ปฏิบัติตนอธิษฐานบุญอย่างไห้ได้ผลเร็ว By สาธินี

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย เสขบุคคล, 14 มกราคม 2013.

  1. Poohk35

    Poohk35 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +138
    ข้อสงสัย

    สวัสดีคะคุณ เสขบุคคล พี่ลองแบบที่คุณแนะนำ ตอนแรกก็จะยากหน่อย แต่พอทำไปปสักระยะก็รู้สึกดีขึ้นนะคะ แต่พี่มีข้อสงสัยว่าเหตุใดพี่มีความรู้สึกว่าตัวเองหนักขึ้นและเหมือนมีแรงดึงดูดเหมือนเหล็กกล้ามาทำให้หนักช่วงล่างมากๆคะแต่ว่าส่วนของความสบายนั้นคงมีไม่อึดอัดนะคะเพียงแต่ว่ามันหนักแบบผิดปรกตินะคะ เป็นเพราะอะไรคะ[Embarrass[Embarrass
     
  2. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    อาการของปีติเกิดแล้ว ตัวจะเบาหรือหนัก โยกโคง ขนลุก ใจมีความโปร่งเบาสบาย การทรงลมจะทำให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว เกิดการกระตุ้นการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ การเกิดเหงื่อไหลเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายด้วยอย่างหนึ่งครับ ส่วนอารมณ์ด้านการปฏิบัติสิ่งที่สำคัญคือสติ การมีความระลึกตัวอยู่ ไม่ปล่อยจิตไปตามภาวะการปรุงแต่งนะครับ อยู่กับนิมิตของกรรมฐานคือลมหาใจ จนกระทั่งจิตเข้าสู่เอกัคคตารมณ์ คือสงบ ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่มีนิมิต ไม่มีลม เพราะละจากวิตก วิจาร ปีติ และสุข มีแต่เอกัคคตาอย่างเดียว ส่วนถ้าจะไปพิจารณาวิปัสสนาก็คลายตัวจากอารมณ์สงบ มาตรึกถึงกฎแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อไป
     
  3. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    เป็นอาการอย่างหนึ่งของอารมณ์กรรมฐานครับ พิจารณาแล้วก็ละไปๆทีละขั้นนะครับ
    การปฎิบัติกรรมฐานนั้น ในตอนเเรกก่อนจะนั่ง ควรอาบน้ำชำระตัวให้สบายก่อน แล้วนั่งในท่าที่สบายๆ แต่ถ้าจะให้ดีคือขัดสมาธิเพชรครับ แล้วทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในหัวสมองลงให้หมด ปล่อยคลายร่างกายต่างๆ ความตึงเครียดของร่างกายลงให้หมด เปรียบเสมือนหนึ่งว่าตัวเองกำลังอยู่ในสูญญากาศ หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้า - ออก เบาๆลึกๆ ทำตามขั้นตอนไป ตัวพี่อาจจะเบาขึ้นนะครับ แล้วปีติก็จะเกิดไวอีกด้วยนะครับ
     
  4. Poohk35

    Poohk35 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +138
    ขอบคุณ คุณเสขบุคคลมากคะ จะลองทำดูนะคะ:cool:
     
