บทความให้กำลังใจ(วางลงบ้าง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เยียวยาด้วยรัก
    ภาวัน
    ตอนอายุสามขวบ เธอถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ หกปีต่อมาเธอก็มีพ่อเลี้ยงคนใหม่ เป็นนักบิดรูปร่างใหญ่โต วัน ๆ ง่วนอยู่กับแก๊งมอเตอร์ไซค์ ชอบเสพยาในบ้าน ร้ายกว่านั้นก็คือ ชอบใช้กำลังกับแม่ของเธอและตัวเธอ เธอจึงกลายเป็นคนก้าวร้าวตั้งแต่เด็ก มีเรื่องตบตีกับเพื่อนเป็นประจำ

    พออายุ ๑๔ เธอหนีออกจากบ้าน ไปมั่วสุมกับเพื่อนวัยรุ่นด้วยกัน อายุ ๑๕ เธอถูกตำรวจจับ กว่าแม่จะมารับตัวเธอกลับบ้านก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ถูกชายสองคนข่มขืน เธอโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเธอเองที่ไปบ้านเขาทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน เธอต้องทนอยู่กับความอับอายดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ต้องเข้าหายาเสพติดเพื่อกลบความอับอายและเพื่อลืมความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่วัยเด็ก ไม่นานก็ติดยาเต็มขั้น ยังดีที่ตอนอายุ ๒๑ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไล่ ๆ กับเธอ แต่ดูแก่เกินวัยมากราวกับอายุ ๔๐ เธอกลัวจะเป็นอย่างนั้น จึงตัดใจเลิกยา

    แล้วเธอก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีสามี มีลูกที่น่ารัก และมีงานที่ดี แต่ก็มีปัญหานอนไม่หลับและฝันร้ายเป็นประจำ จึงหันเขาหาธรรมะ ช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่แล้ววันหนึ่งเธอเห็นผู้หญิงถูกตบตีกลางถนน ความรู้สึกบางอย่างกระตุกขึ้นมาในใจทันที เธอเกือบจะวิ่งเข้าไปหาชายอันธพาลคนนั้น แต่เพื่อนฉุดเธอไว้ได้ทัน เหตุการณ์นั้นได้ปลุกกระตุ้นความรู้สึกเก่า ๆ ให้ผุดโพลงขึ้นมาอย่างรุนแรง มันเป็นทั้งความโกรธ ความรู้สึกไร้คุณค่า และสิ้นไร้ไม้ตอก แล้วฝันร้ายก็กลับคืนมา รวมทั้งความทรงจำอันเลวร้ายในอดีต เธอไม่กล้าเข้าหายาเสพติด แต่หันไปพึ่งเหล้าแทน เพื่อปัดเป่าความรู้สึกย่ำแย่ดังกล่าวออกไปจากจิตใจ

    แน่นอนเหล้าไม่ได้ช่วยเธอเลย เมื่อตั้งสติได้เธอหันไปหาสมาธิภาวนา เธอฝึกสติอย่างจริงจัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปกับอดีต ขณะเดียวกันก็รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ผลักไส เธอได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอรู้สึกกับมันอย่างไร เมตตาภาวนายังช่วยให้เธอรับมือกับความทรงจำอันเจ็บปวดได้ รวมทั้งสามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ

    คราวหนึ่งเธอได้ไปปฏิบัติธรรม โดยเน้นที่การเจริญเมตตาจิต คืนหนึ่งเธอฝันถึงพ่อเลี้ยงที่เป็นนักบิดติดยา ในฝันนั้นตัวเขาเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม นั่งทรุดพิงกำแพงราวกับคนหมดสภาพ ขณะที่เธอเดินเข้าไปหาเขา เธอพบว่าเขาเป็นคนที่สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงรังควานและคุกคามคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่ามีอำนาจ ทันทีที่รู้เช่นนี้ ความโกรธเกลียดที่เคยมีต่อเขาก็หายไป เกิดความสงสารขึ้นมาแทนที่ เป็นครั้งแรกที่เธอเมตตาเขาและให้อภัยเขาได้อย่างแท้จริง

    วันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่เธอแบกมานานกว่า ๒๐ ปี หลุดไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระจากอดีตอันเลวร้าย หลังจากวันนั้นฝันร้ายก็ไม่มารบกวนเธออีก ต่อมาไม่นานเธอได้พบกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คำพูดบางประโยคของเขา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว แทนที่จะตอบโต้ด้วยความโมโห เธอกลับพูดด้วยความสงบ จิตเปี่ยมเมตตา เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะเขามีความทุกข์ มีความเจ็บปวด

    จากคนที่ขาดความอบอุ่น รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าและไม่มีใครรัก เจ็บแค้นเพราะถูกข่มเหงรังแก เธอได้กลายมาเป็นคนใหม่ เพราะได้คิดว่า คนที่ทำร้ายเธอนั้นแท้จริงเป็นคนน่าสงสาร ที่มีบาดแผลในจิตใจมาก่อน ความโกรธแค้นเปลี่ยนมาเป็นความเห็นใจและความเมตตา ขณะเดียวกันความเมตตาที่เติมเต็มจิตใจ ก็ทำให้เธอกลับมารักตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่รู้สึกเกลียดชังตนเอง หรือรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ไม่คู่ควรต่อความรักอีกต่อไป

    เบื้องหลังพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้คนนั้น มักได้แก่การขาดความรักและรู้สึกไร้คุณค่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นเท่านั้น หากยังนำไปสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองอีกด้วย ต่อเมื่อจิตใจได้รับการเติมเต็มด้วยความรัก ชีวิตจึงจะหันไปสู่ความดีงามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ความรักที่ได้จากใครนั้น มากเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่ากับความรักที่บ่มเพาะในใจตน รวมทั้งความรักที่ให้แก่ตนเอง เมื่อรักตนเองได้อย่างแท้จริง ความรักผู้อื่นก็จะเป็นเรื่องง่าย
    :- https://visalo.org/article/Image255702.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    TigerBali.jpg
    ใจดีสู้เสือ

    ภาวัน
    ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากหนังสือเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ อันเป็นบันทึกการเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปยังเกาะสมุยบ้านเกิดเยี่ยงนักจาริกแสวงบุญจนค้นพบความหมายของชีวิตในมิติทางจิตวิญญาณ ชีวิตและมุมมองที่เปลี่ยนไปของเขาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายจนทุกวันนี้

    เขาเคยเล่าประสบการณ์บางช่วงในวัยหนุ่มให้แก่นิตยสาร Way เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า วันหนึ่งเขากับเพื่อนเดินผ่านตลาด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง “แชะ”ดังจากซอกตึก เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบว่ามีคนยืนถือปืนจ้องมายังทั้งคู่ เสียงนั้นคือเสียงลั่นไกปืนนั้นเอง เขาตกใจมาก วิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความกลัวตาย แต่เพื่อนเขาไม่ได้วิ่งตามมาด้วย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง แทนที่จะแสดงความดีใจ เขากลับชี้หน้าด่าว่า “มึงอย่าทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด” เพื่อนเล่าว่า แทนที่เขาจะวิ่งหนี กลับกระโจนเข้าไปหามือปืนจนหมอนั่นตกใจวิ่งหนีไป

    คำพูดของเพื่อนผู้นั้น ได้สอนเขาว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัว อย่าวิ่งหนี ต้องกระโจนเข้าหา เพื่อจะได้รู้ว่าความกลัวไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป”

    ไม่ว่าเรากลัวอะไรก็ตาม หากเราวิ่งหนีสิ่งนั้นอยู่ร่ำไป มันก็จะตามมาหลอกหลอนเราไม่หยุดหย่อน นักธุรกิจที่กลัวความล้มเหลว ไม่ว่าทำอะไร ก็กลัวว่าจะล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมักเลือกสิ่งจำเจหรือย่ำเท้าอยู่กับที่มากกว่าที่จะกล้าริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าชีวิตแบบนี้ย่อมน่าเบื่อ คนที่กลัวความแก่ ก็จะประหวั่นทุกครั้งที่พินิจใบหน้าของตนในกระจกเพราะกลัวว่าจะเห็นรอยย่น ที่ร้ายก็คือ หลายอย่างที่เรากลัวนั้นไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งก็ต้องเจอเข้ากับตัว ความล้มเหลวและความแก่คือส่วนเสี้ยวของความจริงที่เราต้องเจอทุกคน ถ้ายังกลัวมันอยู่ ถึงตอนนั้นก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีมัน ไม่ดีกว่าหรือที่จะหันหน้ามาเผชิญกับมัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มันลดความน่ากลัวลงไปทันที พิษสงที่เคยคิดว่ามันมีอยู่มากมาย กลับละลายหายไป ถึงตอนนั้นก็จะพบว่า แท้จริงแล้วมันไม่น่ากลัวเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือความกลัวในใจเราต่างหาก

    มีคำกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัว” หลายคนพบว่า มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง มะเร็งนั้นทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่ถ้ากลัวมะเร็งแล้ว มันสามารถบั่นทอนทั้งจิตใจและร่างกาย ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไร้ชีวิตชีวา เหมือนคนตายทั้งเป็น มีบางคนที่ร่างกายปกติ แต่หมอวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็ง ทันทีที่รู้ข่าวก็ทรุดทันที ตรงข้ามกับผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ยอมรับความจริงได้ กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

    เมื่อกลัวอะไรก็ตาม พึงรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ความกลัวในใจเรา ดังนั้นสิ่งที่ควรจัดการเป็นอย่างแรกคือความกลัวในใจ อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจหรือบงการชีวิตเรา แต่ควรรู้ทันมัน และถอนพิษสงของมัน ด้วยการทำตรงข้ามกับที่มันสั่ง เมื่อมันสั่งให้หนีสิ่งใด ก็ควรเดินหน้าเข้าหาสิ่งนั้น วิธีนี้นอกจากทำให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจของเราน้อยลงแล้ว เรายังจะพบว่าสิ่งที่เรากลัวนั้น แท้จริงไม่น่ากลัวแต่อย่างใด เอาเข้าจริง ๆ มันกลับกลัวเราด้วยซ้ำ จนต้องล่าถอยไป เช่นเดียวกับมือปืนที่กระโจนหนีไปทันทีเมื่อเห็นเหยื่อกระโดดเข้าหา

    ใช่หรือไม่ว่า ที่คนโบราณสอนว่า “ใจดีสู้เสือ” ก็คงเพราะเสือจะเป็นฝ่ายกลัวเราทันทีที่เราไม่กลัวมัน

    :- https://visalo.org/article/Image255705.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มองแต่ไม่เห็น
    ภาวัน
    ขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ใกล้ถึงสี่แยก ก็เห็นสัญญาณไฟเขียว จึงพุ่งไปข้างหน้า แต่พอถึงกลางสี่แยก รถเก๋งซึ่งแล่นมาจากทิศทางตรงกันข้าม ก็เลี้ยวซ้ายแล้วชนเขาอย่างจัง เขากระเด็นจากรถกระแทกพื้น โชคดีที่เขาเพียงแต่ดั้งจมูกหักและเสียฟันไปสองสามซี่ อย่างไรก็ตามเขาถูกปรับเนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อค ส่วนคนขับรถเก๋งถูกปรับที่ไม่ยอมให้ทางรถมอเตอร์ไซค์

    เหตุการณ์นี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าเมืองเล็กเมืองใหญ่ สาเหตุนั้นมักสรุปกันว่าเป็นเพราะความประมาทของคนขับไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย แต่บ่อยครั้งทั้งคู่ยืนยันว่าตนขับด้วยความระมัดระวัง คนขับรถเก๋งหลายคนยืนยันว่าไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์เลยก่อนที่จะพุ่งชน บางคนถึงกับบอกว่า “ผมให้สัญญาณไฟเลี้ยวก่อนแล้ว หนำซ้ำยังดูจนแน่ใจว่าถนนว่าง จึงเลี้ยว จู่ ๆ ก็มีอะไรมาชนรถของผม มารู้อีกทีก็เห็นคนนอนแผ่อยู่บนถนนพร้อมกับมอเตอร์ไซค์” ส่วนคนขับมอเตอร์ไซค์ก็พูดทำนองว่า “ผมขับอยู่ดี ๆ รถคันนั้นก็พุ่งมาชนผม แถมคนขับยังมองมาที่ผมด้วยซ้ำ “

    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากจนยากที่จะสรุปว่าเป็นเพราะความประมาทอย่างเดียว ในที่สุดนักวิชาการคู่หนึ่งเชื่อว่าตนพบคำตอบ คริสโตเฟอร์ ชาบริส และดาเนียล ไซมอนส์ ได้ทำการทดลองที่มีชื่อเสียงมาก เขานำวีดีโอคลิปความยาวไม่ถึง ๑ นาทีมาให้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าชม วีดีโอนั้นเป็นภาพนักกีฬา ๒ ทีมเดินสลับกันไปมาในวง ระหว่างนั้นก็โยนลูกบาสเกตบอลให้แก่เพื่อนในทีมไปด้วย ทีมหนึ่งใส่เสื้อสีขาว อีกทีมหนึ่งใส่เสื้อสีดำ รวมแล้วมีไม่ถึงสิบคน

    สิ่งที่ผู้ชมได้รับมอบหมายให้ทำก็คือ นับในใจว่าทีมเสื้อขาวนั้นโยนลูกให้กันกี่ครั้ง โดยไม่ต้องสนใจทีมเสื้อดำ เมื่อฉายวีดีโอเสร็จ ผู้ฉายก็ถามว่า มีการโยนลูกกี่ครั้ง แน่นอนว่าคำตอบค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่จริงนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำถามข้อที่สองว่า “ระหว่างที่นับลูกนั้น มีใครเห็นกอริลล่าบ้าง” ประมาณครึ่งหนึ่งรู้สึกงงงันว่า เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดังนั้นจึงมีการฉายคลิปวีดีโอนั้นซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนไม่ต้องนับแล้ว และให้สังเกตว่าเห็นอะไร ไม่นานทุกคนก็พบคำตอบ เพราะพอคลิปวีดีโอฉายได้ไม่ถึง ๓๐ วินาที ก็มีคนแต่งชุดกอริลล่าเดินเข้ามากลางวงปะปนอยู่กับทั้งสองทีม แถมยังหันหน้าให้กล้อง และตบอกก่อนที่จะเดินจากไป

    “กอริลล่า”นั้นปรากฏกลางจอนาน ๙วินาที แต่เกือบครึ่งของผู้ชมมองไม่เห็นเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เมื่อใจเราจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง มีแนวโน้มที่เราจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ต่อหน้าเราแท้ ๆ

    มีการทดลองทำนองนี้อยู่หลายครั้ง โดยนักวิชาการคนละกลุ่ม คราวหนึ่งเปลี่ยนจากคนเล่นบาสเกตบอล มาเป็นตัวอักษรสีขาวและสีดำ คนดูเพียงแต่นับอักษรสีขาวที่เคลื่อนมาแตะริมจอคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องสนใจสีดำ ปรากฏว่าร้อยละ๓๐ มองไม่เห็นกากบาทสีแดงที่เคลื่อนมากลางจอ ทั้ง ๆ ที่สีแดงเป็นสีที่โดดเด่น ต่างจากกอริลลาสีดำซึ่งเป็นสีเดียวกับของอีกทีมหนึ่งที่โยนบาสเกตบอลในการทดลองก่อนหน้านั้น

    มีการทดลองอีกครั้งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยตรง คราวนี้กำหนดให้อาสาสมัครขับรถโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์จริง (simulator) ทุกคนได้รับโจทย์ว่า เมื่อถึงสี่แยก ให้มองหาลูกศรสีน้ำเงินซึ่งชี้ว่าให้เลี้ยวไปทางไหน ทั้งนี้ไม่ต้องสนใจลูกศรสีเหลือง ขณะที่รถวิ่งมากลางสี่แยก ก็ให้รถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งแล่นสวนมาแล้วหยุด การทดลองพบว่า หากคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับลูกศรที่ต้องมอง คนขับรถเก๋งจะสังเกตเห็นและหยุดทัน แต่ถ้าคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีเหลือง ร้อยละ ๓๖ จะพุ่งขับชน โดยที่บางคนไม่ได้แตะเบรกเลยด้วยซ้ำ

    การทดลองเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คนเรามิได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้า หากเป็นสิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะเจอหรือไม่อยู่ในความสนใจ ก็มีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็น นั่นหมายความต่อไปว่า สิ่งที่เราไม่เห็น ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี ดังนั้นจึงอย่าเชื่อสายตาของเรามากนัก เพราะมันมีข้อจำกัดมากมาย

