ปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 มิถุนายน 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ^
    ^
    คุณน้องว่างๆก็หา

    คาถาพระธรรมบท "จิตหลุดพ้น เพราะปล่อยวางอารมณ์"บ้างสิ

    พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งฝ่ายเกิด(ยึด) และ ฝ่ายดับ(ปล่อย)

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  2. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เมื่อวานรคือจิต มีตัวเดียวเที่ยวไป(เอก จรํ จิตตํ=ดวงเดียวเที่ยวไป)
    ในป่าใหญ่(ในอารมณ์) กิ่งไม้เปรียบเหมือนอารมณ์ต่างๆ ที่จิตเข้าไปยึดถือ
    จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

    จิตตัวนี้คุณต้องเข้าใจใหม่ว่ามันคืออะไรกันเเน่ที่ เที่ยวไล่เปลี่ยนกิ่งทั่งวันทั่งคืน การเปลี่ยนกิ่งคืออะไรหล่ะ -- - ก็คือการเกิดดับใช่หรือไม่ ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้คุณเข้าใจตัวเองมาขึ้นนะ
    เพราะจิตตัวนี้ ใช่หรือไม่ ที่ทำให้ จิตสังขาร เกิดขึ้น ? เป็นตัวเริ่ม จุดออก จุดเริ่ม ตัวยึด ตัวรู้สึก ? ใน นาม-รูป ถูกมั้ย

    ส่วนจิตเป็นต้นนั้นในพระสูตร ล้วนเป็นจิตสังขาร หรือจิตที่ปรุงแต่งกับอารมณ์ไปแล้วทั้งสิ้น
    และเกิดดับตามอารมณ์เหล่านั้น เราเรียกจิตสังขารเหล่านั้นว่า"ดวง"เช่นกัน จึงต้องเรียกว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงดับไป
    ควรต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า"จิต" ที่มีการใช้ชื่อเรียกแทนกัน๑๐ชื่อนั้น
    เป็นเพียงไวพจน์ที่ใช้แทนกันเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนกันโดยสภาวะธรรมโดยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น


    เมื่อลิงเปลี่ยนกิ่งไม้นั่นเเละ คือเกิดขึ้นพร้อมของอาการของจิตไปด้วย !หรือ ผัสสะ ยิ่งลิงเปลี่ยนกิ่ง อาการก็ยิ่งเกิดขึ้น

    เราเปรียบจิตเป็นต้นนั้น เหมือนน้ำที่เดิมนั้น มีสภาพใสอยู่ก่อน(ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์)
    ที่ต้องสกปรกโสมมไปเพราะ มีสิ่งแปลกปลอมต่างๆ
    ที่เข้ามาปนเปื้อน ทำให้เสียคุณภาพของน้ำเสียไป
    แต่เราก็ยังเรียกว่า"น้ำเป็นต้นนั้น"


    คุณเคยได้ยินพระสูตรที่ว่า ไม่ขาว ไม่ดำ บ้างมั้ยผมก็ลืมๆเเละ
    ถ้าคุณเปรียบจิตเป็นน้ำ มี จิตสังขารเป็นสิ่งสกปรก เข้ามาด้วย มันก็ถูกครึ่ง1 เป็นการเริ่มต้นที่ต้องเอาสกปรกออกก่อน
    เพราะเเท้ๆ เราก็ไม่ควรยึดน้ำไว้ด้วย คือความ ไม่ขาว ไม่ดำ - -* คือความว่าง ไว้ถ้าว่างๆเดียวหาให้ละกัน


    "จิต"เปรียบเหมือน"น้ำ"

    ส่วนน้ำแดง แกงส้ม ต้มมะระ น้ำอัดลมฯลฯ น้ำที่กล่าวถึงเป็นต้นนั้น
    พอเห็นความแตกต่างนะว่า ที่เรียกมาทั้งหมดนั้น ล้วน"น้ำเป็นต้นนั้น"ทั้งสิ้น แต่แตกต่างกันชัดเจน
    ที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ


    เอาเห็นว่า การที่คนปฏิบัติธรรม เดินป่า ไม่จำเป็นที่ต้องเดินไล่ตัดต้นไม้ทั่งหมดไปสะทุกต้น เลือกตัดต้นที่จำเป็น เป็นทางที่เราจะเดินเข้าไปก็พอเเละ
    ที่คุณรู้เท่านี้ ก็อาจจะทำให้คุณหลุดพ้นได้อยู่เเล้วเเละ เพราะยังไงทางเดินก็ที่เดียวกัน