  5. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ขออนุญาติท่านเสขบุคคลและอาจารย์สาธินี ผมจะปฏิบัติเองโดยไม่ได้มีอาจารย์ที่ใดคอยแนะนำอาศัยการอ่านจากป้ญหาต่าง ๆ ที่มีผู้สอบถาม แล้วนำไปปฏิบัติ พอมาเจอผู้ใจดีทั้งสองจึงขออนุญาติสอบถามปัญหาเสมือนการสอบจิตของพระอาจารย์ บางครั้งใช้คำพูดไม่ถูกต้องขออภัย ด้วยนะครับ
    ได้ปฏิบัติตามที่ท่านบอกแล้วนะครับผลเป็นดังนี้
    ขณะที่ทรงลมไว้ที่ฐานที่ 1 แล้วปล่อยออก ทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่องเป็นสาย ผลปรากฎว่า ไอจนตัวงอเลย จึงค่อย ๆ ผ่อนลมเบา ๆ ก็ยังไออยู่อีก คราวนี้ก็เลยกำหนดลมไ้ว้ที่ฐานที่ 1 ปรากฎว่าไม่ไอแล้ว นั่งดูลมหายใจลงแล้วม้วนขึ้น ออกทางปลายจมูก เข้ารู้สึกถึงการเข้าทางปลายจมูกจนถึงฐานที่ 1 แล้วม้วนออกไปปลายจมูก สักระยะระยะลมจากฐานเหนือสะดือ ถึงฐานคอหายไป (สงสัยว่าเนื่องจากไอเลยไม่รู้สึกถึงลม)จะรู้สึกฐานลมไม่ว่าจะหายใจลึกยาวหรือหายใจสั้นจะเข้าถึงฐานที่ 1 และฐานปลายจมูกทุกครั้ง และอีกอย่างคือผมเคยฝึกอานาปานสติภาวนา พุทโธ เมื่อรู้สึกถึงสองฐาน พุทโธ ก็ขึ้นมา หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ โดยอัตโนมัติ พยามไม่ภาวานา ก็ไม่ได้อึดอัด จึงปล่อยให้จิตภาวนาไปเช่นนั้น แต่่ว่าลมหายใจแรงมาก ต้องพยามผ่อน ๆ ลง ได้สักพัก(ครึ่งชั่วโมง) ก็คลายจิตออกมาแล้วแผ่บุญให้เทวดาและสัพสัตว์ต่าง ตอนที่คลายจิตเกิดปิติสุขอย่างมาก ที่เขาว่าปฏิบัติแล้วจิตเป็นสุขนี่คือลักษณะที่ว่า ใครทำในสิ่งที่เราไม่ชอบก็ไม่โกรธมีแต่ความเมตตาและยิ้มน้อยอยู่ที่มุมปาก ไม่นึกที่จะเบียดเบียนใคร อย่างนี้เขาเีีรียกว่าสุข หรืออุเบกขาครับ
    ต้องรบกวนท่านเพียงแค่ีนี้ก่อนหากมีอะไรืบหน้าจะขอสอบถามอีกครับ
    ขอบารมีหลวงปู่ดู่ ได้โปรดเมตตาน้อมนำผลบุญอานิสงใดที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า จงสำเร็จแก่ ท่านเสขฯและอาจารย์สาธินี ด้วยเทอญ
    พูทธัง อนันตัง ธรรมะจักวาลัง สังฆนิพพานัง นะปัจจะโย โหตุ
     
  6. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    กลับมาหลายวันแล้วจ้ะ...แต่มีงานตั้งแต่เช้า-มืดทุกวัน เพิ่งจะพอมีเวลา สงสัยว่าตอนนี้คงชำนาญในการฝึกลมหาใจกันทุกคนแล้วนะคะ..เดี๋ยวเราก็จะมาคุยกันต่อนะคะ..ขอบารมีปู่ฤษีนารอดคุ้มครองค่ะ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    การที่คนเราจะได้อะไรหรือต้องการอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาปรากฎบนตัวเรา นั่นเป็นสิ่งที่เราได้กำหนดมันเอาไว้ก่อนแล้วทั้งนั้น แต่เราไม่รู้ตัวและเราควบคุมมันไม่ได้ มันเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วทำไมเราไม่ควบคุมหรือกำหนดมันให้ได้เสียล่ะ..
    พระะพุทธองค์ท่านได้จัดวิธีไว้แล้ว แต่เราต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน..
    การที่เราได้อะไรจากใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวน,เงินทอง วัตถุสิ่งของฯลฯ มาจากคนอื่นนั้น นั่นเป็นเพราะความสามารถของเรา ที่เราทำให้เขาแล้วเขาพอใจในสิ่งที่เรากระทำ เขาจึงตอบแทนมาให้เรา เป็นการตอบแทนค่าความสามารถของเรา เพราะเราทำให้เขาพอใจ แต่สิ่งที่ทำให้พอใจนั้นต้องไม่ขัดกับศีลธรรม ดังนั้นเราต้องพอใจตัวเราก่อน ต้องรู้จักใจเราก่อน แล้วเราถึงจะรู้ใจคนอื่นได้.
     
