ประสบการณ์ "มนุษย์ต่างดาว" : กรณีศึกษา "วัดธรรมกาย"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 27 กรกฎาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มนุษย์ต่างดาวฝ่ายร้ายกับความเป็น "เทพเจ้า"


    ในดาวของมนุษย์ต่างดาวนั้นจะมีผู้นำสูงสุด เรียกง่ายๆ ว่า "พระเจ้า" ก็ได้
    แต่มนุษย์ต่างดาวฝ่ายร้าย จะทรยศต่อพระเจ้า แล้วมาตั้งรกรากในโลกโดย
    หลอกมนุษย์โลกว่าพวกเขาคือ "เทพเจ้า" แทนที่จะเล่าเรื่องราวของผู้นำที่
    แท้จริงของดาวที่เขาจากมา (เรื่องของพระเจ้าประจำดาวนั้นๆ) พวกเขาได้
    ปิดบังมนุษย์ ไม่ให้รู้เรื่องพระเจ้า เพราะถ้ามนุษย์ติดต่อกับพระเจ้าที่ประจำ
    อยู่ดาวของพวกเขาได้ ก็จะทราบทันทีว่าพวกเขาเป็นฝ่ายร้ายมาหลอกลวง
    มนุษย์โลก พวกฝ่ายร้ายจึงเล่นบท"เทพเจ้า" หลอกมนุษย์โลกมาแสนนาน

    มนุษย์ต่างดาวฝ่ายดี จะไม่แสดงตัว และแสดงบทบาทเป็นเทพเจ้า เพราะ
    มันไม่จริง พวกเขาทำหน้าที่ "เทวทูต" คือ แจ้งข่าวสาร์น จากพระเจ้าของ
    พวกเขาให้มนุษย์โลกเข้าใจ (เหมือนเราไปประเทศคนอื่น เราต้องแจ้งเขา
    ใช่ไหมว่าเรามาทำไม เพื่ออะไร และเราเป็นใคร มาจากไหน ใครส่งเรามา)
    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวฝ่ายดี จะไม่ทำตัวเป็นเทพเจ้าเสียเองแน่นอน และจะ
    ทำหน้าที่แค่ "แนะนำ" เรื่องราวของพระเจ้าให้แก่มนุษย์โลกรับรู้เท่านั้นเอง
    ซึ่งพระเจ้าของแต่ละดวงดาวนั้นไม่เหมือนกัน เช่น ที่สุขาวดีโลกธาตุมีผู้นำที่
    สูงที่สุด เรียกว่า "พระอามิตภะพุทธเจ้า" ในดาวกลุ่มพุทธเกษตรทั้งหลายก็
    ล้วนมี "พระพุทธเจ้า" เป็นผู้นำสูงสุดทั้งนั้น ส่วนดาวอื่นๆ อาจแตกต่างกันไป

    ความเป็นเทพเจ้าจึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกสอนมาก่อน ให้มนุษย์ในโลกนี้ยอมรับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=CcNySupEIQI"]http://www.youtube.com/watch?v=CcNySupEIQI[/ame]
     
  3. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    แวะมาอ่านครับท่านชายดอกไม้ มาฟังยาวไปสนุกดี ว่าไปแล้วเรื่อง มนตด เป็นเรื่องที่ผมให้ความสนใจตั้งแต่เด็กๆแรกๆที่อ่านพระไตรปิฏกที่ได้กล่าวถึง โลก ทั้งสี่คือ อัปรคุรทวีป อัครโคยานทวีป และ บุพวิเตหะทวีปรวมทั้งชมพูทวีปไว้ อนึ่งสมัยวัยเด็กที่ได้คลุกคลีในสำนักดังย่างรังสิตนั้นเจ้าสำนักท่านหัวหน้ายานแม่ก็มักจะอ้างถึงสี่ทวีปนี้ให้ฟังบ่อยๆเช่นกัน
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    รับผลบุญต้องระวัง อาจเป็นการแลกจากมนุษย์ต่างดาวฝ่ายร้าย


    คนเราทุกคนมีบุญของตัวเองกันทั้งนั้น แต่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ เทพจะดูแลจัดสรรให้
    ทว่า มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นมีพลังพิเศษ สามารถแย่งทำหน้าที่ของเทพได้ จึงทำให้
    ระบบการทำงานของเทพผิดเพี้ยนไป ระบบบุญกรรมผิดเพี้ยนไป เช่น แทนที่จะได้
    แค่ 10 หน่วย อาจได้มากถึง 100 หน่วยแทน พวกเขาจะให้เราดังใจเราต้องการ ที่
    ทำเช่นนี้เพื่อแลกกับบางอย่าง โดยจะไม่มีการพูดคุยแบบมนุษย์เช่น พอเราอยากจะ
    บ้าน มนุษย์ต่างดาวก็เอามาให้เราก่อนเวลาได้ เทพกำลังเตรียมให้เราอีก 10 ปี แต่
    พอเราอยากได้มากๆ เดี๋ยวนี้เลย ปัจจุบันนี้เลย มนุษย์ต่างดาวก็เอามาให้เราแทนแต่
    จะต้องแลกกับข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างครับ หลายคนตกเป็นเหยื่อ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้
    รับนั้น จัดสรรมาจากมนุษย์ต่างดาวฝ่ายร้าย ไม่ได้มาจากเทพที่แท้จริง พวกเขาจึงได้
    อะไรต่อมิอะไรมากมาย "ดังใจนึก" นึกอยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น ทว่า พวกเขาหารู้
    ไม่ว่านั่นคือการแลกกับมนุษย์ต่างดาวฝ่ายร้ายและจะต้องสูญเสียอย่างไม่อาจคาดคิด