    ท่านสละกิเลสเครื่องยึดมั่นและเครื่องร้อยรัดอันเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้แล้
    ย่อมไม่กระทำความหวังในโลกไหนๆ


    เอาเป็นว่าเมื่อจิตยังมีอยู่ ยังไงก็ยังมีอาสวะอยู่ มีจิตสังขารอยู่ เเต่พอมีสติ สมาธิ จากการพิจราณาบ้าง ก็จะทำให้รู้เท่าทันเท่านั่น เหมือนจะหมด เเต่มันก็ไม่ได้หายไปไหนเเค่ดับไวเท่านั่น
    คุณต้องสลัดตัวลิงนั่นเเละ ไม่ใช่ให้ไปยึดในตัวลิงที่ ไล่เปลี่ยนกิ่งเท่านี้พอ
     
  3. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ถ้าเกิดผมเป็นอาจารย์ของคุณนี้คงจะหนักใจอยู่ เถียงเเบบ ไม่มีหลักอะไรเลย
    จิตเกิดดับ นั่นถูก เเต่ว่ากรรมนั่นมีไว้สำหรับคนที่ยังยึดในตัวตนเท่านั่นเเละนะ
    ผมก็ยกตัวอย่างว่า ผู้ฆ่าคน900กว่าคนเนี่ย ถ้าเค้ายังยึดจิตเกิดดับอยู่ เเบบคุณ
    เค้าก็ต้องมารับกรรมใหม่ คุณคิดว่ามีใครอโหสิกรรมให้องคุลีมาหรือเปล่า?
    ก็ไม่มี ใครเค้าจะอโหสิกรรมให้ เเต่องคุลีมาไม่ได้ปรากฏในโลกอีกเเล้วใช่มั้ย?
    เเล้วเค้าทำยังไง! ก็เค้าไม่ได้ยึดในจิต มโน วิญญาณ เเล้วไง กรรมที่มีก็รอส่งผลในโลกอยู่ เเต่ เค้าไม่ได้อยู่ในโลกเเล้ว กรรมนั่นเที่ยงในโลกนั่นถูกต้อง เเต่คุณจะกลับมารับกรรมอยู่หรือ? เเล้วกรรมก็มีปัจจัยให้รู้สึก คุณก็ยังไม่รู้อีก
    กรรมเนี่ยถ้าบอกว่ามี ก็ถูก เเต่มันก็ต้องดับ ไปถูกมั้ย
    สิ่งที่เกิดดับ คุณยังยึกว่าเป็นสิ่งที่ต้องยึดอยู่หรือ เเบบนี้เหมือนคุณรายงานการปฏิบัติธรรมของคุณมาให้ฟังเองเลย ว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่มันเกิดดับ
    ในโลกนี้ มีเเต่สิ่งที่ เกิด กับ ดับ ใช่มั้ย - -
     
  4. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เดียวผมขยายให้

    แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจิตดวงไหนหละทีั่ไปนรก สวรรค์

    ก็มันเกิดๆดับๆไป เป็นผีกระสื

    อ แว้บๆ แบบนี้หรือ

    ก่อนที่คุณจะตายคุณจะรู้หรือว่าอารมสุดท้ายคุณจะเป็นยังไง อรรถภาพอารมสุดท้ายก็จะไปตามนั่น มันจะเกิด นาม ขึ้นมา ก็จะปรากฏ รูป ใช่หรือไม่
    จิตไม่ทุกข์ก็ไปสวรรค์ จิตหดหู่เศร้าหมองไปนรก จิตปกติ อทุกขมสุขเวทนา ก็อาจจะหลุดพ้นได้หรือไม่ก็พรหม
    เเต่เนี่ยทำความเข้าใจใหม่
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปล่อยวางขันธ์5 คือการเข้าวิมุตติ คือการปล่อย จิต มโน วิญญาณ คือการปล่อยลิงที่เกาะกิ่งไม้ ไม่ใช่อาการของจิต เพราะยังไงมันย่อมเกิด ก่อนตายอารมจะไม่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่มีสะดุ้งหวาดเสียว จิตย่อมหลุดพ้น