  8. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    การที่เราจะหาใจเราให้เจอก็โดยใช้ลมให้ลงไปหาใจ โดยสูดลมหายใจลงไปให้ลึกๆ ลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการดูความสามารถของปอดเราด้วย..
    วิธีการฝึกก็โดย
    หายใจเข้า โดยการนับ ๑,๒,๓,๔,๕
    ตั้งอยู่(ระงับลมหายใจทั้งเข้าและออก) นับ๑-๕(เท่าตอนหายใจเข้า)
    หายใจออก(ค่อยๆผ่อน) นับ๑-๕ เท่าที่เข้า,และตั้งอยู่
    เมื่อชำนาญดีแล้ว ก็ค่อยๆเพิ่มให้มากขึ้นๆ ทั้ง๓ขณะนี้ เราเรียกว่า ๑ช่วง เป็นการฝึกเพื่อให้รู้ว่าใจเราอยู่ตรงไหน จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเห็นผล แต่อย่าคิดว่าเราไม่ได้อะไรนะ ที่จริงเราน่ะได้แล้วแต่เราไม่รู้ตัว เพราะขณะที่กำหนดลมหาใจอยู่นั้น เรามีความจดจ่อ มีการระลึกรู้ ซึ่งนั่นก็คือ..สติ
    "สติ"ทำงานเมื่อรับรู้แล้ว จะเกิดการรู้ตัว ซึ่งตัวที่รู้ก็คือ"กายใน"(ตัวที่อยู่ข้างใน-คือกายใน-คือใจ) แล้วใจล่ะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่สุดลมนั่นแหละค่ะ..
    เดี๋ยวคราวต่อไป เราจะมาหัดเชื่อมกายใน(ใจ-นาม)กับกายนอก(รูป)กันนะคะ..
     
  9. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    พี่คะสงสัยพี่จะลืมตอบให้ท่านนี้ค่ะ
    ดีใจที่พี่กลับมาแล้ว จะได้มาเรียนรู้ต่อค่ะ
     
  10. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    ขอบคุณน้องมากนะคะ...ที่คอยช่วยดูแลให้ คนมีอายุก็ย่อมมีผ่านหูผ่านตาไปบ้างค่ะ ดีใจที่กลับมาเจอเช่นเดียวกันจ้ะ..
     
