุเรียนเป็นแหล่งใหญ่ของ “วิตามินบี” ทั้งบี1 บี2 บี3 บี5 และ บี6 ซึ่งช่วยร่างกายเราในการเมตาโบลิซึมคาร์โบไฮเดรต เป็นวิตามินที่ขาดแล้วจะมีปัญหาทันที . นอกจากนั้นท่านที่รับประทานเนื้อสัตว์น้อย อาจรับประทานทุเรียนเป็นแหล่งวิตามินบีที่แทนได้ครับ

    10) กินเพิ่มพลังงาน ถ้าใครอยากได้พลังงานเร็วๆ เข้าสู่ร่างกายทุเรียนจัดเป็นแหล่งพลังงานสูงเลยครับ ซึ่งขุมพลังจากลูกหนามนี้มาจากคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมันที่มีอยู่เช่นเดียวกับเพื่อนผลไม้อย่างกล้วย ขนุน หรืออโวคาโด . การรับประทานทุเรียนหลังอาหารมื้อใหญ่อาจทำให้ท่านอิ่มเกินไปจนจุก จึงขอให้วางแผนก่อนกินโดยการลดข้าวและแป้งลง ถ้าหลังจากนั้นจะกินทุเรียนเป็นของหวาน

    เขียนมาถึงตรงนี้เผอิญนึกขึ้นได้ถึงความน่ารักของคนแต่ก่อนเลยอยากเอามาเล่าให้ท่านที่รักฟัง เพราะคุณตาคุณยายเราสมัยก่อนนั้นท่านมีวิธีรับประทานอาหารอย่าง “แก้กัน” ได้ ยกตัวอย่างถ้าจะกินพริกขี้หนูให้ไม่เผ็ดท้องเสียนั้นท่านว่าให้ติดก้านไว้ด้วยคือ ไม่ต้องเด็ดก้านนั่นแล ซึ่งในส่วนของทุเรียนก็มีเหมือนกันครับ โดยท่านว่าถ้าจะแก้กลิ่นทุเรียนติดไม้ติดมือก็ให้รินน้ำใส่เปลือกทุเรียน แล้วเอามาล้างมือล้างปากก็จะช่วยกันได้

    เป็นความเชื่อนะครับ

    สุดท้ายนี้ฝากเทคนิคจำง่ายไว้ยามเผชิญกับทุเรียนเนื้อดีที่เกินห้ามใจคือให้ดูสุขภาพของตัวเอง, กินปริมาณเหมาะสมและไม่ควรรับประทานคู่กับของหวานหรือแคลอรีสูงอีกเช่น เงาะ ,ลำไย, น้ำอัดลมรวมถึงอัลกอฮอล์ด้วยครับ แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่กินคู่กับทุเรียนแล้วดีก็มีอยู่จริงนะครับ


    http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9580000062255
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2015
  16. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    หลวงปู่ใหญ่ พระครูธรรมเทพโลกอุดร แนะปฏิบัติธรรม ๒ (ตอน ๒)


    [​IMG]


    คนเรามีสันดานและมีกิเลสเกิดตามเรามา ตั้งแต่เรายังไม่ออกจากท้องแม่เสียด้วยซ้ำ กิเลสมันมีมา ทุกข์มันก็มีมา บาปกรรมมันก็มีตามมาแต่เมื่อไร ทุกคนก็ไม่รู้กัน บางคนเกิดมาก็มีข้าวน้ำน้อย ที่อยู่อาศัยก็ไม่ดี จะหากินก็ยากจนเพราะอะไร ทำไมคนอื่นเขาจึงไม่เหมือนเราหรือเขาหาเก่ง หรือขโมยเก่งหรือเขาโกงเก่งจึงร่ำรวย จะอะไรก็ตามถ้าเราไม่ทำไว้ ไม่หาไว้มันจะได้อย่างไร ถ้าหาสิ่งที่เป็นรูปธรรม ก็จะได้ใช้แต่ในชาตินี้ชาติเดียว ถ้าหาสิ่งที่เป็นอรูปธรรม ก็จะได้ใช้ในชาตินี้และในชาติหน้าด้วย

    อรูปธรรมคืออะไร พวกเรามารู้จักอรูปธรรมกันก่อน อรูปธรรมคือ จิตเจตสิกที่เป็นกุศลและอกุศล แบ่งได้เป็นสองพวกแต่เราจะไม่รู้จักกัน อรูปธรรมฝ่ายกุศลพวกหนึ่ง อรูปธรรมฝ่ายอกุศลพวกหนึ่ง สองอย่างนี้จัดเป็นบาป-บุญ บาป-บุญเป็นตัวให้เกิดกรรม หรือจะพูดอีกทีเรียกว่าเวรกรรม ที่พวกเราจะต้องชดใช้ในการกระทำของเรา บุญคือความดี บาปคือความชั่ว ก็ใครทำดีหรือทำชั่วกันได้ ผู้นั้นก็จะต้องได้รับการกระทำของตน ได้รับทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป ทำชั่วก็ได้รับผลชั่วในการที่กระทำ คนที่มีความตระหนี่ ก็จะไม่มีอะไร จนเพราะไม่เคยให้อะไรใคร แล้วใครเขาจะให้อะไรตน มันก็ตรงกันข้าม ความจนเพราะเกิดจากความตระหนี่ในสิ่งต่างๆ ไม่เคยทำบุญให้ทานต่อสัตว์และผู้คน การทำบุญให้ทานนั้นเป็นการได้อรูปธรรมคือ สิ่งที่สบายใจ ทำให้เกิดเจตสิกในอรูปธรรมต่างๆ ขึ้นภายในตน ทำให้จิตใจเป็นไปในภพนี้และภพหน้า บุญความสบายใจจะติดตามเราไปตลอดกาล เว้นแต่เราจะทำไม่ดี คือบาปเข้ามาคั่นเสียเท่านั้น ต่อไปมันจะทำให้เรามีบุญบ้าง บาปบ้างสลับกันไป เราจะมองเห็นว่า คนเรามีรวยบ้างจนบ้างไม่แน่นอน บางคนก็มีแต่ความจนตลอดไป รวยตลอดไป ชี้ให้เห็นถึงการกระทำความดีบ้างชั่วบ้าง การทำบุญให้ทานนั้นแหละคือความดี การเบียดเบียนผู้อื่นๆ ด้วยอาการต่างๆ ทำในสิ่งที่ทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ สิ่งเหล่านี้จัดเป็นบาป คือการทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกทำนองคลองธรรม ผลที่จะได้รับความจนความเดือดร้อน บาป บุญ จัดเป็นอรูปธรรม อรูปธรรมมันจึงติดตามไปกับจิตได้ มันจึงไปแสดงผลในภายหน้า และต่อๆ ไป บางคนก็พูดว่า บาปบุญไม่มี ถ้าบาปบุญไม่มีความดีความชั่วก็คงจะต้องไม่มี นี่ความดีความชั่วมี บาปบุญก็จะต้องมี ขอให้พวกเรานึกคิดกันดู ความจริงคนเราสุขทุกข์มีกันหรือเปล่า คนเราเกิดมาจะไม่มีอะไรทำ นอกจากความดีความชั่วสองอย่างนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ความดี ความชั่ว ก็จะบังเกิดขึ้นมา โดยที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ การที่เราทำให้เกิดรูปธรรม หรืออรูปธรรมกันขึ้นมา มันก็เป็นความดีความชั่วด้วยกันทั้งหมด

