บรรลุธรรมแล้วเป็นเช่นไร?!?

........................พรหมธรรมอริย.........................
อินทรปัญญาสกุล พรหมธรรมสัจกุล ​

<<<ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นเข้าถึงเรา>>>​

 

บาลีในกาลก่อนผู้ชาญฉลาดยังสามารถเข้าถึงได้ฉันใด
ธรรมอันเราแสดงเป็นภาษาสากลนั้นก็เช่นกัน .....​

 

หากท่านทั้งหลายข้องใจใน สังโยชน์ข้อใด ถามกันมาได้ครับ
(เจาะจงประเด็นให้ชัดเจนในคำถามด้วยจะขอบคุณมากครับ)
โมทนา..

 

สงสัยข้อนี้หนะครับ

 

..............................................................................

 

ครับ สงสัยข้อนี้หนะครับ

พรหมธรรมอริย.........................
อินทรปัญญาสกุล พรหมธรรมสัจกุล

พวกนี้คืออะไร แปลว่าอะไรหรือครับ

 

...........ตามสบายท่าน อินทรบุตร เชิญสงสัยไปเต็มที่ ... 555

 

ลวกโลกทั้งใบใส่ชามก้วยเดี๋ยว
ใตรจะเชื่อ....................
อาตมีสงสัย
สงคือสง
สัยคือใส

ขอท่านเขริญในธรรมยิ่งลแ้ว

 

การแสดงธรรม มันก็ควรจะมีจุดมุ่งหมายหรือเปล่าครับ?
ถ้าแสดงธรรมอะไรสักอย่างออกมา แต่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ นำไปใช้ มันก็เป็นการแสดงเพื่อสนองกิเลสของตนเอง ใช่ไหมครับ?

 

ท่าน อินทรบุตร ท่านเคยระลึกชาติดูภพภูมิก่อนเกิดกายเป็นมนุษย์หรือเปล่า ..........

 

แบบตั้งใจไปดู ไม่เคยครับ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติในชาติปัจจุบัน ที่อยู่กับการมีสติ รู้ในปัจจุบันขณะ

แต่แบบไม่ตั้งใจ เคยเห็นแว้บๆ ก็ เข้าใจว่า เคยเป็นมาครบแล้วทุกภพภูมิครับผม

 

เจ้าของกระทู้ กู่ไม่กลับแล้วกระมั่งคะ

 

ประมาณนั้น

 

ขำกระรุ่ง
ขำกะริ่ง

บรรลุธรรมไปทำไม
เจ็ดทวีป

หรือขอเพียงลมหายจัยพัดผ่านเลยไปเพียงวูบเดียวก็พอ

ก็พอ............

 

ขำกลิ้ง,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

 

อ่านดูโดยรวมในนี้แล้ว นักธรรมที่เริ่มปฏิบัติโดยมาก
-บางท่านก็เข้าถึงเฉพาะ ศิล อย่างเดียว
-บางทางก็เข้าถึง สมาธิ แต่ก็มีบางท่านที่เข้าถึงองค์แห่งปัญญาซึ่งน่าสรรเสริญยิ่งนัก...
โมทนา....​

 

โมทนาครับ

ว่าแต่...

พรหมธรรมอริย.........................
อินทรปัญญาสกุล พรหมธรรมสัจกุล

ท่าน DR-NOTH ไม่ยินดีจะอธิบายว่าแปลว่าอะไรใช่ไหมครับผม?