    ทำกรรมไว้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ดับไปแล้ว

    เรื่องเวรกรรมเสียหายหมด ยังจะเชื่อเข้าไปได้


    เเน่นอนว่าถ้าเกิดฆ่าใครไว้ เมื่ออารมสุดท้ายเศร้าหมองลงนรกเเน่
    เเต่ถ้าเค้า อารมไม่ทุกข์ ยังไงเค้าก็ไม่ลงนรก เค้าก็ต้องไปรับกุศลกรรม เเต่เมื่อหมด เค้าก็ต้องกลับมารับอกุศกรรม
    เเต่ถ้าเค้าตั้งใจจะไม่เกิดเเล้ว จะไปนิพพานบนสวรรค์นั่น ได้หรือไม่หล่ะ? ก้ให้เห็นว่ากรรมนั่นมีอยู่เเต่บนโลกเท่านั่นเเละ
    พูดมาได้ว่า "กรรมนี้ไม่เที่ยงตรง" คือ "ทำกรรมแล้วไม่ต้องใช้ ใช่หรือไม่?

    ไอ้ความคิดแบบนี้คนนอกรีตชัดๆ

    ยังจะกล้ามาแอบอ้างว่าเป็นชาวพุทธอีกหรือ?


    กรรมบ้านคุณเกิดเเล้วไม่ดับหรือ? กล้ามากเลยที่ตีความหมายได้มั่วขนาดนี้
    สงสัยจะกลายเป็นอนุสัยของคุณสะเเล้วมั่งนิ
    ผมจะย้ำให้อีกทีว่า กรรมมีไว้ให้ คนที่ชอบ ที่ยึด กับสิ่งที่ เกิด-ดับ เท่านั่น

    ไม่รู้จริงๆหรือว่าท่านพระอาจารย์องคุลีมาน ท่านต้องชดใช้กรรมอะไรบ้าง?

    อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย


    เเล้วกรรมที่ฆ่าคน900+ ใครเป็นผู้รับ ส่วนกรรมก่อนตายที่ยังเป็นพระอรหันนั่น เป็นเพียงเศษกรรมเท่านั่น ถ้ากรรมจริงๆเค้าต้องตกนรกเเล้วเกิดมาให้คนฆ่าอีก900ครั้ง
    คำว่า"ไม่เที่ยง" คือ รูปแบบที่ได้รับกลับนั้นเปลี่ยนแปลงไป

    ไม่ใช่ไม่ต้องรับกรรมที่ทำขึ้นมานั้น


    ไม่เที่ยงนั่นเเละที่ถูกต้อง เมื่อเราไม่ยึดสิ่งที่ไม่เที่ยง เเล้วเราจะกลับมารับกรรมอีกได้หรือ?
    มันถูกครึ่ง1เท่านั่นเเละ เเต่คุณยังไม่เข้าใจความหมายของผม เพราะกรรมตั้งเเต่ชาติก่อนๆนั่นมีหรือไม่?
    เเล้วยังจะบอกว่ากรรมนั่นเที่ยงตรงที่ทุกคนต้องกลับมารับ เห้อ...

    เมื่อทำกรรมเช่นใดไว้ ต้องไดัรับการชดใช่กรรมนั้นแน่นอน

    ไม่รู้คงไม่มีใครว่าอะไร


    ผมคิดว่าคุณติดอยู่ในภวังสมมุติเเล้วเละ เมื่อตัวตนเป็นปัจจัยไง คุณเลยคิดว่าตัวเองต้อยต่ำไม่มีบุญวาสนาที่จะไปนิพพาน กลายเป็นสิ่งที่ยาก เเต่คุณไม่คิดบ้างว่าทุกๆสิ่งในโลกนี้ มันพร้อมจะเกิดดับ ตลอดเวลา คุณยังจะไปยึดมันอยู่หรือ อุปทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
     
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    คุณพี่ๆขา.. คุณน้องปล่อยปลาเป็น แต่ปล่อยวางอารมณ์ไม่เป็นหร้อกค่ะ
    ได้แต่ทำอารมณ์ให้ผ่องใสไปวันๆ เจออารมณ์ไม่ดีเมื่อไหร่
    ได้อานิสสงค์เต็มๆ เมื่อนั้น
     
