บรรลุธรรมแล้วเป็นเช่นไร?!?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DR-NOTH, 20 มกราคม 2013.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    โดน!!เลยท่านpanup!!ไม่มีพิรุธให้เห็นเลย มีอีกไหม?เทศน์ต่อเลยครับ
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

    ขออนุญาตครับ

    ผมเคยถามเด็กนักเรียนในหมู่บ้านว่า "เรียนอยู่ ม. ไหน"
    เขาทั้งสองคนพากันตอบผมว่า "ม.3"
    ผมก็ถามอีกว่า "อ้าวแล้วทำไมปีกลายตอบผมว่า เรียนอยู่ ม.1"
    เขาทั้งสองคนพากันตอบผมว่า

    "ตอนนี้สอบผ่าน ม.2 แล้ว รอแต่เปิดเทอมเพื่อเรียน ม.3"

    "ก็เลยตอบว่า เรียนอยู่ ม.3"

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า

    "ให้ยึดเอา ความชำนาญในการ เข้า"
    "ความชำนาญในการ ออก"
    "ความชำนาญในการ ตั้งอยู่ เป็นหลัก"

    "เพราะทำอะไรก็ตาม ต้องมีความชำนาญ จึงจะถือว่า ทำได้จริงๆ สำเร็จจริงๆ"
    "เมื่อทำได้แล้ว จึงจะสามารถ ถามผู้อื่น"
    "เมื่อทำได้แล้ว จึงจะสามารถ ตอบผู้อื่น"
    "เมื่อทำได้แล้ว จึงจะสามารถ อธิบาย รายละเอียด ขั้นตอน การฝึก การปฏิบัติ ออกมาได้"

    "ส่วนคนที่ บอกเล่า อธิบาย รายละเอียด ขั้นตอน การฝึก การปฏิบัติ ออกมาไม่ได้"
    "ก็แสดงว่า คนนั้นๆ ไม่ได้ปฏิบัติ ผ่านขั้นตอนนั้นๆมาได้จริงๆ"
    "หรือยังไม่ผ่านขั้นตอน ชำนาญในการเข้า การออก การตั้งอยู่ แล้วจริงๆ"

    ในกลุ่มครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุตินั้น ท่านต่างก็ไม่มีเวลาไปพูด ไปคุย ไปสุงสิง กับใคร

    ท่านก็จะพูดคุยในกลุ่มของตนเท่านั้น เช่น กลุ่มผู้ปฏิบัติในระดับที่ใกล้เคียงกัน
    เพื่อ แลกเปลียน เพื่อเปรียบเทียบ รายละเอียด ขั้นตอน การฝึก การปฏิบัติ
    จะได้รู้ว่า ท่านผู้ใด รู้มากกว่าตน เห็นมากกว่าตน

    ท่านผู้ใด ผ่านขั้นตอนใดแล้ว
    ติดขัดเรื่องไหน จะไปถามใคร

    ส่วนครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุตินั้น
    แม้ท่านจะรู้วาระจิตของลูกศิษย์อย่างทะลุปรุโปร่ง
    ท่านก็ไม่สามารถบอกเล่า ออกมาตรงๆได้ ด้วยเหตุผลว่า

    1.เพื่อความดำรงค์อยู่ของหมู่คณะสงฆ์ส่วนใหญ่
    เพราะถ้าท่านบอกออกไปตรงๆว่า
    "คุณท่านนี้ บวชไปจนตาย จะปฏิบัติไปได้แค่นี้ๆ"
    เกิดพระท่านน้อยใจ สึกหนีหมด วัดก็ร้างกันพอดี

    2.ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่บวชเรียนโดยตรง ท่านจะไม่บอกตรงๆว่า ปฏิบัติไปได้ถึงไหนแล้ว ขั้นต่อไป ต้องปฏิบัติอย่างไรๆๆๆ

    ท่านจะบอกแค่ คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แล้วให้ไปพิจารนาเอาเอง
    จะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ
    จะเข้าใจช้า หรือ เข้าใจเร็ว
    จะเข้าใจมาก หรือ เข้าใจน้อย

    ท่านมักจะไม่สนใจใยดี
    เพราะไม่ใช่ลูกศิษย์ ที่บวชเรียนกับท่านโดยตรง
    หรือเป็นศิษย์ที่ ท่านอื่นๆฝากฝังมา

    ดังนั้น ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย จึงมักจะไม่รู้ว่า

    "ตนเองปฏิบัติไปได้ถึงไหน"
    "ขั้นตอนต่อไป ต้องปฏิบัติ แบบไหน อย่างไร"

    ก็เลยเกิดความสับสนขึ้น เพราะ แบ่งแยก แยกแยะไม่ได้ว่า

    "ฆราวาส กับ พระสงฆ์นั้น ต้องปฏิบัติหลักสูตรเดียวกันหรือเปล่า"

    "ตัวเรามีบุญบารมีสะสมมาแล้วเท่าไร"
    "ชาตินี้ ทั้งชาติ จะไปได้ไกลแค่ไหน"
    "ชาตินี้ ทั้งชาติ ควรสะสมบุญบารมี ด้านไหน อย่างไร"
    "ชาตินี้ ทั้งชาติ ควรสะสมบุญบารมี ด้านไหน อะไรก่อน อะไรหลัง"

    และท้ายที่สุด ที่สำคัญมากที่สุดคือ

    "จะไปเป็นลูกศิษย์ใคร จะปฏิบัติแบบสายไหน"
    "ชาตินี้ ทั้งชาติ จึงจะไปได้ไกลที่สุด"

    ที่ผมเสียดายแทนหลายๆท่านในเว็บนี้ ก็คือว่า

    "ท่านเหล่านั้น ไม่รู้จักสอดส่องมองหา ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีบุญ-บารมีสูงส่งที่สุด"
    "ท่านเหล่านั้น ไม่รู้จักสอดส่องมองหา ครูบาอาจารย์ที่จะนำพาตนเองไปได้ไกลที่สุด"
    "ท่านเหล่านั้น ไม่รู้จักสอดส่องมองหา ครูบาอาจารย์ที่จะนำพาตนเองสร้างกุศลผลบุญได้มากที่สุด"