    จำไว้ว่า "บุญ" คือ ผลกรรมดี เราต้องรับมันทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากจะได้ นั่นจึงเป็นบุญแท้
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เงิน-บุญ-กรรม


    ถ้าเราได้เงินมาโดยไม่ได้อยากจะได้ นั่นคือ บุญ
    แต่ถ้าได้มาโดยอยากจะได้ นั่นคือ การแลกกับซาตาน

    เมื่อได้เงินมาแล้ว เอาไปซื้ออะไรก็ช่าง เป็นกรรมทั้งนั้น
    ซื้อหมู ก็มีกรรมร่วมกับคนฆ่าหมู ไม่ใช่คนฆ่าหมูรับคนเดียวนะ

    มีเงินเพราะบุญออกดอกผล แต่ไม่ใช้ คือ รับบุญแล้วไม่ทำกรรมต่อ
    เก็บไว้เฉยๆ ก็ได้บุญแค่มีเงิน แต่ไม่มีกรรมสืบต่อเพราะไม่ได้ซื้ออะไร

    ดังนั้น เงินนี่ ไม่ใช่มีบุญอย่างเดียว ต้องมีปัญญาบารมีมากด้วย
    ถึงจะใช้เงินได้อย่างเหมาะสม ปลอดกรรม หรือมีแต่กรรมดีๆ

    คนที่มี "ศีลบารมี" มากๆ เขาจึงมีเงินน้อย
    ศีลมันป้องกันเราไม่ให้ใช้เงินก่อกรรมแล้วในตัว


    คนมีเงินน้อย ไม่ใช่คนมีน้อย แต่คือคนที่มี "ศีลบารมีมาก" นั่นเอง
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตวิญญาณอำมตะคืออะไร?​



    อย่างแรก มาทำความเข้าใจกับ "การตาย" ก่อนครับ หากไม่เข้าใจตรงนี้ จะไม่เข้าใจเรื่องต่อไปที่จะกล่าวเลย อย่างนี้ครับ เวลาคนจะตาย สิ่งที่จะตายคือ "ขันธ์ห้า" ไม่ใช่จิต ขันธ์ห้าได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ รูปที่เคยสัมผัสได้ด้วยอายตนะของเรา มันจะ "ดับ" ครับ หูไม่ได้ยิน, ตามองไม่เห็น ต่อมา เวทนาหรือความรู้สึกสุข-ทุกข์ เจ็บปวดอะไรหายไปหมดเลย จากที่เคยทรมาน อยู่ๆ มันหายไปหมด เรียกว่า "เวทนาดับ" ต่อมาสัญญาความจำได้ หมายรู้ทั้งหลาย มันจะดับ เราจะจำอะไรไม่ได้ก็ตรงนี้ เรียกว่าสัญญาดับ ต่อมา สังขารจะแตกดับครับ ตรงนี้ ธาตุทั้งสี่ในกาย จะแตกออก คำว่า "ธาตุแตก" เป็นคำบ้านๆ ไม่ใช่ศัพท์วิชาการนะ ชายหมายถึง ธาตุไฟจะแปรปรวนไม่อยู่ดังเดิม ธาตุน้ำแตกไหลออกทางทวารทั้งเก้า (ตา, หู, จมูก, ทวารหนัก ฯลฯ) และท้ายที่สุดคือ "วิญญาณดับ" ซึ่งมันคือ กายทิพย์ของเรา จะแตกสลายดับสิ้นไป หากมีคนเพ่งดูเราด้วยตาทิพย์ขณะตาย เขาจะเห็นกายทิพย์เราดับสลายได้ เหมือนระเบิดหรืออะไรแตกดับสักอย่าง ทีนี้ ดวงจิตสว่างไสวจะจุติออก แต่ตาทิพย์จะมองไม่ทัน จะไวมาก เรียกว่า "จุติจิต" แล้ว เกิดการปฏิสนธิใหม่ในชาติภพใหม่ ไม่ไกลจากศพนั้น เรียกว่า "ปฏิสนธิจิต" ซึ่งจะรอเทวทูตหรือยมทูตมารับไปภพภูมิใหม่ครับ

