บุญถวายของเป็นคู่!!!ถวายเจดีย์คู่108คู่บรรจุพระบรมฯประดิษฐานบนในองค์พระ108องค์

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย เก๋ณัฐา, 4 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ได้โอนเงิน 100 บาท วันที่ DATE 23/02/13 เวลา TIME 9.44 ธนาคาร GSBP เครื่อง NO. 874_051 ประเภท TRAN ORFT ลำดับ REC. 1436 จากบัญชี FROM A/C GSBP 641346*** เข้าบัญชี To A/C SCBA 5302755424
    ชอโมทนามา ณ ที่นี้ สาธุ
     
  2. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการคะ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรวันเกิดนะคะ ขอให้สมพรปากคะสาธุ
     
  3. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ขอบคุณนะจ๊ะน้องธรรมวิวัฒน์ สาธุจร้า อธิษฐานไว้แล้วจ๊ะขอให้สำเร็จทางโลกทางธรรมตามที่ปรารถนาจะได้มีกำลังสร้างบารมีให้สำเร็จไปด้วยกันเช่นกันจร้าสาธุ
     
  4. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการคะปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สำเร็จสมปรารถนาโดยฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  5. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    วันมาฆบูชาในไทย เพิ่งมีในสมัยรัชกาลที่ 4

    ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จึงถือเอา "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติ แม้จะไม่มีระบุไว้เป็นกฎหมายก็ตาม

    ในบรรดาศาสนาทั้งหลายในโลกนั้น มีบันทึกไว้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อายุเก่าแก่เป็นอันดับ 2 รองจากศาสนาพราหมณ์ที่ดำรงอยู่ในรูปของศาสนาฮินดู

    หากนับวันเวลามาถึงปัจจุบันนี้ "พระพุทธศาสนา" ถือกำเนิดขึ้นในโลกเมื่อ 49 ปีก่อนพุทธศักราช เพราะพุทธศักราชเริ่มนับ 1 ถัดจากปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในดินแดนของประเทศอินเดีย หรือปัจจุบันระบุว่าเป็นประเทศเนปาล

    ก่อนจะเกิดวันสำคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนานั้น เริ่มจากการที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วทุกแห่งหนในอินเดียและประเทศใกล้เคียง แรกๆ ก็เสด็จพระองค์เดียว แต่ต่อมาเมื่อมีสาวกมากขึ้น ก็ให้พุทธสาวกออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วย ทำให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งในอินเดีย เนปาล เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ

    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่งนั้น คือ "วันมาฆบูชา" ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 ความรู้ที่สืบทอดกันมาเกี่ยวกับวันมาฆบูชา มีว่า...

    ที่เรียก มาฆบูชา นั้น คำว่า "มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน 3 คำว่า "มาฆบูชา" ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" มีความหมายว่า "การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 3" ฉะนั้นวันมาฆบูชา จึงตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3

    แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือนแปดสองหน วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา

    ตามตำราที่เล่าเรียนกันมาระบุว่า วันมาฆบูชา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

    คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" เป็นคำสนธิ สามารถแยกศัพท์ได้ คือ "จาตุร" แปลว่า 4

    "องค์" แปลว่า ส่วน

    และ "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาต จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4"

    ดังนั้น จึงพูดกันติดปากว่า วันมาฆบูชา มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะครบพร้อมด้วยองค์ 4 คือ

    1.เป็นวันที่พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย 2.พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น 3.พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์แล้วทุกรูป 4.เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวย "มาฆฤกษ์"

    สำหรับในประเทศไทย วันมาฆบูชา เพิ่งจะถูกจัดให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

    "พระราชกวี" รองอธิการฝ่ายวิชาการ มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมก.) อธิบายถึงเรื่องนี้ ว่า ความสำคัญของวันมาฆบูชาในประเทศไทย เริ่มจัดให้มีพิธีสำคัญและนับเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาในสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องนี้ถูกระบุในหลักสูตรการเรียนการสอนของพระสงฆ์ ว่ารัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโองการประกาศให้จัดพิธีทำบุญตักบาตรในวันเพ็ญ เดือน 3

    "ทรงเห็นว่าวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่มีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ควรแก่การระลึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่ทรงเผยแผ่พุทธศาสนาให้กับชาวโลกได้หลุดพ้นจากความทุกข์ และเพื่อให้เห็นว่าเป็นการแสดงอุดมการณ์ตามหลักการดำเนินงานในพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน จึงนำวันมาฆบูชาขึ้นมาเป็นวันสำคัญทางศาสนา อีกอย่างก็เพื่อเตือนให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาร่วมกิจกรรมน้อมนำระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยการประกอบคุณงามความดี"

    ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการจัดงานวันมาฆบูชา โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ยกขึ้นให้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาติไทยโดยประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ

    การปิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชา มีการทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า แล้วไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด ส่วนตอนบ่ายพระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา ตกกลางคืนประชาชนชาวพุทธจะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เริ่มมีบันทึกเกี่ยวกับวันมาฆบูชาเป็นหลักฐาน แต่ไม่ได้เรียก มาฆบูชา เรียก วันศิวาราตรี

    บันทึกดังกล่าวเป็นเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินยังประเทศอินเดีย ทรงเล่าถึงรายละเอียดของพิธีศิวาราตรี ที่เมืองพาราณสี ซึ่งได้เสด็จฯไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง

    "...พิธีศิวาราตรีนี้เป็นพิธีลอยบาปของพราหมณ์คล้ายๆ มหาปวารณา จึงโปรดให้ทำตามธรรมเนียมเดิม

    พิธีนี้ทำในวันเพ็ญเดือนสาม ขึ้น 15 ค่ำ คือเวลาค่ำพระมหาราชครูทำพิธี เริ่มแต่กระสูทธิ์อัตมสูทธิ์ตามแบบเหมือนพิธีทั้งปวงแล้วเอาเสาปักสี่เสา เชือกผูกคอหม้อโยงเสาทั้งสี่ ภายใต้หม้อตั้งพระศิวลึงค์

    เจาะหม้อให้น้ำหยดลงมาได้ทีละน้อยเอาขลังสอดไว้ในช่องหม้อที่เจาะนั้น เฉพาะตรงพระศิวะลึงค์ให้น้ำหยดลงถูกพระศิวลึงค์ทีละน้อย แล้วไหลลงมาตามรางซึ่งรองรับพระศิวลึงค์ พราหมณ์ในประเทศอินเดียซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเห็นเรียกว่า โยนี แล้วมีหม้อรองที่ปากรางนั้นเติมน้ำและเปลี่ยนหม้อไปจนตลอดรุ่ง

    เวลาใกล้รุ่งทำพิธีหุงข้าวหม้อหนึ่งในเทวสถาน เจือน้ำผึ้ง น้ำตาล นม เนย และเครื่องเทศต่างๆ สุกแล้วแจกกันกินคนละเล็กคนละน้อยทุกคนทั่วกัน พอได้อรุณก็พากันลงอาบน้ำในคลอง สระผมด้วยน้ำที่สรงพระศิวลึงค์ ผมที่ร่วงในเวลาสระน้ำเก็บลอยไปตามน้ำ แต่การพิธีนี้ไม่มีของหลวงพระราชทาน

    เป็นของพราหมณ์ทำเอง เมื่อพิเคราะห์ดูการที่ทำนี้เห็นว่าจะเป็นการย่อมาเสียแต่เดิมแล้ว..."

    การทำบุญในวันมาฆบูชานี้ เพื่อเป็นการบูชาให้ถูกต้องตามหลักการของคำว่า "มาฆบูชา" ที่แปลว่า การบูชาพระรัตนตรัยในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือเดือนสาม นอกเหนือจากการบูชาตามปกติของวันสำคัญทางพุทธศาสนาด้วยการสมทานศีล ฟังธรรม ถวายทาน และเวียนเทียนแล้ว ควรจะมีการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นยอดแห่งการบูชาทั้งปวง และเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ...

    "การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส"

    พระราชกวี

    "ความจริงวันมาฆบูชาคนไม่ได้ไปทำบุญน้อย หรือรู้จักกันน้อย อย่างที่กำลังถกเถียงกัน เพราะจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ตามวัดวาอารามต่างๆ เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนาเช่นวันนี้ พุทธศาสนิกชนยังคงไปทำบุญตักบาตรที่วัด และเวียนเทียนกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงนี้ ซึ่งแต่ละคนต้องการความสงบสุขสันติ และต้องการที่พึ่งทางใจ หลบหลีกจากความวุ่นวาย ก็จะเข้าวัดทำบุญ อาตมาเห็นว่า 2-3 ปีที่ผ่านมานี้คนเข้าวัดเยอะขึ้น อย่างปีที่แล้วเวียนเทียนต้องจัดถึง 2 รอบ คือเพิ่มบริเวณชั้นในให้คนได้เข้าเวียนเทียนในวัด