  11. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    พูดถึงเรื่องการหายใจเนี่ยนะ..ต้องอย่าไปเคร่งเครียดกับมันให้มากนัก ควรอยู่ในอิริยาบทที่สบายๆไม่ต้องไปเกร็ง เวลาหายใจเข้าไปก็ให้ใช้ความรู้สึกตามเข้าไป แบบสบายๆ ที่จริงแล้วลมมันไม่ได้เข้าแต่ทางจมูกอย่างเดียวเท่านั้น มันเข้ามาจากทุกๆเซลล์ในร่างกายเรา เพียงแต่เราเคยชินกับการใช้จมูกหายใจ ในอินเดียพวกโยคีบางคนเอาหัวปักในดิน เอาเท้าชี้ฟ้าก็ยังสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ แต่เราไม่ต้องไปถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ให้รู้ไว้ว่าทุกเซลล์ของเรามันสามารถหายใจได้ หายใจเข้าไปแบบนิ่มๆ ไม่ต้องกระโชก ใช้ความรู้สึกจับไว้ ตามความรู้สึกลงไป หายใจเข้าให้เหมือนเป็นสายเล็กๆลงไปอย่าให้แตกกระจาย เข้าไปเท่าไรก็ตั้งลมไว้เท่านั้น(เช่น หายใจเข้านับ๑-๕,ตั้งอยู่ก็ต้องแค่๑-๕ เช่นเดียวกัน,หายใจออกก็ให้เท่ากันเหมือนกัน)พอตอนหายใจออกก็ต้องค่อยๆผ่อน อย่าปล่อยพรวดออกมาที่เดียว เปรียบประดุจการสาวไหม..ที่ต้องใช้ความนิ่มนวล ถ้าชำนาญแล้วขั้นต่อไปอาจจะเพิ่มคำภาวนา ซึ่งเราจะใช้นะโม๑๘คำ เป็นคำภาวนา ถามว่าทำไมต้องใช้นะโม๑๘คำ ไว้จะอธิบายตอนต่อๆไป แต่ตอนนี้ขอให้ฝึกตรงนี้ให้เกิดความชำนาญเสียก่อน ยังไม่ต้องสนใจคำภาวนา แล้วการฝึกลมหายใจนี้อย่าหลับตา ขอให้ลืมตาเอาไว้ เหมือนเราดูลมที่มันเข้า-ออก ยกเว้นตอนนอนที่เราสามารถหลับตาได้ คือทำๆไปแล้วเราก็หลับไปเลย ที่สำคัญคืออย่าไปเคร่งเครียด ทำแบบสบายๆค่อยๆทำไป .
     
  12. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    ขออนุโมทนาในบุญกุศลในครั้งนี้ด้วยค่ะ..ขอให้ถึงเป้าหมายได้โดยเร็วนะคะ..ส่วนการปฎิบัตินั้นนับว่าคุณเป็นผู้ที่มีพื้นฐานมาดี ถ้าเอาตรงนี้ไปเพิ่มเติมต่อยอดอีก คุณก็จะไปได้เร็วขึ้น การที่เราหายใจลงไปให้ลึกและเก็บลมเอาไว้นั้น เท่ากับเป็นการล้างขั้วปอด ทำให้ปอดได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มมากขึ้น และในขณะเดียวกันเราก็กำลังได้รับการลบข้อมูลเดิมๆ ซึ่งเปรียบเหมือนขยะที่มันสะสมอยู่ในใจของเราออกไป(ใจ เปรียบเหมือนเครื่องรับข้อมูล มันจะเก็บสะสมทุกเรื่องเอาไว้ ไม่ว่าจะดีหรือเลว) เมื่อเราทำบ่อยเข้าๆข้อมูลเดิมที่เป็นส่วนลบ ก็จะได้รับการกำจัดหรือลบทิ้งไป ทำให้เครื่องรับของเรามีที่ว่างที่จะรับข้อมูลดีๆเข้ามาใหม่ ต่อไปมันจะรับแต่สิ่งดีๆ อะไรที่ไม่ดีมันจะไม่รับ เราเองก็จึงรู้สึกเบาขึ้น เบาที่ไหน ก็เบาที่ใจไงล่ะ จึงเกิดเป็นความสุขขึ้นมา..
     
  13. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    กำลังฝึกลมหายใจตามที่พี่สอนอยู่ค่ะ
    เริ่มเข้าใจบ้างแล้วค่ะ จากที่ไม่เคยทราบมาก่อน เริ่มตั้งไข่ค่ะ...
     