    เอาละ ทีนี้ มาทำความเข้าใจ "จิตวิญญาณอำมตะ" กันได้แล้ว คือ ในขณะตายนั้น ขันธ์ห้าดับมาถึงสังขารขันธ์แล้ว ทว่า มันหยุดอยู่แค่นั้นไปต่อไม่ได้ วิญญาณขันธ์ไม่ทันดับ กายทิพย์ยังไม่ได้แตกสลาย เหมือนคนมีมโนมยิทธิ ถอดจิตวิญญาณเข้าออกร่างได้น่ะละ แล้วก็ชินกับสภาวะแบบนั้น พอสังขารแตกดับตายลง ยังไม่ทันที่วิญญาณขันธ์จะแตกดับ จิตวิญญาณในร่างก็จรออกมาก่อน เรียกว่า ยังตายไม่ 100% ครับ ตายไปได้แค่ 80% คือ ขันธ์สี่แตกดับไป เหลือขันธ์สุดท้าย ไม่แตกดับ ผลคือ วิชาอาคมอะไรยังอยู่ครบ ถ้าวิญญาณดับสลายนะ วิชาอาคมอะไรเสื่อมหมด ไม่มีเหลือนะ เอาละ ทีนี้ใครบ้างที่ตายแบบนี้ได้ ก็ได้แก่ ครูบาอาจารย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าทั้งหลายน่ะละ พอตายแล้ว ก็หวงวิชา เขาถ่ายทอดวิชาออกไปไม่หมด เขาติดหนี้วิชา ปลดไม่หมด วิชาติดตัวเขา ติดวิญญาณเขา วิญญาณก็ไม่ดับสลาย จรจากร่างไปหาร่างใหม่ ร่างใหม่ได้จิตวิญญาณนี้ไปก็กลายเป็นคนมีวิชาอาคมขึ้นมาได้เฉยเลยอย่าง "หลวงปู่สรวง" นี่ก็มีคนบอกนะ สังขารตายแล้ว จิตวิญญาณยังไม่ตาย ไปโผล่ให้คนเห็นได้อีก แสดงฤทธิ์ให้คนเห็นได้ด้วย องค์ครูทั้งหลายที่เหลืออยู่ในโลก แล้วยังไม่หลุดพ้น ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ทีนี้ ถ้าเสื่อมเมื่อไรก็จะมีพฤติกรรมการกินผิดปกติ เรียกว่า "เป็นปอบ" หรือ "ปอบวิชา" น่ะละ จิตวิญญาณอำมตะนี้ มีฤทธิ์เดช มีบริวารมากในโลก เวลาเขาจะเอาร่างใหม่ เช่น เขาเลือกร่างเรา เขาจะให้เราได้อะไรมากมายดังใจเราต้องการหมดเลย ทำไงได้ละ เขาอยากได้ร่างเรานี่จริงมั้ย!

    ไม่มีในตำรา ปฏิบัติไปให้ถึงนะ แล้วจะรู้ว่าเรื่องจริงหรืออิงนิทาน?


    จิตวิญญาณอำมตะมีกล่าวถึงใน "คัมภีร์มรกต"
    ซึ่งตกทอดมาจากยุค "แอตแลนติส" สู่อียิปต์
    และสืบทอดจนกลายเป็นวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล
    ของลัทธิบูชาไฟแห่งเปอร์เซียและสาขาย่อยที่จีนครับ
    (ซึ่งชนชั้นสูงในอียิปบางคนได้ฝึก จึงเชื่อว่าจิตวิญญาณ
    จะไม่ตายและฟื้นคืนชีพได้ จนกลายเป็นการสร้างพีรามิด
    เก็บศพของฟาโรห์เพื่อรอเวลาฟื้นคืนชีพครับ)​
     
  7. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๑.๑๙

    อืม...น่าสงสัยจริงแฮะ ว่าเรื่องจริงหรืออ้างอิงจากนิทาน หึหึหึ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  8. k201

    k201 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +364
    น่าจะเขียนบทส่งไปให้ผู้กำกับดังอย่าง สตีเว่นส์ ทำเป็นภาพยนต์คงมันส์น่าดู่ครับ
     
  9. Happy_Me

    Happy_Me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +314
    เคยฝันว่า..มีมนุษย์หน้าตาแบบฝรั่ง คนนึงเป็นผู้ใหญ่ตัวสูงมาก(บอกว่าตัวเองเป็นผู้ที่ตื่นแล้ว) คนนึงมีลักษณะเป็นวัยรุ่นใส่เครื่องแบบนักเรียน(ลักษณะขี้เล่นเป็นกันเองตามแบบวัยรุ่นทั่วไป) บอกว่าอยากจะขอติดต่อกับเรา พวกนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่าคะ? แล้วพวกเขามาจากไหน? เป็นพวกฝ่ายดีหรือร้าย?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...