    บ่อยครั้งที่ผู้คนทะเลาะกันเพราะเชื่อสายตาของคนมากไป แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นสำคัญหมายว่าสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นที่เป็นความจริง เราคงจะทะเลาะกันน้อยลง และฟังกันมากขึ้น
    :- https://visalo.org/article/Image255412.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลุมดำปราบเซียน
    ภาวัน
    ปาร์กเกอร์ ปาล์มเมอร์ เป็นครูที่มีประสบการณ์การสอนมานานกว่า ๓๐ ปี เขียนหนังสือติดอันดับขายดีหลายเล่ม เขาได้รับการยกย่องจากหลายวงการในสหรัฐอเมริกา ไม่เฉพาะแต่วงการการศึกษาเท่านั้น นอกจากปริญญากิตติมศักดิ์ ๑๐ ใบแล้ว เขายังได้รับรางวัลระดับชาติมากมาย

    ทั้ง ๆ ที่ได้รับความสำเร็จมากมาย แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ให้บทเรียนล้ำค่าแก่เขา

    คราวนั้นเขาได้มาจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่คณาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมิดเวสท์ การอบรมครั้งนั้นสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้รับความชื่นชมจากผู้คนถ้วนหน้า หลายคนบอกว่าปาร์กเกอร์ทำให้พวกเขาเข้าใจศิลปะการสอนลึกซึ้งขึ้น ดังนั้นเมื่อเขาได้รับการขอร้องให้ช่วยสาธิตการสอนสักหนึ่งชั่วโมง เขาจึงตอบตกลง ตอนนั้นเขาไม่เฉลียวใจเลยว่านี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก

    ห้องเรียนที่เขาอาสาเป็นครูชั่วคราวนั้น เป็นห้องเรียนวิชารัฐศาสตร์ มีนักศึกษาอยู่ ๓๐ คน ทุกคนในห้องดูสนใจเรียน ยกเว้นคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวสุดท้ายของห้อง หมวกแก๊ปถูกดึงลงมาปิดตา จึงมองไม่ออกว่าเขากำลังหลับหรือลืมตาอยู่ บนโต๊ะของเขาว่างเปล่า ไม่มีสมุดบันทึกหรือเครื่องเขียนเลย แถมเอนกายนอนขนานกับพื้นราวกับกำลังเลื้อย

    “นักศึกษาจากนรก”คนนี้เป็นเสมือนสิ่งท้าทายความสามารถของปาร์กเกอร์ ตลอดทั้งชั่วโมงเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปลุกชายหนุ่มคนนี้ให้ตื่นจากความหลับใหล หันมากระตือรือร้นสนใจการเรียน แต่ยิ่งพยายามเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่เพราะไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จเลย แต่เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นครูที่จัดเจนและได้รับความยกย่องจากผู้คนมากมาย นั่นยิ่งทำให้เขาพยายามเอาชนะชายหนุ่มคนนี้ให้ได้ โดยไม่สนใจนักศึกษาที่เหลือทั้งชั้น ชายหนุ่มคนนั้นกลายเป็น “หลุมดำ”ที่ดูดพลังงานเขาไปจนหมดสิ้น ผลก็คือชั่วโมงนั้นกลายเป็นชั่วโมงที่ยาวนานและแสนทรมาน อีกทั้งจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากเขาจะดึงความสนใจชายหนุ่มคนนี้ไม่สำเร็จแล้ว นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่เหลือก็ไม่ได้อะไรจากการสอนของเขาเลย

    เมื่อจบชั่วโมง เขารู้สึกอับอายขายหน้ามาก เพราะตกม้าตายต่อหน้านักศึกษาและบรรดาครูที่ชื่นชมยกย่องเขา เขารู้สึกสมเพชตัวเองและเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้เขาสูญเสียความเคารพตนเอง กลายเป็นแผลฉกรรจ์ในจิตใจของเขา

    เมื่อใคร่ครวญเหตุการณ์ครั้งนั้นในภายหลัง เขาพบว่าความผิดพลาดที่สำคัญของเขาก็คือ การหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับนักศึกษาคนนั้นคนเดียว ปล่อยให้นักศึกษาคนอื่นหายไปจากสายตาของเขา นี้เป็นความผิดพลาดอย่างเดียวกับที่ครูฝึกสอนไร้เดียงสาทำเป็นประจำ

    ถ้าเพียงแต่เขาปล่อยวางชายหนุ่มคนนั้นลงบ้าง แล้วหันมาให้ความใส่ใจกับนักศึกษาคนอื่น ๆ เขาย่อมจะมีกำลังใจในการสอน เพราะคงได้เห็นแววตาแห่งความสนใจใฝ่รู้ของคนเหล่านั้น การสอนของเขาในวันนั้นจะกลายเป็นความสนุกได้ไม่ยาก เขาอาจปลุกความกระตือรือร้นของนักศึกษาทั้ง ๓๐ คนไม่ได้ แต่การกระตุ้นความใฝ่รู้ของนักศึกษา ๒๙ คนก็เป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมมิใช่หรือ

    ประสบการณ์ดังกล่าวของปาร์กเกอร์ เป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับครูหรือผู้บรรยาย แทนที่จะมัวจดจ่อใส่ใจกับผู้ฟังบางคนที่นั่งหลับ คุยโทรศัพท์ หรือเล่นไลน์ จนหัวเสียและไม่มีสมาธิกับการสอนการบรรยาย หากหันมาสนใจผู้ฟังส่วนใหญ่ในห้อง ก็คงไม่ตกม้าตายง่าย ๆ

    แต่ถึงจะไม่ใช่ครูหรือผู้บรรยาย ประสบการณ์ของปาร์กเกอร์ก็เป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีว่า อย่ามัวจดจ่ออยู่กับปัญหาอุปสรรคหรือข้อบกพร่อง จนละเลยประโยชน์ ความสำเร็จ หรือข้อดี ของสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ ถ้าจดจ่อแต่อย่างแรก ก็มีแต่จะท้อและอ่อนล้า แต่ถ้าจดจ่ออย่างหลัง ก็จะมีกำลังใจ และทำให้สนุกกับงานได้ไม่ยาก

    ถ้าคุณรู้สึกแย่กับชีวิต นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังทำความผิดพลาดอย่างเดียวกับปาร์กเกอร์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255712.html


     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    คอยได้ ใจเย็น
    ภาวัน
    คนไทยคนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อหนังสือที่ร้านดังกลางกรุงโอซากา ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ (รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย) เมื่อเลือกหนังสือได้แล้ว ก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ๓,๙๗๑ เยนคือราคาหนังสือรวมภาษีด้วย อันที่จริงถ้าจ่ายด้วยธนบัตร ๕,๐๐๐ เยนก็ไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากเขามีเหรียญเยอะมาก จึงล้วงจากกระเป๋ามาเต็มกำมือ พร้อมกับธนบัตร ๑,๐๐๐ เยน ๓ ใบ ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ว่าเขาไม่คุ้นกับเหรียญญี่ปุ่น จึงนับเหรียญได้ช้ามาก เพราะมีทั้งเหรียญ ๑ เยน ๑๐ เยน ๕๐ เยน ๑๐๐ เยน และ ๕๐๐ เยน ยิ่งนับก็ยิ่งงง เพื่อนคนไทยเลยมาช่วยนับด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นเท่าใด สุดท้ายก็เลยยื่นเหรียญทั้งกำให้พนักงานขายช่วยนับให้

    ระหว่างที่ลูกค้าง่วนอยู่กับการนับเหรียญ พนักงานขายก็ยืนรออย่างสงบ ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าลูกค้ากำลังทำให้เขาเสียเวลา ครั้นลูกค้ายื่นเหรียญมาให้นับ เขาก็ยินดีทำโดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือเร่งรีบ ทั้ง ๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นเข้าแถวรออยู่

    ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ถือว่าเวลาเป็นทรัพย์สินสำคัญ จะเรียกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทองก็ได้ เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงจะถูกซอยถี่ยิบเป็นนาทีหรือวินาทีทีเดียว เห็นได้จากตารางรถไฟทั่วประเทศ เวลาที่รถไฟมาถึงและออกจากสถานี จะไม่เป็นตัวเลขกลม ๆ แต่จะระบุเป็นนาทีเลย (เช่น ๗.๕๘ น.) แล้วรถไฟก็มาตรงตามเวลาเป๊ะเสียด้วย หากมาช้าไปแค่นาทีเดียว ก็อาจก่อปัญหาตามมา

    มองในแง่นี้การมีชีวิตเร่งรีบของคนญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับพบว่าคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยมาก ไม่ใช่จำเพาะในร้านหนังสือชื่อดังเท่านั้น แต่เห็นได้ในแทบทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งบนท้องถนน

    ใกล้ ๆ ร้านหนังสือดังกล่าว เป็นศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านมาก บาทวิถีเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครจะเร่งรีบมาจากไหน แต่พอเห็นไฟแดงบนถนนฝั่งตรงข้าม ทุกคนก็หยุดหมด ทั้ง ๆ ที่ถนนบางสายแคบชนิดที่เรียกว่าซอยจึงจะถูก เพราะกว้างแค่ ๓-๔ เมตร แถมไม่มีรถวิ่งเลย คนนับร้อยก็ยังรอคอยอย่างสงบ ต่อเมื่อไฟเขียวสว่างจ้า จึงพากันเดินข้ามถนน

    เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นคนเข้าคิวยาวอยู่หน้าร้านอาหารตอนเที่ยง ในเมืองไทยหรือแม้แต่กรุงเทพ ฯ ภาพแบบนี้หาได้ยากเพราะคนไทยไม่ค่อยยอมเสียเวลากับการรอคอยเพียงเพื่อจะได้กินอาหารสักมื้อ ที่จริงกับเรื่องอื่น ๆ คนไทยก็ไม่ค่อยอดทนกับการรอคอยเช่นกัน พนักงานขายหากเจอลูกค้าควักเหรียญเป็นกำมานับต่อหน้า หรือจ่ายเป็นเหรียญ แทนที่จะจ่ายด้วยธนบัตร มักแสดงอาการไม่พอใจให้เห็น (มีบางคนโดนพนักงานเก็บเงินบนเรือด่วนขว้างเหรียญลงพื้นต่อหน้าต่อตา) ส่วนพนักงานขับรถ หากจอดเข้าป้ายแล้ว ผู้โดยสารไม่รีบขึ้นรถ ก็มักจะชิงออกรถไปก่อน

    แต่ในญี่ปุ่นภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม ในเมืองฟูกูโอกะ ขณะที่รถโดยสารกำลังจะเคลื่อนจากป้าย พนักงานขับรถมองกระจกหลังเห็นคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาแต่ไกล เขาดับเครื่องทันทีเพื่อคอยคุณยายมาขึ้นรถ ไม่มีผู้โดยสารคนใดบ่นหรือไม่พอใจพนักงานขับรถ ทั้ง ๆ ที่ต้องคอยนานหลายนาที

    การรู้จักคอยกับความเจริญก้าวหน้าของคนญี่ปุ่น น่าจะมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง เมื่อรู้จักคอย อดทนได้กับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง จึงทำให้ขยันหมั่นเพียรได้ต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามกับคนที่คอยไม่เป็น หวังเห็นผลเร็ว ๆ พอทำไปได้สักพัก ไม่เห็นผลสำเร็จเสียที ก็ท้อแท้และเลิกกลางคัน

    สาเหตุที่คนไทยเป็นอันมากนิยมทางลัด อยากรวยเร็ว ๆ ดังเร็ว ๆ จนต้องหันไปใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น เล่นพนัน คอร์รัปชั่น ใช้เส้นสาย หรือเอาตัวเข้าแลก ส่วนหนึ่งก็เพราะคอยไม่เป็นนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255609.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    enemywithin.jpg
    หัวโขน

    ภาวัน
    ตอนที่เขาตัดสินใจออกนิตยสารฉบับใหม่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หาใช่มือใหม่ในวงการหนังสือไม่ เขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้วจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำเช่น Trendy Man และ IMAGE แต่นั่นมิใช่หนังสือในฝันของเขา เขาอยากมีอิสระทำนิตยสารอย่างที่ใจรัก โดยไม่อยู่ในอาณัติของนายทุน เขากับเพื่อนจึงลงขันทำนิตยสารที่ตั้งใจว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    เขาสร้างนิตยสาร a day โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจึงต้องนับหนึ่งในทุกเรื่อง รวมทั้งออกไปขายโฆษณาด้วยตนเอง เขามั่นใจว่านิตยสารของเขาจะได้รับความสนใจจากวงการโฆษณา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่วัยละอ่อนในวงการ แต่แล้วเขาก็ได้บทเรียนที่สำคัญ

    วันนั้นเขาเข้าไปที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อไปถึงแทนที่พนักงานบริษัทจะให้เขาขึ้นไปพบกับผู้วางแผนโฆษณา กลับก็ให้เขานั่งรอที่ห้องล็อบบี้ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พนักงานบริษัทก็ลงมาบอกกับเขาอย่างห้วน ๆ ว่าวันนี้เจ้านายไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกในตอนนั้นของเขาคือ “เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ...รู้สึกด้อยค่ามากเลย”

    เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างนั้น เพราะตอนที่เขาเป็นบก.นิตยสารชื่อดังนั้น ใคร ๆ ก็เกรงใจเขา ปีใหม่ก็มีคนเอากระเช้าของขวัญมาให้มากมาย แต่ทันทีที่เขามาเป็นบก.นิตยสารออกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นความเจ็บปวดมิใช่น้อยที่เขาพบว่า“ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึ่ง”

    หลังจากความขุ่นเคืองจางคลาย เขาก็ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่เขาประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป การถูกเมินเฉยทำให้เขาเห็นตัวเองอย่างที่เป็นจริง เขาพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของเราจริง ๆ นั่นคือเราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย”

    การเป็นบก.นิตยสารชั้นนำทำให้เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะใคร ๆ ก็เข้าหา แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวโขนที่เขาสวมต่างหาก ทันทีที่ถอดหัวโขน ผู้คนก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป จนกว่าเขาจะมีหัวโขนใหม่ที่ดูดีไม่น้อยกว่าเดิม

    บนเวที แม้นว่าพระรามหรือทศกัณฐ์ จะมีฤทธานุภาพสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชมมากมายเพียงใด ผู้แสดงทุกคนย่อมรู้ดีว่า บทบาทหรือหัวโขนที่ตนสวมใส่ต่างหากที่สะกดผู้คนเอาไว้ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ ดังนั้นเมื่อการแสดงสิ้นสุด ได้เวลาถอดหัวโขน ผู้เล่นทุกคนย่อมพร้อมที่จะกลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาที่กลืนหายไปกับฝูงชน

    แต่ในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อยหาได้ตระหนักไม่ว่า เป็นเพราะหัวโขนที่ตนสวมใส่ อันได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้ผู้คนยำเกรง ดังนั้นเมื่อพ้นตำแหน่งหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำใจไม่ได้เมื่อพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับตนอีกต่อไป

    ผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อเกษียณจากราชการ กลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น รู้สึกอาลัยวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีอำนาจวาสนา เขามีชีวิตอย่างหงอยเหงานานนับปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในจังหวัดที่ตนเคยพ่อเมือง เขาดีใจมากและเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อไปร่วมงาน ปรากฏว่าบริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมเขา กลับไปแห่แหนผู้ว่าคนใหม่ แม้แต่คหบดีในจังหวัดที่เคยพินอบพิเทาเขา ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง นับแต่วันนั้นเขาก็เศร้าซึมหนักขึ้น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เพลิดเพลินหลงใหลในคำแซ่ซร้องสรรเสริญของผู้คน เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะบทบาทหรือหัวโขนที่เขาสวมใส่มากกว่าอะไรอื่น ไม่ช้าก็เร็วบทบาทหรือหัวโขนนั้นก็ต้องปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นใครที่หลงใหลเพลิดเพลินย่อมอยู่เป็นทุกข์สถานเดียว

    ตำแหน่งหน้าที่หรือยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่มันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเรายึดติดหวงแหนมัน เช่นเดียวกับหัวโขน มันเป็นสิ่งสมมติและเป็นของชั่วคราว ยิ่งยึดติดถือมั่นในมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป

    เมื่อใดที่พอใจในความเป็นตัวเราโดยไม่แคร์หัวโขนใด ๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/Image255401.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    Buddhaandlotusamazon.jpg
    มรดกที่ปฏิเสธไม่ได้

