ปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 มิถุนายน 2012.

  1. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    แปลว่า ยังไม่เข้าใจ รู้ตามทันเท่าจิต จิตสังขาร
    จะเป็นธรรมเมา หรือ ธรรมโม ท่านก็ให้ วิปัสสนา
    แค่ทำให้ รู้ทัน ก่อนจะดีมั่ง จะได้
    อวดเกินธรรมโม ก็จะเป็นธรรมมั่ว เด่อครับ อิอิ:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2012
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ก็ไม่แปลกใจเหมือนกัน

    เห็นแต่คนเก่งอวดเกินธรรมโม

    เอก จรํ จิตมีดวงเดียว เที่ยวไปสู่ที่ไกลได้

    แต่พวกอวดเกินธรรมโม จิตกลับมีหลายดวง

    เกิดๆ-ดับๆ จนหาเวลาว่างไม่ได้

    เมื่อเป็นจิตสังขารแล้วไซร์

    จิตก็ผสมกับอารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

    มันธรรมโมตรงไหน?

    ก็อวดว่า รู้เท่า รู้ทัน รู้ตาม

    เมื่อยังรู้ตามอยู่ รู้ทันอยู่ รู้เท่าอยู่ ก็ยังออกรู้

    ถ้าจะโชว์ ก็อธิบายด้วยสิ วิปัสสนาอย่างไร?

    กระทู้ให้แสดงเรื่อง"ธรรมโม"ใช่หรือไม่?

    ไม่ใช่แค่รู้ทัน รู้เท่า รู้ตาม

    วันหลังจะกล่าวหาใครว่ามั่ว

    ช่วยชี้ชัดๆด้วยว่า มั่วตรงไหน?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ปัจจุบันธรรม

    โดย หลวงปู่แหวน

    เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้าหาตน น้อมเข้ามาในกายน้อมเข้ามาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น ถ้ารู้ตามแผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่างๆไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหากต้องน้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่ มันจะหลงมันจะเขวไปอย่างไรก็ตามพยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหากายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไปน้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลักของมัน

    ถ้าออกจากกายใจแล้วมันเขวไปแล้วหลงไปแล้วน้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจแล้วก็ได้หลักใจดี ธรรมก็คือการรักษากายรักษาใจ น้อมเข้ามาหากายน้อมเข้ามาใจแหละ

    ศีล ตั้งอยู่ในกายนี่แหละ ตั้งอยู่ในวาจานี่แหละและตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ให้น้อมเข้ามานี้มันจึงรู้ ตั้งหลักได้ ถ้าส่งออกไปจากนี้มันมักหลงไป

    เอาอยู่ในกายในใจนี้ น้อมเข้ามาสู่อันนี้ นำหลงนำลืมออกไปเสีย เอาให้เป็นปัจจุบัน เอาจิตเอาใจนี่ละวางถอดถอนออก ทางกายก็น้อมเข้ามาให้รู้แจ้งทางกาย น้อมเข้ามาหาใจของตนนี้ให้มันแจ่มแจ้ง ถ้าไปยึดถือเอาอย่างอื่นมันเป็นเพียงสัญญาความจำ น้อมเข้ามารู้แจ้งในใจของตนนี้รู้แจ้งในกายของตนนี้ นอกจากนี้เป็นอาการของธรรม

    ยกขึ้นสู่จิต น้อมเข้ามาหาจิตหาใจนี้ ความโลภ ความหลง ความโกรธ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละต้องน้อมเข้ามาสู่จุดนี้ ถ้าน้อมเข้าหาจุดอื่นเป็นแผนที่ปริยัติธรรม รู้กายรู้ใจแจ่งแจ้งแล้วนอกนั้นเป็นแต่อาการ บางทีไปจับไปยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้มันก็ลืมไป