    อีกอย่างหนึ่งพวกเราเข้าใจกันว่า ชาติหน้าไม่มี จะไม่มีได้อย่างไร ก็เรามาเกิด มาจากชาติไหน อดีตมี ปัจจุบันก็มี พร้อมทั้งอนาคตก็จะต้องมี สามสิ่งนี้มันก็เวียนกันอยู่ตลอดไป แล้วก็พูดว่าชาติหน้าไม่มี ถ้าจะนึกๆ กันดู ก็เมื่อวานนั้นมีหรือเปล่าถ้าเมื่อวานนั้นมี วันนี้ก็จะต้องมี และก็พรุ่งนี้ก็จะต้องมี มันก็สับเปลี่ยนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ก็พวกเราไม่คิดเปรียบเทียบกันดู การหากินก็เหมือนกัน หาเมื่อวานเอาไว้กินวันนี้ หาวันนี้เอาไว้กินพรุ่งนี้ หรือหากินวันนี้ เอาไว้กินวันต่อๆ กันไปหลายๆ วัน มันก็เหมือนกัน การทำบาปบุญมันก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้วันนี้ มันก็จะต้องได้วันต่อๆ กันไป การที่เราทำไว้ มันจะต้องได้อย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ถ้าจะมีก็มีแต่คนนอกศาสนาเท่านั้นที่พูดว่าบาปบุญไม่มี ความดีความชั่วไม่มี ทุกข์สุขไม่มี พร้อมทั้งนรกสวรรค์ไม่มี คนเช่นนี้จะต้องให้ไปถามคนที่ผูกคอตาย หรือยิงตัวตาย ถึงจะรู้ว่าเขาทุกข์หรือเขาสุขถึงได้ผูกคอตาย เพื่อจะให้พ้นจากความสุขหรือความทุกข์กันแน่ คนเรามีความสุขใครบ้างที่ไปผูกคอตาย ถ้ามีความสุขก็อยากจะอยู่ค้ำฟ้าไม่อยากจะตาย ที่เขาฆ่าตัวตายนั้นเขาสุขหรือเขาทุกข์ ถึงฆ่าตัวตายแล้วก็ไม่พ้นทุกข์ จะต้องไปทุกข์ในนรกกันอีกนานเท่านานจนกว่าจะเกิดมาใหม่ก็ทุกข์อีก เว้นแต่จะถึงโอกาสของสุขที่ทำไว้ได้แก่บุญที่ทำไว้จะมาแซงขึ้นหน้าทุกข์อันนั้นเสียเท่านั้น ทุกข์อันนั้นถึงจะสิ้นไปเป็นอโหสิกรรม แต่ก็จะต้องไปเสวยกรรมต่อไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบาปหรือบุญ

    จิต จิตเป็นไป จิตไปก็ไปด้วยด้วยสัญญาคือความจำ สังขารวิญญาณ จิตมีเพื่อนที่ไปไหนไปด้วยกันเพราะฉะนั้นจิตจึงจำเอาความดีความชั่วไป สังขารเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เป็นไปในการที่กระทำไว้ วิญญาณคือตัวรู้ว่าที่กระทำไว้เป็นบาปหรือบุญ ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด สัญญาตัวนี้แหละคือยมพบาล หรือนายนิริยบาล เป็นตัวพาให้ไปตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ขอโทษเราขอพูดแต่เท่านี้ก่อน คนเราจะต้องมีจิตและใจ ทั้งสองอย่างด้วยกันทุกคน จิตเป็นตัวอกุศล ส่วนใจนั้นเป็นตัวกุศล ถ้ามีแต่ใจบาปบุญก็ไม่มี เพราะมีจิตด้วยบาปบุญถึงได้มี เพราะจิตเป็นตัวไปนำมา อกุศลต่างๆ มีโลภะ โทสะ โมหะ สิ่งเหล่านี้ จิตเป็นตัวไปเอามาให้ใจ ให้ต้องได้รับทุกข์ ใจทุกข์กายก็ทุกข์ด้วย ถ้านึกๆ ดูก็จะไม่รู้ว่าทุกข์ใจหรือทุกข์กาย เพราะมันเดือดร้อนไปด้วยกันทั้งสองอย่าง โดยมากคนเราจะทุกข์เดือดร้อนกันด้วยอย่างนี้ ทุกข์ใจและทุกข์กายเพราะเราแยกแยะทุกข์สองอย่างนี้ไม่ได้ มันจึงต้องทุกข์จนฆ่าตัวตาย

    ยังมีต่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214
    การปฏิบัติภาวนาจิต(หลวงพ่อพุธ)

    โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    พระราชสังวรญาณ
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    ณ โอกาสต่อไปนี้ขอเชิญท่านพุทธบริษัททั้งหลายนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ตรัสรู้เองโดยชอบ ทำสติกำหนดรู้จิตของตนเอง เอาตัวรู้กำหนดรู้ที่จิต นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่จิต พระธรรมก็อยู่ที่จิต พระอริยสงฆ์ก็อยู่ที่จิตของเรา เราไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งอื่น โดยที่สุดแม้กระแสเสียงการบรรยายธรรมหรือแสดงธรรมเราก็ไม่ต้องไปสนใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ให้มีสติกำหนดรู้จิตเพียงอย่างเดียว

    เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตของเรา ผู้รู้คือพระพุทธเจ้าก็กำเนิดที่จิต การทรงตัวอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม สติที่สังวรระวังตั้งใจจะสำรวมจิต ก็ได้ชื่อว่ามีกิริยาแห่งความเป็นพระสงฆ์อยู่ในจิต ดังนั้นเมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตของเราเพียงอย่างเดียว หมดปัญหาที่เราจะไปกังวลกับสิ่งอื่น ๆ เพราะธรรมชาติของจิต และกายถ้ายังมีความสัมพันธ์กันอยู่ ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตเขาเป็นผู้มีหน้าทีรับรู้ เขาจะรู้เองโดยอัตโนมัติ ตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นแต่เพียงเครื่องมือ เครื่องมือของจิตที่จะสื่อสารกับโลกภายนอก

    ดังนั้นเมื่อเราจะปฏิบัติธรรม จึงสำคัญอยู่ที่การที่มีสติกำหนดรู้จิตของเราเพียงอย่างเดียว ปฏิปทาของครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยอบรมสั่งสอนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านพ่อลี ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ที่เราเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านก็ย้ำสอนอยู่ที่อานาปานสติ อานาปานสติ คือการที่กำหนดรู้ มีกำหนดสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ทีนี่วิธีการกำหนดรู้ลมหายใจ เราก็เพียงแค่ว่ามีสติกำหนดรู้จิตอยู่เท่านั้น เมื่อกายกับจิตยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ สิ่งที่จะปรากฏเด่นชัดที่สุดก็คือ “ลมหายใจ” เมื่อเรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจ เราก็จะรู้ธรรมชาติของกายธรรมชาติของกายนี้ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือลมหายใจเท่านั้น เมื่อหายใจเข้าไปแล้วไม่ออกมาเราก็ตาย ลมหายใจออกไปแล้วไม่ย้อนกลับเข้ามาเราก็ตาย นี่เรามองเห็นความจริงได้เด่นชัด ในเมื่อรู้ว่าเราจะตาย เราก็รู้มรณานุสสติ คือสติระลึกถึงความตาย ดั่งเช่นที่พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้งกี่หน ท่านอานนท์ก็ทูลตอบว่า “วันละพันหน” พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบว่า “อานนท์ยังประมาทอยู่” เราตถาคตระลึกถึงความตาย “ทุกลมหายใจ”
    ที่นี้เมื่อเรามาพิเคราะห์หรือพิจารณาความเป็นจริงตามพระดำรัสนี้ โดยธรรมชาติของผู้เป็นพุทธะหรือองค์พระพุทธเจ้า ย่อมมีพระสติสัมปชัญญะรู้พร้อมทั่วอยู่ทุกขณะจิต ดังนั้นคำที่ว่าระลึกถึงลมหายใจอยู่ทุกขณะจิต ก็หมายความว่าพระองค์รู้ระลึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่เป็นปกตินั่นเอง ที่นี่วันหนึ่ง ๆ คนเราหายใจวันละกี่ครั้งกี่คน เมื่อเรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจของเราเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ก็ได้ชื่อว่าเราได้ระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เราระลึกถึงลมหายใจอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะที่มีลมหายใจ ความหมายของพระองค์เป็นอย่างนี้ สมัยที่ท่านพ่อลียังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ชื่อว่าอาตมานอกจากจะเป็นลูกศิษย์แล้วยังถือว่าเป็นหลานด้วย ท่านมีศักดิ์เป็นปู่ เวลาท่านโปรดไปเยี่ยมเมื่อไหร่ ท่านจะบอกว่ามหาพุทธกำหนดรู้จิตรู้ลมหายใจเดี๋ยวนี้ ท่านไม่เคยสอนอย่างอื่น ท่านบอกให้กำหนดรู้ลมหายใจ พอมีสติกำหนดรู้ลมหายใจสักพักหนึ่ง ท่านจะถามว่า “สบายมั๊ย” เวลาอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ทำอะไรมันก็สบายหมด เพราะมันกลัว กลัวบารมีของครูบาอาจารย์ ก็เลยต้องตอบท่านว่าสบายมาก แล้วท่านก็ย้ำว่า การปฏิบัติสมาธิภาวนาสำคัญอยู่ที่อานาปานสติ ทำไมถึงสำคัญอยู่ที่อานาปานสติ เรียนถามท่าน ท่านก็บอกว่า ใครจะบริกรรมภาวนาอะไรก็ตาม หรือจะพิจารณาอะไรก็ตาม เมื่อจิตสงบแล้ว ซึ่งยังไม่ใช่สมาธิเป็นแต่เพียงความสงบ จิตหยุดนิ่ง ไม่นึกถึงอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อจิตอยู่ว่าง ๆ ลมหายใจจะปรากฏเด่นชัดที่สุด ซึ่งจิตจะวิ่งไปหาลมหายใจเอง นี่ท่านว่าอย่างนี้ สรุปความว่าใครจะภาวนาอะไรอย่างไหนก็ตาม เมื่อจิตปล่อยวางอารมณ์ที่กำหนดพิจารณาอยู่ก็ดี บริกรรมภาวนาอยู่ก็ดี จิตจะวิ่งเข้าหาลมหายใจ อันเป็นธรรมชาติของร่างกาย เมื่อจิตมาจับลมหายใจ ในช่วงนั้นจิตจะกำหนดรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก จิตจะไม่นึกว่า ลมหายใจชัด ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเอง เฉย อยู่ เหมือน ๆ กับเราไม่ได้ตั้งใจ
    ที่นี่เมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ บางครั้งลมหายใจจะปรากฏว่าลมหายใจแรงขึ้นเหมือนกับคนเหนื่อยหอบ ท่านก็เตือนให้มีสติกำหนดรู้อยู่เฉย ๆ บางครั้งจะรู้สึกว่าลมหายใจแผ่วเบาลงไปเหมือนใจจะขาด เหมือนจะหยุดหายใจ ท่านก็เตือนให้กำหนดรู้อยู่เฉย ๆ อย่าไปตกใจอย่าไปตื่นใจกับความเป็นเช่นนั้น สติเค้าจะกำหนดรู้ของเค้าอยู่โดยเองธรรมชาติ ถ้าหากผู้สติยังไม่เข้มแข็ง มีเหตุการณ์อันนี้บังเกิดขึ้นจะเกิดเอะใจ ตกใจ แล้วสมาธิก็ถอน ก็ตั้งต้นบริกรรมภาวนาหรือพิจารณาไปใหม่ จนกว่าจิตจะไปถึงความเป็นเช่นนั้นจนถึงจุดนิ่งว่าง ที่นี้จุดที่จิตไปหยุดนิ่งว่างอยู่เฉย ๆ อันนี้อย่าเข้าใจว่าจิตมีสมาธิ “มันเป็นแต่เพียงความสงบเท่านั้น”