    และที่น่าเสียใจ เสียดายแทนยิ่งกว่าก็คือว่า

    "หลายๆท่าน ไม่กล้าแม้กระทั่ง การพิจารนาว่า ครูบาอาจารย์ของตนนั้น"

    "ท่านพูดอะไร ผิดไปบ้าง"
    "ท่านสอนอะไร ผิดไปบ้าง"
    "ท่านพูดอะไร ขัดแย้งกันเองบ้าง"
    "ท่านสอนอะไร ขัดแย้งกันเองบ้าง"

    เรื่องแค่นี้ ยังไม่กล้าคิด ไม่กล้าพิจารนา
    แล้วชาตินี้ทั้งชาติ ท่านจะไปได้แค่ไหน ไปได้อย่างไร

    ขอเฉลยที่เริ่มต้นเอาไว้แต่แรก คือ

    "จะเป็นนักเรียน ม.3 ได้ ต้องนับวันที่เริ่มเปิดเรียน ม.3 วันแรก"
    "ไม่ใช่มานับเอาตั้งแต่ สอบ ม.2 แล้ว"

    การปฏิบัติธรรม ก็เหมือนกัน

    "ท่านจะผ่านระดับใด ระดับหนึ่ง ท่านก็ต้อง มีความชำนาญในระดับนั้นๆก่อน"
    "เมื่อผ่านไปฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้นไป จึงจะถือว่า ท่านผ่านระดับก่อนหน้านั้น"

    ผมอยากจะเห็น การพูดถึงการปฏิบัติสมาธิภาวนาแบบ

    "รู้จริง เห็นจริง บอกเล่าเรื่องราว มีรายละเอียด มีขั้นมีตอน"
    "บอกเล่าด้วยภาษา ของตนเอง โดยไม่ได้ไปลอก ไม่ไปจดจำของใครมา"

    เมื่อนั้นละ ท่านที่เข้ามาอ่าน

    จึงจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
    จึงจะเอาไปเปรียบเทียบ กับการปฏิบัติของตนได้

    ขอให้กำลังใจกับญาติธรรมนักปฏิบัติทุกๆท่าน
    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับทุกๆบุญ ที่ทุกๆท่าน ได้ทำไปแล้ว ในทุกๆที่ ในทุกๆสถาน
    ขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่มีหรอกครับ...คุณลุงมหา
    คนที่ทำได้อย่างท่านว่าเขาไม่มา
    เล่นเน็ตให้เสียเวสาหรอก มันไม่คุ้ม
    กับบาปที่ทำให้คนปรามาส ต้องลงอบาย
    ตนเองเองก็ต้องบาปไปด้วย มีเเต่ขาดทุน
    เผยเเผ่ธัมม์ทางสื่อมีเจ๊ากับเจ๊ง....บาปบุญไม่สมดุลย์
    สื่อเอาไว้โปรโมทอะไรๆ ดีกว่าครับ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2013
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เรื่องเหนือความคาดหมายยังมีอีกมากนัก

    ขออนุญาตครับ
    ผมก็บอกอยู่บ่อยๆว่า

    เรื่องราวของธรรมนั้น
    "รู้แค่ไหน เข้าใจแค่นั้น"
    "มีภูมิรู้ มีภูมิธรรมแค่ไหน เข้าใจแค่นั้น"

    จากคำพูดของท่านข้างบน

    "หรือพระ ก็จะเป็นบาปไปด้วย เพราะท่านสอนให้คนทำความดี"
    "เมื่อคนทำความดี ก็ต้องมีบางคนที่เสียประโยชน์ เพราะเหตุนั้น"
    "เมื่อเขาเสียประโยชน์เพราะเหตุนั้น เขาก็ โกรธ เกลียด ผู้ที่สอนให้คนทำความดี"

    ที่ผมเข้ามาในเว็บนี้ ด้วยความหวังริบหรี่ ที่จะมีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ที่ผมบอก ที่ผมเล่า

    เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อความจริงปรากฏ ก็จะมีผู้เข้าใจได้เอง

    หรือแม้แต่ มีผู้มีบุญ วาสนา บารมี เข้ามาพบ เข้ามาเจอ ข้อคิด ข้อเขียน ของผม ท่านจะเข้าใจได้เอง

    ถ้าคุณเข้าไปหาดูในมหาเถระสมาคม มีครูบาอาจารย์ระดับ "สมเด็จ" ท่านหนึ่ง
    ท่านที่อายุน้อยที่สุดนั่นละ

    ท่านบอก ท่านเล่า ให้ผมได้ยินกันไม่กี่คนตั้งแต่ใกล้วันปิดผ้าป่าช่วยชาติว่า
    "พักนี้ ใช้คีย์บอร์ด มากกว่าจับปากกาเสียอีก"
    มีใครเข้าใจความหมายของพระองค์ท่านคำนี้ไหม

    ที่พากันพูด ที่พากันเขียน ที่พากันแสดงความคิดเห็นกันอยู่นี่
    อย่าได้คิดว่า จะไม่ผ่านตา ผู้มีบุญ วาสนา บารมี ระดับสูงได้

    เพียงแต่ว่า ท่านสามารถกระตุ้นให้ท่านเหล่านั้น แสดงตน ออกมาได้หรือไม่

    เห็นครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติบางท่าน อายุมากกว่าผมเสียอีก
    แลกเปลี่ยนความรู้กันไปมา จึงได้รู้ว่า ท่านก็มี แล็ปท๊อปส่วนตัว พร้อมแอร์การ์ดเสร็จสรรพ

    สิ่งที่ผมพูด สิ่งที่ผมเขียน สิ่งที่ผมแสดงความคืดเห็นในเว็บนี้
    ส่วนใหญ่ ก็แค่ว่า ลุงมหา บอกเล่ามาตั้งนานแล้ว
    เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ เสียดายเวลาที่ผ่านไปจริงๆ