  14. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    หายใจเข้าก็รู้..หายใจออกก็รู้..
    หายใจเข้าออกลึกๆอย่างมีสติ...
    จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ปฏิบัติดีแล้วด้วยค่ะ


    อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่
    อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลใหญ่
    มีอานิสงส์ใหญ่
    เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ลมอัสสาสะ
    ปัสสาสะ อันมีในภายหลัง อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติทราบชัดแล้ว ย่อมดับไป
    หาเป็นอันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติไม่ทราบชัดแล้ว ดับไปไม่ได้ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว สาธุ
     
  15. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    ตอนที่แล้ว..เราว่ากันไว้ถึงตอนที่เราจะมาหัดเชื่อมกายนอก(รูป)กับกายใน(นาม)กัน โดยที่ต้องใช้เสียงเป็นตัวเชื่อม
    เสียง..หรือ..วาจา เป็นคลื่นความถี่ เป็นพลังงาน จัดว่าเป็นปถวีธาตุ หรือธาตุดิน
    ส่วนรูปหรือกาย...เป็นวาโยธาตุ หรือธาตุลม ร่างกายของเราเคลื่อนไหวไปมาได้ ก็เพราะมีธาตุลมเป็นตัวทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
    ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ตัวในของเราหรือก็คือใจ..นั้น เป็นตัวที่เก็บข้อมูลทั้งหมดของเราเอาไว้ ไม่ว่าจะดีจะเลว จะเป็นบุญหรือบาป แต่สิ่งที่เราต้องการคือ..เราจะเข้าไปเอาข้อมูลส่วนที่เป็นบุญ ซึ่งเก็บไว้ที่ใจ เรียกว่า “ธนาคารบุญ” หรือ”บุญนิธิ” เรียกง่ายๆว่า..เราจะเบิกบุญเก่า เอามาใช้ได้อย่างไร พูดง่ายๆก็คือ เราก็ต้องเข้าไปให้ถึงตัวใน หรือใจ ให้ได้นั่นเอง
    ซึ่งการจะเข้ากายในได้..ก็มีอยู่วิธีเดียวคือ”การฝึกสติปัฎฐาน”เท่านั้น
    ทำไมถึงต้องเป็น”สติปัฎฐาน”...เพราะข้อแรกของสติปัฎฐานคือ การเข้าถึง..กายในกาย ซึ่งเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราจะทำได้ ส่วนข้ออื่นๆนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราๆท่านๆจะทำได้
    การฝึกสติปัฎฐาน..ก็คือ การค้น”สติ” ให้เจอ
    สติ มีธรรมชาติของการระลึกรู้อารมณ์ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วก็คือ ตัวใน หรือ ใจ นั่นเอง ซึ่งการที่เราจะหาสติให้เจอได้นั้น ก็ต้องมีการฝึก โดยการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายภายนอก กับภายในให้เป็นหนึ่งเดียว(เชื่อมรูปกับนาม)ซึ่งต้องมีการฝึก ด้วยการใช้เสียงเป็นตัวเชื่อม.
     