  6. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อ่านแล้วก็พอเข้าใจนะ แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าคนที่ทำกรรมแล้วจะไม่รับกรรม และใครจะรู้ได้ว่าตามความเห็นว่านั่นเป็นเพียงเศษกรรมแต่ในความเป็นจริงสำหรับผู้กระทำอาจไม่ใช่เศษกรรมก็ได้ อาจเป็นกรรมที่หนักร้ายแรงสำหรับเขาก็ได้ เช่น คนที่ไม่เคยเจอแบบนี้เคยเป็นแบบนี้แล้วไปเป็นแบบนั้น ระหว่างคนที่เคยเจอมาก่อนกับคนที่ไม่เคยเจอไม่เคยเป็นก็ให้ผลแตกต่างกัน ในความรู้สึกหรือสภาพสภาวะจิตที่รับได้ มันจึงกลายเป็นว่าคำว่าเศษกรรมอาจใช้ได้แต่ไม่ทั้งหมดเพราะบางทีสิ่งที่เราเข้าใจว่าเล็กน้อยสำหรับเราแท้จริงหนักหนาสาหัสมากสำหรับเขาก็เป็นได้ ไม่ควรดูหมิ่นเรื่องกรรม
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    คุณน้องดีนะ มีหางเครื่องคอยติดตาม

    ไหนว่าผ่านแอพพิเคชั่น โปรแกรมมาแล้ว

    แม้อารมณ์ผ่องใสที่ว่าดีนั้น เค้าเรียกว่า"ดีไปวันๆ"

    ดีที่ยังติดในอารมณ์กุศล(กุศลธรรม)

    แต่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้นั้น พ้นดี พ้นชั่ว

    ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

    ให้เจริญกุศลให้ยิ่งๆขึ้น คือแม้กุศลธรรมก็ต้องวางในที่สุด

    ถ้าปล่อยวางไม่เป็น ก็ติดตังมันอยู่แค่นั้นแหละ คุณน้อง

    อย่าลืมบอกให้ ขุนทรายเข้ามารับผิดชอบด้วย

    ถ้าจะไม่เห็นด้วย ควรแสดงคคห.ด้วยว่า ไม่เห็นด้วยเพราะอะไร?

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เหนื่อยจริงๆเวลาคุยกับพวกนอกรีต
    ที่แอบแฝงเข้ามาทำลายศาสนาพุทธ
    เก่งจริงที่อธิบายได้หมด
    ตกลงจิตเป็นวิญาณขันธ์
    แล้วอะไรที่เบื่อหน่าย คลายกำหนัดหละ?

    ก็จะเสื่องว่า ไม่มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ตรงไหนว่า
    จิตคือขันธ์๕ ขันธ์๕คือจิต

    เจริญในธรรมอย่าแอบแฝงอยู่เลย
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เดี๋ยวๆ ทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน

    ทำไมจิตต้องโดนแสงส่องด้วย แสงอยู่ๆมาจากไหน?

    ถามหลายตั้งทีแล้ว ถ้าเกิดจากปัจจัย แล้วปัจจัยอะไรหละ?

    บอกมาชัดๆสิ อย่าพูดพล่ามอยู่คนเดียว

    จิตไปเชิญแสงมันมาหรือแสงมันมาของมันได้เอง

    คนอะไรขอให้ได้พูดเท่านั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ ไม่สน ข้ารู้ของข้าคนเดียว

    พูดไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ "ยึดในสิ่งที่มันไม่มี"

    ถ้าของสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่แล้ว ดันโง่ไปยึดมันมาทำไมให้เสียเวลา?

    จะมั่วไปถึงไหนกัน พูดมาได้ "อาการของจิต หรือ กิเลส "

    อาการของจิตไม่ใช่กิเลส แต่จากมีกิเลสเข้าไปยึดถือ

    จึงแสดงอาการออกมาให้เห็น

    อาการของจิต ไม่ใช่ ตัวกิเลส แต่เกิดจากกิเลส

    เฮ้อ!!! พวกนอกรีตมักมีเหตุผลที่คิดเองเออเองคนเดียว

    คนอะไรขอให้ได้โชว์โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลตามความเป็นจริง