    ถ้าท่านผู้ใดเป็นศิษย์สายธรรมยุติที่เข้าถึงจริงๆ
    ผมก็อยากจะถามท่านว่า

    "ท่านมีพระรูปหล่อลอยองค์ เนื้อทองคำรุ่นแรกของท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปัณโนไหม"
    "ถ้าท่านมีๆ องค์หมายเลขอะไร"
    "ถ้าท่านมีๆ องค์ที่เป็นหมายเลขตัวเดียวไหม"

    เรื่องราวใดๆของฝ่ายธรรมยุติ ไม่มีคำว่าฟลุ๊ค
    เพราะทุกเรื่องราวล้วนผ่านการกลั่นกรองออกมาดีแล้ว

    เหมือนอย่างที่พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ ที่ท่านได้เมตตา
    บอกเล่าเรื่องราว ภูมิรู้ ภูมิธรรม ของตัวผมเอง
    แม้จะเป็นแค่น้อยประโยค แต่ความหมายกลับกว้างขวางยิ่งนัก

    หวังว่า ข้อคิด ข้อเขียน ของผม คงจะพอเป็นประโยชน์บ้าง
    ไม่ว่าในปัจจุบัน หรือ ในอนาคต

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  5. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    อุปนิสัย ของ ผู้บรรลุธรรม

    ขออนุญาตครับ

    เห็นหลายๆท่านในเว็บนี้ บอกว่า ท่านตั้งความปรารถนาที่จะบรรลุธรรม
    บางท่าน บางกลุ่ม ก็บอกว่า จะไปนิพพาน

    ผมก็ไม่ทราบว่า ท่านเหล่านั้น เข้าใจแจ่มแจ้ง ซึ้งกระจ่าง หรือยังครับว่า

    การบรรลุธรรม แต่ละขั้น แต่ละตอน นั้น
    สภาวะจิต ของ ผู้บรรลุธรรมนั้น จะเป็นอย่างไร
    นิสัย ของผู้บรรลุธรรม จะเป็นอย่างไร
    ขั้นไหน ระดับไหน บรรลุแล้ว ถอยกลับ ไม่ได้

    ขั้นไหน ระดับไหน กลุ่มไหน บรรลุแล้ว ผ่านแล้ว กลับสามารถ ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาสามัญทั่วๆไปได้

    ในทางฤทธิ์ก็เช่นเดียวกัน

    การได้อภิญญาญาณทางฤทธิ์นั้น
    ท่านต้องปฏิบัติ ผ่านระดับไหน มีองค์ประกอบที่ครบถ้วน อะไรบ้าง จึงจะได้อย่างแน่นหนาถาวร
    และเมื่อท่านปฏิบัติ ขาด ตก บกพร่อง อภิญญาญาณนั้นก็หายไป
    แล้วจะเอามันกลับมาได้อย่างไร
    แม้เมื่อเอามันกลับมาแล้ว ท่านจะรักษา ท่านจะฝึกฝนให้ ชำนาญยิ่งๆขึ้นได้อย่างไร

    เรื่องเหล่านี้ ไม่ค่อยจะมีคนพูดถึง มีแต่บอกว่าได้ บอกว่าผ่าน
    เมื่อผ่านแล้ว ถอยหลังกลับไป เมื่อได้แล้ว มันหายไป
    เมื่อได้แล้ว เมื่อผ่านแล้ว แต่เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ

    แม้ว่า ท่านที่บรรลุธรรมก็ดี ท่านที่ได้ญาณบารมีใดๆก็ดี
    ส่วนมากจะเป็นผู้สำรวมระวังอย่างยิ่งยวด
    แต่ก็มีเหมือนกัน ท่านที่บรรลุธรรมก็ดี ท่านที่ได้ญาณบารมีใดๆก็ดี
    เมื่อบรรลุแล้ว ได้แล้ว ท่านกลับสามารถใช้ชีวิตเยื่องคนธรรมดาสามัญ
    แม้พระเถระ ระดับกลางๆ ผู้เก่งกาจ ก็มองไม่ออก ก็ดูไม่ออก

    ผมก็จะแนะให้ว่า ให้ดูตอนที่ท่านผู้นั้น อยู่กับพระเถระ คุยกับพระเถระระดับสูงๆ
    หรืออยู่กับ ครูบาอาจารย์สายฆราวาสระดับสูงๆ เท่านั้น

    เพราะที่ผมเคยเจอมา นั้น พวกนักเลงโตทั้งหลาย
    พวกปู่ฤๅษีทั้งหลาย เดินผ่าน อาจารย์ของอาจารย์
    กลับไม่รู้จักก็เยอะ

    แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า บวชมานานเป็นสิบๆพรรษา
    พลั้งพลาดเผลอไป เจออีกที ลาเพศพรหมจรรย์ออกมาซะแล้ว
    แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังไม่รู้ว่า ท่านพลาดตรงไหน ท่านไปล่วงเกินผู้ใด

    ด้วยเหตุนี้ละครับ เราถึงต้องมีครูบาอาจารย์ผู้เก่งกาจ
    ไว้คอยอบรมแนะนำสั่งสอน ชี้แนวทาง

    ถ้าท่านคิดว่า ท่านเจอครูบาอาจารย์ผู้เก่งกาจอยู่แล้ว
    ขอให้ท่านคิด ขอให้ท่านพิจารนาว่า
    เรายังหาครูบาอา่จารย์ ที่เก่งกว่านี้ได้อีกไหม

    คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามก็คือว่า

    ถ้าท่านบรรลุธรรม หรือ ถ้าท่านได้อภิญญาญาณ
    แต่ท่านต้องแลกมาด้วยการปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มา
    และท่านต้องเปลี่ยน สภาวะจิต นิสัยใจคอ (กาย วาจา ใจ) เพื่อรักษามันเอาไว้