    ทำให้มันแจ้งอยู่ในกายแจ้งอยู่ในใจ มีสติสัมปชัญญะ สติสัมโพชฌงค์ สัมมาสติ ก็อันเดียวกันนี่แหละ ให้พิจารณาอยู่อย่างนี้ อาศัยความเพียรความหมั่น

    คำว่าสติ ก็รู้ในปัจจุบัน สัมปชัญญะรู้ในปัจจุบัน รู้ในตนรู้ในใจเรานี้แหละ รู้ในปัจจุบัน รู้ละความโลภ ความโลภ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา เหล่านี้ละออกให้หมด ละออกจากใจ ละอยู่ตรงนี้แหละ สติถ้าได้กำลังใจแล้วมันก็สว่าง

    ตั้งจิตตั้งใจกำหนดเบื้องต้น คือ การกำหนดจิตหรือกำหนดศีล คือกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ ใจก็บริสุทธิ์ กำหนดนำความผิดออกจากกายจากใจของตน

    เมื่อกายวาจาใจบริสุทธิ์ สมาธิก็บังเกิดขึ้น รู้แจ่มแจ้งไปหาจิตหาใจ กายนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจของตนนี้

    สติปัฏฐานสี่ สติ มีเพียงตัวเดียว นอกนั้นท่านจัดไปตามอาการ แต่ทั้งสี่มารวมอยู่จุดเดียว คือ เมื่อสติกำหนดรู้กาย แล้วนอกนั้น คือ เวทนา จิต ธรรม ก็รู้ไปด้วยกัน เพราะมีอาการเป็นอย่างเดียวกัน

    อาการทั้ง ๕ คือ อนิจจัง ทั้ง ๕ , ทุกขัง ทั้ง ๕ , อนัตตา ทั้ง ๕ เป็นไม่ยั่งยืน เราเกิดมาอาศัยเขาชั่วอายุหนึ่ง อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ อนัตตา ทั้ง ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็สิ้นไปเสื่อมไป เราอาศัยเขาอยู่เพียงอายุหนึ่งเท่านั้น เมื่อรูปขันธ์แตกสลายมันก็หมดเรื่องกัน

    การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน สมมติกันให้ได้ชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง อันนั้นมันเป็นสมมติแต่ธรรม เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยงมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังทั้ง ๕ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น รูปํ อนิจัง , เวทนา อนิจจัง , สัญญา อนิจจัง, สังขารา อนิจจัง , วิญญาณํ อนิจจัง มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เรามาอาศัยเขา สัญญาเราก็ไหลไปตาม เวลา ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายจากกันแล้วมันก็ยุติลง

    ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เมื่อละสมมติ วางสมมติได้แล้ว มันก็เย็นต่อไป กลายเป็นวิมุตติความหลุดพ้นไป เพราะสมมติทั้งหลายวางได้แล้วก็เป็นวิมุตติ

    แต่ถ้าเอาเข้าจริงๆ แล้วมันมักจะหลง ถ้าเราตั้งใจเอาจริงๆ พวกกิเลสมันก็เอาจริงๆ กับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยความหมั่นความเพียรไม่ท้อถอย ถ้าละพวกกิเลสตัณหาได้มันก็เย็นสงบสบาย

    ถ้าจิตมันปรุงมันแต่งเป็นอดีต อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคต ก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน จึงเป็นธรรมโม

    อาการทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ให้ยืนอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ธรรมโมคือเห็นอยู่ รู้อยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอดีตอนาคต ดับทั้งอดีตอนาคต แล้วเป็นปัจจุบัน คือธรรมโม

    ให้จิตรู้อยู่ส่วนกลาง คือ สิ่งที่ล่วงไปแล้วเป็นอดีต ยังไม่มาถึงเป็นอนาคต ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนทั้งสองนั้นให้เพ่งพินิจ คือ เราอยู่ปัจจุบันธรรม มันจึงจะถูก เพราะปัจจุบันเป็นธรรมโม นอกจากนั้นเป็นธรรมเมา อดีตอนาคต

    รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ถ้าไปยึดถืออดีตอนาคตอยู่ เท่ากับไปเก็บไปถือเอาของปลอม ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตน หมุนเข้าหากายหาใจนี่แหละ ถ้ามันเอาอดีตอนาคตมันกลายเป็นแผนที่ไป

    แผนที่ปริยัติธรรมจำมาได้มาก ไปยึดไปถืออย่างนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง ทั้งอดีตอนาคต ยิ่งห่างจากการรู้กายรู้ใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นเชื้อของกิเลส มันอยู่ในแผนที่ใบลาน มันไม่เดือดร้อน ถ้ามันอยู่ในใจมันเดือดร้อน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นในใจ ให้เอาใจละ เอาใจวาง เอาใจออก เอาใจถอน ปัจจุบันเป็นอย่างนี้

    ไม่ใช่จำปริยัติได้มาก พูดได้คล่อง เวลาเอาจริงๆ ไม่รู้จะจับอันไหนเป็นหลัก ปัจจุบันธรรมต้องรู้แจ้งเห็นแจ้งในกายใจของตน ละวางถอดถอน ในปัจจุบัน มันจึงใช้ได้

    ความโลภ ความโกรธมันเกิดขึ้นในใจ น้อมเข้ามาแล้วละให้มันหมด ราคะ, กิเลส, ตัณหา, มันเกิดขึ้นมาละมันเสีย เรื่องของสังขารมันก็ปรุง เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้นดับลง เอารู้เฉพาะปัจจุบัน อดีตอนาคตวางไปเสีย อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ข้อนี้ถือให้มั่นๆ ความปฏิบัติเพ่งความเพียร เร่งเข้าๆ มันก็ค่อยแจ่มแจ้งไปเอง ถ้าจิตมันเป็นอดีตอนาคต วางเสีย เอาเฉพาะปัจจุบัน การกระทำสำคัญเวลาทำตั้งใจเข้าๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมักเกิด เราต้องพิจารณาค้นเข้าหาใจมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตมักจะเก็บอดีตอนาคตมาไว้ ทำให้แส่ส่ายไปตามอาการ ให้เอาเฉพาะปัจจุบัน ธรรมโม น้อมเข้ามาให้ได้กำลังทางด้านจิตใจ ละวางอดีตอนาคต อันเป็นส่วนธรรมเมา เพ่งพินิจเฉพาะ ธรรมโม

    รักษากายให้บริสุทธิ์ รักษาวาจาให้บริสุทธิ์ รักษาใจให้บริสุทธิ์ น้อมเข้าหาใจให้รู้แจ้งใจนี้ กายก็ให้รู้แจ้ง เอาให้รู้แจ้งกายใจ จนละได้วางได้ เพ่งจนเป็นร่างกระดูก ทำได้อย่างนี้ก็พอสมควร เอาให้มันรู้แจ้งเฉพาะกายใจนี้ ไม่ต้องเอามาก ถ้าเอามากมันมักไปยึดเป็นอดีตอนาคตไปเสีย ข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    ตั้งหลักไว้ อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธรรมโม ระลึก ดับ ละ วาง ในปัจจุบันจึงเป็นธรรมโม เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตอนาคต ถ้ามันเกิดมันก็ต้องดับลงไป

    ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจุดของจริง อดีตอนาคตปัจจุบัน สามอย่างนี้แหละเป็นทางเดินของจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ มันแสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามาๆ ถึงอย่างนั้นกิเลสทั้งหลายมันก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกัน

    แต่ถ้ามีสติความชั่วเหล่านั้นมันก็ดับไป

    http://www.luangpee.org/forum/index.php?topic=3391.0

    ^
    ^
    ใจที่จะเป็นกลางได้นั้น ต้องอยู่ในปัจจุบันธรรมเท่านั้น จึงจะเป็นกลางที่แท้จริงได้