    รู้ไปอยู่ที่นึก รู้ก็หายไปอยู่เรื่องที่นึกแล้ว ขณะนั้นไปวุนว่ายอยู่ที่เรื่อง

    ไม่แปลกใจจริง ก็จำมาพูดถึงได้ปนเปวุ่นวายไปหมด

    เจริญในธรรมอย่าแอบแฝงอยู่เลย
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *
    พวกนอกรีตก็คิดไปได้นะ
    ไม่กลัวแม้แต่กรรมที่ไปกล่าวร้าย พระอรหันตขีณาสพ
    เอาอะไรมาพูดว่าท่านพระอาจารย์องคุลีมานนั้นฆ่าไป900ศพ
    จะบ้าหรือ? รู้ได้ยังไง ทำอวดรู้ สู่รู้ไปได้
    เพียงแค่ตำรารจนาไว้ในภายหลัง
    คล้ายๆว่าอย่างนั้นก็เชื่อเข้าไปได้
    มีหัวไว้กั้นหูหรือไง พวกนอกรีต

    อาจารย์ของท่านพระอาจารย์องคุลีมาน หลอกว่ายังไง?
    ให้ไปหานิ้วมือมาให้ครบพันนิ้ว ไม่ได้ให้ไปฆ่า ใช่หรือไม่?
    ท่านพระอาจารย์องคุลีมานก็แค่ต้องนิ้วมือเท่านั้น คิดเอาชีวิตที่ไหน
    แต่เมื่อเป็นแผลที่เกิดจากการต่อสู้ดิ้นรน พลั้งเผลอไป
    แล้วติดเชื้อตายไป หรือทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไป
    ถามว่าเป็นความผิดของใคร?
    ถ้าในคนเหล่านั้นอดีตเคยทำกรรมกับท่านพระอาจารย์ไว้หละ

    วันหลังเรื่องอะไรถ้าไม่รู้จริง อย่าโชว์ความเขลาออกมาอีกเลย
    ถ้าไม่เชื่อเรื่องกรรม ก็ประกาศตัวชัดๆว่ากรู่ไม่เชื่อเรื่อกรรมโว้ย
    เจริญในธรรมอย่าแอบแฝงอีกต่อไปเลย
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *
    *
    เห้อ!!!
    นอกรีตชัดๆ แน่นอนยึดหรือไม่ยึดไม่เกี่ยว
    ต้องได้รับกรรมที่ตนเองไดกระทำเท่านั้น
    นอกจากได้รับการอโหสิกรรมจากคนที่เราเคยทำกรรมไว้เท่านั้นจึงจะหมด
    แบบนี้คนชั่วช้าเลวทราม
    ที่ตี ชิง วิ่งราว ปล้นฆ่า ข่มขืน
    เมื่อทำไปแล้วคิดได้ว่าอย่าไปยึดมันเลย
    เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ยังต้องกลับมาใช้กรรมหรือไม่?

    ไม่แปลกใจจริงๆ พวกไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า
    แต่ดันเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน กรรมนั้นเที่ยงตรงต่อผู้กระทำเสมอ
    อย่าท้าพิสูจน์นะ เดี๋ยวจะโดนเข้าเอง เพราะกล่าวหาว่าร้ายพระอรหันต์ไว้
    เจริญในธรรมอย่าแอบแฝงอีกต่อไปเลย
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *
    *
    เห้อ!!! นอกรีตแล้วยังชอบกล่าวหาอีกต่างหาก
    รู้ได้ยังไง ที่คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ขนาดอยู่บ้านราคาหลายล้านนี่อะนะ55+
    ถ้าไปพระนิพพานมันง่ายๆ เพียงแค่คิดให้ได้ว่าอย่าไปยึดถือมันสิ
    ป่านฉะนี้ คนคุกก็ต้องไม่ล้นออกออกมาจนไม่พอขังคนชั่วช้าเลวทรามหรอก.
    เจริญในธรรมอย่าแอบแฝงอีกต่อไปเลย
     
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ก็ที่คุณนำพระสูตรนี้มา
    ที่อริยสาวกผู้ได้สดับเค้าย่อมเบื่อหน่าย
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมครายกำหนัก จิตย่อมหลุดพ้นเมื่อปล่อยวางขันธ์5
    ส่วนที่มาตีความหมายเเบบนี้ ต้องบอกว่า เลอะเทอะ คิดเองเออเองได้อยู่ไง
     