    ผมก็ไม่รู้ว่า จะมีซักกี่ท่าน ที่ยังอยากได้มันอยู่

    เพราะจนป่านนี้ ท่านที่บรรลุธรรมก็ดี ท่านที่ได้อภิญญาญาณก็ดี
    แต่ท่านสามารถ ดำรงค์ตนเหมือนคนธรรมดาๆ ทั่วๆไปนั้น
    หาได้ยากอย่างยิ่ง และที่ยากไปกว่านั้นคือ ท่านไม่ยอมบอกใครว่า
    ท่านทำได้อย่างไร หรือว่า ท่านไม่อยากให้ใครเอาอย่าง

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา ร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    [QUOT

    คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามก็คือว่า

    ถ้าท่านบรรลุธรรม หรือ ถ้าท่านได้อภิญญาญาณ
    แต่ท่านต้องแลกมาด้วยการปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มา
    และท่านต้องเปลี่ยน สภาวะจิต นิสัยใจคอ (กาย วาจา ใจ) เพื่อรักษามันเอาไว้

    ผมก็ไม่รู้ว่า จะมีซักกี่ท่าน ที่ยังอยากได้มันอยู่

    เพราะจนป่านนี้ ท่านที่บรรลุธรรมก็ดี ท่านที่ได้อภิญญาญาณก็ดี
    แต่ท่านสามารถ ดำรงค์ตนเหมือนคนธรรมดาๆ ทั่วๆไปนั้น
    หาได้ยากอย่างยิ่ง และที่ยากไปกว่านั้นคือ ท่านไม่ยอมบอกใครว่า
    ท่านทำได้อย่างไร หรือว่า ท่านไม่อยากให้ใครเอาอย่าง

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา ร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

    [/COLOR][/QUOTE]

    ตถาคตตรัสรู้เองไม่มีใครไปสอน
    อาสัยอยู่ในประเทศอินทรีย์
    พาใครเข้าไปไม่ได้
    ใครจะมาขออาศัยอินทรีย์นี้เพื่อใครก็ไม่ได้

    สอน สร ศรบวกธนู
    ดาบทุกเล่มกระบี่ทุกเล่มที่ให้เอาไปทำไร่ไถนา
    ถากถางเลี้ยงชีพ
    ส่วนมากจะกลับมา
    ไม่ได้มาข้างหน้า
    มันจะเสียบอยู่ข้างหลังเสมอหรือไม่อย่างไร

    กระผมเห็นครูบาอาจารย์หลายท่านเมื่อสังขารไม่สู้แล้ว
    คือจวนจะหมดเวลา
    จะโวยวายลูกศิษย์หรือราหูอย่างหนึ่งคงได้
    ว่าไม่เอาไหนไม่เหมือนอาจารย์
    ขนาดอาจารย์จะลาไปแล้วยังมีโมอยู่เลย
    ไม่โมก็โทแล้วจะให้ลูกโลตามหรือไม่อย่างไร

    เล่าเรื่องตลกให้ฟัง
    มีเพื่อนร่วมทางคือเดินข้างทางร่วมกัน
    ถามทาง

    เราบอกอย่างดีชี้ดูป้ายบอกเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
    กลัวเขาหลง
    วาดแผนที่ให้อีกเขียนผังไว้อย่างดี
    รับรองว่าไม่ผิด
    แล้วเราเดินจากมา
    พอดีกลับมาทันทีที่เดิม

    เขาถามคนอื่นอีก
    เราสงสัยเลยไปนั่งมองห่างๆ
    เขาถามคนอื่นอีกตั้งหลายคนแล้วเขาก็ไปตามทางนั้น

    เอวง

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว

    มีสิบประการที่ไม่สอนพระพุทธองค์ท่านทำทางไว้อย่างดี
    ดาบหรือกระบี่ดีกว่าลูกธนูกระมังขอรับ
    แต่ระวังอาหารก็แล้วกัน....เออ
    โดยเฉพาะสิ่งที่ดับกระหายคลายเครื่องร้อน
     
  7. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สิ่งสำคัญในการสนทนาสาธยายธรรมนั้นคือ วางใจให้เป็นกลาง ใช้คำพูดอันสร้างสรรค์
    ไม่เขียนหรือประชันตนอวดรู้ต่างๆนานา และต้องไม่กล่าวกระทบคนอื่นเป็นสำคัญ
    **แต่ธรรมดาของใจคนเรา มักชอบการอวดอ้างตน ยกตนให้เหนือกว่าบุคคลอื่น เมื่อเจอการเสียดสีก็มักจะโต้กลับด้วยโมหะก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องทบทวนก่อนให้ดีก่อนโพส เพราะจัดเป็นอกุศลกรรมอย่างหนึ่งอันนำมาซึ่งความเศร้าหมองของจิตทั้งสิ้น.
    ท่านทั้งหลายผู้เจริญแล้ว พึงเลือกอ่านเฉพาะสาระแห่งธรรมที่เข้ากับตนเถิด
    อัตถะถ้อยคำอันใดที่ไร้ซึ่งสาระหรือเคลือบแฝงไปด้วยอวิชชา...
    ก็พึงพิจารณาให้ทราบปัญญาเถิด ธรรมแท้ที่บรรยายไว้ดีแล้ว
    ก็พึงอนุโมทนาน้อมมาปฏิบัติให้เกิดผลเถิด....
    (ชนะใจตนเองได้ ย่อมมีชัยในทุกสิ่ง)
    โมทนาธรรมท่านผู้เจริญทั้งหลาย...
    <<อินทรปัญญาสกุล>>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2013
  8. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    การบรรลุธรรมแล้วเป็นเช่นไร
    ขอบคุณสำหรับกระทู้ และขอบคุณสำหรับผู้ตอบกระทู้
    สำหรับความคิดเห็นของผม หากว่าเราได้ปฏิบัติจนมีสติควบคุม การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ของเจตสิก หรืออารมณ์ของจิต ในเวลาอันรวดเร็ว (ผมว่า 1 นาที ก็นับว่าเร็ว )
    เราก็คงมีแต่ความว่างว่าง ไม่ยึดติดในสุข ไม่รู้สึกถึงความทุกข์ แล้วตัดตรงมุ่งสู่พระนิพพาน คือการไม่ขอเวียนว่ายตายเกิด ขอจงอยู่กับปัจจุบัน ฝึกให้มีสติคือตัวรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
     