    ปัจจุบันธรรมเป็นธรรมที่ไม่ขึ้นกับกลางเวลา ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน

    เพราะธรรมเหล่านั้นที่พร้อมที่จะเป็นอดีตหรืออนาคตในกาลต่อมาได้ทุกเมื่อ

    ส่วนปัจจุบันธรรมที่แท้จริงนั้น เป็นธรรมโมไม่เปลี่ยนแปลง

    ท่านพระอาจารย์หลวงปูแหวนท่านกล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า

    "รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม" ละจากเรื่อง(ปัจจุบัน)มาอยู่ที่ "รู้อยู่ที่รู้" ไม่ใช่ "รู้อยู่ที่เรื่อง"ปัจจุบัน

    นี่แหละคือจิตใจที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ใช่จิตใจเป็นกลางแบบที่ชอบคิดเองเออเองว่าเป็นกลางแล้ว

    ไม่มีตรงไหนเลยที่ท่านพระอาจารย์กล่าวว่าจิตเกิดดับ มีแต่อารมณ์ต่างๆที่ถูกจิตรู้เท่านั้นที่เกิดดับ

    ข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    หลวงปู่แหวนท่านอธิบายได้เข้าใจแจ่มชัด
    แต่คุณพี่นั้น ยังติดๆ ขัดๆ กับความเป็นปรมัตถ์นะคะ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เหรอคุณน้องคนเก่ง

    แล้วไอ้ที่ว่าติดๆ ขัดๆ นะ

    มันไปติดขัดกับปรมัติตรงไหนหรือ?

    แล้วมีอะไร?

    ที่ปรมัติไปกว่า รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน

    แล้วยังเป็นธรรมโมอีกต่างหาก

    ยังไงคุณน้องคนเก่ง

    ก็ลองอธิบายปรมัติที่ได้จากการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาหน่อยสิ

    ขอนะอย่าเอาแค่ตำราว่าไว้ มาแปะ แปะ แล้วก็ไปนะ

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  6. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ที่ถกๆ กัน ไม่มีอะไรมากมายไปกว่า เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เรื่องขันธ์

    ฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า จิต ไม่ใช่ วิญญาณขันธ์

    อีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า วิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต

    แล้วก็จะเป็นเช่นนี้ต่อๆไป ในความเห็นต่าง

    แล้วอะไรคือความจริง? "ก็คงต้องไปให้ถึงที่สุดล่ะกัน..!"

    ฝ่ายหนึ่งก็จะบอกว่า "เมื่อมีความเห็นเช่นนั้น แล้วจะไปให้ถึงที่สุดได้อย่างไร"

    ก็ว่ากันไป
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ยังไงก็ตาม พี่หม้อ.."วาจาไพเราะ" ไว้ก่อนเดี๋ยวไอ้เดชมันโกรธ.. อิอิ
     
  8. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    คุณพี คุณพี่ ครือ คุณน้องให้คุณพี่ถอนคำพูดชมว่า คุณน้องนั้นเก่ง
    ออกซะ ขอยอมแพ้ละกัน เอางี้คุณพี่เอาตามที่คุณพี่เข้าใจละกันนะ นะ

    คุณน้องไม่เก่งหร้อก และที่พูดมาบ่อยๆ นี้
    ไม่ได้ว่าตามตำรานะ
    application program มาแล้ว
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ผมยังไม่ได้อ่านบทความหลวงปู่เเหวนนะ เเต่ลงความเห็นนิดหน่อย

    "รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม" ละจากเรื่อง(ปัจจุบัน)มาอยู่ที่ "รู้อยู่ที่รู้" ไม่ใช่ "รู้อยู่ที่เรื่อง"ปัจจุบัน

    รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน เป็นธรรมโม ละเเล้วมารู้ อยู่ที่รู้ ไม่ใช่รู้อยู่ที่เรื่อง ปัจจุบัน
    ------
    ตัวกิเลสคืออะไรกันเเน่นะ เเล้ว ใคร อยู่ที่รู้ ต้องทำให้เรามาเฝ้า รู้อยู่ที่รู้ จึงทำให้เป็นปัจจุบันธรรมใช่มั้ย ไม่มีเราเป็นผู้ต่อเชื้อไฟ ถ้าไม่รู้อยู่ที่รู้ ก็จะกลายไปเป็น รู้อยู่ที่เรื่อง หรือ อยู่ที่รู้ของกิเลส คือสัญโญคะ มันเป็นเนื้อเดียวกัน คือการหลงลืม การไม่รู้ตัว
    เเต่ต้องมองกลับดูอีกว่า กิเลสคืออะไร มาจากไหน เกิดจากอะไร
    เราถึงจะ รู้อยู่ที่รู้ ได้ถูก ถึงจะเข้าใจว่าใครเป็นผู้ รู้ ที่ อยู่ กับสิ่ง ที่รู้ กิเลส
    ---------
    ข้อนี้สำคัญเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับ เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับตัวสัญญา

    เเล้วคนที่มีปุเพนิวาสานุสสติญาณ ย้อนอดีตกลับไปดูได้หมด เรื่องเก่าๆสัญญาเก่าๆเเบบไหนก็ขุดมารู้ได้หมด สัญญาเที่ยงหรือไม่หล่ะ?
    ถ้าเเบบนี้คนย้อนดูอดีตได้ เเสดงว่าสัญญาก็เที่ยงสิ เพราะมันยังมีอยู่ เเล้วจะบอกว่าสัญญา เกิดดับได้ไง มันก็ขัดคำของพระพุทธเจ้าเองใช่มั้ยละ .. เเต่ ผมขอตอบให้ก่อนว่า สัญญาไม่เที่ยง นั่นจริง
    ที่เหลือเอาไว้ให้คิดเล่นๆ ให้งง เล่นๆ
     
  10. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413

    ข้าพระองค์ทูลถามว่า
    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ความทุกข์ไม่มีหรือ พระเจ้าข้า?' ดังนี้,


    ทรงตอบว่า
    ดูก่อนกัสสปะ! มิใช่ความทุกข์ไม่มี; ที่แท้ ความทุกข์มีอยู่' ดังนี้; ครั้น
    ข้าพระองค์ทูลถามว่า
    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ถ้าอย่างนั้น พระโคดมผู้เจริญย่อมไม่รู้
    ไม่เห็นความทุกข์ กระมัง
    ?' ดังนี้, ก็ยังทรงตอบว่า `ดูก่อนกัสสปะ! เราจะไม่รู้ ไม่เห็น
    ความทุกข์ ก็หามิได้
    ; เราแล ย่อมรู้ ย่อมเห็น ซึ่งความทุกข์' ดังนี้. ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ
    ! ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงตรัสบอกซึ่ง (เรื่องราวแห่ง) ความทุกข์; และจงทรงแสดง
    ซึ่ง
    (เรื่องราวแห่ง) ความทุกข์ แก่ข้าพระองค์เถิด".


    ดูก่อนกัสสปะ
    ! เมื่อบุคคลมีความสำคัญมั่นหมายมาแต่ต้นว่า "ผู้นั้นกระทำ
    ผู้นั้นเสวย
    (ผล)"
    ดังนี้เสียแล้ว เขามีวาทะ(คือลัทธิยืนยันอยู่) ว่า "ความทุกข์ เป็นสิ่งที่
    บุคคลกระทำเอง
    "
    ดังนี้ : นั่นย่อมแล่นไปสู่ (คลองแห่ง) สัสสตะ (ทิฏฐิที่ถือว่าเที่ยง).