    ภาวัน
    รู้กันมานานแล้วว่า พ่อแม่สามารถมีอิทธิพลต่อลูกได้ ทั้งรูปร่าง สุขภาพ และนิสัยใจคอ โดยผ่านทางสายเลือด(หรือพันธุกรรม) กับการเลี้ยงดู ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การสร้างบรรยากาศแวดล้อม หรือการประพฤติตัวให้เด็กเห็นโดยไม่ตั้งใจ

    แต่เพิ่งไม่นานมานี้เองที่เราพบว่าพ่อแม่สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติบางอย่างให้ลูกโดยกลไกอย่างอื่นได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นคุณสมบัติดังกล่าวยังสามารถ่ายทอดไปยังหลานและเหลนได้อีก แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย

    การค้นพบดังกล่าวมาจากหลายทิศทาง หนึ่งในนั้นก็คือการวิจัยเกี่ยวกับหนู ที่ออสเตรเลียมีการเลี้ยงหนูตัวผู้ด้วยอาหารอุดมไขมัน จนตัวอ้วนฉุและกลายเป็นโรคเบาหวาน(ประเภทที่ ๒ ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์) ที่น่าแปลกใจก็คือลูกเพศเมียของหนูเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็เป็นเบาหวานประเภทเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารอุดมไขมันเลย และแม้ว่าแม่ของพวกมันมีน้ำหนักปกติและกินอาหารที่มีคุณภาพดีขณะตั้งท้องก็ตาม

    ตามปกติอาหารที่แม่กินย่อมมีผลต่อสุขภาพของลูกเมื่อโตขึ้นเพราะมีสายรกเป็นตัวเชื่อม แต่ในกรณีนี้สุขภาพของลูกกลับเป็นผลมาจากสุขภาพของพ่อ คำถามก็คือมันเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพ่อไม่เคยสัมผัสกับลูกเลย แล้วเขาก็พบว่าน้ำเชื้อของพ่อคือต้นเหตุ อาหารอุดมไขมันของพ่อได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางประการในน้ำเชื้อของมัน ซึ่งทำให้เกิดเบาหวานในตัวลูก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เพราะยีน(หรือการเรียงตัวของดีเอ็นเอ)ยังเหมือนเดิม แต่มีการทำงานที่เปลี่ยนไปในบางจุด คือยีนบางตัวที่ควรทำงานแต่กลับไม่ทำงาน ขณะที่ยีนตัวอื่นไม่ควรทำงานแต่กลับทำงาน

    ที่ชิคาโกมีการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของหนูเช่นกัน แต่เน้นพฤติกรรมของมันแทนที่จะเป็นเรื่องสุขภาพ เขาให้หนูเพศเมียอายุ ๑๕ วันวิ่งเล่นเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าผัสสะ เช่น มีจักรให้ถีบ มีของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้เล่น และมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ผลก็คือหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไว นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกก็คือ ลูกของหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไวเหมือนแม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าความสนใจอย่างที่แม่ประสบเลย

    กรณีดังกล่าวชี้ว่านอกจากคุณสมบัติทางพันธุกรรมแล้ว คุณสมบัติที่เกิดจากประสบการณ์ของแม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทั้งนี้โดยผ่านความเปลี่ยนแปลงในไข่ของแม่ กรณีนี้ยังสะท้อนว่า สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมพฤติกรรมของแม่นั้นสามารถส่งผลข้ามไปถึงตัวลูกได้ด้วย

    ไม่ใช่แต่หนูเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็ให้ข้อสรุปสอดคล้องกัน และชี้ว่าผลกระทบนั้นสามารถต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคนด้วย ที่สวีเดนมีการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของคนในเมืองโอเวอร์คาลิกซ์ (Overkalix) ซึ่งเก็บประวัติการเกิดและตายของประชากรอย่างดีมาก ผู้วิจัยพบว่าหากพ่อเริ่มสูบบุหรี่ก่อนอายุ ๑๑ ปี ลูกชายของเขาจะล่ำอ้วนกว่าลูกชายของคนที่เลิกสูบบุหรี่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันผู้ชายที่ขาดอาหารในช่วงอายุ ๘-๑๒ ปี ลูกชายของลูกชายมีโอกาสมากที่จะตายในวัยหนุ่ม ส่วนผู้หญิงที่ขาดอาหารในวัยเด็ก ลูกชายของลูกสาวก็มีแนวโน้มสูงที่จะตายในวัยสาว นอกจากนั้นเขายังพบว่า ผู้ชายคนใดที่กินมากในวัยเด็ก ลูกชายของลูกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    พฤติกรรมและประสบการณ์ของเรานั้นสามารถก่อผลกระทบกว้างไกลกว่าที่เราคิด แม้การศึกษาวิจัยเหล่านี้จะมิใช่บทสรุปที่ชี้ขาด แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่า การกิน การบริโภค และการใช้ชีวิตของเรา ไม่เพียงส่งผลต่อตัวเราและคนรอบข้าง ตลอดจนลูกของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลไปไกลถึงหลานและอาจถึงเหลนของเราด้วยก็ได้ เขาอาจเป็นเบาหวานหรือโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารตามใจปากหรือสูบบุหรี่เลย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายต่างหาก ในทางตรงข้าม หากเราหมั่นดูแลสุขภาพ อารมณ์เย็น ใฝ่รู้ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ประเทืองปัญญาและอารมณ์ ก็สามารถส่งผลให้ลูกหลานของเรามีสุขภาพดีและมีสติปัญญาตามไปด้วยก็ได้ แม้เขาไม่มีโอกาสอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ๆ เหมือนเรา

    มนุษย์เราต่างมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อนยิ่ง ทั้งกว้างและไกลไปถึงอนาคตอันกำหนดจุดจบได้ยาก เพียงแค่ดำรงชีวิตอย่างใส่ใจเท่านั้น เราก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย การอยู่อย่างมีสติจึงมิได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น หากยังเป็นความรับผิดชอบต่อโลกด้วย

    :- https://visalo.org/article/Image255406.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง
    ภาวัน
    นิตยสาร The Economist รายงานว่า ทุกวันนี้บุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญอย่างมากกับการตื่นเช้า อันที่จริงจะเรียกว่า “ตื่นเช้า”ก็ไม่ถูกนัก เพราะหลายคนตื่นก่อนอาทิตย์ขึ้นเสียอีก ผู้เชี่ยวชาญด้าน “การบริหารเวลา”ผู้หนึ่งเคยสอบถามผู้บริหารองค์กรที่มีชื่อเสียงจำนวน ๒๐ คน เขาพบว่ากว่าร้อยละ ๙๐ ตื่นก่อน ๖ โมงเช้าในวันธรรมดา เช่น อินทรา นูยี ซีอีโอของเป๊ปซี่ ตื่นตี ๔ บ๊อบ อีเกอร์ ซีอีโอของดิสนีย์ตื่น ตี ๔ ครึ่ง แจ๊ค ดอร์ซีย์ ซีอีโอของทวิตเตอร์ ถือว่านอนอุตุมากที่สุด คือตื่นตี ๕ ครึ่ง

    พวกเขาตื่นเช้าไปทำไม กิจวัตรอย่างแรก ๆ ที่นักธุรกิจเหล่านี้ขาดไม่ได้คือ การออกกำลังกาย ซีอีโอเหล่านี้บริหารร่างกายอย่างจริงจัง เดวิด คัช ซีอีโอของเวอร์จินอเมริกา เรียกเหงื่อจากจักรยานทันทีที่ตื่นมาตอน ๔.๑๕ น. ส่วนทิม คุก นั้นอยู่ในโรงยิมตั้งแต่ตี ๕ ซีอีโอเหล่านี้เห็นว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ และร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันได้ดีขึ้น

    แต่ในเวลาเดียวกัน The Economist ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง ๆ ที่ซีเรียสกับการออกกำลังกาย คนเหล่านี้มักทำอย่างอื่นไปด้วย และไม่ใช่แค่อย่างเดียว บ๊อบ อีเกอร์ แห่งดิสนีย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ขณะออกกำลัง “ผมดูอีเมล์ ท่องเว็บ และดูโทรทัศน์นิดๆ หน่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน” ทั้งหมดนี้เขาทำขณะฟังเพลงไปด้วย

    การออกกำลังกายนั้นเป็นของดีแน่ แต่การทำหลายอย่างพร้อม ๆ กันนั้นเป็นเรื่องดีจริงหรือ นักธุรกิจเหล่านี้คงคิดว่านี้เป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ในเมื่อมีเวลาน้อยแต่มีอะไรต่ออะไรต้องทำมากมาย ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำหลาย ๆอย่างในเวลาเดียวกัน หลายคนรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำเช่นนั้น แต่The Economist กลับมองว่า การทำเช่นนั้น “เป็นตัวการทำให้ใจฟุ้งซ่าน หาใช่การบริหารที่ดีไม่”

    หลายปีก่อนนิตยสารฉบับเดียวกันนี้เคยระบุถึงการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทำกับผู้คนเป็นจำนวนหลายพันคน ใช้เวลานานหลายเดือน ได้ข้อสรุปว่า การทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน (multi-tasking) ไม่ได้ช่วยให้ผลการทำงานดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามการทำงานทีละอย่างกลับทำให้ได้งานที่มีคุณภาพดีกว่า อันที่จริงข้อสรุปดังกล่าวเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะเมื่อทำทีละอย่าง จิตย่อมจดจ่อเป็นสมาธิได้ดีกว่า และเมื่อมีสมาธิ ก็สามารถคิดและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผลงานออกมาดี

    การทำทีละอย่างนั้นมีผลดีต่อสุขภาพจิตด้วย ไม่ใช่ดีต่องานเท่านั้น เพราะหากทำเป็นนิสัย จะช่วยให้จิตไม่แส่ส่าย ปล่อยวางความคิดและอารมณ์ได้เร็ว จึงผ่อนคลายได้ง่าย ในทางตรงข้ามการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน นอกจากจิตจะล้าหรือเครียดได้ง่ายแล้ว จิตจะอยู่นิ่ง ๆ นาน ๆ ได้ยาก จึงฟุ้งซ่านบ่อย ผลที่ตามมาคือ ต่อไปจะคุมจิตได้ยาก ถึงเวลานอน ก็นอนยาก เพราะจิตฟุ้งไม่หยุด คิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา ทำให้เครียดหนักขึ้น

    ทุกวันนี้โรคเครียดกลายเป็นปัญหาของคนสมัยใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดไม่หยุด และหยุดความคิดไม่ได้ นิสัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการสะสมบ่มเพาะเป็นเวลานาน ไม่ใช่จากการคิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน

    ลองสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิตใจด้วยการทำทีละอย่างตั้งแต่ตื่นนอน เวลาล้างหน้า ใจก็อยู่กับการล้างหน้า เวลาอาบน้ำใจก็อยู่กับการอาบน้ำ ไม่ควรเอาอะไรมาคิด เปิดใจรับความสดชื่นจากสายน้ำ เวลากินข้าว ใจก็อยู่กับการกินข้าว วางงานการที่จะทำในเช้าวันนั้นลงก่อน ขณะเดียวกันเมื่อออกกำลังกาย ใจก็อยู่กับการออกกำลังกาย รับรู้ถึงการยืดและขยายของกล้ามเนื้อ รวมทั้งลมหายใจที่เข้าออก อย่าเพิ่งสนใจอีเมล์หรือข้อความในไลน์

    วิธีนี้ช่วยให้จิตมีสมาธิ และพักความคิดไปในตัว นอกจากทำให้จิตผ่อนคลายแล้ว เมื่อถึงเวลาใช้ความคิค ก็คิดได้อย่างมีพลัง ทะลุปรุโปร่ง จึงช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น

    “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้งานได้ผล คนเป็นสุขทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน
    :- https://visalo.org/article/Image255905.html
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    คิดบวก
    ภาวัน
    ทุกวันนี้ “คิดบวก” กำลังเป็นที่นิยมมาก แต่เราหมายความว่าอย่างไรเวลานึกถึงคำนี้ ความหมายหนึ่งก็คือ การคาดการณ์อนาคตในแง่ดี มองเห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า หน่วยงานหลายแห่งถึงกับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในการวางแผน คือ ตั้งเป้าที่สวยหรูเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังใจในการทำงาน บางคนถึงกับเชื่อว่า ถ้านึกถึงสิ่งดี ๆ สิ่งนั้นก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับตนได้

    แต่ปัญหาที่เกิดจากวิธีคิดแบบนี้ก็คือ หากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ก็จะตั้งรับไม่ทัน หลายคนวาดหวังว่าชีวิตจะต้องราบรื่น ก้าวหน้าและเปี่ยมสุข แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก็ล้มทรุดทันทีทั้ง ๆ ที่มะเร็งยังอยู่ในระยะแรก

    นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยทำงานอย่างเล็งผลเลิศ มองเห็นอนาคตสดใส จึงเดินหน้าเต็มที่โดยไม่คิดเผื่อทางอื่นไว้เลย พอสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีแผนสองไว้รองรับ

    การตั้งเป้าไว้สวยหรูนั้น ยังมีผลเสียตรงที่ ดึงดูดให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับการทำให้ถึงเป้า จนลืมเรื่องอื่นที่มีความสำคัญต่อชีวิต ผลก็คือ แม้ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ก็สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไป มีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่า เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีเงิน ๑ ล้านเหรียญก่อนอายุ ๔๐ แล้วเขาก็ทำได้ในที่สุด แต่ปรากฏว่าเขาต้องหย่าขาดจากภรรยา มีปัญหาสุขภาพ ซ้ำลูกยังไม่คุยกับเขาอีกด้วย

    จะดีกว่าไหมหากเรามองอนาคตในแง่ลบไว้บ้าง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่อาจควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ แม้วันนี้ชีวิตจะราบรื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะราบรื่นเหมือนวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร จึงควรเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่สำเร็จอย่างที่วาดหวัง

    การมองว่าในอนาคตเราอาจเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย การงานล้มเหลว มีปัญหาการเงิน หลายคนมองว่าเป็น “ลาง”ไม่ดี แต่ที่จริงมันเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต และไม่หลงเพลินในความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่อาจมาถึง และหาทางป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นหากอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ รวมทั้งเร่งทำสิ่งที่ควรทำแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

    นี้เป็นวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใช้สอนพระภิกษุและคฤหัสถ์ กล่าวคือ ทรงแนะให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากสูญเสียจากของรักของชอบใจ อยู่เนือง ๆ ในบางครั้งทรงแนะให้พระภิกษุระลึกถึงอนาคตภัย ๕ ประการ คือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ข้าวยากหมากแพง ความไม่สงบในบ้านเมือง และความแตกสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เร่งทำความเพียรในขณะที่ยังมีชีวิตสุขสบาย

    เวลาไปฟังผลตรวจร่างกายจากหมอ หลายคนวิตกกังวลว่าจะเจอข่าวร้าย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าตั้งสติให้ดี แล้วนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น เช่น เป็นมะเร็ง ลองทำใจให้คุ้นกับความคิดนึกดังกล่าวสักพัก ยอมรับความกลัวที่เกิดขึ้น แล้วจะพบว่าเราสามารถรับฟังคำวินิจฉัยของหมอด้วยใจที่สงบมากขึ้น สุดท้ายแม้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็จะยอมรับความจริงนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเผื่อใจเอาไว้แล้ว

    ถึงตรงนี้แหละที่ “คิดบวก”ในอีกความหมายหนึ่งเป็นประโยชน์แก่เรา นั่นคือการมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย มีบางคนบอกว่าโชคดีที่รู้แต่เนิ่น ๆ ทำให้มีเวลารักษาตัวเองก่อนที่มันจะลาม หลายคนบอกว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ จึงได้พบกับความสุขที่แท้

    ในทำนองเดียวกัน การเห็นสิ่งดี ๆ ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งแย่ ๆ ก็ทำให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ ดังหลายคนบอกว่า ถึงแม้กายจะป่วย แต่ก็ยังเห็นสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว

    การมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย และการเห็นสิ่งดี ๆ ที่อยู่รายรอบสิ่งแย่ ๆ เป็นการคิดบวกที่ช่วยให้เราอยู่กับความทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/Image255603.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    JitOnlyBaby.jpg
    ปัญหาอยู่ที่ใจ