  9. พระ ธรรมะ

    พระ ธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2013
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +416
    อันที่จริงแล้วถึงแม้จะไม่อิง แต่ท่านก้จะไม่สอน แตกต่างจากที่พระพุทองค์ ทรงสอนหรอกนะ +การบรรลุธรรม กับการปฏิบัติจนรู้มันเหมือนกันนะ ทดสอบได้โดยเอาคำที่ท่านสอนไปเทียบเคียง กับคำภีร์ได้ เพราะท่านเดินตาม พระพุทธองค์ ท่านก้จะรู้ในสิ่งที่พระพุทธองค์รู้นั่นแหละ เพียงแต่ท่าน ไม่ใช่พระสัมมา สัพพัญญูผู้รู้แจ้งเอง เท่านั้น บุคคลิกท่านก้เปลี่ยนไม่ได้ อย่างเป็นคนโลดโผน ท่านก้จะโลดโผน ห้าวๆก้จะยังพูดแบบห้าวๆ แต่พุทธองค์นี่เปลี่ยนได้หมด แต่ใจลึกๆจะมีเมตตามาก นับไปตั้งแต่โสดาเลยหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2013
  10. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อนุโมทนาพระคุณเจ้า ที่ร่วมสนธนาธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  11. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    การยกระดับจิตให้อยู่เหนือความคิดทั้งหลาย
    ความคิดของเราเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นจากขันธ์5เป็นเหตคือตัว รูป เวทนา สัญญา
    เมื่อ จิตวิญญาณยังคงยึดมั่นใน ขันทั้ง 4 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร(ความรู้สึกนึกคิด)
    ความทุกข์จากกิเลสตัณหาต่างย่อมยังเกิดขึ้นอยู่ เพราะใจยังคงปรุงแต่งตามกระแสแห่ง..
    อารมต่างๆนั่นเอง
    จิตที่ยึดมั่นอยู่ความคิดทั้งหลายนั้นแสดงว่าบารมีในธรรมยังไม่แน่นพอ
    จึงต้องฝึกเสริมเติมแต่งให้สมบูรณ์
    คือฝึกทำจิตให้มีสติสัมปัญญะคือรู้ตัวในความคิดของตนจนเชี่ยวชาญไม่ไหล..
    ไปตามความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างนี้เป็นตน
    มีความรู้ตัวในความคิดอันตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี..
    เฝ้ามองต่อไปจนจับความคิดของตนได้
    (กล่าวคือ จิตที่เฝ้ามองใจคือความคิด1/ ใจที่คิดโดยตั้งใจ1 /และใจที่คิดโดยไม่ตั้งใจ1)หากเฝ้ามองจนสามารถแยกออก3ประเภทในวงเล็บได้นับว่าก้าวหน้าในระดับหนึ่งแล้ว
    พึงเพิ่ม อุเบกขาเข้าไปคือ เข้าไปรู้ด้วยปัญญาและปล่อยวางนามในความคิดต่างๆได้
    **สภาวะแห่งวิญญาณอันบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอบรมขัดเกลาจนจิตปล่อยวางจากขันธ์ทั้ง4ให้ได้...ซึ่งข้าพเจ้าจะนำมากล่าวในโอกาสต่อไป
    โมทนาธรรม ทุกท่าน ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2013
  12. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผู้ปฏิบัติจริงๆแสนหายาก แต่ถ้าหาเจอแล้ว จะตักตวงเอาประโยชน์ได้อย่างไร

    ขออนุญาตครับ

    ท่านเป็นคนโชดดีมากๆที่หาเจอคนประเภทที่ท่านว่า
    เพราะคนแบบนี้ มักจะเป็นประเภทที่ไม่ถามมากความ
    ครูบาอาจารย์ บอกให้ทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น
    ปฏิบัติไปๆ โดยไม่ได้สนใจ วัน เดือน ปี

    เมื่อกำลังสติ กำลังสมาธิเต็มเปี่ยมจนล้น
    ก็จะเห็น จุดเริ่มต้นของความคิด เห็นการดำเนินไปของความคิด เห็นจุดสิ้นสุดของความคิด
    เมื่อชำนาญมากยิ่งๆขึ้นไป ก็สามารถเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ การสิ้นสุด ของลมหายใจอย่างชัดเจน

    ในบางท่าน ที่กำลังสติ กำลังสมาธิสูงๆ สามารถเกิดญาณ คือ การเห็นจิตของตนเองอย่างเด่นชัด

    และสามารถรู้ตัวทุกอิริยาบถ ได้เต็มกำลังเลย

    โดยไม่ต้องไปฝึกไปหัด การรู้ตัวทุกอิริยาบท ทีละเล็ก ที่ละน้อย เริ่มสะสมไปทีละเล็ก ที่ละน้อย ครั้งละ ห้านาที สิบนาที มากขึ้นไปเรื่อยๆ

    เมื่อผ่านการรู้ตัวทุกอิริยาบถ อย่างช่ำชองแล้ว

    ก็จะสามารถ พิจารนาธรรมได้

    ท่า่นที่สามารถ รู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ ผู้ที่ผ่าน การรู้ตัวทุกอิริยาบถ
    แล้วเริ่มต้นพิจารนาธรรมนั่นเอง

    การพิจารนาธรรม ก็คือ เมื่อมีคำถามผุดขึ้นมาในจิต
    ก็จะมีคำตอบผุดขึ้นตามมา

    เป็นอย่างนี้ เรียงกันไปเป็นลูกโซ่ ยาวต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด
    ตราบเท่าที่ ท่านมีกำลังสติ มีกำลังสมาธิมารองรับ