    เมื่อจิตจะเป็นสมาธิมันเปลี่ยนสภาพจากความสงบ พอมันไปเกาะลมหายใจปั๊บจะรู้สึกว่าสว่างนิด ๆ ตามกำลังของจิต ที่นี่ถ้าจิตมีกำลังสมาธิมีกำลังของจิตเข้มแข็ง จิตสงบละเอียดลงไปแล้ว ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้น ในช่วงที่จิตสว่างไหวปรากฏขึ้นนั้น ร่างกายยังปรากฏอยู่จิตจับลมหายใจเป็นอารมณ์ คือ วิตกถึงลมหายใจ อันนี้เป็นองค์แห่ง “วิตก” ที่นี่สติสัมปชัญญะอันเตรียมพร้อม รู้ตัวอยู่ในขณะนั้นเป็น “วิจารณ์” เมื่อจิตมีวิตกวิจารณ์ จิตแน่วแน่ต่ออารมณ์ที่จิตวิตกถึง ย่อมมีความดูดดื่ม ซึบซาบ แล้วก็เกิดมี “ปีติ” “ปีติเป็นอาการที่จิตดื่มรสพระสัทธรรม” เมื่อปีติบังเกิดขึ้น กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ผู้ใจอ่อนมีปีติอย่างแรงตัวจะสั่น ตัวจะโยก น้ำตาไหลขนหัวลุก ขนหัวพอง ท่านพ่อลีท่านเตือนให้กำหนดรู้ตัวอย่างเฉย ๆ พยายามรักษาสภาพจิตให้เป็นปกติไม่ต้องหวั่นไหวต่ออาการที่เป็นไปเช่นนั้น เมื่อจิตมีปีติก็มีความสุข เมื่อมีความสุขก็มีความเป็นหนึ่งกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ ความเป็นหนึ่งก็คือ “เอกัคตาตา”

    ถ้าหากสมาธิในขั้นนี้ดำรงอยู่ได้นาน ๆ หรือผู้ปฏิบัติเข้าสมาธิออก สมาธิได้อย่างคล่องตัวซึ่งเรียกว่า “วสี” ตามตำนานในการออก การเข้าสมาธิ แล้วสมาธิก็ดำรงอยู่นาน ๆ จะให้อยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้เรียกว่าผู้ปฏิบัติได้ “ปฐมฌาน”

    ปฐมฌาน มีองค์ประกอบห้า คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตาตา นักปฏิบัติที่เคยผ่านแล้วย่อมเข้าใจดี คราวนี้เมื่อจิตสงบลงไป สงบลงไป จิตนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่นึกถึงอะไร แต่มีปีติมีความสุขสมาธิจิตก้าวขึ้นสู่ “ทุติยฌาน” มีองค์ประกอบคือปีติสุข เอกัคตา
    เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปอีกขั้นหนึ่ง อาการแห่งปีติ ขนหัวลุกขนหัวพองหายไปหมดสิ้น ยังเหลือแต่สุขกับเอกัคตา ตอนนี้รู้สึกว่ากายเริ่มจาง ๆ เกือบจะหายไป แต่ยังปรากฏว่า สุขก็เป็นสุขที่ละเอียดสุขุม อันนี้สมาธิอยู่ในขั้น “ตติยฌาน” มีองค์ประกอบสองคือ สุขกับเอกัคตา
    เมื่อจิตสงบละเอียดลงไปละเอียดลงไปจนกระทั่งกายจางหายไป ตอนนี้กายหายหมดแล้ว ยังเหลือจิตดวงนิ่งสว่างไหวรู้ตื่นเบิกบาน ร่างกายตัวตนไม่มี จิตไม่ได้นึกอะไร จิตรู้อยู่ที่จิต สมาธิขั้นนี้ถ้าเรียกโดยจิตก็เรียกว่า อัปณาจิต ถ้าเรียกโดยสมาธิก็เรียกว่าอัปณาสมาธิ เรียกว่าโดยฌานก็เรียกว่า จตุถฌาน มีองค์ประกอบสองก็คือ เอกัคตาคือความเป็นหนึ่ง กับอุเบกขาความเป็นกลางของจิต เป็นสมาธิอยู่ในขั้นจตุถฌาน สมาธิขั้นนี้ร่างกายตัวตนหายหมดยังเหลือแต่จิตดวงสว่างไหวอยู่ แต่ยังยึดความสว่างเป็นอารมณ์จิต จิตเป็นอตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน อตฺตสรณา มีตนเป็นที่ระลึกคือระลึกอยู่ที่ตน อตฺตาทีป มีตนเป็นเกราะ ผู้ภาวนาได้ชื่อว่าสมาธิขั้น “สมถะกรรมฐาน”