    และที่คนเข้าใจว่า วันวาเลนไทน์ คนรู้จักมากกว่าวันมาฆบูชานั้น ยอมรับว่าจริง เป็นเพราะคนที่เขาจัดงานวันวาเลนไทน์มีการโฆษณาเยอะมาก พุทธศาสนาก็ถูกกีดกันมาตลอด เราเป็นพระจะไปโฆษณาก็ไม่ได้ แต่เอกชนเขาพิเศษทุ่มงบประมาณโฆษณาครั้งหนึ่ง 400-500 ล้าน คนสมัยนี้เขาชอบอะไรแบบนั้น

    เพราะฉะนั้น ที่พุทธศาสนิกชนผู้ทำดีทั้งหลาย นอกจากทำบุญแล้ว ก็อย่าลืมปฏิบัติธรรมอย่างที่พระพุทธองค์ท่านทรงกล่าว ทำความดีละเว้นทำชั่ว ทำดีให้สมบูรณ์ถึงพร้อม ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่เบียดเบียนกันและกัน"
     
  6. จ้อนศุภกฤต

    จ้อนศุภกฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +736
    วันนี้กระผมได้โอนเงิน 300 บาท เวลา 13.25 น. ร่วมทำบุญถวายเจดีย์ 108 คู่บรรจุพระธาตุองค์ปฐมประดิษฐานบนเศียรองค์ปฐม และขออนุโมทนาบุญทุกท่านที่ได้มีส่วนร่วมสร้างมหากุศลในครั้งนี้ด้วยครับ สาธุ
     
  7. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาะการเป้นอย่างยิ่งอันใดติดขัดขอให้คลี่คลายอันใดปรารถนาขอให้สำเร็จโดยฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  8. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,434
    ร่วมทำบุญถวายพระเจดีย์ 108 คู่
    จำนวน 20 บาท โอนแล้ว ธ.ไทยพาณิชย์ ในวันที่ 25 ก.พ.56
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ
     
  9. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    วันนี้วันมาฆบูชา สำหรับหลายๆท่านที่หยุดไปทำบุญต่างจังหวัดขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สำหรับหลายๆท่านที่ไม่ได้ไปไหนแบบเก๋ ก็ไม่เป็นไรคะ ยังไงเราสามารถสวดมนต์ไหว้พระอยู่ที่บ้านได้นะคะ สำหรับเก๋เก๋ก็ฉลองของเก๋ตลอดคะ โดยการปฏิบัติธรรม นั่งกรรมฐานอยู่ที่บ้าน วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วคะเย็นนี้ไม่พลาดแน่นอนคะ รอเกือบทุ่มฟ้ามือปั๊บ เริ่มปฎิบัติธรรมทันทีเป็นการทำบุญระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชานี้คะ อนุโมทนาสาธุ วันนี้ขอตัวแค่นี้นะคะ
     
  10. ธรรมสถิต

    ธรรมสถิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +15,736
    อนุโมทนาบุญกับคุณเก๋ครับ สาธุ
     
  11. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งคะอันใดติดขัดขอให้คลี่คลายอันใดปรารถนาขอให้สำเร็จในฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุขอให้ศัตรูภัยพาลจงพ่ายภัยในฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  12. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งคะอันใดติดขัดขอให้คลี่คลายโดยฉัพบัลนเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  13. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    อนุโมทนากับทุกท่านครับ คุณตา คุณแม่ ผมและน้องชายร่วมด้วย 50 บาทครับ


    บัญชีผู้รับเงิน
    เลขที่บัญชี 5302755424 - พระ ชยางกูร โชติช่วง
    จำนวนเงิน
    จำนวนเงินที่ต้องการโอน 50.00 บาท
    ค่าธรรมเนียม 10.00 บาท
    วันที่ทำรายการ 26/02/2556 - 13:24:43
     
  14. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาะการเป็นอย่างยิ่งคะ อันใดติดขัดขอให้คลี่คลายอันใดปรารถนาขอให้สำเร็จโดยฉับพลันเทอญสาธุสาธุสาธุ
     