 

การบรรลุธรรม ........... ไม่ใช่ การพัน อาสวะกิเลสครับท่าน .....มันแปลว่า ผู้รุ้ธรรม และสามารถ ปฏิบัติได้จริงครับ การพ้น สภาวะกิเลส เป็น อารมณ์ของพระอรหันต์ ทั้งสิ้นครับ เข้าใจใหม่ครับ ........... ในพระอรัหันต์เองก็ดี ก็ยังคง สภาวะกิเลส คงค้างบ้าง เป็นบางข้อหมวดหมู่ เช่นมีอาการกะวนกะวายจากทุกข์ ประจำ ครับ ...........ดังนั้น นิยาม ผู้บรรลุธรรมของท่าน ใช้ไม่ได้เลยครับ แต่นิยาม ของ ผู้บรรลุธรรม ที่แท้จริง ง่าย ๆๆๆๆๆๆๆ แค่ พลิกฝ่ามือครับ คือการ มองเห็น ทุกอย่าง เป็น ปกติ แค่นั้นครับ .............. ถ้ายังมอง ว่า การไม่มีกิเลส เป็นเรื่องวิเศษ อยู่ คือจิตยังยึด ในธรรม ครับ เพราะ ในทีสุด ของการ เป็นพระอรหันต์ แม้ ธรรม ที่ เรียนรู้ ถืออยู่ ก็ไม่ยึด และนำไป ... เป็นอารมณ์ ก่อนละสังขาร ไปนิพพาน ครับ ............... ดังนั้น ใคร ที่ใ้ช้ ชีวิต เป็นปกติ คือ ผู้บรรลุธรรมทั้งสิ้น แล้ว ชีวิต ปกติ คืออะไร ตอบ 1 ไม่เบียนเบียน คนอื่น เพื่อการ ดำรงชีวิต 2 มีการงานสุจริต ไม่ปล้นเขากิน 3 มีกามเป็นปกติ ไม่โลดโผน วิปริต 4 พุดแต่ สัจจะ ความจริง พูดแต่เรื่องดี เรื่องธรรม เรื่องบุญกุศล 5 ดื่มน้ำเปล่า เป็น ปกติ ไม่ดื่ม น้ำเมา ครับ นี่คือ ความเป็นปกติ ของ สามัญชน ทั่วไป แค่นี้ ก็ เป็น ผู้บรรลุธรรมอันประเสริฐได้แล้วครับ ......สิ่งทีท่าน เขียน นั้น เป็นความหลงในธรรม ครับ ........เป็นความเข้าใจที่ว่า .............เข้าใจแล้ว แต่จริงๆ มันคือ หลง ครับ การแก้ไข เบื้องต้น ............. ใช้ชีวิต ปกติ ไม่ต้องใช้ ศัพย์แสลง แสดงธรรมครับ การแสดงธรรมที่ดีคือ ต้อง พูดให้คน เข้าใจง่ายครับ ..... ถ้าพุดแล้วรู้คนเดียว เข้าใจคนเดียวคือ ......การ แสดง ธรรม ในตัว ที่ไม่ีมี ตัวธรรมที่เป็นตัวกลาง เรียกว่า .......... การเข้าใจคนเดียว อยู่ในหมวดหมู่ การบ้าฤทธิืครับ ................. ปล่อยไว้ นานๆ จะกลายเป็น คนวิกลทางญาณ ครับ และคิดว่าตัวเองนัั้น เป็นผู้วิเศษ ครับ.......... ท่าน เป็นคนธรรมดา ที่ กินข้าว ขี้ ปี้ และนอน เหมือนทุกๆๆคนในนี้ ครับ ............. ไม่ใช่ พรหมยง พรหมยาน อะไร เลยครับ ...........ทบทวนด้วยครับ ................

 

ความหมาย ผู้รู้ธรรม เห็นธรรม ของครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติ

ขออนุญาตครับ

ความหมาย ผู้รู้ธรรม เห็นธรรม ของครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติ คือ