    ดูก่อนกัสสปะ
    ! เมื่อบุคคลถูกเวทนากระทบให้มีความสำคัญมั่นหมายว่า "ผู้อื่นกระทำผู้อื่น
    เสวย
    (ผล)" ดังนี้เสียแล้ว เขามีวาทะ(คือลัทธิยืนยันอยู่)ว่า "ความทุกข์ เป็นสิ่งที่
    บุคคลอื่นกระทำให้
    "
    ดังนี้ : นั่นย่อมแล่นไปสู่ (คลองแห่ง) อุจเฉทะ (ทิฏฐิ ที่ถือว่า
    ขาดสูญ
    ).


    ดูก่อนกัสสปะ
    ! ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุด
    ทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า
    "เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;


    เพ ราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญ ญ าณ
    ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพ ราะมี
    ชาติเป็นปัจจัย
    , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบ
    ถ้วน
    : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.


    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
    , จึงมีความดับ
    แห่งสังขาร
    ; เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; ...ฯลฯ...

    ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-

    ....
    สาธุครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เล่าปัง*, somchai_eee </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ป๋า ป๋า

    ป๋า หยิบข้อธรรมมาแต่ละที ยังกะ โปรดิวเซอร์ค่าย 4S

    หยิบทีไร ไม่เคยผิด

    สงสัยกินเลย ว่าทำไม ป๋า ถึงเล่นปืนผาหน้าไม้ยันแท่งกล๊อกหละ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2012
  12. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ก็ว่ากันไป อ๊บ อ๊บ ^^
     
  13. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ถามผมอะป่าวละเนีย สมมุติว่าถามผนละกัน

    กล๊อก มันก่อน ปฏิบัติ อยู่3 ชายแดน มีไว้หน่อย ก็แค่ทุกคนในบ้านมีครบ 5 กระบอกเอง
    หลังจากปฏิบัติ ก็เลิกเล่น แล้ว เด็ดขาด

    ส่วนธรรมนั้น อยากให้เห็นว่า
    เมื่อไหร่ ยังมีเรา เป็นผู้กระทำต่างๆนาๆ ก็ไม่มีวันพ้น 3 โลกนี้แน้ ครับ

    สาธุ
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อ้อ ถือเพราะ หน้าที่ นี่เอง

    งั้นก็ว่ากันไป ฮับ

    ครอบครัวข่าวบริษัทผมพึ่งลงสนามไปกับทหารหาญเพื่อเข้าไปถ่ายทำ
    พยานหลักฐานเกี่ยวกับเครือข่ายยาเสพติดมาหมาดๆ นี่เอง กลับมา
    ปลอดภัยทุกคน

    ขอบคุณทหารหาญ และตำรวจ อีกทั้ง จนท ทุกๆท่านคร้าบ
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ไหนๆก็ยกพระสูตรนี้มากันจัง
    เพื่อต้องการยืนยันทิฐิว่า ผู้กระทำไม่มีในที่ทั้งปวง

    ไหนลองอธิบายหน่อยสิว่า
    ต่างจากพระพุทธภาษิตที่ทรงตรัสไว้ดีแล้วตรงไหน
    "บุคคลทำความดี ย่อมได้รับผลดี
    บุคคลทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว"

    ที่ยกมานั้น"ความทุกข์ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง" ดังนี้ :
    นั่นย่อมแล่นไปสู่ (คลองแห่ง) สัสสตะ (ทิฏฐิที่ถือว่าเที่ยง).

    ถามว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลทกระทำเอง แล้วใครกระทำ?
    และเป็นสัีสสตะตรงไหน?

    ส่วนเรื่องอุเฉจทะ ที่ไม่ถามไปเพราะก็ขัดแย้งกับข้อสัสสตะชัดๆอยู่แล้ว
    เมื่อ "ความทุกข์ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำให้"
    ยอมเป็นที่ยืนยัน เมื่อไม่ใช่บุคคลอื่นกระทำให้
    แน่นอนว่าทำเอง ใช่หรือไม่?