  15. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเจดีย์ 108 คู่
    เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    เพื่อประดิษฐานบนเศียร
    พระพุทธรูปองค์ปฐม 108 องค์ที่ 2
    ให้สำเร็จไปด้วยกันคะ
    อนุโมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2013
  16. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อานิสงค์วิหารทาน...พระอานนท์ถวายวิหารทานในพระพุทธศาสนา

    อานิสงค์วิหารทาน
    ในอดีตชาติพระอานนท์เถระยอดพุทธอุปัฏฐาก
    ได้เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่
    คณะสงฆ์นับแสนรูป
    การถวายวิหารเป็นสังฆาราม เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งพระบรม
    ศาสดาทรง มีพุทธานุญาต ตามคำกราบทูลขอของท่าน ราชคหเศรษฐี เนื่องจาก
    ทรงเล็งเห็นประโยชน์ว่า เป็นสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้สงฆ์ได้บำเพ็ญ
    สมณธรรม ขจัดขัดเกลากิเลสอาสวะในใจให้หมดสิ้นไป ดังนั้นวิหารทาน
    จึงเป็นมหาทานที่มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ส่งผลทำให้มีความสุขในทุกที่ ทุกสถาน
    และสมบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ กระทั่งนิพพานสมบัติ

    ดังเรื่องราวในอดีตชาติของพระอานนท์เถระ ยอดพุทธอุปัฏฐาก ที่ได้เคยสร้างมหาวิหารถวายเป็นสังฆทานแด่คณะสงฆ์นับแสนรูปทำให้ท่านได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ส่งผลให้ความปรารถนาของท่านเต็มเปี่ยมในภพชาติสุดท้ายจนมาเป็นบุคคลผู้ใกล้ชิดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากที่สุด มีโอกาสได้ฟังธรรมและสอบถามธรรมะ ในสำนักของพระบรมศาสดา จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ยอดของภิกษุผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก" และเป็น "ยอดของภิกษุผู้เป็นพหูสูต"อีกด้วย ดังเรื่องราวในอดีตชาติดังต่อไปนี้

    ในแสนกัปนับแต่ภัทรกัปนี้ พระบรมศาสดา ทรงพระนามว่า "ปทุมุตตระ"ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก แต่เดิมพระองค์ทรงมีพระนามว่า"อุตตรกุมาร" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอานันทะ แห่งนครหังสวดี ด้วยบุญบารมีที่ได้ทรงสั่งสมมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ทุกครั้งที่ทรงยกพระบาทเพื่อจะเหยียบลงบนแผ่นดินดอกบัวหลวงดอกใหญ่ก็ชำแรกแผ่นดิน ขึ้นมา กลีบดอกบัว วัดได้ ๙๐ ศอก เกสร ๓๐ ศอก ฝัก ๑๒ ศอก มีละอองเกสรประมาณ ๙ หม้อ ส่วนพระบรมศาสดา ทรงมีความสูง ๕๘ ศอก ระหว่างพระพาหาทั้งสองวัดได้ ๑๘ ศอก พระนลาต ๕ ศอก พระหัตถ์และพระบาทยาว ๑๑ ศอก เมื่อพระองค์ทรงเหยียบดอกบัว ละอองเกสรที่มีประมาณ ๙ หม้อ ก็ฟุ้งขึ้น กลิ่นหอมกระจายไปทั่วทุกสารทิศ จึงทำให้พระองค์ทรงมีพระนามเช่นนั้น


    สุมนกุมารปรารถนาตำแหน่งภิกษุผู้ใกล้ชิด
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระพุทธองค์ทรงมีพระเชฏฐภาดา คือ น้องชายร่วมบิดา ชื่อสุมนกุมารแม้จะไม่ได้เสด็จออกผนวชตามพระเจ้าพี่ แต่ก็มีความเคารพเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อว่างเว้นจากกรณียกิจก็หาโอกาสไปฟังธรรมจากพระบรมศาสดาเป็นประจำมิได้ขาด ทุกครั้งที่เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าพี่นั้น สุมนกุมารสังเกตเห็นว่า พระเถระชื่อสุมนะ เป็นที่โปรดปราน

    ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพิเศษ เวลาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ต้องขออนุญาตจากพระเถระรูปนี้ก่อน เพราะท่านจะรู้เวลาอันควรหรือไม่ควร ทำให้พระกุมารอยากได้รับตำแหน่งของภิกษุผู้ใกล้ชิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง จึงปรารภกับพระพุทธองค์