  14. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ให้ผมทำความเข้าใจหรือคุณไม่เข้าใจเอง
    ผมถึงบอกเเล้วไงว่าธรรมต้องอาศัยซึ่งกันเเละกันเกิดขึ้น เเล้วไอที่ถามผมเนี่ย คุณถามอะไร? คุณเอาเเต่เดาอยู่ คุณเอาเเต่สวดอยู่
    จิตไปเชิญแสงมันมาหรือแสงมันมาของมันได้เอง
    คุณต้องดูระบบธรรมชาติว่าเค้ามีอะไรอยู่ ไม่ใช่เอาระบบที่คุณนึก ที่คุณเเต่งขึ้น สร้างเรื่องหลอกลวงอยู่ ตั้งตนเป็นผู้นำ
    ว่าจิตเป็นอย่างนี้นะ เป็นอย่างนี้นะ เเล้วเอาไปเเผ่หลายในหมู่คนหลงที่คิดว่าถูก หลงในท่าทางปฏิบัติที่ดี เเต่จริงๆเเล้วเจ้าตัวยังไม่รู้ สภาวะธรรมเกิดดับเลยว่าคืออะไร
    ''ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น
    อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,
    เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น
    อย่างนั้น,
    เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
    เป็น อิทัปปัจจยตา
    คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;''

    มสมึ สติ อิท โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
    อิมสสุปปทา อิท อุปปชชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
    ข. อิสมึ อสติ อิท น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
    อิมสส นิโรธา อิท นิรุชฌติ เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ

    ให้ไปอ่าน ก็ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า เเต่กฏเหล่านี้ก็สอดรับคำของผมอยู่
    ''เเล้วถ้าหากว่าทุกอย่างนั่นมีอยู่ นั่นมันถูกครึ่ง1'' เห้อ- - ครึ่งๆกลางๆอยู่เเบบนี้จะรอดหรือ?
    มันเกิดมันก็ดับได้ ถูก หรือ ไม่ ''ที่ผมบอกว่ายึดในสิ่งไม่มี''คุณก็จะเอาเเต่คิดไงว่ามัน มีๆ มัน มีๆ ในหัวของคุณ จนเกิดเป็น ตัวตนขึ้นมา ว่ามันมีจริงๆ
    ส่วนอาการของจิตเนี่ย คุณจะบอกว่าอาการของจิตคือ ขันธ์5หรือ จะนอกโลกไปเเล้ว
    ผมบอกตรงๆผมอธิบายนั่นถูกเเต่คุณนั่นก่อปัญหามันขึ้นมาเท่านั่นเเละ
     
  15. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    เเบบนี้ดูเหมือนว่าคุณจะไม่รู้ คุณจะไม่เข้าใจฉะเพาะเรื่องจิตอย่างเดียวสะเเล้วมั่ง ดันไม่เข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์นี้อีกนะ ผมยินยันว่าไม่ได้กล่าวร้ายถึงพระอรหัน(ถ้าคุณยังยึดในตัวตน บุคคลอื่นก็ตามใจเถอะ ก็จะเป็นกลุ่มคนภายนอกเท่านั่น เช่นพวกชีเปิอย ทรมานตน ถึงบอกมาได้ อย่างนี้ เเบบ ไม่คิด)
    ปัญหาคือว่าชาติก่อนองค์คุลีมาเกิดเป็นควายป่า โดนคนลุมฆ่าตาย ด้วยความเเค้น ชาติต่อมาก็ได้กลับมาเป็นองคุลีมาฆ่าพวกที่
    เคยฆ่ากันไว้ คุณเข้าใจอะไรบ้างมั้ย? ไม่ใช่อะไรก็เดาสวด เเบบนี้คุณกำลังโชวถึงสติของคุณเลยนะที่เล่าอะไรเเบบนี้ ที่มั่วไป มั่วมาไม่อย่กับร่องลอย
    คนบ้าอะไรให้คนมาตัดนิ้ว เเล้วจากไป? คุณจะบ้าหรือ เหมือนคุณโดนขี้ปาหน้าคุณยังมีอารมได้เย็นอยู่หรือ คิดหน่อย
    เอาเหตุผลมาคำนวนดู ผมละหนักใจพวกนอกโลกจัง อย่างคุณเเละนะ เรื่องอะไรก็เดาไป ไหลไป เเล้วเรื่องที่คุณไล่สวดคนอื่นว่า อวดรู้ อวดธรรม วโชวสาว นี้คุณเองนิ
     
  16. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เห้อ!!!
    นอกรีตชัดๆ แน่นอนยึดหรือไม่ยึดไม่เกี่ยว
    ต้องได้รับกรรมที่ตนเองไดกระทำเท่านั้น
    นอกจากได้รับการอโหสิกรรมจากคนที่เราเคยทำกรรมไว้เท่านั้นจึงจะหมด
    แบบนี้คนชั่วช้าเลวทราม
    ที่ตี ชิง วิ่งราว ปล้นฆ่า ข่มขืน
    เมื่อทำไปแล้วคิดได้ว่าอย่าไปยึดมันเลย
    เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ยังต้องกลับมาใช้กรรมหรือไม่?