  16. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    การที่เราต้องใช้เสียงเป็นตัวเชื่อมเพราะเราต้องใช้สมาธิในการเข้าถึง"ตัวใน"หรือเข้าถึง"กายในกาย" ...
    สมาธิ(เป็นคำเดียวกับสมาส) คือ การรวมเป็นหนึ่งของกาย วาจา และ ใจ
    วาจา(เสียง) เป็น ปถวีธาตุ หรือธาตุดิน เป็นการปรับเอาคลื่นภายนอก(รูปกาย)ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับกายใน(ใจ)
    ในการฝึก เราจะฝึก๓ระดับ คือ กาย+วาจา+ใจ
    ในขั้นตอนแรกนี้..เราจะเอาเชื่อมวาจากับใจก่อน ส่วนกาย..เราจะยังไม่เอาเข้ามาในตอนนี้
    เปรียบดังว่าเราจะให้คนขับรถ ซึ่งก็คือ"ใจ" ให้เรียนรู้กฎจราจรเสียก่อน ก็คือให้"ใจ"กับ"จิต" มันรู้จักกันเสียก่อน ก่อนที่จะให้ออกไปขับรถ ซึ่งก็คือ"กาย"
    แล้วเราจะฝึกได้อย่างไร...เราก็ต้องหัดออกเสียงในใจก่อน เช่น หัดร้องเพลงในใจ แล้วให้ปากออกเสียงตาม หรือจะเปลี่ยนเป็นสวดมนต์ก็ได้ ลองดู..ถ้าปากออกเสียงก่อนแล้วใจตามทีหลัง อย่างนี้เรียกว่า"ปริกรรม" แต่ถ้าใจสวดก่อนแล้วปากออกเสียงตาม เรียก"ภาวนา" ซึ่งต้องใช้ใจเป็นตัวนำ แต่ในระหว่างที่ทำนี้เราก็ต้องตั้งใจก่อน โดยการสูดลมหายใจลงไปลึกๆ ดังที่เราได้ฝึกกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ตรงนี้แหละที่เราเรียกว่า"ภาวนามัย" ซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ๑๐ ซึ่งเป็นกุศลอันสูงสุดแห่งกุศลทั้งหลายใน๑๐อย่าง ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า "แม้ได้สมาธิชั่วขณะจิตหนึ่ง ย่อมได้กุศลมากกว่า สร้างเจดีย์ทองคำที่สูงจากมนุษย์โลกถึงพรหมโลก"
    ทั้งนี้เพราะด้วยภาวนามัยเท่านั้น ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น คือพระนิพพาน ต่ำสุดเป็นรูปพรหม สูงกว่าเทพยดาทั้งหลาย ดังนั้นผู้ที่ปฎิบัติจึงได้การอุปถัมภ์ และอารักขาจากเทวดาทั้งปวง
    แต่ตอนนี้ให้ลองฝึกเชื่อมเสียงกับใจไปก่อน โดยวิธีที่บอกไปขั้นต้นก่อน หรือถ้าไม่ร้องเพลง ก็อ่านหนังสือก็ได้โดยลองอ่านสักหนึ่งย่อหน้า อ่านในใจก่อน..แล้วอ่านออกเสียงโดยอ่านในใจแล้วให้ปากออกเสียงตาม อย่าลืมหายใจลงไปให้ลึกๆก่อน แล้วเวลาอ่านให้รู้สึกว่าคำพูดมันออกมาจากจุดที่ที่ลมมันลงไปสุดตรงนั้นแหละ..ฝึกไปเรื่อยๆก่อนนะคะ.
     
  17. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    คราวที่แล้วได้พูดถึงการเชื่อมวาจา(เสียง) กับ ใจ ไปแล้ว เรามาว่ากันต่อ....
    โดยปกติคนเรานี่..มักจะจำเสียงตัวเองไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทำให้บางครั้งเราก็เลยไม่เคยได้ยินเสียงตัวข้างในเรา แล้วจะทำอย่างไรจึงจะทำให้เราจำเสียงตัวเราได้ล่ะ..
    เอาอย่างนี้นะคะ..ลองอัดเสียงของเราดู ถ้ารู้สึกเขินๆก็ลองแบบนี้ดูค่ะ
    -ลองเปิดเสียงสวดมนต์บทไหนก็ได้ที่เราชอบ แล้วเราก็สวดตามไปด้วย(อย่าลืมตั้งลมด้วยนะ) พร้อมทั้งอัดเสียงไปด้วย แล้วเราก็เอามาเปิดฟัง คราวนี้เราก็จะได้ยินเสียงของเรา ฟังบ่อยๆก็จะจำเสียงตัวเองได้ ถ้าไม่สวดมนต์ก็เปลี่ยนเป็นร้องเพลงก็ได้ค่ะ เพียงแต่อย่าลืมตั้งลมไปด้วย ลองอัดเสียงแบบตั้งลมกับไม่ตั้งลมดูนะ แล้วลองเปรียบเทียบดู ถ้าหายใจลงไปให้ลึกแล้วเปล่งเสียงออกมา กับออกเสียงเฉยๆโดยไม่ได้ออกมาจากจุดที่สุดลม(ซึ่งที่เราเรียกว่า ใจ ) เสียงจะแตกต่างกันค่ะ แล้วเจอกันค่ะ สงสัยอะไรก็เข้ามาคุยกันนะคะ.
     