    แปลกแต่จริงในบอร์ดนี้
    มีแต่คนชอบโชว์สด แต่ไม่คิดจะตอบในสิ่งตนเองโชว์
    เมื่อกล้าโชว์ภูมิรู้ภูมิธรรมของตนเอง
    ก็ควรที่อาจหาญตอบในสิ่งที่ถูกถามด้วยสิ

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    คุณน้องคนเก่ง

    ถ้าผ่านการปฏิบัติมาได้จริงๆ

    ไม่เห็นจำเป็นที่จะเลี่ยงตอบคำถามเลยนะ

    ไอ้ที่ว่าผ่านมานะ สำเร็จด้วยความนึกคิดของตนเอง

    หรือที่เรียกว่า สำเร็จแล้วด้วยใจ ใช่หรือไม่?

    ไม่เห็นเกี่ยวกับที่ถามไปเลย

    ถามว่า สิ่งที่ปรมัติไปกว่า

    รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน แล้วยังเป็นธรรมโมอีกต่างหากนะยังไง?

    การออกตัวเพื่อจะเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

    ไม่น่าจะเกิดขึ้น สำหรับนักปฏิบัติที่ผ่านมาได้จริงๆ

    นอกจากพวกผ่านโปรแกรมสำเร็จรูปมาเท่านั้น

    ที่เลี่ยงไม่ย่อมตอบ แต่กับของโชว์สักหน่อย ใช่หรือไม่?

    สัจธรรมไม่อาจปรากฏขึ้นมาได้

    เพียงแค่ได้โชว์ฝ่ายเดียวเท่านั้น

    ต้องสนทนาแลกเปลี่ยนเพื่อให้ความจริงปรากฏ ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    อย่างนี้นะซิ ที่กระผมว่า ยังไม่เข้าใจ อนัตตา
    เห็น อนัตตา จะเห็น ทางสายกลาง เห็น เหตุ ปัจจัย แห่งหนทาง ไม่จม ไม่ลอย
    เห็น อนัตตา จึงจะเห็น สมมุติ แบบเป็นกลาง
    อนัตตา สุดลึกซึ่ง วิจิตรพิศดาร ธรรมนี้แล ทำให้กราบแทบเท้า พุทธองค์ อย่างไม่ขัดข้อง
    ผมไม่หวังมาอวดภูมิใดๆ แต่ละครั้งที่สนทนา หากไม่ลงกัน ก็นำคำครูบาร์อาจารย์ หรือพุทธพจน์มาอ้างอิงสุดท้าย แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ใครจะเข้าใจแล้วเชื่อด้วยปัญญา นะครับ อย่างว่า มันเป็น อนัตตา เนียน่า 5555
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ตอบได้ดีมีความหมาย

    น่าทำความเข้าใจ

    ถามว่าแล้วใครหรืออะไรหละ?

    รู้ที่อยู่ที่รู้ เพราะไม่รับ

    แล้วแล้วใครหรืออะไรหละ?

    ที่ชอบรู้อยู่ที่เรื่อง(กิเลส) เพราะรับมาเต็มๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เรื่องอนัตตาธรรม

    แค่ทำความเข้าใจในอนัตตลักขณสูตรอย่างถ่องแท้ได้

    น่าที่ผู้อ่านจะทำความเข้าใจได้พอสมควร

    ไหนๆก็กล่าวหาเรียบร้อยแล้วว่าไม่เข้าใจอนัตตาธรรม ชี้แจ้งด้วย

    ส่วนเรื่องที่ถามไปนั้น เพื่อต้องการให้รู้ว่า

    พระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสสั่งสอนขัดแย้งกันเอง ใช่หรือไม่?

    ถ้าคิดว่าพออรรถาธิบายได้ ก็ไม่ขัดข้องที่จะฟัง

    ยินดีรับฟังเสมอถ้าเกี่ยวกับเรื่องธรรม

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    พิจาราณาดู ครับ

    "
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ภพเป็นอย่างไรหนอ? และภพนี้ เป็นของใคร?