    พระบรมศาสดาทรงแนะนำให้สุมนกุมารเริ่มทำทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถศีล จึงจะเป็น ที่โปรดปรานของพระองค์ จากนั้นทรงรับสั่งให้ พระกุมารสร้างมหาวิหารขนาดใหญ่ เพื่อรองรับภิกษุถึง ๑แสนรูปที่จะมาฉันภัตตาหารในพระราชวัง สุมนกุมารจึงซื้ออุทยานของกุฎุมพีโสภะ ในราคา ๑ แสนกหาปณะ อีกทั้งทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ อีก ๑ แสนกหาปณะ เพื่อสร้างมหาวิหารทันที ทรง รับสั่งให้สร้างพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้สร้างกุฎีและมณฑปเพื่อเป็นที่พักสำหรับ ภิกษุสงฆ์


    เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้อาราธนาภิกษุสงฆ์ ๑ แสนรูป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานมา ฉันภัตตาหาร แล้วกล่าวคำน้อมถวายมหาวิหารว่า "ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จงทรงรับอุทยานชื่อโสภนะ ที่ข้าพระองค์ทรงสร้างเป็นมหาวิหารสำหรับภิกษุสงฆ์
    ด้วยเถิด"
    พระกุมารทรงถวายมหาทานตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่ภิกษุ ๑ แสนรูป แล้วทูลขอพรว่า

    ่"ข้าพระองค์ได้สร้างวิหารถวายแด่ภิกษุสงฆ์ครั้งนี้ มิได้กระทำบุญเพราะหวังสมบัติ คือ ความเป็นท้าวสักกเทวราชทั้งมิได้กระทำเพราะหวังพรหมโลกเลย แต่ทำเพราะปรารถนาความเป็นพุทธอุปัฏฐาก อยากเป็นที่โปรดปรานเหมือนพระสุมนอุปัฏฐากของพระองค์
    ในอนาคตกาล ด้วยเถิด"


    สุมนกุมารสร้างวิหารแล้วถวายมหาทานตลอด ๗ วัน


    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูว่า ่"ความคิดอันยิ่งใหญ่ของพระกุมารนี้ จักสำเร็จหรือเปล่าหนอ ทรงทราบว่า ในกัปที่หนึ่งแสนนับจากภัทรกัปนี้ไป พระโคดมพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้น และพระกุมารนี้จักได้เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงตรัสให้พรว่า
     
  17. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    "กรรม" ไม่มีเอียง (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    [​IMG]


    สัตว์ไปตกนรกถามถึงเรื่องกรรม กรรมของสัตว์นี้ก็มีมาตลอด มาถึงจุดนี้ๆ นั่น
    เห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มาตกตูมเอาเลย ตกมาด้วยสายของกรรมส่งเข้ามาๆ
    ทั้งนั้น เมื่อส่งเข้ามานรกหลุมใด สุขที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ภพใด ชาติใดมันก็ต้อง
    เป็นผู้เสวยอยู่ตามภพชาตินั้นๆ เช่น ส่งมาเป็นมนุษย์นี้ เราเองไม่รู้ว่าเราเกิด
    มาจากอะไร เราถึงได้มาเป็นมนุษย์

    นี่ให้พระพุทธเจ้าทายปุ๊บทันทีเลยไม่ต้องนานละ นี่แต่ก่อนเธอสร้างอันนั้นๆ
    มาได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้คือ ความดีนั้นแหละ เรื่องความชั่วไม่มีหวัง ถ้า
    เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเศษมนุษย์ เศษส้วมเศษถานไปอีก ไม่ว่าจะเป็นส้วม
    เป็นถานยังเศษไปอีก นู่น เกิดเป็นอะไรๆ มาตามสายทั้งนั้น

    เป็นมนุษย์เป็นสัตว์แต่ละประเภท มาตามสายของกรรมตัวเองที่สร้างมาๆ
    สร้างดีสร้างชั่ว กรรมของตัวเองสร้างมา ไม่มีผู้อื่นใดมาสร้างให้ แล้วใครจะ
    มาลบล้างได้

    นี่ละเป็นอย่างนั้น ฟังซิสัตว์ตกนรกอยู่นั้น พระพุทธเจ้าทำนายซิ สัตว์ตัวนี้ตก
    นรกนี้เพราะทำกรรมอะไร ทำกรรมอันนั้นๆ บอกตลอดถึงตัวเหตุเลย ทำมา
    จากโน้นมาถึงนี้ ทำจากโน้นมาถึงนี้ๆ สัตว์นรกแต่ละรายๆ จะบอกสายทางเข้า
    มาตลอดๆ นะ