  18. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    ความถึงพร้อมด้วย”สมาธิ” ต้องอาศัย”อานาปานสติ”...
    ก็ทำไมถึงต้องเป็น”อานาปานสติ”เล่า..ก็ในบรรดาสมาธิทั้งหมด “อานาปานสติ” สมาธิภาวนานี่แหละ เป็นประธาน เป็นหลักใหญ่แห่งการปฎิบัติของพระสัพพัญญูโพธิสัตย์ทุกพระองค์ เพราะพระสัพพัญญูโพธิสัตย์ทุกพระองค์ มีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิอันนี้แหละ จึงได้ทรงตรัสรู้แจ้งตามความเป็นจริง..
    อานาปานสติกัมมฐาน เป็นของยากอบรมได้ยากในการตั้งตำแหน่ง(ภูมิ=นิยม=ที่ตั้ง) ของมหาภูตรูป(ธาตุทั้งสี่)นั้นด้วยใจ(มนัสสิการ)อันเป็นภูมิของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธบุตรทั้งหลาย(เห็นธรรม=เห็นตถาคต,ธรรม=ที่ตั้ง)
    คำว่า”อานาปานสฺสติ”มาจาก
    อา=อัสสาสะ ลมหายใจเข้า , ปา=ปัสสาสะ ลมหายใจออก
    นสฺส= มนสฺส(มนัสสะ)=ใจ , สติ=ธรรมชาติแห่งการระลึกรู้อารมณ์โดยอาศัยนิมิต(เครื่องหมาย)
    เหตุที่”อานาปานสติ” ต้องปฎิบัติควบคู่ไปกับ”มหาสติปัฎฐาน๔” ก็เพราะว่า ต้องใช้อานาปานสติเพื่อเข้าถึงกายในกาย ตามหลักสติปัฎฐานสี่ข้อแรก คือ”กายในกาย”
    ทำไมต้องเข้าถึงกายในกาย จึงจะเห็นแจ้งพระนิพพาน?
    เพราะ..การเข้าถึงกายในกาย คือ หนทางเส้นเดียวเท่านั้นที่มุ่งไปสู่การหลุดพ้นจากสังสารวัฎ(นิพพาน) ไม่มีเส้นทางอื่น
     
  19. สาธินี

    สาธินี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +923
    จะเห็นได้ว่าการที่จะเข้าถึงกายในได้ ก็มีอยู่วิธีเดียวคือ ต้องอาศัยลมเท่านั้นที่จะหากายในได้เจอ...เรามาเข้าสู่ขั้นตอนการปฎิบัติให้ได้ผลจริง โดยย่อกันเลยค่ะ.
    ๑.หาที่ตั้งของใจ - หายใจเข้าไปให้สุด = ที่ตั้ง
    ๒.สดับ - สำเหนียก - เสียงกายใน (ซึ่งต่อไปเราจะใช้ นะโม ๑๘ คำ)
    ๓.เชื่อมกายในกับกายนอกด้วยวาจา ออกเสียงให้พร้อมกัน = วาจา+ใจ (หัดอ่านหนังสือออกเสียง)
    ๔.กายใน เชื่อมวาจา และใจ กายนอก - ชักประคำ(ฟังไปก่อน อย่าเพิ่งตกใจ) ประกอบวาจา=ใจ (เปล่งวาจาจากฐานที่ตั้งของใจ=เชื่อมกายนอก) เรียกว่า กายปัสสัทธิ(กายนอก+อัสสาสะ-ลมหายใจเข้า+ปัสสาสะ-ลมหายใจออก+มนัส-ใจ+สมาธิ)=กาย,วาจา,ใจเป็นหนึ่งเดียว.
     
  20. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    สงสัยว่าจะต้องหาเวลาไปร่ำเรียนบ้างแล้ว วิชาสุวรรณโคมคำ ยังมีอะไรดีๆที่เรายังไม่รู้อีกเยอะเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...