    ภาวัน
    เวลาเรารู้สึกไม่ชอบอะไรสักอย่าง ปัญหาจริง ๆ อาจไม่ได้อยู่ที่สิ่งนั้น แต่เป็นความรู้สึกไม่ชอบของเราต่างหาก พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งนั้นไม่ได้สร้างปัญหาหรือก่อความทุกข์ให้เรามากเท่ากับความรู้สึกไม่พอใจมัน

    หนุ่มสาวส่วนใหญ่ไม่ชอบสิวบนใบหน้าของตน ที่จริงสิวไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้แก่เขามากมายอะไร แค่ทำให้หน้าตาไม่หมดจดเท่านั้น แต่หลายคนถึงกับเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในสหรัฐอเมริกา พบว่าร้อยละ ๑๐ ของคนเป็นสิวบอกว่า การเป็นสิวเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต วัยรุ่นเป็นอันมากมีผลการเรียนตกต่ำเพราะทำใจไม่ได้ บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย

    สิวนั้นไม่ทำให้ใครตายได้หรอก แต่ความรังเกียจชิงชังสิวต่างหาก ที่สามารถผลักดันให้ผู้คนปลิดชีวิตตัวเองได้

    ความอ้วนก็เช่นกัน ที่จริงหญิงสาวเป็นอันมากเพียงแค่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน (ซึ่งมักเอานางแบบหรือดาราเป็นต้นแบบ) มันไม่ถึงกับสร้างปัญหาสุขภาพแก่เธอเหล่านั้น แต่เป็นเพราะรังเกียจความอ้วน จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อลดความอ้วน หลายคนหันไปพึ่งยาอันตราย ซึ่งลงท้ายด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ต้องการลดน้ำหนักของตน เธอทดลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเธอจึงไปหาซื้อพยาธิตัวตืดมากลืนลงท้อง โทษของพยาธิตัวตืดนั้นมีมากมาย อาจทำให้ถึงตายได้ อันตรายของมันนั้นมากกว่าการมีน้ำหนักเกินเสียอีก คนธรรมดาสามัญย่อมไม่อยากทำร้ายตัวเองขนาดนั้น แต่อะไรทำให้เธอตัดสินทำเช่นนั้น หากไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจชิงชัง “ความอ้วน”ของเธอ ที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ทำเช่นนั้น ในฮ่องกงมีคนนับพันที่ยอมกลืนพยาธิเพื่อลดความอ้วน

    เวลาประสบปัญหา บ่อยครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ผู้คนเลือกใช้นั้น กลับเลวร้ายย่ำแย่กว่าตัวปัญหาเสียอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ ความรู้สึกชิงชังรังเกียจที่มีต่อปัญหานั้น ๆ เมื่อเกลียดมาก ๆ ก็ลืมตัว จนพร้อมจะทำอะไรก็ได้เพื่อทำให้ปัญหานั้นหมดไป โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าปัญหานั้นเสียอีก บางคนเกลียดหนูในบ้านมาก ไล่อย่างไร มันก็ไม่ยอมไป แถมทำลายข้าวของหนักขึ้น ทำให้เขารังเกียจชิงชังมันยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายก็ถึงกับใช้ไฟสุมเผารังของมัน แต่ปรากฏว่าไฟลุกลามจนไหม้บ้านเขาทั้งหลัง แม้หนูจะเป็นตัวสร้างปัญหา แต่มันไม่สามารถทำลายบ้านของเขาได้เลย การใช้ไฟไล่หนูต่างหากที่ทำให้เขาสูญเสียบ้านทั้งหลัง และทั้งหมดเกิดขึ้นได้ก็เพราะ ความรังเกียจชิงชังหนูนั่นเอง

    ความรังเกียจชิงชังมักทำให้เราเผลอทำสิ่งที่เกินเลย (over-react) จนได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นก่อนที่จะจัดการกับปัญหาใด ๆ ควรหันมาสำรวจตนเองเสียก่อนว่า เรามีความรังเกียจชิงชังมากไปหรือเปล่า มองให้ดีอาจพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้สร้างความทุกข์ให้แก่เรามากเท่ากับความรู้สึกลบต่อสิ่งนั้น บ่อยครั้งเพียงแค่เราลดความรู้สึกดังกล่าวลง สิ่งนั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป

    เสียงดังอาจไม่ใช่ปัญหามากเท่ากับความไม่ชอบเสียงนั้น ยิ่งเราไม่ชอบมัน ก็ยิ่งรำคาญเสียงนั้นมากขึ้น แต่พอวางใจเป็นกลาง ๆ เสียงนั้นก็ไม่รบกวนเราอีกต่อไป

    ในทำนองเดียวกัน คนบางคนไม่ได้ก่อความทุกข์ให้เรามากเท่ากับความรังเกียจชิงชังเขา หากเกลียดเขาน้อยลง เราก็จะทนพฤติกรรมของเขาได้มากขึ้น และอาจพบว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร

    ปัญหาจึงอาจไม่ได้อยู่ที่คนอื่นหรือสิ่งอื่น แต่อยู่ที่ความรู้สึกในใจของเราต่างหาก
    :- https://visalo.org/article/Image255611.html
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เหตุผล กับ น้ำใจ
    ภาวัน
    น.พ.รังสิต หร่มระฤก เล่าถึงผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า มีใครบางคนคอยส่งคลื่นรังสีมารบกวนความคิดของเขาอยู่ตลอดเวลา ซ้ำยังอ่านความคิดของเขาได้ด้วย เขาหวาดกลัวคนกลุ่มนี้มากจนไม่เป็นอันทำอะไร สุดท้ายต้องลาออกจากงานและเก็บตัวอยู่ที่บ้าน

    ผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ยังไม่หายจากอาการดังกล่าว ญาติจึงพาเขามาหาหมอรังสิตซึ่งเป็นจิตแพทย์ หมอรังสิตวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคจิตเภท จึงให้ยาไปกินและติดตามอาการของเขาอย่างใกล้ชิดตลอด ๓ สัปดาห์ ในที่สุดอาการจิตหลอนดังกล่าวก็หายไป

    อย่างไรก็ตามหมอยังไม่วางใจ เพราะอาการดังกล่าวอาจหวนกลับมาอีกหากคนไข้ไม่กินยาต่อเนื่อง ดังนั้นหมอจึงพยายามชักจูงคนไข้ให้กินยาต่อจนครบ ๖ เดือน แต่จากประสบการณ์ของหมอ การที่คนไข้จะให้ความร่วมมือเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

    หมอเริ่มต้นด้วยการถามเขาว่า “เป็นไงพี่ คลื่นรบกวนหายไปแล้ว พี่คิดว่าเพราะอะไร”

    “ผมคิดว่ามันหายไปเอง”

    หมอพยายามชี้แจงว่า คนไข้ถูกคลื่นรบกวนมาเป็นปีแล้ว แต่พอได้กินยาแค่ ๓ สัปดาห์ คลื่นรบกวนก็หายไป “พี่ไม่คิดหรือว่ายาน่าจะเป็นสาเหตุให้คลื่นนี้หายไป”

    “ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมว่ามันบังเอิญมากกว่า”

    หมอรู้ดีว่าคนไข้ไม่ยอมกินยาอย่างแน่นอนหากไม่เห็นด้วยตนเองว่ายามีประโยชน์ จึงหว่านล้อมคนไข้ว่า ในเมื่อหมอและคนไข้เห็นไม่ตรงกันว่าคลื่นรบกวนหายเพราะเหตุใด ฉะนั้น “เรามาทดลองกันดีกว่าว่าใครถูก”

    “เอาสิหมอ จะทดลองอย่างไรล่ะ”

    หมอเสนอว่า จะลองหยุดให้ยาดูสักพัก ถ้าคลื่นรบกวนกลับมา จึงจะให้ยาใหม่ หลังจากคนไข้กินยาแล้ว คลื่นรบกวนหายไปอีก ก็แสดงว่าหมอเป็นฝ่ายถูก “ถ้าผมถูก แสดงว่ายาช่วยให้คลื่นรบกวนหาย พี่ต้องกินยาให้ครบ ๖ เดือนนะ”

    คนไข้คิดดูสักพักก็ตอบว่า “ถึงแม้ผลการทดลองจะออกมาอย่างที่หมอว่า มันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้อยู่ดีว่ายาเป็นสาเหตุให้คลื่นรบกวนหาย”

    หมอสงสัยว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น “เพราะคนที่ส่งคลื่นรบกวนเขาอ่านใจผมได้ เขาอาจจะรู้ว่าเรากำลังทดลองอยู่ เขาเลยแกล้งไม่ส่งคลื่นรบกวนตอนที่ผมกินยา เพื่อให้เราเข้าใจผิด”

    เจอคำตอบแบบนี้เข้า หมอก็อึ้ง ไม่รู้จะสรรหาเหตุผลใด ๆ มาหว่านล้อมให้เขากินยาได้อีก เพราะถ้าบอกคนไข้ว่า “ไม่จริงหรอก ไม่มีใครเขาอ่านใจคุณได้หรอก” คนไข้ก็ไม่มีวันเชื่อเพราะไม่มีเหตุผลรองรับ แต่จะเอาเหตุผลอะไรมาทำให้เขาคล้อยตาม เพราะขนาดกินยาแล้วคลื่นรบกวนหายไป เขายังไม่เชื่อว่าคลื่นหายไปเพราะยา

    สุดท้ายหมอได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “มุขนี้เด็ดมากเลยพี่ ผมเถียงสู้พี่ไม่ได้แล้ว เอาละบอกมาดีกว่าว่าจะต้องทำยังไงพี่จึงจะยอมกินยาครบ ๖ เดือน”

    คราวนี้คนไข้ใจอ่อนขึ้นมา “ถ้าหมอให้กินยาผมก็จะกิน เพราะหมอดูแลผมอย่างดีมาตลอด ผมเชื่อว่าหมอหวังดี ผมไม่อยากให้หมอเสียใจ”

    หมอคิดไม่ถึงว่าคนไข้ซึ่งสามารถหักล้างเหตุผลของหมอได้ทุกประการนั้น ยอมกินยาเพียงเพราะซาบซึ้งในน้ำใจของหมอเพียงประการเดียว

    ผู้คนมักคิดว่าเหตุผลนั้นสามารถจูงใจให้ผู้คนทำสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นเป็นอย่างดีว่าเหตุผลนั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้แต่ผู้ป่วยโรคจิตก็มีเหตุผลของตน แม้กระนั้นสิ่งหนึ่งที่สามารถดลใจให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ความจริงใจ ความเอื้ออาทร และความปรารถนาดี การแก้ปัญหาใด ๆ ก็ตามหากใช้แต่เหตุผลอย่างเดียว ย่อมยากจะสำเร็จได้

    มนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ด้วยเหตุผลอย่างเดียว “ใจ” ก็สำคัญไม่น้อย ใครที่ใช้แต่เหตุผลอย่างเดียว ชีวิตก็ย่อมตื้นเขินและอาจผิดเพี้ยนได้ จี.เค.เชสเตอร์ตัน เตือนใจเราได้ดีมากเมื่อเขากล่าวว่า “คนบ้ามิใช่คนที่ไร้เหตุผล คนบ้าคือคนที่ไร้ทุกอย่างยกเว้นเหตุผล”
    :- https://visalo.org/article/Image255407.htm
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เพียงคำว่า “แค่”
    ภาวัน
    ชายผู้หนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมานานหลายเดือน รูปร่างผอมซีดเพราะน้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ หมอซักถามอาการได้สักพักก็สั่งเจาะเลือด

    เมื่อผลตรวจเลือดมาถึง หมอก็แจ้งแก่คนไข้ว่า เขาเป็นเบาหวาน
    ทันทีที่รู้ผล เขายิ้มหน้าบานจนเกือบจะลิงโลดด้วยซ้ำ หมอแปลกใจจึงถามเขาว่า

    “ทำไมลุงถึงดีใจล่ะครับ เป็นเบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตนะครับ”

    “ทีแรกผมนึกว่าจะเป็นเอดส์ แต่พอรู้ว่าเป็นแค่เบาหวาน ก็เลยดีใจมาก”

    เบาหวานเป็นโรคร้าย ใครเป็นก็ถือว่าโชคร้าย แต่ชายผู้นี้กลับดีใจที่เป็นเพราะเขาคิดว่าจะต้องเจอหนักกว่านั้น สุขหรือทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจออะไร แต่ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของเรา ได้รางวัลเป็นเงินแสนแต่คาดหวังเงินล้าน ก็ย่อมเป็นทุกข์ ในทางตรงข้ามแม้เป็นเบาหวานแต่ใจคาดว่าจะเป็นเอดส์ ก็กลับทำให้ยิ้มได้

    โรคร้ายกลายเป็นเบาเมื่อเทียบกับโรคที่ร้ายกว่า เด็กหญิงผู้หนึ่งเป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงทั้งศีรษะเพราะผ่านการฉายแสง แต่เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนคนมาเยี่ยมแปลกใจ คุยกันได้สักพักเธอก็บอกว่า เธอโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ญาติของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งชนิดนั้น เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เธอจึงรู้สึกว่าโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง

    คนเราจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่มุมมองเป็นสำคัญ มุมมอง(รวมทั้งความคาดหวัง)เป็นตัวสำคัญที่บ่งชี้หรือตีค่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ดีหรือร้าย เบาหรือหนัก น้อยหรือมาก เมื่อปีที่แล้วหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการเผาศูนย์การค้าหลายแห่ง ร้านสุกี้ชื่อดังพลอยฟ้าพลอยฝน ถูกเผาไป ๔ สาขา เสียหายหลายสิบล้านบาท ผู้จัดการสาขาและพนักงานทั้งเสียใจและโกรธแค้น ตรงข้ามกับซีอีโอซึ่งมีหุ้นใหญ่ในกิจการดังกล่าวกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับข่าวคราวดังกล่าว ซ้ำยังปลอบใจลูกน้องว่า "ไม่เป็นไรเรายังมีอีกตั้ง ๓๒๐ สาขา"

    ซีอีโอผู้นี้ยิ้มได้กับเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะมองว่า ร้านของเขาถูกเผาไปแค่ ๔ สาขาเท่านั้น นี้ก็ทำนองเดียวกับเด็กหญิงวัย ๑๔ ที่มองว่าตัวเองเป็นแค่มะเร็งสมอง หรือลุงที่ดีใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นแค่เบาหวาน แม้เจอเรื่องร้ายแต่ทั้งสามคนไม่เป็นทุกข์เพราะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังเบาอยู่ เขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีคำว่า "แค่" ติดมาด้วย

    เพียงคำว่า "แค่"คำเดียวก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ดูเบาลงไปและบรรเทาความทุกข์ของเราไปได้เยอะ แต่บ่อยครั้งเรามักลืมคำ ๆ นี้ไปในยามที่ประสบเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่สมหวัง แต่กลับนึกถึงคำ ๆ นี้เวลาประสบโชคหรือได้รับสิ่งที่น่าพอใจ เช่น "เขาชมฉันแค่นี้เอง" "ฉันได้โบนัสแค่ ๔ แสนเท่านั้น" "ฉันได้เป็นแค่ผู้จัดการฝ่าย" ผลที่ตามมาคือความทุกข์เกาะกินใจ

    ชายผู้หนึ่งได้ทราบว่ามิตรอาวุโสขายหุ้นได้กำไร ๑๐ ล้านบาทเมื่อ ๒-๓ วันก่อน เขาจึงแสดงความยินดีกับเธอด้วย แต่คุณป้าผู้นั้นกลับตอบว่า "ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ ฉันก็ได้กำไรแล้ว ๒๐ ล้าน" วันรุ่งขึ้นคุณป้าผู้นี้ไม่มาตลาดหุ้นเหมือนเคย ชายผู้นี้จึงไปสอบถามโบรคเกอร์ซึ่งคุ้นเคยกับเธอ ก็ได้ความว่าเธอเข้าโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อเช้า สาเหตุก็เพราะเธอเครียดมาก

    คุณป้าเครียดก็เพราะเป็นทุกข์ที่ได้กำไร "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น จะว่าไปเงินก้อนนี้มิใช่จำนวนน้อย ๆ พอ ๆ กับถูกลอตเตอรี่รางวัลที ๑ โชคลาภอย่างนี้ใครได้ไปก็น่าจะมีความสุข แต่พอมองไม่ถูก วางใจไม่เป็น เห็นว่ามันเป็น "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น ก็เป็นทุกข์ทันที