    ก็ยกตัวอย่างไปเเล้ว เอาไปคิดดู ส่วนกรรมเก่าๆตั้งเเต่ชาติก่อน คุณคิดว่าหมดเเล้วหรือ คุณอาจจะไปฆ่าใครไว้ก็ได้นะ คุณจะไปรู้ ได้หรือไม่
    ไม่แปลกใจจริงๆ พวกไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า
    แต่ดันเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน กรรมนั้นเที่ยงตรงต่อผู้กระทำเสมอ
    อย่าท้าพิสูจน์นะ เดี๋ยวจะโดนเข้าเอง เพราะกล่าวหาว่าร้ายพระอรหันต์ไว้

    คุณเอาอะไรคิดนิถามจริงๆ เพราะ นาม เป็นปัจจัยใช่หรือไม่ถึงเกิด รูป สวรรค์ นรก วิมาน ที่คุณฝันอยู่ = ต้นเหตุนั่นไม่ใช่ลิงหรือไม่ ที่เปลี่ยนกิ่งไปมาได้อยู่ ใช่มั้ย เลยเกิด นามได้ รูปก็เกิดได้
    ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า เเต่ผมไม่อยากยึดในสิ่งที่มัน เกิดดับ ไง คุณอยากจะไปอยู่บนสวรรค์ไล่เทียวหานางฟ้าก็ตามใจนะ เเต่จะอยู่ได้ถึงกี่ปี คิดจะอยู่ไปเรื่อยๆหรือ ?เเต่เมื่อบุญหมดละ?ที่ผมบอกเเบบนี้อาจจะเชื่อผมอยู่บ้าง เพราะอาจจะตรงใจคุณอยู่! คิดไว้เเล้วสินะ นางฟ้านี้ต้องหาเเบบว่า กายทิพเเก้ว กลิ่น เสียง ทิพ หมด กะจะไปตั้งหลักอยู่เลยเนอะ ตั้งเป้าหมายไว้เเล้วสิ.. เเต่ผมไม่ได้สอนให้ใครยึดเเบบคุณนะ คุณจะไปก็ตามใจคุณ ไม่มีใครว่า ส่วนนผมเนี่ยสอนให้ปล่อยวางต้นเหตุคือลิงใช่มั้ย ไม่ใช่ให้ยึดใน รูป-นาม ! เมื่อเกิดได้ขึ้น ย่อมดับไป
     
  17. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337


    เรื่องทั่งหมดที่เเต่งมาเนี่ยนะ
    โถ้ๆจะคุยอวดว่างั้น กะจะให้สาวๆมามอง ว่าข้าเนี่ยละ มีตัวตน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รวยด้วย โลภ ยศ สรรเสริญ ว่างั้น
    ยังเเต่งเติมอยู่เลย เห้อ.. ผมละหนักใจกับคุณเเล้วนิ ยิ่งพูดผมก็ยิ่งเห็นตัวตนของคุณ ผมว่าผมคิดผิดเเล้ว คุณจะไปปฏิบัติยังไงก็ตามใจเถอะ ไม่ต้องเสียเวลากับผมเเละ
    การจะไปนิพพาน พระองค์ทรงบอกว่า
    ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น; ครั้นรู้
    พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว, ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้
    ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ

    เหมือนการหงายของที่คว่ำ คุณยังไม่รู้หรือว่าอะไร เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด ภพ ชาติ ชรา มรณะ คำสอนของพระองค์ทั่งหมดไม่ได้สอนให้ยึด มั่นอะไรในโลก
    เพราะพระองค์ตรัสว่า ''ในโลกนี้ มีสิ่งใดๆบ้างมั้ยหนอเมื่อเรายึดถือเเล้วจะหาโทษมิได้''
    ก็อุปทานไง ว่าตัวเองนั่นมีทั่งสุข มีทั่งทุกข์ โดยไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับเเต่ดันไปยึด ยังมีอุปทานคิดว่าตนเองบ้านรวยอยู่เลย เเล้วจะไปรอดหรือ มีตัณหาเป็นเหตุเกิด อยากที่จะโชว เเถมยังยึดในขันธ์5อีก ไม่รู้สภาวะเกิด-ดับอีก ว่าทุกอย่างมีเกิด ย่อมดับไป เเล้วใครจะไปช่วยคุณต่อไปได้ ผมก็บอกให้คุณได้เท่านี้ละ
     