    พระเจ้าข้า​
    !"

    นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย ​
    : ดูก่อนภิกษุ! บุคคลใดจะพึง

    กล่าวเช่นนี้ว่า
    "ภพเป็นอย่างไร และภพนี้เป็นของใคร" ดังนี้ก็ดี; หรือว่าบุคคลใด
    จะพึงกล่าวเช่นนี้ว่า
    "ภพเป็นอย่างอื่น :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นอย่างไร, ตามนัย
    แรก
    ) และภพนี้ เป็นของผู้อื่น :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นของใคร, ตามนัยแรก)"

    ดังนี้ก็ดี
    : คำกล่าวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่นถือมั่น
    อย่างเดียวกัน
    ,
    ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะ (เสียงที่กล่าว)เท่านั้น.

    ดูก่อนภิกษุ
    ! เมื่อทิฏฐิว่า "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ก็ดี มีอยู่,

    การอยู่อย่างประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไม่มี
    . ดูก่อนภิกษุ! หรือว่า เมื่อทิฏฐิว่า "ชีวะก็อันอื่น

    สรีระก็อันอื่น
    " ดังนี้ก็ดี มีอยู่, การอยู่อย่างประพฤติพรหมจรรย์ ก็ไม่มี. ดูก่อนภิกษุ!

    ตถาคตย่อมแสดงธรรม
    โดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อม

    แสดงดังนี้ว่า
    "เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ" ดังนี้.

    ดูก่อนภิกษุ
    ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเอง,

    ทิฏฐิทั้งหลาย บรรดามี มิว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ดำเนินไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว
    ดิ้นรนไปผิดแล้วว่า
    "ชรามรณะ" เป็นอย่างไร และชรามรณะนี้ เป็นของใคร" ดังนี้ก็ดี:

    หรือว่า
    "ชรามรณะเป็นอย่างอื่น :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นอย่างไร, ตามนัยแรก)

    และชรามรณะนี้เป็นของผู้อื่น
    :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นของใคร, ตามนัยแรก)"

    ดังนี้ก็ดี
    ; หรือว่า "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ก็ดี; หรือว่า "ชีวะก็อันอื่น
    สรีระก็อันอื่น
    " ดังนี้ก็ดี; ทิฏฐิทั้งหมดนั้น เป็นธรรมอันบุคคลนั้นละได้แล้ว มีราก
    เง่าอันเขาตัดขาดแล้ว อันเขาทำให้เหมือนตาลมีขั้วยอดอันเน่าแล้ว ถึงซึ่งความมี
    ไม่ได้แล้ว ทำให้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป
    .

    ดูก่อนภิกษุ
    ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเอง,

    ทิฏฐิทั้งหลาย บรรดามี มิว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ดำเนินไปผิดทาง อันบุคคลเสพผิดแล้ว
    ดิ้นรนไปผิดแล้วว่า
    "ชาติ เป็นอย่างไร และชาตินี้ เป็นของใคร" ดังนี้ก็ดี : หรือว่า

    "
    ชาติเป็นอย่างอื่น :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นอย่างไร, ตามนัยแรก) และชาตินี้เป็น
    ของผู้อื่น
    :) ตรงกันข้ามจากที่กล่าวว่าเป็นของใคร, ตามนัยแรก)" ดังนี้ก็ดี; หรือว่า

    "
    ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น"
    ดังนี้ก็ดี; หรือว่า "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ก็ดี;

    ทิฏฐิทั้งหมดนั้น เป็นธรรมอันบุคคลนั้นละได้แล้ว มีรากเง่าอันเขาตัดขาดแล้ว
    อันเขาทำให้เหมือนตาลมีขั้วยอดอันเน่าแล้ว ถึงซึ่งความมีไม่ได้แล้ว ทำให้เป็น
    สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...