ผู้ปฏิบัติที่ผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ คือ

ผ่านการสำรวมระวังตน ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด
เข้าวัด ปฏิบัติ ถือ อุโบสถศีล ตามโอกาสอำนวย
ปฏิบัติธรรมเองที่บ้านทุกๆวัน ไม่มีเว้น ติดต่อกันนานหลายปี
ผ่านขั้นตอน การสะสม กำลังสติ กำลังสมาธิ ระดับเต็มจนล้น
ผ่านการเห็นจิต ของตน อย่างชำนาญ อย่างช่ำชอง
ผ่านการ เห็นจุดเริ่มต้น ของความคิด ว่าเกิดเมื่อไร เกิดอย่างไร
ผ่านการเห็น การดำเนินไปของความคิดว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร
ผ่านการเห็นจุดสิ้นสุด ของความคิดว่า เรื่องนั้นๆ จบลงเมื่อไร จบลงอย่างไร
ผ่านการเห็นความคิดอันใหม่ ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องๆ เป็นตอนๆไป

แต่การรู้ธรรม เห็นธรรมที่แท้จริงนั้น
จะเริ่มต้นที่ "เมื่อมีคำถามผุดขึ้นมาในจิต"
ก็จะมีคำตอบ "ผุดขึ้นตามมา"
แล้วก็มีคำถามใหม่ "ผุดขึ้นตามมา"
แล้วก็จะมี คำตอบของคำถามใหม่ "ผุดขึ้นตามมา"
เป็นอย่างนี้ เรียงกันไปเป็นลูกโซ่ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
เมื่อชำนาญมากๆ ก็สามารถ ตั้งคำถามขึ้นมาเองได้
แต่คำตอบก็ยังคงผุดขึ้นมาในจิต ได้เหมือนเดิม

อย่างนี้ ครูบาอาจาีรย์ฝ่ายธรรมยุติ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้รู้ธรรมเห็นธรรม

ผู้ปฏิบัติ ต้องผ่าน การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ จนเต็มเปี่ยมก่อน
ผู้ปฏิบัติ ต้องผ่านการ ฝึกฝนจนถึงขั้น การรู้ตัวทุกอิริยาบถ ก่อน
จึงจะสามารถ รู้ธรรม เห็นธรรมได้

ที่เห็นเขียนๆกันอยู่นี่ เป็นแค่ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ ธรรมปริยัติ
เขียนเพื่อให้อ่านกันเล่นๆ เท่านั้นเอง

เพราะการที่จะรู้ธรรม เห็นธรรมได้นั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น

และธรรมปฏิบัตินั้น ไม่สามารถอธิบายด้วย ธรรมปริยัติ ได้
เห็นหลายๆท่าน พยายามอธิบายธรรมปฏิบัติ ด้วยธรรมปริยัติ

ก็ไม่ต่างอะไรกับ คนที่อ่านตำราว่า รถยนต์ขับอย่างนั้น ขับอย่างนี้
ถ้าเป็นคนไม่เคยขับรถยนต์เลย อาจจะขับได้แค่ในสนามฟุตบอล

จะให้ไปขับบนถนนที่มีรถคันอื่นมากๆ ก็คงจะยาก
หรือจะให้ขับฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวก็คงจะยาก
หรือจะให้ขับขึ้นเขาลงเขาที่สูงชัน ที่มีทางโค้งยากๆเยอะๆ ก็คงจะยาก

ในที่สุดก็พากันเข้าใจว่า ธรรมนั้น สามารถรู้ได้ เห็นได้ ด้วยการอ่านมาก ฟังมาก
แถม พูดมาก เขียนมาก อีกต่างหาก

สรุป ถ้าท่านปฏิบัติไม่ถึง ท่านไม่มีวัน รู้ธรรมเห็นธรรมใดๆได้
นอกจาก การรู้ การเห็น ธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ ธรรมน้ำลายแตกฟ่องเท่านั้นเอง

ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ นักปฏิบัติผู้มีความเพียรอย่างสูงทุกๆท่าน
ขอบคุณครับ
ลุงมหา

 

อยู่ในอันแรก ที่ผมกล่าว ไว้เบื้องต้นครับ .............. คือ ความเป็นปกติ ห้าอย่าง ของ มนุษย์ .....................