    คำตอบที่ผุดตามมานั้น จะพอดี จะพอเข้าใจ ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไป

    เมื่อยังมีข้อสงสัย ก็จะผุดคำถามขึ้นมาใหม่ และจะมี คำตอบผุดขึ้นตามมา

    ถ้าท่านผู้ใดรู้ธรรมเห็นธรรมในระดับนี้
    ท่านก็สามารถตอบคำถามทางธรรมใดๆ ได้ทุกข้อ
    เพราะเมื่อท่านพิจารนา คำถาม ท่านก็จะได้คำตอบผุดขึ้นตามมาทันที ทันใด


    แม้ว่า ก่อนจะรู้คำถาม ท่านก็ไม่รู้คำตอบ
    แต่เมื่อรู้คำถาม ก็จะมีคำตอบผุดขึ้นตามมา
    ท่านจึงจะรู้ว่า ท่านก็รู้ธรรมนั้นๆ

    เป็นเช่นนี้ จึงจะเรียกว่า เป็นการรู้ธรรม เห็นธรรม

    เมื่อเจอคนเช่นนี้ ท่านก็สามารถ ถามเรื่องธรรมกับเขาได้ในทุกๆเรื่อง

    ว่าแต่ว่า เมื่อเขาตอบมา ท่านผู้ถามจะเข้าใจได้อย่างไร
    เพราะท่านไม่ได้รู้ธรรม เห็นธรรมระดับเดียวกับเขา

    ท่านผู้ถาม ก็จะสามารถซักไซร้ไล่เรียง ไปจนละเอียด จนตนเข้าใจโน่นละครับ
    การถามตอบ คงจะยืดยาวน่าดู กว่าจะเข้าใจได้

    ดีไม่ดี ระดับภูมิรู้ ภูมิธรรมต่างกันมากๆ
    ก็จะกลายเป็นการถกเถียงกันไปเสียเปล่าๆ

    เพราะเวลาพูดเรื่องธรรมนั้น มันพูดง่าย แต่เวลาการปฏิบัติเพื่อให้ได้มันมาแต่ละขั้นๆ
    มันไม่ง่ายเหมือนพูด เพราะการสะสม กำลังสติ กำลังสมาธิ ให้เต็มเปี่ยมนั้น
    ต้องใช้เวลา อย่างน้อย 3-6 ปี

    สรุปขอตอบว่ามีครับ ว่าแต่ว่า ท่านจะตักตวงเอาประโยชน์ได้อย่างไร

    เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิก่อน

    ถ้ากำลังสติ กำลังสมาธิ ยังไม่พอ การรู้วิธีปฏิบัติมากเกินไป
    ก็เกิดผลเสียตามมา คือ ทำให้การปฏิบัติล่าช้าจากความลังเลสงสัย
    ว่าตนปฏิบัติถึงไหนแล้วๆ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  13. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
  14. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สังขารธรรม
    ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจเรานั้น หากเราบริหารความคิดของเราให้ดี
    ก็เกิดประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว ความเดือดร้อนใจ วุ่นวายจิต วิตกจริตต่างๆนานา..
    ที่เกิดขึ้นภายในจิตนั้นล้วนดับลงได้หากจิตใจเราไม่เป็นทาสของความคิดที่เกิดขึ้น..

    การฝึกคิดนั้นลำดับแรกต้องฝึกคิด ให้เป็นระบบ คิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้จบเรื่อง
    ไม่ปล่อยให้ค้างคาใจให้ต้องกลับไปคิดซ้ำอีก
    เราต้องฝึกคิดในเรื่องอันเป็นสาระ ฝึกปล่อยวางเรื่องราวต่างๆที่คิดแล้วเกิดทุกข์
    ตลอดจนฝึกมองดูความคิดด้วยปัญญา
    กล่าวคือ มองความคิดจนกระจ่าง

    ซึ่งลักษณะของความคิดนั้น มี 3ลักษณะสำคัญ ดังนี้
    1.ความคิดที่เกิดขึ้นเองโดยเราไม่ตั้งใจคิด ความคิดลักษณะนี้จัดเป็นกระแสแห่งกรรมทางความคิดอย่างหนึ่ง
    คือ แรงอกุศลทางใจที่เราเคยคิดไม่ดีไว้ในอดีตหวนมาตอบสนองเป็นความคิด.
    ในปัจจุบันที่เกิดภายในจิตอย่างหนึ่ง
    อีกเหตุหนึ่งคือ ความคิดจากกระแสแห่งกิเลสตัณหารอบตัวที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ
    คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    เมื่อเจอสิ่งที่ชอบที่ใช่ จึงเกิดอารมณ์ให้ต้องคิด อย่างนี้เป็นต้น

    2.ความคิดโดยตั้งใจ เป็นลักษณะของจิตที่ฝึกมาแล้ว จึงสามารถควบคุมจิตใจให้คิด
    ในสิ่งที่ต้องการได้
    ซึ่งบางครั้งก็อาจมีความคิดที่ไม่ประสงค์จรเข้ามาในจิตบ้าง แต่จิตก็ไม่ใส่ใจต่อสิ่งต่างๆ
    ทั้งหลายเหล่านั้น
    กล่าวคือ เรื่องใดไม่ต้องการคิดก็ปล่อยวางได้นั่นเอง

    3.จิตที่เฝ้ามองดูความคิดและบงการความคิดได้ตามประสงค์ หรือจิตที่อยู่เหนือความคิดได้
    จิตลักษณะนี้จำเป็นต้องมี
    อุเบกขาธรรมเข้ามาช่วย กล่าวคือตั้งอุเบกขาจิตให้ใจพิจารณาความคิดจนสรุปลงที่ความว่างเปล่าได้ตามกฏของไตรลักษณ์
    ซึ่ง ความคิดต่างๆภายในจิตนี้ไม่ใช่ตัวตนหรือความคิดของเรา เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยคือรูป เวทนา สัญญา ไม่เที่ยงแท้และน่ายึดถือเลย เกิดแล้วดับไป