  18. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    กรรมเกิดเพราะผัสสะ ผัสสะเกิดเวทนา สุข ทุกข์ นี้เเละคือกรรมที่ส่งผลให้เรารู้สึก หลักของศาสนาพุทธ คือการชำระจิตใจให้ผ่องเเผ้วใช่มั้ย
    เมื่อเราฝึกอยู่กับ วิหารธรรม สุจริต กับ อินทริย์ ย่อมเจริญไปด้วย
    เเล้วเมื่อเราฝึกบ่อยๆละ ? ก็จะเห็น กรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปใช่มั้ย

    ส่วน สุข ทุกข์ นี้มันก็ไม่เที่ยงอยู่เเละ เมื่อเรานำมาพิจรณาบ่อยๆ
     
  19. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    กรรมมันเกิดขึ้นตั้งอยู่เพราะอะไร ผมว่าเราไม่ควรมองว่ากรรมมันเกิดขึ้นและตั้งอยู่ เพราะมันจะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเมื่อเกิดกรรมมันจะดับไปเองเป็นต้นเพราะเชื่อว่าอยู่ในไตรลักษณ์เช่นกัน ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ กรรมมันเป็นผลจากความไม่รู้ว่าความเที่ยงหรือความไม่เที่ยงเป็นยังไง ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อศรัทธาเป็นความยึดมั่นถือมั่นและกระทำสิ่งต่างๆ ตามความเชื่อซึ่งประกอบด้วย โมหะบ้าง โทสะบ้าง โลภะบ้าง...อื่นๆอีก การฝึกบ่อยๆอย่างที่ว่าจึงไม่ใช่เพื่อการมองเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของกรรมหรือผลของการกระทำเพียงเท่านั้น หากทำเช่นนั้นมันก็จะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลย ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นคือต้นเหตุหรือมูลเหตุที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกรรมหรือผลของการกระทำนั้นๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ฝึกบ่อยๆจึงช่วยให้รู้ว่าสิ่งใดที่ก่อให้เกิดกุศลกรรม และกุศลกรรมนั้นสุดท้ายมันก็อยู่ใต้กฎเช่นเดียวกัน และแน่นอนเราจะไม่เพ่งเพื่อพิจารณาสิ่งที่ทำเพื่อให้เห็นกรรม เพราะว่ามันมีผลให้เกิดทั้งความยินดีและความยินร้าย ซึ่งก็ไม่ใช่ทางหรือผลดีในทางปฏิบัติที่แท้จริงเลย
    หวังว่าคงพอเข้าใจนะคั๊บ
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^
    กรรมเป็นสิ่งที่คุณดับเองได้หรือ เมื่อเกิดเเล้วย่อมดับไปใช่มั้ย?
    จะบอกว่า การที่กรรมมันเกิด เป็นโมหะ โทสะ โลภะ เเล้ว นี้มันไม่ใช่ สิ่งที่ต้องดับอีกหรอ? เเล้วเราจะไปยึดสิ่งที่ เกิด-ดับ เพื่ออะไร
    กรรมมันก็ต้องอาศัยอะไรหล่ะ ในการเกิด เเล้วมันก็ดับไป....

    ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม. เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้ว(เจตนา) จึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
    ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม
    ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือ กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี ที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี นี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม (ควรพิจารณาทั้งในแง่บุคคลาธิษฐาน และธรรมาธิษฐาน เพื่อประโยชน์สูงสุดตั้งแต่ในภพชาตินี้ หรือเป็นประโยชน์ต่อไปในภพชาติหน้า)
    ก็วิบากแห่งกรรมเป็นไฉน คือ เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี ๓ ประการ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน ๑ กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด ๑ กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆ ไป ๑ นี้เรียกว่าวิบากแห่งกรรม (ควรพิจารณาทั้งในแง่บุคคลาธิษฐาน และธรรมาธิษฐานเช่นกัน)
    ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ
    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฐิ ฯลฯ. สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลส เป็นที่ดับกรรมนี้
    ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าว ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...