    ใครทำดีทำชั่วขนาดไหน บรรดาสัตว์ทั่วโลกจะมีมาตามสายทางทั้งนั้นๆ สาย
    ทางบุญทางกรรม ทำชั่วก็มาตามสายทางชั่ว กรรมดีก็มาตามสายทางดี
    เหมือนนักโทษ นักโทษยังมีแน่นอนบ้างไม่แน่นอนบ้าง

    แต่พอเป็นหลักฐานได้ก็คือว่า ที่เป็นนักโทษนี่เพราะอะไร เพราะเขาไปฉกไป
    ลักไปปล้น คนนี้ไปลักคนนี้ไปขโมย คนนี้ไปปล้น มันก็มีสายทางของมันเข้ามา
    บางคนบริสุทธิ์แต่สู้หลักฐานพยานเขาไม่ได้ เขาเอาหลักฐานพยานมาทับ ทั้งๆ
    ที่บริสุทธิ์เขาหาว่าไม่บริสุทธิ์ ติดคุกได้อยู่ แต่อันนี้ก็เป็นกรรมของผู้นี้อีก

    เหตุแต่ก่อนที่มาเป็นคนบริสุทธิ์มาติดคุกนี้ คือแต่ก่อนไปแกล้งทำเขาอย่างนั้นๆ
    ให้เขาเป็นอย่างนั้นๆ แน่ะ มีอีกเข้าใจไหมล่ะ ไม่ใช่อยู่ๆ มานะ ที่แกล้งทำเขา
    ที่บริสุทธิ์ให้เป็นคนมีโทษมีกรรม แล้วกรรมนั้นตามมาจึงได้มาเป็นนักโทษทั้ง
    ที่ไม่ได้ขโมย แน่ะ มันมีสายกรรมมาอย่างนั้นตลอด

    สายกรรมจะไม่ปล่อยสำหรับผู้ทำเลย ใครทำสัตว์ทำ สัตว์ไม่รู้กรรมก็ตาม
    กรรมไม่เอียง กรรมทางดีทางชั่วเป็นกรรมมาตลอดในสายสัตว์สายบุคคล
    ตลอดไปเลย อย่าพากันประมาทนะ ไม่พ้นจากสายกรรมติดตัวไปเอง

    ไม่ว่าไปทางดีทางชั่ว มาเกิดเป็นมนุษย์ไปสวรรค์ชั้นพรหมเพราะกรรมอะไรๆ นี้
    กรรมของตัวเองนั้นแหละ ติดแนบไปเรื่อย ส่งไปด้วยๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน
    เพราะอะไรอีก แน่ะ ก็คือว่าสร้างบารมีคือความด้ล้วนๆ ถึงขั้นเต็มที่แล้วหลุดพ้น
    แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ พากันจำเอา

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    Luangta.Com -

    http://palungjit.org/threads/กรรม-ไม่มีเอียง-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.452347/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 97.jpg
      97.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.5 KB
      เปิดดู:
      110
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  18. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    "ศีล" ทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

    [​IMG]


    สีลัง ยาวะ ชรา สาธุ
    ศีลทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา ดังนี้

    ผู้ไม่มีศีลได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรก ดังท่านแสดงไว้ในเรื่องโทษของศีลว่า
    ผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้นๆ นอกจากจะเป็นผู้สกปรก เดือดร้อนด้วยโทษนั้นๆ แล้ว

    เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ มีนรกเป็นที่สุด เมื่อเสวยผลของกรรมนั้นพอควร
    แล้ว จึงจะพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคนแล้วได้รับเศษกรรมนั้นอีก ดังนี้ ...

    ๑ .. โทษของการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ..
    จะเป็นผู้มีอายุสั้นพลันตาย เป็นคนขี้โรค ทรมาน
    รูปร่างก็น่าเกลียด ไม่มีใครเมตตาเอ็นดู

    ๒ ..โทษของการฉ้อโกง ลักขโมยของเขา ..
    จะเป็นคนจนทรัพย์อับปัญญาอนาถาหาที่
    พึ่งมิได้ หาทรัพย์มาไว้ได้ ก็จะมีแต่คนมาฉ้อโกง
    ลักขโมยเอา และฉิบหายด้วยภัย ต่าง ๆ