    คราวนี้สมาธิขั้นสมถะกรรมฐานที่ยังไม่มีกำลังเพียงพอก็ได้แต่เพียงหยุดนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เป็นฐานสร้างพลังจิต แม้ว่าความรู้ความเห็นอะไรจะยังไม่บังเกิดขึ้นในอาการที่จิตทรงอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็จะได้พลังจิต คือพลังทางสมาธิทางสติ

    เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิมาแล้ว พอรู้สึกว่ามีร่างกาย ถ้าจิตดวงนี้จะไม่เดินวิปัสสนาก็จะถอยพรวด ๆ ๆ ออกมา มาจนกระทั่งถึงความปกติธรรมดา เหมือนกับที่ยังไม่ได้ภาวนา แต่ถ้าจิตบางดวงมีอุปนิสัยเบาบาง จะก้าวขึ้นถึงภูมิวิปัสสนา พอถอนออกพอรู้สึกว่ามีกายเท่านั้นจิตดวงนี้ก็จะเกิดความรู้ความคิดผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาอย่างกับน้ำพุ โดยอัตโนมัติ ในตอนนี้นักปฏิบัติบางท่าน อาจจะเข้าใจผิดว่าจิตฟุ้งซ่าน แต่ความจริงไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน จิตจะก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาเองโดยเราไม่ได้ตั้งใจ ถ้าจิตถอนออกจากสมาธิออกมาแล้วเกิดความคิดฟุ้ง ๆ ๆ ขึ้นมา สติสัมปชัญญะก็รู้พร้อมอยู่ที่ตรงที่จิตเกิดความคิด คิดแล้วก็ปล่อยวาง คิดแล้วก็ปล่อยวาง ไม่ได้วิ่งตามเรื่องราวสิ่งที่จิตคิด กำหนดรู้เพียงจุดที่เกิดความคิดเท่านั้น อันนี้เรียกว่าสมาธิวิปัสสนา จิตที่มันคิดไปนั้นมันคิดเรื่องอะไร สารพัดจิปาถะที่จิตมันจะปรุงแต่งขึ้นมา มันจะเหมือนกับเราผูกลิงไว้บนต้นไม้ มันจะกระโดดไปกิ่งโน้น กระโดดไปกิ่งนี้ บางทีมันก็แยกเขี้ยวยิงฟัน มันจะมีลักษณะอย่างนั้น มันไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว เพราะความคิดอันนี้จิตมันปรุงแต่งขึ้นมา ที่นี่ถ้าจิตมันปรุงแต่งขึ้น

    ถ้าสติสัมปชัญญะมันรู้พร้อม มันก็สักแต่ว่าคิด คิดแล้วปล่อยวาง คิดแล้วปล่อยวาง ไม่ได้ยึดอะไรไว้เป็นปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง ที่นี่ถ้าจิตของท่านผู้ใดเป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่เผลอไปคิดว่าจิตฟุ้งซ่านปล่อยให้มันไปตามธรรมชาติของมัน มันอยากคิดอยากให้มันคิดไป แต่ว่าเรามีสติกำหนดตามรู้ ๆ ๆ เรื่อยไป เอาความคิดนั้นแหละเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ ตอนนี้สมาธิมันเป็นเองโดยตามธรรมชาติ ปัญญาก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เรากำหนดไหมเอาความดีจากความเป็นเช่นนี้ของจิต ด้วยความมีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว เมื่อจิตไปสุดช่วงมันแล้ว บางทีจะหยุดนิ่งปั๊บลงไป บางทีก็รู้สึกแจ่ม ๆ อยู่ในจิต บางทีก็รู้สึกสงบลงไปถึงขั้นจตุถฌาน ไปยับยั้งอยู่ในจตุถฌานพอสมควร แล้วก็ไหวตัวออกมาจากสมาธิขั้นนี้ พอมาถึงจุดที่มีร่างกายเกิดวิตกวิจารณ์ขึ้นมา แล้วก็จะอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ตัวเองฟังช๊อต ๆ บางทีเขาอาจจะบอกว่า ความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดพลังงาน ความคิดและการผ่อนคลายความตึงเครียด ความคิดนี่แหละมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ความยินดียินร้าย แล้วจิตจะสามารถกำหนดไหมความคิดยินยินร้ายว่า ความยินดีคือกามตัณหา ความยินร้ายคือวิภาวตัณหา ความยึดคือภาวตัณหา ในเมื่อจิตมีกามตัณหา วิภาวตัณหา ภาวตัณหา อยู่พร้อม ความยินดียินร้ายมันก็บังเกิดขึ้น สุขทุกข์ก็บังเกิดขึ้นสลับกันไป

    เมื่อผู้มีสติสัมปชัญญะ มีพลังทางสมาธิทางสติปัญญาจิตก็สามารถกำหนดหมายรู้เกิดขึ้นดังไปอยู่ภายในจิต ว่านี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วจิตก็จะกำหนดดูรู้อยู่ที่จิต สิ่งเกิดดับ ๆ ๆ อยู่กับจิต แล้วในที่สุดจะรู้ว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรอื่น ทุกข์ไม่มีอะไรดับ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม นี่ทางหนึ่งที่จิตของนักปฏิบัติจะเป็นไป..