    คำว่า "แค่" คำนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก มันสามารถสร้างทุกข์หรือปัดเป่าความกลัดกลุ้มไปจากจิตใจของเราได้ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร หากใช้ให้เป็น เราก็สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้โดยใจไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากสูญเสียของรัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์

    เมื่อเจอเหตุร้ายคราวหน้า อย่าลืมนึกถึงคำนี้ เพียงเติมคำว่า "แค่" ไว้ข้างหน้าเหตุร้ายเหล่านั้น เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นเบาไปได้ในความรู้สึกของเรา

    :- https://visalo.org/article/Image255408.htm
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    จากด้อยเป็นเด่น
    ภาวัน
    ในสายตาของคนทั่วไป ออทิสติก แอสเปอร์เกอร์ ความบกพร่องในการอ่าน (dyslexia) สมาธิสั้น จัดว่าเป็น “โรค” เพราะเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ หากเกิดขึ้นกับตัวเองก็ถือว่าเป็นโชคร้าย ส่วนใครที่รู้ว่าลูกหลานของตัวเองมีอาการเหล่านี้ ก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ

    ข่าวดีก็คือ อาการเหล่านี้มีประโยชน์ไม่ใช่น้อย นิตยสาร ดิอีโคโนมิสต์ เปิดเผยว่า คนเก่งคนดังระดับโลกหลายคน โดยเฉพาะในวงการเทคโนโลยีและธุรกิจ มีอาการเหล่านี้คนละอย่างสองอย่าง เช่น มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค จากปากคำของคนที่รู้จักเขา ซัคเกอร์เบิร์ก มีอาการของคนที่เป็นแอสเปอร์เกอร์ หรือ
    ออทิสติกอย่างอ่อน ๆ อาทิเช่น “เขาไม่ค่อยมีฟีดแบ็คหรือตอบรับว่าเขากำลังฟังคุณอยู่”

    หลายคนที่ทำหน้าที่รับคนเข้าทำงานตั้งข้อสังเกตว่า คุณสมบัติของโปรแกรมเมอร์ที่เก่งนั้นคล้ายคลึงกับอาการของคนที่เป็นแอสเปอร์เกอร์ เช่น ชอบจดจ่อหมกมุ่นอยู่กับเรื่องแคบ ๆ หลงใหลในตัวเลข แบบแผน และเครื่องจักร เสพติดงานที่ซ้ำซาก และขาดความอ่อนไหวต่ออารมณ์และปฏิสัมพันธ์ของผู้คน

    ปีเตอร์ ทีเอล ซึ่งเป็นคนแรก ๆ ที่ร่วมลงทุนในเฟซบุ๊คบอกว่า “คนที่บริหารธุรกิจอินเทอร์เน็ตล้วนเป็นพวกออทิสติก” แต่ใช่ว่าแวดวงอื่นจะแตกต่างไปจากนี้ มีการศึกษาพบว่าผู้ประกอบการธุรกิจจำนวนมากมีอาการทางจิตที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่น จูลี ล็อกอิน แห่ง มหาวิทยาลัยธุรกิจคาสส์ พบว่า ร้อยละ ๓๕ ของคนเหล่านี้มีความบกพร่องในการอ่าน ขณะที่ประชากรเพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้นที่มีอาการดังกล่าว

    คนดังที่มีอาการดังกล่าว ได้แก่ ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด เจเนอรัลอีเล็คทริค ไอบีเอ็ม และไอเคีย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนดังในยุคนี้ อาทิ สตีฟ จ็อบส์ และริชาร์ด แบรนสัน

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มีคำอธิบายมากมาย ข้อหนึ่งก็คือ คนที่มีความบกพร่องในการอ่าน จะฉลาดในการมอบหมายงานให้คนอื่นทำตั้งแต่เล็ก (เช่น ขอให้คนอื่นช่วยทำการบ้านให้) นอกจากนั้นเขายังชอบเข้าหางานที่ไม่เรียกร้องคุณสมบัติที่เป็นทางการมาก รวมทั้งไม่ต้องอ่านมากเขียนมาก

    สมาธิสั้น ก็เป็นอาการอีกอย่างที่ “เป็นมิตร” กับผู้ประกอบการ เพราะช่วยให้มีความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา มีการศึกษาพบว่าคนที่มีสมาธิสั้นมีแนวโน้มที่จะทำกิจการของตัวเองมากเป็น ๖ เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติ

    เดวิด นีเลอแมน ผู้ก่อตั้งเจ็ทบลู สายการบินต้นทุนต่ำ พูดไว้น่าสนใจว่า “สมองสมาธิสั้นของผมชอบแสวงหาวิธีที่ดีกว่าเดิมเวลาจะทำอะไรก็ตาม แม้ว่าความไม่เป็นระเบียบ ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้ รวมทั้งสิ่งแย่ ๆ ทั้งหลายจะมาพร้อมกับโรคสมาธิสั้น แต่สิ่งที่ตามมาด้วยกันก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าได้กล้าเสีย”

    ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แย่ไปเสียหมด จุดอ่อนด้านหนึ่งหมายถึงจุดแข็งอีกด้านหนึ่ง คนที่เรียนไม่เก่งจำไม่แม่นมักมีความสามารถอีกด้านหนึ่งมาทดแทน เช่น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีหรือมีอีคิวสูง ทำนองเดียวกับคนที่ตาบอดมักมีหูไวและสัมผัสเป็นเลิศ ประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติมักมีประชากรที่ฉลาดและก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และหลายประเทศในยุโรป ในทางตรงข้ามจุดแข็งด้านหนึ่งก็หมายถึงจุดอ่อนอีกด้านหนึ่ง หลายประเทศร่ำรวยทรัพยากรธรรมชาติแต่คุณภาพคนกลับย่ำแย่และต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของชาติอื่น

    ครั้งหนึ่งผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แต่ทุกวันนี้ผู้หญิงกำลังเป็นคนทำรายได้หลักให้แก่ครอบครัว ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ผู้ชายตกงานกันเป็นจำนวนมาก เพราะโรงงานปิดตัว หรือไม่ก็ย้ายไปเอเชีย ผู้หญิงกลับมีการงานและรายได้ที่มั่นคงกว่า ทั้งนี้เพราะกิจการที่ยังเติบโตได้เรื่อย ๆ เป็นกิจการด้านบริการ ซึ่งใช้สมองและทักษะทางสังคม ซึ่งผู้หญิงมีความได้เปรียบกว่า ขณะที่งานซึ่งใช้แรงกายนั้นถดถอยน้อยลงไปเรื่อย ๆ บางเมืองในอเมริกา รายได้เฉลี่ยของผู้หญิงสูงกว่าของผู้ชายถึงร้อยละ ๔๐ แม้กระทั่งในบราซิล ปัจจุบันผู้หญิงเกือบ ๑ ใน ๓ มีรายได้เฉลี่ยมากกว่าสามี ปรากฏการณ์ดังกล่าวกำลังเป็นธรรมดาของเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ไปแล้ว

    เมื่อโลกมีความหลากหลายมากขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับคนทุกประเภท ไม่ว่า ออทิสติก คนพิการ คนเรียนช้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าด้อยความสามารถ หากมองหาจุดแข็งของตัวให้เจอ หรือทำสิ่งที่ตนถนัด อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ ก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย และประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
    :- https://visalo.org/article/Image255602.html
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ดูหน้า อย่าลืมใจ
    ภาวัน
    ชายหนุ่มน้ำใจงามพาลูกไปบ้านพักคนชรา เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้ทุกข์ยาก และถือเป็นโอกาสเรียนรู้ความจริงของชีวิตไปด้วย ที่นั่นมีคนแก่หลายประเภท ทั้งคนพิการ คนป่วยและคนหลง ๆ ลืม ๆ มีคนแก่คนหนึ่งท่าทางไม่ปกติ จู่ ๆ ก็ยกเก้าอี้ออกไปนอกตึก ชายหนุ่มจึงถามว่า ลุงจะไปไหน แกตอบว่า จะไปปลูกต้นไม้ ว่าแล้วก็กวาดมือชี้ไปที่ต้นไม้ในสวน พร้อมกับพูดอวดว่า ต้นไม้เหล่านี้เป็นฝีมือแกทั้งนั้น ชายหนุ่มอยากสร้างสัมพันธ์กับคุณลุงจึงเออออไปด้วย แล้วยกเก้าอี้เดินตามแกไป แกเห็นก็ถามว่า จะทำอะไร ชายหนุ่มตอบว่า จะไปปลูกต้นไม้กับลุงไงล่ะ แกเลยโพล่งขึ้นว่า "จะบ้าหรือ นั่นเก้าอี้นะ ไม่ใช่ต้นไม้"

    คุณลุงสังเกตเห็นชายหนุ่มมีพฤติกรรมไม่ปกติ คล้ายคนบ้า แต่กลับมองไม่เห็นว่าตัวเองก็มีพฤติกรรมอย่างนั้นเหมือนกัน ฟังเรื่องนี้แล้วน่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า แม้แต่คนวิกลจริตก็ยังบอกได้ว่าใครบ้างที่บ้า แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองบ้า นี้ก็คงไม่ต่างจากคนเมา ที่รู้ว่าใครเมา แต่กลับไม่ยอมรับว่าตัวเองเมา แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่แต่คนบ้าคนเมาเท่านั้น คนทั่วไปก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ คือเห็นความผิดเพี้ยนของคนอื่นได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นความผิดเพี้ยนของตนเอง หลายคนไม่ชอบคนขี้บ่นขี้นินทา แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองก็ขี้บ่นขี้นินทาเหมือนกัน ขณะที่ชี้ให้ใคร ๆ ดูว่าคนนั้นคนนี้ชอบนินทา หารู้ตัวไม่ว่าตนเองก็กำลังนินทาเขาอยู่

    ชายคนหนึ่งพอเจอเพื่อนรุ่นน้องและรู้ว่าเขานิยมชมชื่นนักเขียนชื่อดังคนหนึ่ง เขาก็วิจารณ์นักเขียนคนนั้นให้ฟังทันทีว่า เป็นคนก้าวร้าว ปากจัด ยิ่งพูดก็ยิ่งมีอารมณ์ ด่าว่านักเขียนคนนั้นด้วยถ้อยคำที่รุนแรง โดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่าตนเองก็ทำอย่างเดียวกับคนที่ตนกำลังด่าว่าอยู่

    ในชาดกมีเรื่องของชาวนาคนหนึ่งที่เศร้าโศกเสียใจที่พ่อตาย แม้เผาศพแล้วก็ยังซึมเศร้าไม่เป็นอันทำงาน ลูกชายพูดอย่างไร พ่อก็ไม่หายทุกข์ วันหนึ่งวัวแก่ล้มตาย ลูกชายจึงแกล้งเกี่ยวหญ้าให้วัวกิน แล้วพูดว่า กินหญ้าสิ พ่อเห็นเช่นนั้นจึงตำหนิลูกว่า วัวตายแล้วจะลุกมากินหญ้าได้อย่างไร เจ้านี่ไร้ความคิดเหลือเกิน ลูกชายสบโอกาสจึงพูดว่า วัวตัวนี้ยังมีเท้าหน้าเท้าหลังเหมือนเดิม ผมจึงคิดว่ามันจะกินหญ้าได้ ตรงข้ามกับปู่ซึ่งตายกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว แต่พ่อก็ยังร้องไห้ถึงปู่อยู่ อย่างนี้มิใช่คนไร้ความคิดหรือ พ่อได้ฟังเช่นนั้นก็รู้ตัว และหายโศกเศร้าทันที

    อะไรทำให้คนเรามองเห็นคนอื่นได้ชัด แต่กลับมองไม่เห็นตัวเอง คำตอบก็คือ เพราะเราชอบพุ่งความสนใจไปนอกตัวจนลืมหันมาดูตัวเอง ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในบรรดาอายตนะทั้งหมดของเรานั้น มีถึง ๕ อย่างคือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายที่มีหน้าที่รับรู้โลกภายนอกโดยตรง มีแต่จิตอย่างเดียวที่สามารถรับรู้หรือสำรวจตรวจตราตนเองได้ ที่จริงตาก็ใช้ดูตัวเองได้ แต่ต้องอาศัยกระจกและดูได้แต่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่สามารถดูหรือรู้ความคิดและอารมณ์ ตลอดจนสังเกตเห็นพฤติกรรมของตัวเองได้ชัดเจน

    การพุ่งความสนใจไปที่ภายนอกนั้น เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษย์(และสัตว์ทั้งปวง) เพราะอันตรายส่วนใหญ่นั้นอยู่นอกตัว โดยเฉพาะในสมัยที่มนุษย์เรายังอยู่ป่า แต่ปัจจุบันอันตรายจากภายนอกลดลงไปมากแล้ว รอบตัวเรามีความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น แม้กระนั้นความทุกข์ของผู้คนก็ไม่ได้ลดลง ความทุกข์เหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากไหน คำตอบคือ มาจากใจของเราเอง ใจที่คิดไม่หยุด เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เก็บเอามาคิด ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เอามากังวล ความคิดที่ปรุงแต่งไม่หยุด และอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามมา ไม่ว่า ความเสียใจ ความโกรธ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความผิดหวัง ล้วนแต่นำความทุกข์มาให้แก่เรา แต่เป็นเพราะเราไม่ค่อยหันมาดูใจของตน มัวแต่มองคนอื่น จึงถูกความทุกข์ครอบงำ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรืออาจถึงขั้นเป็นบ้าไปเลย มีไม่น้อยที่ทนไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย

    ใช่แต่เท่านั้น การปล่อยให้ความทุกข์ลุกลามใจ ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ทั้งโดยวาจาและการกระทำ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผลก็คือถูกผู้อื่นตอบโต้ ระบายความทุกข์ให้แก่เรากลับคืน

    สาเหตุแห่งความทุกข์นั้นมิได้อยู่นอกตัวอย่างเดียว หากยังอยู่ที่ใจของเราด้วย ดังนั้นหากปรารถนาความสุข ก็ต้องหันมาดูใจของตัวเองบ่อย ๆ ด้วย อย่าให้ความคิดชักนำจิตใจเราจนจมอยู่กับกองทุกข์ อย่าปล่อยให้อารมณ์อกุศลประทุษร้ายจิตใจหรือผลักดันให้เรามีพฤติกรรมน่าระอา จนไม่มีใครอยากอยู่ใกล้

    ทุกวันนี้เราส่องกระจกดูตัวเองวันละนับสิบครั้ง หากเราหันมาตั้งสติดูใจตัวเองวันละหลาย ๆ ครั้งเช่นนั้นบ้าง จิตใจก็จะผ่องใสไม่น้อยไปกว่าใบหน้า และจะกลายเป็นคนน่ารัก ที่ใคร ๆ ก็มีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้
    :- https://visalo.org/article/Image255502.htm
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นิ่งสงบสยบปัญหา
    พระไพศาล วิสาโล
    มีพุทธประวัติตอนหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจสำนวนที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’

    ครั้งหนึ่งกลุ่มปริพาชกหรือนักบวชนอกศาสนาพุทธ มีความคิดอยากทำลายชื่อเสียงพระพุทธเจ้า จึงส่งนางจิญจมาณวิกา ไปที่วัดเชตวันตอนรุ่งเช้าบ่อยๆ จากนั้นก็ให้นางสรรหาผ้ามาพันท้อง แกล้งว่าท้องทีละนิด เมื่อเวลาผ่านไปท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนทักถามว่าเธอท้องกับใคร นางจิญจมาณวิกาจึงตอบไปว่าท้องกับพระพุทธเจ้า

    เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบความจริงดี แต่พระองค์ทรงเงียบเฉย ไม่ชี้แจงอะไร กระทั่งท้องของนางจิญจมาณวิกาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 9 เดือน นางจิญจมาณวิกา จึงทูลต่อพระพุทธเจ้าหน้าที่ธารกำนัลว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทำเธอท้องแล้วไม่ทรงรับผิดชอบ พระพุทธเจ้าทรงได้ยินดังนั้นก็แย้มพระสรวล ก่อนตรัสสั้นๆ ว่า เรื่องนี้มีแค่เธอกับเราเท่านั้นแหละที่รู้ความจริง จากนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายขยายความต่อ นั่นทำให้นางจิญจมาณวิกา โกรธมาก และพยายามโต้เถียงจนผ้าที่พันท้องของนางอยู่หลุดออกมา ความจริงจึงเปิดเผยในที่สุด