    ๓ .. โทษของการประพฤติมิจฉาจาร ..
    เมื่อได้ลูกเมียมาจะได้แต่คนว่ายากสอนยาก
    ประพฤตินอกใจ ทำให้ชอกช้ำใจเป็นทุกข์มาก

    ๔ .. โทษของการกล่าวเท็จโกหกเป็นต้น ..
    เมื่อเกิดมาเป็นคนพูดจาสิ่งใดไม่มีคนเชื่อ
    ถ้อยฟังคำ มีแต่เขาจะมาหลอกลวงให้เสียทรัพย์
    เสียดสีด่าว่าหยาบคายต่าง ๆ นานาเป็นต้น

    ๕ .. โทษของการดื่มสุราเมรัย ..
    จะเป็นคนบ้านใบ้เสียจริตผิดมนุษย์
    อีกทั้งเป็นคนโง่เขลา เบาปัญญาไม่น่าคบ

    นี่โทษของการไม่ตกแต่งฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ
    ตามศีลธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรกเศร้าหมอง
    ทั้งที่เป็นมนุษย์และละโลกนี้ไปแล้ว

    ด้วยเหตุนี้ จึงควรแต่งกาย วาจา ใจ
    ให้สะอาดเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

    เพราะถ้าไม่สะอาดแต่เมื่อยังอยู่ในโลกนี้
    ตายไปแล้วก็จะเป็นผู้สกปรกไม่สะอาดใน
    โลกหน้าต่อไปอีก ดังแสดงมาแล้ว ..

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... x-page.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images1.jpg
      images1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.3 KB
      เปิดดู:
      132
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  19. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเจดีย์ 108 คู่
    เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    เพื่อประดิษฐานบนเศียร
    พระพุทธรูปองค์ปฐม 108 องค์ที่ 2
    ให้สำเร็จไปด้วยกันคะ

    อนุโมทนาสาธุการคะ
     
  20. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    "กรรม" นี้เราสร้างเอง (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    [​IMG]


    เราเกิดมาทุกคนนี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรม
    ตกแต่งมาแล้วพร้อมมูลทุกคน

    ไม่มีใครจะเอาไปเพิ่มให้ใครได้ เรียกว่าพอเหมาะพอดีกับกรรม
    ของตัวเองที่สร้างมาด้วยกันทุกคน

    เพราะฉะนั้นจงให้เห็นใจซึ่งกันและกัน ท่านแสดงไว้ว่า กมฺมํ
    สตฺเต วิภชติ นี่อันหนึ่ง สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้ง
    หลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    คือสัตว์เหล่านี้มีกรรมไปด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ให้ประมาทกัน ให้
    ต่างคนต่างส่งเสริม ให้เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันว่ามีกรรมด้วยกัน

    เราเป็นผู้สร้างเองกรรมของเรา จะไปตำหนิผู้หนึ่งผู้ใดมาสร้าง
    ให้เราอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ท่านจึงไม่ให้ตำหนิกัน ไม่ให้ดูถูก
    เหยียดหยามกัน

    ใครเกิดอยู่ที่ไหนในบ้านนอกในเมืองในป่าในเขาที่ไหน เกิดมา
    จากท้องแม่ เราก็มีกรรมฝังเข้าไปในนั้นทุกคน พ่อแม่ที่จะไปเกิดนี้
    เราก็เลือกเอาไม่ได้ ต้องกรรมเป็นผู้จัดสรรให้พาไปเกิด

    ถ้าหากว่าพ่อแม่เรียกมาเกิดในท้องได้ตามความต้องการแล้ว พ่อ
    แม่แต่ละคนๆ นี้จะไปเรียกเอาเทวบุตรเทวดามาเป็นลูกทั้งหมด
    เลยนะ พวกหมูหมาเป็ดไก่นี้ไล่หนีหมด

    ยิ่งไอ้หยองนี้เข้าอยู่วัดไม่ได้เลย เพราะไม่ใช่ประเภทพวกเทวบุตร
    เทวดา ถูกขับเลยไอ้หยอง แต่ที่อยู่ได้ก็เพราะไอ้หยองมันก็เป็น
    กรรมของมันเอง มันก็กรรมของไอ้หยอง

    กรรมของเราเข้าใจไหม ต่างตัวต่างคนมีกรรมด้วยกันท่านจึง
    ไม่ให้ประมาทกัน อยู่ด้วยกันได้

    : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
    Luangta.Com -

    อ้างอิง http://palungjit.org/threads/กรรม-นี้เราสร้างเอง-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.450427/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...