    และอีกทางที่สอง เมื่อจิตสงบละเอียดลงไป ละเอียดลงไป สมาธิจิตเกิดความสว่างไหว แต่ร่างกายยังปรากฏอยู่ จิตยังเสวยปีติสุขซึ่งเกิดจากสมาธิ ในช่วงนี้ถ้าจิตส่งกระแสออกไปนอกจะเกิดภาพนิมิตต่าง ๆ ขึ้นมา บางทีเป็นภาพคน ภาพสัตว์ ภาพเทวดา อินพรหม ยมยักษ์ บางทีเห็นครูบาอาจารย์มาหา มาเทศให้ฟัง บางที้เห็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เสด็จมาโปรด แล้วก็มาเทศน์ให้ฟัง ทีนี้เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมาอย่างนี้ ท่านพ่อลีสอนว่าอย่างไร ท่านว่าอย่าไปแปลกใจ อย่าไปตกใจ อย่าไปเอะใจ อย่าไปยึดในนิมิตนั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามีอะไรมาปรากฏตัวให้เรานึกเราเห็น ถ้ายังกำหนดจิตได้อยู่ ท่านก็ให้กำหนดรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือ “จิตของเราปรุงแต่งขึ้นเท่านั้น” ไม่ใช่อื่นไกล มันเป็นมโนภาพซึ่งเกิดขึ้นกับจิตของเราเอง จิตของเราเป็นผู้ปรุงผู้แต่งขึ้นมา ทางแก้ก็คือก็คือมีสติกำหนดรู้จิตนี้เฉยอยู่เท่านั้น ถ้าหากนิมิตที่มองเห็นในสมาธิเป็นภาพนิ่ง แน่วแน่ ไม่ไหวติง หรือบางทีออกจากสมาธิมาแล้วลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น อันนี้ท่านเรียกว่า อุคหนิมิต คือนิมิตติดตาหรือจิตกำหนดดูภาพนิ่ง ทีนี้เมื่อจิตมีพลังแก่กล้ามากขึ้น จิตสามารถปรุงแต่งนิมิตนั้นให้มีการเปลี่ยนแปลงยักย้าย บางทีนิมิตนั้นล้มตายลงไป ขึ้นอึด เน่าเปื่อย พุพัง แล้วก็สลายตัวไปต่อหน้าต่อตา หรือบางทีก็ปรากฏเป็นนิมิตขึ้นมาว่าร่างกายที่แตกสลายแล้วแยกออกไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ หรือบางทีเกิดไฟลุกไหม้ร่างที่นอนตายอยู่นั้น เป็นเถ้าเป็นถ่านเป็นกลบไปหมด หรือบางทีนิมิตนั้นเกิดขึ้นแล้วก็หายไป เกิดขึ้นมาใหม่ มีอันเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่ตลอดเวลา อันนี้ท่านเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต”

    เมื่อจิตกำหนดหมายรู้ความเปลี่ยนแปลงแห่งนิมิตนั้น แสดงว่าจิตของผู้ปฏิบัติกำลังจะก้าวขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา จิตถอดออกจากสมาธิมาแล้วเกิดความคิดบริสุทธิ์นั่นเป็นจุดเริ่มของวิปัสสนา ที่นี่จิตสงบเป็นสมาธิแล้วได้ “อุคหนิมิตเป็นสมถะกรรมฐาน” ถ้าได้ปฏิภาคนิมิต จิตกำลังเริ่มจะก้าวขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น จิตเค้าจะปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าสิ่งใดที่เราตั้งใจปรุงแต่งจะให้เป็นไปอย่างนั้น ๆ ๆ ๆ อาศัยความคิดให้แน่วแน่ มันก็เกิดเป็นนิมิตอันนั้นเรียกว่า “นิมิตที่เราปรุงแต่ง” แต่ว่าหากจิตสงบแล้วมันเกิดนิมิตขึ้นมาเอง เราเรียกว่า “นิมิตมันเป็นเอง”

    อันนี้ลักษณะที่จิตพุ่งกระแสออกไปข้างนอกจะเป็นอย่างนี้ ยิ่งกว่านั้นในบางครั้ง เมื่อจิตมุ่งกระแสออกไปข้างนอกที่ติดอกติดใจ เช่นเห็นครูบาอาจารย์ หรือเทวดาอินพรหมยมยักษ์ เลยติดใจในภาพนิมิตนั้นก็เดินตามเค้าไป แต่ปรากฏเหมือนกับว่าเรามีร่าง ๆ หนึ่งเดินตามเค้าไป เค้าจะพาเราไปเที่ยวนรก เค้าจะพาเราไปเที่ยวสวรรค์ หรือบางทีเค้าจะพาเราไปดูเมืองนิพพานซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นมโนภาพขึ้นมาทั้งนั้น ๆ ที่นี้ตอนนี้เมื่อจิตเป็นไปอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติไม่มีทางที่จะไปบังคับไม่มีทางที่จะไปตกแต่งจิตให้เป็นอย่างไร นอกจากจิตของเราจะปรุงแต่งไปเองตามอัตโนมัติ ในเมื่อไปสุดช่วงของมันแล้วมันก็จะย้อนกลับมาเอง อันนี้ธรรมชาติของสมาธิที่มันเป็นไปถ้าหากระแสจิตส่งออกไปนอกมันจะเป็นอย่างนี้ ยิ่งกว่านั้นในบางครั้งมันอาจจะไปรู้เรื่องลับ ๆ ลี้ ๆ อันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ไปรู้วาระจิตของคนอื่น ไปรู้ความประพฤติของคนอื่น หรือไปรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นผลพลอยได้อันเกิดจากการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อันนี้เป็นทางหนึ่งที่จิตจะเป็นไป...

    ถ้าท่านผู้ใดมีประสบการณ์ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ปล่อยให้จิตมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มันไปสุดช่วงของมันแล้วมันจะย้อนกลับมาเอง จิตมันไปดูข้างนอก มันไปสำรวจโลก เพื่อมันจะได้รู้ว่า “โลกะวิทู” นั้นคืออะไร นี่เป็นสองทางแล้วที่จิตจะเป็นไป และอีกทางหนึ่ง เมื่อจิตมาจับลมหายใจ.

    ในเมื่อจิตมาจับลมหายใจ เมื่อจิตสงบ สว่าง จะมองเห็นลมภายใจเป็นท่อยาว วิ่งออก วิ่งเข้า แล้วจิตก็จะไปยึดอยู่ที่ท่อลมวิ่งออกวิ่งเข้า สว่างไหวเหมือนหลอดนีออน บางทีเป็นท่อยาว บางทีก็เดินตั้งแต่จมูกจนถึงเหนือสะดือสองนิ้ว บางทีก็มองเห็นแต่ข้างใน เห็นแต่อยู่ภายในกาย บางทีก็มองเห็นพุ่งออกมาข้างนอกด้วย ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา อันนี้เป็นประสบการณ์ ทีนี้ถ้าหากจิตไม่เป็นอย่างนั้น พอวิ่งออกวิ่งเข้าตามลมซึ่งเข้าออก ๆ เมื่อจิตสงบนิ่งเข้าไปมันจะไปนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย เรียกว่า “ดวงสว่างอยู่กลางกายนั่นเอง” ที่นี้นอกจากสงบนิ่งเป็นดวงสว่างอยู่ท่ามกลางของร่างกายแล้ว ยังสามารถพุ่งกระแสความสว่างออกมารอบตัว ในขณะนั้นจิตจะมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ อยู่ภายในกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว ตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนัง เนื้อเอ็นกระดูกจนกระทั่งถึงมตฺตเก มตฺตลุงคฺง มันสมองเป็นที่สุด จะรู้เห็นในขณะจิตเดียว