    ความคิดต่างๆผุดเกิดผุดดับ ตามห้วงแห่งความทรงจำ(สัญญาขันธ์)
    ด้วยเหตุแห่งกรรมทางความคิดที่เป็นอาจิณกรรม
    กล่าวคือ หากเราเคยหรือชอบคิดสิ่งใดเรื่องใดอยู่บ่อยๆ
    สิ่งนั้นจะหวนเข้ามาสู่จิตใจให้ต้องคิดสิ่งนั้นอีก...
    ซึ่งจัดเป็นกฏแห่งกรรรมทางความคิด หรือหากมีครุกรรมทางความคิด
    คือ มีเรื่องหนักใจช้ำใจ เกิดการฝังใจ

    ย่อมเป็นเหตุให้ต้องจมอยู่กับความคิดนั้นซึ่ง ความคิดประเภทนี้ตัดได้ยากมาก
    จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อให้กรรมทางความคิดที่ตอบสนองอยู่สร่างซาก่อน
    หรืออาจพลังบารมีแห่งปัญญาเข้ามา
    ตัดทอนและถอดออดจากความคิดนั้นเลยก็อาจทำได้

    ความคิดต่างๆที่เราเคยกระทำลงทางใจหรือเคยคิดนึกนั้น
    จะเก็บตัวอยู่สัญญาขันธ์
    (ห้วงแห่งความทรงจำ)
    ซึ่งเมื่อมีเหตุปัจจัยกระตุ้นหรือเวลาตอบสนองแล้ว
    ความคิดเหล่านั้นจะแสดงออกมาซึ่งจะมีลักษณะเป็นความคิด
    ที่ผุดขึ้นเองโดยเราไม่ตั้งใจ(ลักษณะเช่นที่กล่าวไว้ในข้อ1)

    จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมไม่ต้องทุกข์ใจกับความคิดนึกคิดทั้งหลาย
    มีใจเบิกบานและสนุกไปกับความคิดต่างๆได้

    โมทนาธรรม...
    (อินทรปัญญาสกุล)
    << พรหมธรรมอริย>>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2013
  15. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154

    อยู่ที่เจตนาครับ yimm
     
  16. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    ตถาคตตรัสรู้เองไม่มีใครไปสอน
    อาสัยอยู่ในประเทศอินทรีย์
    พาใครเข้าไปไม่ได้
    ใครจะมาขออาศัยอินทรีย์นี้เพื่อใครก็ไม่ได้

    สอน สร ศรบวกธนู
    ดาบทุกเล่มกระบี่ทุกเล่มที่ให้เอาไปทำไร่ไถนา
    ถากถางเลี้ยงชีพ
    ส่วนมากจะกลับมา
    ไม่ได้มาข้างหน้า
    มันจะเสียบอยู่ข้างหลังเสมอหรือไม่อย่างไร

    กระผมเห็นครูบาอาจารย์หลายท่านเมื่อสังขารไม่สู้แล้ว
    คือจวนจะหมดเวลา
    จะโวยวายลูกศิษย์หรือราหูอย่างหนึ่งคงได้
    ว่าไม่เอาไหนไม่เหมือนอาจารย์
    ขนาดอาจารย์จะลาไปแล้วยังมีโมอยู่เลย
    ไม่โมก็โทแล้วจะให้ลูกโลตามหรือไม่อย่างไร

    เล่าเรื่องตลกให้ฟัง
    มีเพื่อนร่วมทางคือเดินข้างทางร่วมกัน
    ถามทาง

    เราบอกอย่างดีชี้ดูป้ายบอกเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
    กลัวเขาหลง
    วาดแผนที่ให้อีกเขียนผังไว้อย่างดี
    รับรองว่าไม่ผิด
    แล้วเราเดินจากมา
    พอดีกลับมาทันทีที่เดิม

    เขาถามคนอื่นอีก
    เราสงสัยเลยไปนั่งมองห่างๆ
    เขาถามคนอื่นอีกตั้งหลายคนแล้วเขาก็ไปตามทางนั้น

    เอวง

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว

    มีสิบประการที่ไม่สอนพระพุทธองค์ท่านทำทางไว้อย่างดี
    ดาบหรือกระบี่ดีกว่าลูกธนูกระมังขอรับ
    แต่ระวังอาหารก็แล้วกัน....เออ
    โดยเฉพาะสิ่งที่ดับกระหายคลายเครื่องร้อน[/QUOTE]



    - รู้เหตุ

    - รู้ผล

    - รู้ตน

    - รู้ประมาณ

    - รู้กาล

    - รู้ที่ประชุม

    - รู้คน

    และโพชฌงค์ 7 น่าจะเป็นเครื่องอยู่น๊ะครับ.
     
  17. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    วิชชาที่ประเสริฐสูงสุด คือ วิชชาที่ช่วยป้องกันตนให้ห่างใกลจากกิเลส ความทุกข์ทั้งหลาย วิชชาอันนำมาซึ่ง ภาวะแห่งพุทธะ กระแสแห่งนิิพพาน ....
    พึงเรียนรู้และเข้าถึงด้วยตนเองเถิดท่านทั้งหลาย....
    โมทนาธรรม
    (นิพพานบริสุทธิ์ สุขแท้ สุขุม เบิกบานด้วยปัญญาดับทุกข์ทั้งหลาย อมตะนิรันดร์)​
     
  18. napasinhiphop

    napasinhiphop สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    เท่าที่อ่านมา ผมเข้าใจลุงมหา๑ ทุกข้อความ และหลายๆ ข้อความทำให้ผมปิติ น้ำตาไหล

    ผมดีใจ และเข้าใจ ถ้าใครเข้าใจข้อความของ ลุงมหา๑ คงจะเป็นคล้ายๆผมนี่แหละ

    สภาวะแบบนี้มันเป็นปัจจัตตัง ที่รู้ได้เฉพาะตน เข้าใจในระดับเดียวกัน

    ส่วนตัวผมไม่เคยไปเรียนศึกษาธรรมที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างปกติ (ผมอายุ 23) แต่สิ่งที่รู้ เข้าใจ และมีหลายๆ คนมาตอบเทียบเคียงกัน เป็นเรื่องเดียวกัน ผมคิดว่าน่าจะเกิดการสะสมจากอดีต ของเก่า