    จากนั้น กรณีเช่นนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก

    เมื่อครั้งที่กลุ่มปริพาชกได้สังหารนางสุนทรีแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ใกล้กุฏิของพระพุทธเจ้า เมื่อมีคนมาพบศพนางสุนทรีเข้า ข่าวลือว่าพระพุทธเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังการตายของนางก็แพร่สะพัดออกไป พระสงฆ์ทั้งหลายร้อนใจมากจึงได้ทูลให้พระพุทธเจ้าทรงหนีออกจากเมืองนั้นไปเสีย แต่พระองค์ตรัสตอบว่า ขอทุกท่านจงนิ่งสัก 7 วัน เดี๋ยวเรื่องนี้จักเงียบสงบไปเอง

    เจ็ดวันผ่านไปปรากฏว่าข่าวลือนั้นก็เงียบสงบไปจริงๆ

    ความจริงปรากฏว่า ฆาตกรที่ฆ่านางสุนทรีเกิดเมาแล้วทะเลาะกับเพื่อน เลยเปิดเผยว่าตนเองเป็นคนฆ่านางสุนทรี จากนั้นเขาถูกจับได้และโดนสำเร็จโทษถึงชีวิต

    ในบางสถานการณ์ การพูดหรือชี้แจงอาจจะไม่เป็นประโยชน์

    เพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในอารมณ์ที่รุ่มร้อน พูดไปเขาก็ไม่ฟัง

    เมื่อคนเราถูกใส่ร้าย ส่วนใหญ่เรามักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที แต่การด่าหรือเถียงกลับนั้น มีแต่จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง

    สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่พม่าต้องไปลาดตระเวนในป่าเพื่อต้านทานการบุกรุกของทหารญี่ปุ่น เย็นวันหนึ่ง ทหารลาดตระเวนมาแจ้งข่าวกับหัวหน้าว่า ข้างหน้ามีกองทัพทหารญี่ปุ่นโอบล้อมไว้ทุกด้าน บรรดาทหารอังกฤษก็คิดว่าถึงฝ่ายตนเองจะมีกำลังน้อยกว่า อย่างไรก็ต้องสู้ เพราะถ้าสู้แล้วอาจสามารถลดจำนวนทหารญี่ปุ่นได้เล็กน้อย ก็ยังดีเสียกว่าตายเปล่า

    แต่หัวหน้ากลับบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ และยังให้ชงชาดื่มกันด้วย

    ถึงลูกน้องจะสงสัย แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามที่หัวหน้าสั่ง ชงชารอ ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารญี่ปุ่นก็เดินผ่านไป กลายเป็นว่าทุกคนที่นั่นก็รอดตาย

    บางครั้ง การอยู่นิ่งๆ สามารถช่วยชีวิตเราได้

    เวลาเรือเจอพายุคลื่นลม แล้วก็เรือเกิดรั่ว ถ้าคนในเรือตื่นตกใจ ทำโน่นทำนี่ เรือก็คว่ำง่าย ที่จริงแล้ว การอยู่เฉยๆ อาจเกิดผลดีเสียกว่า

    หรือยามเมื่อคนที่เรารักใกล้เสียชีวิต แทนที่จะให้ท่านจากไปอย่างสงบ กลับบอกให้หมอทำโน่นทำนี่ เจาะคอบ้าง ใส่ท่อบ้าง ซึ่งยิ่งทำให้ท่านทุกข์ทรมาน ลูกๆ หลายคนรู้สึกเสียใจภายหลังว่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือแม่ของตนจากไปอย่างสงบ ทำไมต้องทำนู่นต้องทำนี่ด้วย เพราะว่าไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักปล่อยวาง

    เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ขอให้ใช้สติ ใช้ปัญญา อย่าคิดแต่จะทำนู่นทำนี่อย่างเดียว

    การไม่ทำอะไรเลย บางทียังเป็นการดีเสียกว่า

    คนเราจึงต้องรู้จักใช้ศิลปะของการนิ่งสงบ เพื่อสยบความวุ่นวาย
    :- https://visalo.org/article/komol6201.html
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    รู้เท่าทันตัวตน
    พระไพศาล วิสาโล
    ในความรู้สึกของคนเรา ไม่มีอะไรที่จริงแท้และสำคัญเท่ากับ “ตัวกู” แต่ในทัศนะของพุทธศาสนา ตัวกูหรือตัวตนไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา และเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมามันถึงทำอะไรแปลกๆ ได้ อย่างบางคนจะรู้สึกว่ามี 2 คนอยู่ในตัวคนเดียวกัน หรือจะเรียกว่ามี 2 ตัวตนอยู่ในคนเดียวกันก็ได้ อันนี้เราอาจเคยได้ยินมาบ้าง เช่น ในยามปกติเขาอาจจะเป็นคนธรรมดา สุภาพเรียบร้อย แต่พอมีอะไรมากระทบ ก็จะกลายเป็นคนละคน ถ้ามองแบบชาวบ้านก็คือเหมือนผีเข้า จะกราดเกรี้ยวเอะอะโวยวายด่าทอ ที่เคยเรียบร้อยพูดกับพ่อแม่เพราะๆ ก็จะด่าทอพ่อแม่เสียๆ หายๆ ทำตัวเหมือนเป็นคนละคน เป็นคนละบุคลิก บางคนถึงกับตั้งชื่อให้กับตัวตนทั้ง 2 ตัว เหมือนเป็นคนละคนกัน

    เวลาปกติ ก็เป็นคนเรียบร้อย พูดเสียงเบาๆ ไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง แต่พออีกตัวโผล่ขึ้นมา บุคลิกเปลี่ยนเลยนะ กลายเป็นคนกราดเกรี้ยว รุนแรง มั่นใจตัวเอง บางคนเวลาถูกสะกดจิตตัวตนที่ซ่อนอยู่ก็โผล่มา แต่ว่า 2 ตัวตนในคนเดียวกันยังถือว่าธรรมดานะ มีบางรายมีมากกว่า 10 ตัวตนในคนเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเรื่องราวของผู้หญิงชาวอเมริกันชื่อแคเร็น อายุ 34 ปี เธอไปหาจิตแพทย์เพราะเครียดมากอยากฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุ 17 ปี ตลอดเวลา 17 ปีที่หาหมอ ปรากฏว่าหมอพบความลึกลับของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

    หลังจากที่สนทนาพูดคุยกับเธอมาสิบกว่าปี ก็พบว่าเธอมีถึง 17 บุคลิกในคนเดียวกันแล้วแต่ละบุคลิกแต่ละตัวตนนั้นก็มีชื่อต่างๆ กัน บางคนเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุ 7-8 ขวบ บางคนเป็นผู้หญิง บางคนเป็นผู้ชาย และยิ่งสืบสาวไปก็พบว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอถูกพ่อทำมิดีมิร้ายจนมีลูก 2 คน ตัวแคเร็นเองจำไม่ได้ว่าพ่อทำอะไรเธอบ้างทั้งๆ ที่มีลูก 2 คนแล้ว มันเป็นวิธีการของจิต จิตมันซับซ้อนมาก อะไรที่มันไม่ชอบ มันก็ไม่ยอมรับ หรือทำเป็นลืมเลย และถ้ามันไม่ชอบตัวตนเดิม หรือมันทนอยู่กับตัวตนเดิมไม่ได้ มันก็หาตัวตนใหม่ขึ้นมาแทน เช่น เวลาแคเร็นถูกพ่อทำมิดีมิร้าย ตัวตนที่เป็นซิดนีย์ก็จะเข้ามาแทนที่ ทำให้แคเร็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เพราะตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นแคเร็นแล้ว

    กรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับบางคน เช่น บางคนเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจ เกลียดพ่อเกลียดแม่ที่บังคับตัวเอง แต่จะด่าพ่อด่าแม่ หรือจะเถียงพ่อเถียงแม่ก็ทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ หรือรู้สึกว่าไม่ดี จิตมันก็มีทางออกคือสร้างตัวตนใหม่ เป็นตัวตนที่ก้าวร้าวและกล้าทำอะไรก็ได้ พอตัวตนใหม่เกิดขึ้น ก็สามารถด่าพ่อด่าแม่ได้เต็มที่เลย ไม่รู้สึกผิด รู้สึกว่าได้ระบาย ได้ทำอะไรตามใจ พอทำไปสักพักก็กลับมาเป็นตัวตนเดิม กลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม

    ทีนี้ก็มีคำถามว่า หลายตัวตนจะอยู่ในคนเดียวกันได้อย่างไร มันอยู่ได้ เพราะมันเป็นสมมติ มันเป็นการปรุงแต่ง ถ้าตัวตนมีอยู่จริง ก็ต้องมีตัวตนเดียว จะมีหลายตัวตนไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะมันเป็นสิ่งสมมติ สมมติขึ้นมาว่าเป็นแคเร็นบ้าง สมมติว่าเป็นซิดนีย์บ้าง สมมติว่าเป็นมายด์บ้าง สุดแท้แต่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แล้วเขาก็เชื่อจริงๆ นะ เวลาเป็นซิดนีย์ก็เชื่อว่าเป็นซิดนีย์จริงๆ แล้วก็ ปรุงแต่งรายละเอียดขึ้นมาว่า ซิดนีย์อายุเท่าไหร่ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วตัวเองก็เชื่อตามนั้นจริงๆ ด้วย แต่แท้จริงแล้วนี่คือวิธีการที่จิตหลบหนีทุกข์ แต่เป็นการหนีทุกข์แบบปุถุชน ไม่ใช่เป็นการหนีทุกข์แบบคนที่เข้าใจโลก เพราะถ้าเข้าใจโลกจะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีตัวตนอะไรเลยแม้แต่น้อย

    ที่พูดไปแล้วเป็นตัวอย่างของคนซึ่งมีหลายตัวตน และแสดงตัวตนต่างๆ กันในต่างเวลา แต่มีบางคนที่มี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลย เล่าไว้หน่อยก็ดี เราจะได้รู้ว่าโรคทางจิตนี่มันมีอะไรแปลกๆ เยอะ มีคนหนึ่งเขามีปัญหาทางสมองปกติสมองทั้ง 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวา จะเชื่อมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่ว่าคนนี้มีปัญหาบางอย่าง จำเป็นต้องผ่าส่วนที่เชื่อมกับสมองสองซีก สมองซีกซ้ายกับซีกขวาก็เลยแยกขาดจากกัน จึงไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

    ทีนี้ก็มีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากสมอง 2 ซีกทำงานไม่เหมือนกัน สมองซีกซ้ายจะเห็นภาพด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะเห็นภาพด้านซ้าย สำหรับคนๆ นี้ถ้าฉายภาพไก่บนจอ ถ้าภาพปรากฏด้านขวาของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะเห็น สมองซีกนี้ควบคุมความสามารถในการพูด มันก็จะบอกว่า เห็นไก่ แต่ถ้าฉายภาพมาที่จอด้านซ้ายของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะไม่เห็น จึงบอกไม่ได้ว่ามีภาพอะไรอยู่บนจอ สมองซีกซ้ายมองไม่เห็นเลยนะ ตาซ้ายรับภาพได้ก็จริงแต่มองไม่เห็นอะไร แต่สมองซีกขวามองเห็น ถ้าฉายภาพบ้านไปที่จอซ้ายมือ สมองซีกขวาจะเห็น แต่พอถามว่าเห็นอะไร มันตอบไม่ได้ เพราะสมองซีกขวาพูดไม่ได้ การพูดคุยเป็นหน้าที่ของสมองซีกซ้าย

    ทีนี้คนถามรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้เห็นด้วยสมองซีกขวา เขาก็บอกว่าถ้าพูดไม่ได้ ก็ให้เลือกของก็แล้วกัน ให้เลือกของเพื่อสื่อสารว่าเห็นอะไรบนจอด้านซ้าย เนื่องจากเขาเห็นรูปบ้าน เขาก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู สมองซีกขวามันพูดไม่ได้ก็จริง แต่มันบังคับมือซ้ายได้ สมองซีกขวานั้นควบคุมมือซ้าย มือซ้ายก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู ก็เลยรู้ว่าคนนี้เห็นภาพทางด้านซ้ายมือด้วยสมองซีกขวา แต่สมองซีกซ้ายไม่เห็น งงไหม

    แต่เรื่องนี้ยังมีงงมากกว่านี้ คนๆ นี้สมองซีกซ้ายของเขาเห็นภาพไก่ขวามือ แต่ไม่เห็นภาพบ้านที่อยู่จอซ้าย ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน แต่มันพูดไม่ได้ แต่สามารถหยิบภาพบ้านเพื่อบอกว่าฉันเห็นอะไร หยิบด้วยมือซ้าย เพราะสมองซีกขวาคุมอวัยวะด้านซ้าย คราวนี้เขาทดลองต่อไปด้วยการฉายภาพ 2 ภาพพร้อมกันเลย ภาพด้านขวาเป็นภาพไก่ ภาพด้านซ้ายเป็นภาพบ้าน แล้วเขาก็ให้มือซ้ายและมือขวาหยิบภาพหรือหยิบวัตถุที่บ่งบอกภาพนั้น สมองซีกซ้ายเห็นภาพไก่ จึงใช้มือขวาหยิบตัวรูปไก่ขึ้นมาอันนี้ถูก ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน มันจึงใช้มือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา เพราะค้อนกับบ้านเกี่ยวข้องกัน ก็เป็นอันว่ามือขวาถือภาพไก่ มือซ้ายถือค้อน

    คราวนี้คนทดลองถามว่าทำไมคุณหยิบ 2 อย่างนี้ขึ้นมา เขาถามก่อนว่า ทำไมถึงหยิบภาพไก่ สมองซีกซ้ายตอบว่าก็เพราะฉันเห็นภาพไก่ เขาถามต่อไปว่าแล้วทำไมคุณหยิบค้อนล่ะ ทีนี้สมองซีกซ้ายมีปัญหา เพราะมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมือซ้ายถึงไปหยิบค้อนนะ แต่ว่ามือซ้ายถูกสั่งโดยสมองซีกขวาซึ่งเห็นภาพบ้าน แต่สมองซีกขวาพูดไม่ได้ ส่วนสมองซีกซ้ายเห็นมือซ้ายถือค้อน มันไม่รู้ว่าทำไมก็เลยอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ก็ไก่มันอยู่ป่า จึงต้องทำกรงให้มัน ก็เลยต้องมีค้อน สมองซีกซ้ายมันพูดเดาสุ่มไปเลยนะ ฟังดูแล้วแปลกไหม มือซ้ายของเขาถือค้อน แต่เขาบอกไม่ได้ว่าถือค้อนทำไม

    การทดลองนี้เขาต้องการชี้ให้เห็นว่า คนๆ นี้มีอากัปกิริยาเสมือนมี 2 คนในร่างเดียวกัน ร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกซ้าย อีกร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกขวา สมองซีกขวาสั่งให้มือซ้ายหยิบค้อน แต่สมองซีกซ้ายไม่รู้ว่าหยิบค้อนทำไม เพราะมันไม่เห็นภาพบ้าน มันก็เลยอธิบายไปน้ำขุ่นๆ ว่าเอาค้อนมาเพื่อที่จะทำกรงใส่ไก่

    คำถามก็คือว่า ถ้าตัวตนมีจริง มันจะมี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกันได้อย่างไร เพราะว่าถ้ามีตัวตนจริงๆ ก็ต้องมีตัวตนเดียว แต่นี่มี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกัน ตัวตนหนึ่งไม่รู้ว่าทำไมมือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเริ่มสงสัยว่า ตัวตนที่เขาคิดว่ามีจริงนั้น มันมีจริงแน่หรือเปล่า เพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้มากๆ เข้า ก็ทำให้งงไปเหมือนกัน อันนี้เป็นเหตุผลว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ฝรั่งเริ่มสนใจพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาพูดไว้นานแล้วว่าตัวตนมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อปรุงแต่งแล้วมันจะมีกี่ตัวตนก็ปรุงได้ทั้งนั้น หรือมันจะมี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลยก็ทำได้ แต่ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องที่เขาอาศัยการทดลองเพื่อหาคำตอบเท่านั้น

    แต่ในชีวิตจริงของคนเรา ก็พบได้ว่าความยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นนั่น เป็นนี่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาเราอยู่ที่นี่ เราก็เป็นนักปฏิบัติธรรมหรือเป็นลูกศิษย์ แต่เวลาไปเจอลูก ความเป็นแม่ก็เข้ามาแทนที่ เวลาไปเจอเจ้านาย ความเป็นแม่หายไป ความเป็นลูกน้องเข้ามาแทนที่ เวลาเจอฝรั่ง ก็เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย แต่พอเจอคนอีสาน ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนกรุงเทพ ฯ ก็เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามสถานการณ์หรือเงื่อนไขแวดล้อม ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ก็ถือว่าเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นความจริง ท่านเรียกว่าเป็น อัสมิมานะ ดังนั้นเราจึงเป็นอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันหรือในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน

    ถ้าเราไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็จะยึดติดถือมั่น แล้วเราก็จะเป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ เป็นแม่ก็ทุกข์เพราะความเป็นแม่ เป็นนักปฏิบัติก็ทุกข์เพราะความเป็นนักปฏิบัติ เป็นลูกน้องก็ทุกข์เพราะความเป็นลูกน้อง เป็นเจ้านายก็ทุกข์เพราะความเป็นเจ้านาย นั่นเป็นเพราะจิตเรามีอุปาทาน มีกิเลสแฝงอยู่ว่า คนเป็นแม่ก็ต้องได้รับความเคารพจากลูก ถ้าลูกไม่เคารพแม่ก็ทุกข์ นักปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนดีเรียบร้อย เป็นลูกน้องก็ต้องการความยกย่องจากเจ้านาย แต่เป็นเจ้านายก็ต้องการความภักดีจากลูกน้อง แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก็ทุกข์ และถ้าแบกความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็จะเป็นทุกข์สารพัด

    ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ว่านี้คือสมมติ เกิดจากการปรุงแต่ง รู้แล้วก็อย่าไปหลงเพลินกับมัน เพราะว่ามันทำให้เราทุกข์ได้ ทั้งหมดนี้ก็ต้องอาศัยความรู้สึกตัวเป็นหลัก เราจะได้ไม่เพลินในความหลง เมื่อมีความรู้สึกตัวจะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ทั้งสิ้น มีแต่ความรู้สึกตัว แต่ความรู้สึกตัวนี้ก็ต้องทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเกิดขึ้นไม่ต่อเนื่องแล้วความเป็นตัวกูก็จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็ว่างจากตัวตน เป็นจิตว่างได้ จิตว่างคือว่างจากตัวตน ว่างจากความคิดเห็นว่ามีตัวตน ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไรเลย
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay255311.htm
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    สร้างพลังใจในยามวิกฤต
    พระไพศาล วิสาโล

    เมื่อ 25 ปีก่อน สงครามกลางเมืองในประเทศกัมพูชาเพิ่งยุติ มีพระชาวญี่ปุ่นคณะหนึ่งเดินทางไปที่นั่น เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย คราวหนึ่งท่านได้ไปเยือนโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท โรงเรียนนี้ขัดสนไปเกือบทุกอย่าง มีเพียงอาคารหลังเก่า ๆ และบรรยากาศดูเศร้าสร้อย ท่านถามครูใหญ่ว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง ทีแรกท่านคิดว่าครูใหญ่คงอยากได้โต๊ะ เก้าอี้ กระดาน และเครื่องเขียน แต่คำตอบที่ได้คือ “เมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ดอก”

    พระญี่ปุ่นนึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบนี้ จึงขอทราบเหตุผล ครูใหญ่อธิบายว่า เด็กโรงเรียนนี้พบเห็นสงคราม การฆ่าฟันและการทำลายล้าง มาตั้งแต่เล็กจนโต แทบไม่เคยเห็นอะไรดี ๆ ในชีวิตเลย จิตใจจึงหดหู่แห้งแล้ง ครูใหญ่เห็นว่าสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เด็ก ๆ ต้องการก็คือ ความสดใสงดงามและความชื่นบาน ดังนั้นถ้ามีดอกไม้เบ่งบานไปทั่วโรงเรียน ก็จะช่วยให้เด็กกลับมามีความหวังและความเบิกบานขึ้นใหม่

    ความคิดของครูใหญ่น่าสนใจ สำหรับคนที่เติบโตมากับสงคราม แม้ว่าจะมีความอัตคัดขาดแคลน แต่สิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัย ๔ ก็คือ ความสดชื่นเบิกบาน เพราะเป็นสิ่งที่ชุบชูจิตใจให้มีกำลัง สามารถทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตได้ดีขึ้น รวมทั้งการเรียน และการดำเนินชีวิต ครูใหญ่เป็นผู้ที่มองการณ์ไกล เห็นว่านอกจากวิชาความรู้แล้ว ใจที่มีความเบิกบาน จะช่วยเติมความหวังให้แก่นักเรียน ทำให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุภาพ

    เรื่องนี้ชี้ว่าคนเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่อาหารกายหรือข้าวของเครื่องใช้ อาหารใจหรือสิ่งบำรุงใจก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน นี้คือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่โรงเรียนควรจะมอบให้กับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะเด็กที่เติบโตมากับสงคราม

    มีเหตุการณ์ที่คล้าย ๆ กัน แต่หนักหนาสาหัสกว่ามาก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันซึ่งมีฮิตเลอร์เป็นผู้นำได้ส่งกองทัพไปยึดเมืองต่าง ๆ ในรัสเซีย รวมทั้งเมืองเลนินกราด แต่ถูกต้านทานอย่างเหนียวแน่น เลนินกราดถูกปิดล้อมนานถึง 2 ปี 4 เดือน หรือ ๙๐๐ วัน นับว่าเป็นการปิดล้อมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว อีกทั้งเป็นการปิดล้อมที่ก่อความเสียหายอย่างมหาศาลเป็นประวัติการณ์ มีคนตายไป 1.5 ล้านคน จำนวนมากตายเพราะระเบิดและกระสุนปืน แต่ที่ตายเพราะความหิวโหยไม่น้อย

    ช่วงที่ถูกปิดล้อม อาหารขาดแคลนมาก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว ซึ่งหนาวเหน็บมาก ขนมปังต้องผสมขี้เลื่อยถึง 50% แต่ตอนหลังไม่มีอะไรกิน ผู้คนก็ต้องกินแม้กระทั่งรองเท้าหรือเข็มขัด เปลือกไม้ก็ต้องขูดเอาใส่ท้อง หนู แมว หมา กลายเป็นอาหารอันโอชะของคนที่นั่น ตอนหลังแม้แต่หนูก็ขาดแคลน หลายคนจึงหันไปกินศพคน ศพจำนวนมากไม่มีขา ไม่มีแขน เพราะถูกตัดเอาไปกินเป็นอาหาร มีแม่คนหนึ่งจำต้องฆ่าลูกน้อยเพื่อให้ลูกอีกคนมีอาหารกิน

    แต่ว่ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่น่าทึ่งมาก ขณะที่ผู้คนอดอยากหิวโหยและล้มตายกันมากมาย อีกทั้งยังต้องคอยหลบหลีกอันตรายจากกระสุนและระเบิดที่สาดใส่ทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้คนต้องการคือเสียงเพลงเพื่อช่วยชุบชูใจ ดังนั้นจึงมีการเรียกร้องให้จัดแสดงคอนเสิร์ตครั้งใหญ่กลางกรุงเลนินกราด ทั้ง ๆ ที่เป็นการแสดงที่เสี่ยงอันตรายมาก และจัดทำได้ยากมากเพราะทุกอย่างขาดแคลนไปหมด ไม่ว่านักดนตรีและเครื่องดนตรี

    ในสถานการณ์ที่ยากเข็ญแร้นแค้นและเสี่ยงภัย แทนที่จะมองว่าการแสดงคอนเสิร์ตกลางสนามรบเป็นเรื่องฟุ่มเฟื้อยไร้สาระ ผู้นำรัสเซียกลับเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้บัญชาการกองทัพเลนนินกราดต้องระดมนักดนตรีและวาทยากเพื่อแสดงคอนเสิร์ตนี้ให้ได้ ปรากฏว่านักดนตรีแต่ละคนที่ระดมมาได้ทุกคนล้วนผอมโซ แค่ยกเครื่องดนตรีก็ไม่มีแรงแล้ว ดังนั้นจึงต้องนำอาหารมาปันส่วนให้นักดนตรี มีการซ้อมอยู่หลายวัน เมื่อถึงวันแสดงสด ผู้คนต่างรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ มีการนำลำโพงไปติดทั่วเมือง

    เพื่อให้มั่นใจว่าการแสดงคอนเสิร์ตนี้จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนการแสดงจะเริ่มต้น ทหารรัสเซียได้เอาปืนใหญ่ยิงถล่มเยอรมันก่อน เพื่อให้ทหารเยอรมันหยุดยิงและทิ้งระเบิดขณะมีการแสดง เพลงที่นำมาบรรเลงในวันนั้นเป็นเพลงที่แต่งเป็นพิเศษในโอกาสนี้ โดยคีตกวีที่มีชื่อ ภายหลังเพลงนี้มีชื่อว่า “เลนินกราด” เป็นเพลงที่ได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้

    ปรากฏว่าชาวเลนินกราดที่ได้ฟังคอนเสิร์ตนี้มีความสุขและซาบซึ้งใจมาก แม้กระทั่งทหารเยอรมันซึ่งพลอยได้ฟังด้วย ก็รู้สึกประทับใจในเพลงนี้มาก หลายคนรู้สึกเกรงขามคนรัสเซียว่า ทั้ง ๆ ที่ทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญ ก็ยังปรารถนาฟังเสียงเพลง แสดงว่าจิตใจแข็งแกร่งมาก

    การแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นมีส่วนสร้างพลังใจให้แก่ชาวเลนินกราด ทำให้มีจิตใจฮึกเหิม และพร้อมจะกัดฟันเผชิญความทุกข์ยากแสนเข็ญต่อไป ผ่านไปปีครึ่ง กองทัพเยอรมันก็ยังยึดเลนนินกราดไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องล่าถอยกลับไปหลังจากปิดล้อมนานเกือบ ๙๐๐ วัน

    กรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าในยามวิกฤต ทั้ง ๆ ที่กำลังอดตาย แต่คนเราไม่ได้โหยหาข้าวปลาอาหารเพื่อประทังกายให้มีชีวิตรอดเท่านั้น หากยังต้องการอาหารบำรุงใจ ให้มีกำลัง พร้อมที่จะต่อสู้อุปสรรค สำหรับชาวเลนินกราด สิ่งหนึ่งที่จะช่วยบำรุงใจก็คือ เสียงเพลง แรงบันดาลใจที่ได้จากเสียงเพลงทำให้ชาวเลนินกราดมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป แม้กายจะเหนื่อยล้าและหิวโหย จนผ่านพ้นความทุกข์ยากไปได้ในที่สุด

    คนเรานั้นไม่ได้อยู่ได้ด้วยอาหาร ไม่ได้อยู่ได้ด้วยข้าวหรือขนมปังเท่านั้น แต่ยังต้องการสิ่งบำรุงใจ สิ่งบำรุงใจนั้นมีมากมาย นอกจากดอกไม้ เสียงเพลง หรือสิ่งดีงามที่ผู้อื่นมอบให้เราแล้ว สิ่งบำรุงใจยังเกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำของเราเอง เช่น การนึกคิดในสิ่งที่ดี การทำความดี รวมทั้งการเจริญสติ การทำสมาธิ สิ่งเหล่านี้ช่วยเติมความสุขและพลังบวกให้แก่จิตใจ หล่อเลี้ยงบำรุงใจให้มีกำลัง

    หลายคนเวลาจิตใจห่อเหี่ยว เซ็ง เบื่อ ก็ดูหนังฟังเพลง แต่ดูทั้งวันก็เบื่อ จิตใจก็กลับมาเหี่ยวแห้งเหมือนเดิม แต่ถ้าเรารู้จักน้อมใจของเราให้สงบ ให้อยู่กับปัจจุบัน ทำความรู้สึกตัว ให้เกิดขึ้น ให้ใจเกิดความรู้สึกตื่นรู้อยู่เสมอ ความโปร่งโล่งเบาสบายก็จะช่วยทำให้ใจมีกำลังได้

    นอกจากการหาเงินทองหรือหาความสุขสบายให้กายแล้ว เราควรให้เวลากับการแสวงหาหรือสร้างสิ่งบำรุงใจด้วย แม้ในยามที่เงินทองร่อยหรอ ความสบายกายลดลง ก็อย่าทิ้งสิ่งบำรุงใจ เพราะใจที่เบิกบาน แจ่มใส ย่อมมีกำลังและความหวังที่จะยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ยากได้ต่อไป

    ในยามวิกฤต ชีวิตมีความทุกข์ อย่าลืมกลับมาที่ใจของตน รักษาใจอย่าให้ห่อเหี่ยวสิ้นหวัง หมั่นเติมพลังบวกให้ใจอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าด้วยการคิดดี ทำสิ่งดีงาม ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว รวมทั้งน้อมใจให้สงบ เป็นสมาธิ แม้เพียงชั่วขณะ ก็จะทำให้จิตมีพลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคจนก้าวข้ามไปได้ในที่สุด
    :- https://visalo.org/article/jitvivat25630711.html


     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    LpBuddhatasme andmine.jpg
    ตวาดใส่อัตตา

    พระไพศาล วิสาโล
    พระอาจารย์พยอม กัลยาโณ เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่า ช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างสีนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของท่านตกต่ำมาก เวลามีเหตุการณ์บ้านเมืองเกิดขึ้น หนังสือพิมพ์ก็ไม่ค่อยมาสัมภาษณ์เหมือนก่อน กิจนิมนต์ลดลง เวลาไปบรรยายที่ไหนคนก็มาฟังน้อยมาก ผลก็คือสินค้าที่ลูกศิษย์นำไปขายในงาน มีคนซื้อน้อยลง ทำให้รายได้ที่จะเป็นทุนสนับสนุนมูลนิธิวัดสวนแก้วลดลงไปด้วยจนไม่พอกับรายจ่าย

    ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นผลจากการที่คนมองว่าท่านฝักใฝ่เสื้อแดง ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากเป็นผู้ที่ไม่ชอบเสื้อแดง จึงไม่พอใจท่าน บางวันท่านไปบิณฑบาต ชาวบ้านก็ถามว่าทำไมไม่ห่มจีวรสีแดงซะเลยล่ะ บางทีก็ด่าว่าท่านแรงๆ ท่านก็พยายามอธิบายชี้แจงแต่ไม่ค่อยเป็นผล ท่านบอกว่าที่เสียใจอย่างหนึ่งคือ แม้แต่พระสวนโมกข์ก็บอกว่าท่านฝักใฝ่เสื้อแดง ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้วางตัวแบบนั้น

    เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านบอกว่าบางช่วงทุกข์มาก จนจิตตก แต่เวลาที่จิตตกท่านก็นึกถึงคาถาไล่ทุกข์ของท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านก็รู้สึกดีขึ้น คาถานั้นก็คือ “กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย”

    คาถานี้ใครที่มีความทุกข์เอาไปใช้บ้างก็ดี เวลามีความทุกข์ ก็ตวาดใส่มันบ้าง จะช่วยให้ได้สติ และบรรเทาความทุกข์ใจไปได้ไม่มากก็น้อย ปกติคนเราเวลาทุกข์ จิตจะจมดิ่ง จนลืมตัว ไม่ได้ตระหนักว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร สำหรับชาวพุทธ จุดหมายของชีวิตคือการพ้นทุกข์ หรือการไม่ถูกครอบงำด้วยความทุกข์ แต่บางครั้งพอมีเหตุร้ายมากระทบ ก็ทำให้ลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร คาถานี้จะช่วยเตือนใจให้เรากลับมาตั้งหลักได้

    นอกจากความทุกข์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรตวาดใส่บ้าง ก็คือ กิเลส เพราะมีกิเลสที่ไหน ความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นั่น ในสมัยพุทธกาลมีพระบางรูปใช้วิธีการทำนองนี้ เช่น พระวิชิตเสนะ มีช่วงหนึ่งท่านทำกรรมฐานแล้วจิตพยศมาก ทำอย่างไรจิตก็ไม่ยอมร่วมมือด้วย ท่านจึงตวาดใส่ว่า "แน่ะ จิตผู้ชั่วช้า ดื้อด้าน ...เราจะบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจให้ได้ จะใช้สติผูกเจ้าไว้” อีกท่านหนึ่งคือพระตาลปุฏ จิตของท่านเบื่อหน่ายในการปฏิบัติ ท่านจึงตำหนิว่า “จิตเอ๋ย เจ้าร้ายนัก เราจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของเจ้าอีกแล้ว กามล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน มีภัยใหญ่หลวง เราจักมุ่งแต่พระนิพพานเท่านั้น...จิตเอ๋ย เมื่อเรามั่นคงเสียแล้ว เจ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ไม่ช้าไม่นานทั้งสองท่านก็บรรลุอรหัตผล