    ทีนี้เมื่อจิตไปกำหนดรู้เห็นอยู่ภายใน ภายในกายรู้เห็น เห็นอวัยวะครบถ้วนอาการสามสิบสอง จิตเริ่มละเอียด ๆ ๆ ลงไปทีละน้อย ๆ แล้วในที่สุดเข้าไปสู่อัปนาสมาธิถึงฌานที่สี่ ร่างกายตัวตนหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวนิ่งสว่างไหวอยู่ ที่นี่เมื่อจิตผ่านความเป็นอย่างนี้ แล้วไปสู่จุดซึ่งเรียกว่า จตุถฌาน จิตอาจจะมาลอยเด่นอยู่เหนือร่างกาย แล้วจะมองเห็นร่างกายขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายตัวไปทีละอย่าง ๆ ๆ ในที่สุดเหลือแต่โครงกระดูก โครงกระดูกก็จะทรุดหวบลงไปแหลกละเอียด หายสาบสูญไปกับผืนแผ่นดิน แล้วก็เหลือเพียงจิตสว่างไหวอยู่เพียงดวงเดียว บางทีอาจจะเป็นย้อนกลับไปกลับมาหลายครั้งหลายหน อันนี้ก็พึงเข้าใจว่าจิตเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อให้เรารู้ว่าจริงว่า “ร่างกายของเราจะเป็นไปเช่นนั้น” ที่นี้บางทีอาจจะมองเห็นร่างกายแยกกันเป็นกอง ๆ กองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ

    ทีนี้เมื่อจิตถอนจากสมาธิมาแล้วก็รู้สึกว่ามีกาย ถ้าสมาธิจิตที่กายหายไปแล้วนี่ พอจิตย้อนกลับมาหากาย ตอนนี้นักปฏิบัติต้องประคองสติให้ดี และเมื่อจิตมาสัมพันธ์กับกายเราจะรู้สึกซู่ซ่าทั่วร่างกาย เหมือนกับฉีดยาแคลเซียมเข้าเส้นอย่างแรง จะวิ่งซู่ไปทั่วกายตั้งแต่หัวสู่เท้า ตอนนี้นักปฏิบัติผู้มีสติสัมปชัญญะจะไม่ตื่นตกใจ จิตจะมีสติกำหนดรู้ความเป็นไปจนกระทั่งมีความรู้สึกเป็นปกติ พอมีความเป็นปกติ สมาธิยังอ่อน ๆ จิตก็ยังบอกกับตัวเองว่านี่แหละคือการตาย ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เน่าเปื่อย ผุพัง ทุกสิ่งทุกอย่างสลายตัวไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขามีที่ไหน จิตมันจะว่าอย่างนี้ ในขณะที่มันรู้เห็นนิ่งอยู่เฉย ๆ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เห็นร่างกายตายมันก็เฉย เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังมันก็เฉย แต่มันรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถบันทึกข้อมูลไว้หมดทุกอย่าง “อันนี้เรียกว่าความรู้เห็นในขั้นสัจจธรรม” สัจจธรรมย่อยไม่มีภาษาสมมติบัญญัติ และก็เป็นความรู้ความเห็นในสมาธิสมถะเสียด้วยนะ พออย่างนั้นนักปฏิบัติที่ยังภาวหน้าไม่ถึงขั้น อย่าไปด่วนปฏิเสธว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิความรู้ จิตของคนเราแม้ไม่มีร่างกายตัวตนสามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้แต่พูดไม่เป็น รู้เห็นเหมือนกับคนใบ้ รู้เห็นนิ่ง ๆ เฉย ๆ แต่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมด ทำไมจึงไม่พูด ทำไมจึงไม่คิด ในขณะนั้นร่างกายไม่มี จึงไม่มีเครื่องมือ จึงคิดไม่เป็น พูดไม่เป็น สงสัยหรือเปล่า ถ้าสงสัยปฏิบัติไปให้ถึงขั้นนี้แล้วจะหายสงสัย อย่ามัวแต่ไปเถียงว่าสมาธิขั้นสมถะมันไม่เกิดภูมิความรู้ ไม่เกิดภูมิความรู้ ขอประทานโทษ ไม่ตำหนิยกโทษ แท้ที่จริงตัวภาวนาไม่ถึงขั้น ไปอ่านกันเพียงแต่ตำรับตำราเท่านั้น ถ้าหากนักปฏิบัติภาวนาชาวพุทธเนี่ย ยังเห็นว่าสมาธิขั้นสมถะยังไม่เกิดความรู้อยู่ตราบใด พุทธบริษัทก็จะพากันโง่จนกระทั่งศาสนาสาบสูญออกไปจากโลก ไม่ใช่ด่านะ ให้พยายามไปพิจารณาดูให้ดี สมาธิตามความเข้าใจของนักปฏิบัติในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างนี้ เช่นอย่างมาภาวนาพุทธโธ ๆ ๆ ๆ แล้วก็ข่มจิตลงไป น้อมจิตลงไป ๆ อาศัยการฝึกให้คล่องตัวจนชำนิชำนาญ ในเมื่อมันเกิดความคล่องตัวเราจะสะกดจิตตัวเองให้หยุดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความหยุดนิ่งของจิตตามที่เราตั้งใจจะให้หยุดนิ่ง มันไม่ใช่สมาธินะ พระเดชพระคุณ มันเป็นแต่เพียงความสงบเท่านั้น สมาธิจริง ๆ เมื่อจิตหยุดนิ่งมันจะเปลี่ยนสภาวะ นิ่งปั๊บ เป็นนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ถ้าหากว่ากายเกิดในขณะนั้น มีวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา พร้อม นิวรณ์ห้าทั้งหลายมันจะสงบระงับไปหมด