    ขออนุโมทนาสาธุ ทุกท่านที่เข้าสู่กระแสแห่งธรรมครับ และขอบคุณ ลุงมหา๑กับการให้ทานที่สูงสุด คือการให้ธรรม อย่างที่ ลุงมหา๑ บอกว่า พิมพ์บอกผ่านคีย์บอร์ดไปเถอะ แต่ถ้ามีคนที่เข้าใจมาอ่านจะเกิดประโยชน์อย่างมาก และผมปิติสุดๆ ครับ

    ขอนับถือครับ ลุงมหา๑
     
  19. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผู้มีบุญสายปฏิบัติ ในที่สุด ก็แสดงตนออกมาบ้างแล้ว

    ขออนุญาตครับ

    ไม่แปลกใจเลยครับ ที่ผู้มีบุญสายปฏิบัติ แสดงตนออกมา
    ท่าน อาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ท่านบอกเล่าว่า

    "ความลับไม่มีในโลก ผู้รู้ธรรม เห็นธรรม บอกเล่ากันและกัน"

    แต่ท่านที่มาบอกเล่า พยายามอธิบาย ธรรมปฏิบัติ

    เป็น อย่าง โน้น เป็น อย่างนี้

    แล้วทำไม การบอก การเล่า ถึงต้อง ยก ศัพท์แสง ออกมาแสดง บอกเล่า ให้วุ่นวาย

    หรือว่า ศัพท์แสง เหล่า นี้ มันผุดขึ้นมาในจิต ได้ หรือ อย่างไร

    เพราะท่านที่รู้ธรรม เห็นธรรม จริงๆนั้น

    เมื่อ อะไร ผุดขึ้นมาใจจิต

    ท่านจะรู้ ท่านจะเข้าใจเอง โดยไม่ต้องนำไป เปรียบเทียบ กับอะไร

    เหมือนผมตอนที่อยู่ ต่างประเทศ เพื่อน คนไทยมาคุยกันที่บ้าน

    นั่งคุยกันไป ดึกดื่นค่อนคืน ก่อนแยกกันไปนอน

    เพื่อนบอกว่า "พวกกูพูดภาษาไทยกันหมด"
    แต่มีมึง "พูดภาษาอังกฤษ อยู่คนเดียว"
    พวกกูถามภาษาไทย แต่มึงดันตอบเป็นภาษา "อังกฤษ" ทั้งคืน

    ผมก็เลยตอบเพื่อนๆว่า "ขอโทษไว้ย ไม่รู้ตัวจริงๆ"
    เพราะเมื่อได้ยินเสียงถามเข้ามา "มันก็รู้ลงที่จิต"
    เวลาจะตอบออกมา "จิตก็สั่งให้ปากมันพูด"

    ส่วนจิตมันจะสั่งให้พูดเป็นภาษาอะไร ก็ลืมสังเกตุไป
    เพราะคุยกันมาทั้งคืน จิตมันก็รู้ มันก็เข้าใจดี ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

    แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือ ผมมีนัดกับสาวน้อย คนอเมริกัน เชื้อสายยิว จากนิวยอร์ค
    ขณะรอเธออยู่ พวกเพื่อนๆมาเจอ ก็หามผมไปที่บ้าน

    ถ้าเพื่อนๆไม่ทำแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่า ผมจะได้กลับมาเมืองไทยหรือเปล่า

    เพราะตอนนั้น กำลังน้อยใจว่า เพราะเราสัญชาติไทย เลยหาเงินได้นิดเดียว

    แต่ถ้าเราเป็น เราถือสัญชาติมหาอำนาจ แล้ว รายได้มันต่างกันมาก

    สรุป

    ท่านที่พยายามบอกเล่าเรื่อง ธรรมปฏิบัติ
    แต่กลับเต็มไปด้วยศัพท์แสงวุ่นวายนั้น
    ท่านจะให้คนเข้าใจว่าอย่างไร

    ท่านฟังสถานีวิทยุเสียงธรรม วัดป่าบ้านตาด บ้างหรือไม่

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับท่านนักปฏิบัติ จริงๆ ทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
  20. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    สรุป

    ท่านที่พยายามบอกเล่าเรื่อง ธรรมปฏิบัติ
    แต่กลับเต็มไปด้วยศัพท์แสงวุ่นวายนั้น
    ท่านจะให้คนเข้าใจว่าอย่างไร

    ท่านฟังสถานีวิทยุเสียงธรรม วัดป่าบ้านตาด บ้างหรือไม่

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับท่านนักปฏิบัติ จริงๆ ทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา




    ขออภัยครับ

    เรื่องอาการหรือสภาวะของอาการต่างๆ rabbit_scaryเชื่อว่าบางท่านไม่ทราบ

    บางท่านต้องมีครูอาจารย์ rat_wting คอยชี้เเนะซึ่งบัญญัติศัพท์ที่ใช้กันก็มาจาก

    คัมภีร์ หรือบางท่านเมื่อสภาวะนั้นเกิดก็ศึกษา :z17 เทียบเองจากคํมภีร์ก็มี

    ในจริตและนิสัยของบางท่านในที่สาธารณะ :z16 ก็อาจยกศัพท์เป็นกลางไว้

    ก่อนแต่ที่ได้ยินมา ที่เรียกว่าคนมีธรรม :z10กับ :z11คนมีธรรม :z9คุยกันเข้า

    ใจกันแต่จะอยากให้เขามาทำอย่างที่เราต้อง :z7 การคงยากเพราะน่าจะ

    แล้วแต่จริต yimm ครับ.

    ___________________________
    ผมไม่ได้บรรลุ(เก็บเขามาทำจำเขามาเล่า)
     

แชร์หน้านี้

Loading...