    อันนี้มันจึงจะเรียกว่าสมาธิที่มันเป็นเองโดยธรรมชาติของสมาธิ เมื่อสมาธิธรรมชาติมันเกิดขึ้นแล้ว นักปฏิบัติไม่สามารถที่จะน้อมจิตน้อมใจไปไหนได้หรอก นอกจากจิตจะปฏิวัติตัวไปเองโดยพลังของศีล สมาธิ ปัญญาที่ประชุมพร้อมแล้ว ซึ่งเราสวดสติปัฏฐานสี่เมื่อสักครู่นี้ว่า เอกายโน มคฺโค สมฺมทกฺขาโต สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เมื่อศีล สมาธิ ประชุมพร้อมลงเป็นหนึ่ง ศีลก็เป็นอธิศีล สมาก็เป็นอธิศีล ปัญญาก็เป็นอธิปัญญา ในเมื่อศีลสมาธิเป็นอธิผู้ยิ่งใหญ่ ก็สามารถปฏิวัติภูมิจิตภูมิธรรมไปตามขั้นตอน ซึ่งสุดแท้แต่พลังนั้นจะเป็นไปให้เป็นไปอย่างไร ผู้ปฏิบัติไม่มีสัญญาเจตนาที่จะน้อมจิตไปอย่างไร จิตจะออกนอกไปเรื่องจิต จิตจะเข้าในเป็นเรื่องของจิต จิตจะมากำหนดรู้อยู่ที่จิต เป็นเรื่องของจิต ซึ่งเขาจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

    ในขณะที่จิตเป็นไปโดยเช่นนั้น จะไปรู้ไปเห็นอะไรก็เพียงว่าเฉย ๆ นิ่ง ๆ อยู่นั้นแหละ เช่นอยากจะรู้อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา รู้ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะทั้งหลายทั้งปวง ก็เพียงสักแต่ว่ารู้อยู่เฉย ๆ คำว่าอนิจจํ ก็ไม่มี ทุกขํ ก็ไม่มี อนตฺตา ก็ไม่มี ถ้าไปยืนมีแล้วสมาธิมันจะถอน เราอาจจะพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา ไม่เที่ยง เป็นอนตฺตา เราว่าได้ตั้งแต่จิตยังไม่สงบเป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธินี้มันจะเกิดแต่สิ่งที่เกิดดับ ๆ ๆ อยู่เท่านั้น แล้วคำพูดที่ว่าอะไรมันจะไม่มี มันจะมีต่อเมื่อจิตถอนจากสมาธิมาแล้วมันจึงจะพูดเป็น เพราะมันมีกายเป็นเครื่องมือแล้ว อันนี้ทางเป็นไปของจิตทางหนึ่ง....

    เพราะฉะนั้นในเมื่อสรุปรวมลงไปแล้วว่า เราจะบริกรรมภาวนาก็ตาม จะพิจารณาอะไรก็ตาม การบริกรรมภาวนา เรียกว่าการปฏิบัติตามแบบของสมถะ การพิจารณา เรียกว่าการปฏิบัติตามแบบของวิปัสสนา ทั้งสองอย่างนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้จิตสงบเป็นสมาธิ เพื่อได้เกิดสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง และทั้งสองอย่างนี้ ในเมื่อจิตสงบลงไปแล้วเนี่ย ภาษาคำพูดอะไรต่าง ๆ มันจะไม่มี ผู้ปฏิบัติแบบสมถะก็ดี ผู้ปฏิบัติแบบวิปัสสนาก็ดี ในเมื่อจิตปล่อยวางอารมณ์แล้วมันจะไปนิ่งว่างอยู่เฉย ๆ ที่นี่จุดที่มันนิ่งว่างเนี่ย ทางหนึ่งวิ่งกระแสออกนอกเกิดภาพนิมิตดังที่กล่าว อีกทางหนึ่งมันวิ่งตามลมเข้ามาข้างในจะมารู้เห็นอวัยวะในร่างกาย ซึ่งเรียกว่ารู้อาการสามสิบสอง มันจะไปจนกระทั่งถึงจตุถฌาน......
    ที่นี้อีกทางหนึ่งมันไม่เป็นไหนละ จิตรู้อยู่ที่จิตอยู่เพียงอย่างเดียว ไม่เข้านอก ไม่ออกใน แล้วจะว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าจิตรู้จิตอย่างเดียว ถ้ากายยังมีอยู่มันก็จะเห็นอารมณ์ที่เกิดดับ ๆ ๆ อยู่อย่างละเอียด นี่ทางไปของจิตมันมีอยู่สามทางเท่านี้...


    https://sites.google.com/site/chamcharat2/powana
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2015
  18. Phuya

    Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    กราบอนุโมทนาบุญในธรรมทานของคุณ sun2555 และท่าน widya ด้วยค่ะ
     
  19. Phuya

    Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    [​IMG]

    ขอเชิญร่วมทำบุญ...ถวายเทียนพรรษา ๔ วัด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    ในวันที่ ๒๕-๒๖ กรกฏาคม ๒๕๕๘


    ๑) วัดพรหมยานรังสรรค์
    ๒) วัดป่าชลิตานุสรณ์
    ๓) สำนักสงฆ์ห้วยแร่
    ๔) สำนักสงฆ์หูบเสือโฮก

    ร่วมบุญได้ที่บัญชี
    คุณภูริชญา เหมรา
    บัญชีเลขที่ ๐๓๖-๗-๐๔๗๐๐-๘
    (036-7-04700-8)
    ธนาคารกรุงเทพ

    ปิดรับบุญวันที่ ๒๓/๗/๒๕๕๘ เวลา ๑๗.๐๐ น

    กราบอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ


    ---
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2015
  20. sritrang

    sritrang เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    6,139
    ค่าพลัง:
    +1,620
    โอนเงินร่วมบุญ 200บาท ลว.08/07/15 12:09 KBANK-BBLA 200B
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...