    เวลาถูกตำหนิหรือถูกท้วงติงแล้วเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจ มองให้ดีจะพบว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่เราที่เป็นทุกข์ กิเลสหรือมานะ(ความถือตัวว่า ดีกว่า สูงกว่า เก่งกว่า)ต่างหากที่เป็นทุกข์ แต่คนเราก็มักจะเผลอยึดเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นความทุกข์ของเรา เมื่อมีคนตำหนิ กิเลสหรือมานะย่อมไม่พอใจ มันก็เลยสั่งให้เราด่ากลับหรือตอบโต้ทันที ทั้งที่มันไม่ได้เป็นผลดีกับเราเลย

    ถ้าเรารู้ทันก็อย่าไปปล่อยให้กิเลสหรือมานะครองใจหรือขี่คอเรา เมื่อใดที่เป็นทุกข์มากเพราะคำตำหนิก็ควรตวาดใส่มันบ้างว่า กูไม่ยอมมึง อย่ามาก่อกวนกู เราต้องรู้จักตวาดใส่กิเลสบ้าง เพราะถ้าเรายอมมัน มันก็ขึ้นมาขี่คอ จนเป็นนายเหนือหัวเรา คนส่วนใหญ่ปล่อยให้กิเลสครอบงำใจจนโงหัวไม่ขึ้น ใครแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราปกป้องกิเลส ยอมตายเพราะกิเลสทั้งๆ ที่กิเลสไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย

    นอกจากการตวาดใส่กิเลสหรือมานะแล้ว การทำให้มันลีบเล็กลงก็สำคัญ การพยายามทำอะไรเพื่อลดละมานะ (หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ลดละอัตตา) เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อนคนหนึ่งมีวิธีลดอัตตาที่น่าสนใจ เธอเป็นนักเขียนหญิงที่มีชื่อเสียง ทุกปีเธอจะไปอาสาเป็นพนักงานเสิร์ฟให้ร้านอาหารของเพื่อน ไม่ได้หวังเอาเงินหรือประสบการณ์ แต่ทำเพื่อช่วยลดอัตตา เพราะการเป็นนักเขียนชื่อดัง มีคนยกย่องมากมาย บางทีก็ลืมตัว พอไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก็ช่วยได้มากเพราะต้องบริการผู้อื่น ลูกค้าหลายคนปฏิบัติไม่คอยดีกับพนักงานเสิร์ฟ บางทีเธอก็ฉุนขึ้นมาว่า ทำอย่างนี้กับกูได้ไง กูเป็นนักเขียนดังนะโว้ย แต่มันโผล่มาแป๊บเดียวก็รู้ทัน ระงับได้ นี่เป็นวิธีลดอัตตาที่ดีมากสำหรับเธอ

    หมอผู้หนึ่งเป็นคนมีความสามารถมาก ได้รับเชิญเป็นวิทยากรตามที่ต่างๆ มากมายทั่วประเทศ ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์บ่อยๆ แต่เขาไม่คอยสนใจเรื่องการแต่งตัว ไม่ค่อยหวีผม ภรรยาต้องคอยเตือนให้หวีผมเป็นประจำ วันหนึ่งก่อนจะออกไปบรรยาย ภรรยาก็เตือนให้หวีผม พอได้ยินเขาก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที นึกในใจว่า “พูดอย่างนี้ได้ไง กูเป็นวิทยากรระดับชาตินะโว้ย” ตอนนั้นอัตตาครองใจ จนเขาลืมไปว่าตนเองเป็นสามีของเธอ ดีที่เขามีสติรู้ทัน จึงไม่ได้พูดประโยคดังกล่าวออกไป

    หมอเอาเรื่องนี้มาเล่าด้วยความขำ ชี้ให้เห็นฤทธิ์ของอัตตาว่ามันร้ายกาจมาก หลงในความเป็นวิทยากรระดับชาติ ขนาดอยู่กับภรรยา ก็ยังไม่ยอมถอดหัวโขนดังกล่าวลง แต่คนที่ไม่รู้ทันอัตตา คงไม่ขำกับเรื่องแบบนี้ ยิ่งต้องเก็บงำเอาไว้เพราะกลัวเสียหน้า แต่ถ้าต้องการกำราบอัตตา ก็ต้องกล้าแฉความเกเรของอัตตา ไม่ใช่เก็บซุกซ่อนเอาไว้

    เจ้าของสายการบินแอร์เอเชีย ชื่อโทนี่ เฟอร์นันเดส เขาตั้งกติกากับตัวเองว่าทุกเดือนจะทำงานเป็นพนักงานขนกระเป๋า ทุกสองเดือนเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และทุกสามเดือนจะเป็นพนักงานที่เคาน์เตอร์ ไม่แน่ชัดว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อลดอัตตา หรือเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพนักงานและเรียนรู้ปัญหาที่อาจเกิดกับบริษัท จะได้ปรับปรุงให้บริการดีขึ้น อย่างไรก็ตามการที่เขาลงมาทำงานระดับเดียวกับพนักงาน ก็มีส่วนช่วยลดอัตตาของตัวเองได้มาก เพราะธรรมชาติของผู้บริหารหรือเจ้าของ ย่อมรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือพนักงาน ทำให้เกิดความหลงตัวลืมตนได้ง่าย

    แต่ละคนต้องมีวิธีการของตัวเองในการลดอัตตา หากเราไม่ใช่เป็นคนเด่นคนดัง ไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นก็ได้ เพียงแค่เปิดใจฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ คำท้วงติง ก็ช่วยได้มาก เพราะเวลาเจอคำท้วงติง อัตตาจะไม่ยอม มันจะฮึดฮัดขัดขืน เมื่อไรก็ตามที่เรารู้ว่ามันฮึดฮัดขัดขืน แทนที่จะเดือดร้อนกับมัน ควรสมน้ำหน้ามัน ถือว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นการทรมานอัตตาให้กร่างน้อยลง มันจะได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่ทรมานมันบ้าง ไม่ฝึกให้มันอยู่เป็นที่เป็นทางบ้าง มันก็จะยกหูชูหาง แล้วมาครอบงำเรา ทำให้เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
    :- https://visalo.org/article/jitvivat255807.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ฟังด้วยใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    “แก้ว” ป่วยด้วยโรคมะเร็ง อาการของเธอลุกลามจนเข้าสู่ระยะสุดท้าย โรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวได้ส่งจิตอาสาผู้หนึ่งชื่อ “แพรว” มาเยี่ยมเธอ มาเป็นเพื่อนรับฟัง มาวันแรกแพรวก็ตั้งหน้าตั้งตาคุยฝ่ายเดียว และเรื่องที่คุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัวของแพรวทั้งนั้น แก้วซึ่งเป็นคนไข้ก็ดีมาก เวลาแพรวมาเยี่ยมและพูดมากๆ แก้วก็ตั้งใจฟัง บางครั้งแพรวพูดจาวกวน แก้วก็ช่วยจับประเด็นให้เธอ การเยี่ยมเป็นเช่นนี้อยู่นานนับเดือน

    วันหนึ่ง แพรวมาหาแก้ว สีหน้าดูดีมากเธอเล่าว่าเธอเคยมีปัญหาทางจิต และเคยไปพบจิตแพทย์ก่อนที่จะมาเป็นจิตอาสา แต่อาการของเธอไม่ดีขึ้นเลย หมอเอาแต่ให้ยา เธอไม่ชอบ ตอนหลังเธอจึงไม่ได้ไปหาหมอ พอมีการเปิดรับจิตอาสา เธอก็เลยสมัครมาทำงานนี้ ล่าสุดเธอได้ไปหาจิตแพทย์อีก หมอทักว่าเธอดูดีขึ้นเยอะ แล้วถามว่าเธอไปรักษาที่ไหนมา เธอก็บอกว่าเธอไม่ได้ไปรักษาที่ไหนเลย นอกจากมาเป็นจิตอาสาให้แก้ว เธอเชื่อว่าที่เธอมีอาการดีขึ้นก็เพราะแก้วช่วยรับฟังเรื่องราวของเธออยู่เสมอ จึงอยากขอบคุณแก้วมาก

    การรับฟังนั้นเยียวยาผู้อื่นได้ ไม่เพียงเยียวยาทางใจเท่านั้น แต่ยังเยียวยาทางกายด้วย ถ้าใจสบาย กายก็ดีขึ้น

    มีหญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านม เธอรักษาตัวเองตามมาตรฐานคือฉายแสง คีโม แต่ก็รู้สึกปวดมาก เธอบ่นกับหมอว่าปวดมาก แต่หมอและพยาบาลสังเกตว่าเวลาเธอเดินเหินก็ดูปกติดี วันหนึ่งพยาบาลจึงลากเก้าอี้มานั่งคุยกับคนไข้นานเป็นชั่วโมง ส่วนใหญ่คนไข้เป็นฝ่ายคุย พยาบาลฟังด้วยความใส่ใจ เรื่องที่เล่าส่วนใหญ่เป็นการตัดพ้อสามีและลูก ที่ไม่สนใจเธอ ไม่มาเยี่ยมเลย เธอมีความโกรธ ไม่พอใจ น้อยใจ พยาบาลก็ฟังด้วยความใส่ใจ ไม่แทรก ไม่ขัด ไม่สอน การใส่ใจฟังของพยาบาลเป็นสิ่งที่คนไข้รู้สึกได้ เมื่อพูดจบเธอก็พูดขึ้นว่า “อืม หายปวดไปเยอะเลยนะ” แสดงว่าอาการปวดของเธอนั้นส่วนใหญ่เกิดจากความโกรธและความน้อยใจ เมื่อมีคนใส่ใจฟังโดยไม่ได้ชี้แนะอะไรเลย ก็ทำให้อาการดีขึ้น

    ปัญหาที่เกิดกับคนจำนวนไม่น้อยทุกวันนี้ก็คือ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนฟังตน การฟังที่ว่าหมายถึงการฟังจริงๆ โดยไม่ต้องชี้แนะ ไม่ต้องสอน การฟังด้วยความใส่ใจนั้นสามารถเยียวยาผู้อื่นได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้คนฟังโดยไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร ถึงแม้เราจะได้ยินเสียงที่เขาพูด แต่จริงๆ แล้วเราอาจไม่ได้เข้าใจอะไรเลย มีคำพูดที่ว่า ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง ซึ่งเป็นปัญหามาก ความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นเพราะเราไม่ได้ฟังกันอย่างจริงจัง และเมื่อไม่ฟังก็ทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น

    นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ เคยเล่าว่า ระหว่างที่เป็นวิทยากรได้พบว่าหมอฟันกับผู้ช่วยคู่หนึ่งมีความขัดแย้งกัน จึงชวนมาพูดคุยปรับความเข้าใจกัน โดยมีกติกาว่าให้แต่ละคนผลัดกันพูดว่า ตนไม่พอใจอีกฝ่ายด้วยเรื่องอะไร แต่ละคนมีเวลาพูด ๕ นาที ขณะที่ฝ่ายหนึ่งพูด อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างเดียว ห้ามซัก เมื่อผู้พูด พูดจนครบ 5 นาทีแล้ว ให้ฝ่ายที่เป็นผู้ฟังสรุปสิ่งที่ได้ยิน หากเจ้าของเรื่องฟังแล้วเห็นว่าการสรุปนั้นตรงกับสิ่งที่ตนพูดก็พยักหน้า แล้วสลับบทบาท ให้อีกฝ่ายพูด ตนเป็นฝ่ายฟัง

    เบื้องต้น ผู้ช่วยทันตแพทย์เป็นผู้พูดก่อน เขาเล่าว่าเขาไม่พอใจทันตแพทย์อย่างไรบ้าง เมื่อฟังจบทันตแพทย์ก็สรุปว่าตนได้ยินผู้ช่วยฯ พูดว่าอะไร ไม่พอใจเธอเรื่องอะไร เธอสรุปได้ถูกต้อง ผู้ช่วยจึงพยักหน้า จากนั้นทันตแพทย์ก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง ส่วนผู้ช่วยฯเป็นฝ่ายรับฟัง ทันตแพทย์เล่าว่าตนไม่พอใจผู้ช่วยอย่างไร เมื่อครบ 5 นาที ผู้ช่วยฯ ก็สรุปว่าตนได้ยินทันตแพทย์พูดว่าอะไร ปรากฏว่าสรุปไม่ตรง ทันตแพทย์ส่ายหน้า เธอจึงเล่าซ้ำ ครั้งที่สองผู้ช่วยฯ ก็ยังสรุปไม่ถูก ทันตแพทย์จึงต้องพูดอีกครั้ง คราวนี้ผู้ช่วยฯ ตั้งใจฟังมากขึ้น เมื่อทันตแพทย์พูดจบ เขาก็สรุปเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขาสรุปได้ถูกต้อง จากนั้นก็เป็นกระบวนการของการแบ่งปันความรู้สึก

    ทันตแพทย์บอกว่า หลังจากที่เธอฟังผู้ช่วยฯ เล่า เธอเข้าใจเขามากขึ้น และยอมรับว่า หากตนเป็นผู้ช่วย ฯ ก็คงไม่พอใจทันตแพทย์เช่นเดียวกัน จากนั้นผู้ช่วยฯ ก็เป็นฝ่ายแบ่งปันความรู้สึกบ้าง หมอวิธานถามผู้ช่วยฯ ว่า ทำไมสองครั้งแรกจึงจับใจความไม่ได้ว่าทันตแพทย์พูดอะไร ผู้ช่วยฯ บอกว่าเมื่อได้ยินทันตแพทย์พูด ใจเขามีแต่ความคิดที่จะเถียงจะแย้ง จึงฟังไม่เต็มที่ สุดท้ายจึงสรุปใจความไม่ได้ว่าทันตแพทย์พูดอะไร นี่เรียกว่า ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง เพราะใจไม่ว่าง ใจคอยแต่จะเถียง แต่พอครั้งที่สามไม่เถียงแล้ว ตั้งใจฟังอย่างเดียว ความเข้าใจจึงเริ่มเกิดขึ้น ดังนั้นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการฟังคือใจ ใจไม่ว่างพอที่จะรับฟังอย่างจริงจัง

    การฟังที่ดีนั้นหมายความว่าเราต้องวางเรื่องที่จะโต้แย้งไว้ก่อน การฟังไม่สมบูรณ์ก็เพราะจิตไม่ว่าง และนี่คือคำตอบว่า ทำไมความขัดแย้งบ่อยครั้งจึงกลายเป็น “พูดไม่รู้เรื่อง” เพราะต่างฝ่ายต่างจับไม่ได้ว่าปัญหาของอีกฝ่ายคืออะไร เขาไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะเหตุใด โดยเฉพาะหากความขัดแย้งนั้นยืดเยื้อยาวนาน ผู้คนก็จะยิ่งไม่ฟังกัน ความจริงแล้ว กติกาง่ายๆ ก็คือ ฝ่ายหนึ่งพูดแล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง ยังไม่ต้องยกมือขอพูด นี่เป็นกระบวนการพื้นฐานของการไกล่เกลี่ยและระงับความขัดแย้ง คือ ฟังว่าอีกฝ่ายกำลังทุกข์เรื่องอะไร ต้องการอะไร

    การฟังมีหลายระดับ นอกจากฟังว่าเขาพูดอะไรแล้ว บางครั้งเราอาจต้องฟังให้ลึกกว่านั้น มีคนเล่าประสบการณ์ในวงประชุมสรุปงานของมูลนิธิฯ หนึ่ง ในวงประชุมนั้นมีกรรมการและจิตอาสาซึ่งเป็นผู้ใหญ่มากๆ จิตอาสาคนนี้เป็นผู้ที่หวังดีกับมูลนิธิฯ มาก อยากให้ทำนั่นทำนี่ ในวงประชุมจึงมีการต่อว่าต่อขาน ทำไมกรรมการไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ คนที่เล่าเรื่องก็ยกมือขึ้นเพื่อชี้แจงว่าทำไมมูลนิธิฯ จึงทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ แต่จิตอาสาคนนั้นก็ยิ่งไม่พอใจ ยังคงวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ตัวคนเล่านี้ก็ยกมือจะชี้แจงอีก พระภิกษุที่นั่งอยู่ในวงประชุมจึงแตะมือเธอเป็นสัญญาณว่าให้หยุด ขอให้ฟังเฉยๆเท่านั้น เมื่อจิตอาสาคนนั้นพูดจบ พระภิกษุนี้ก็พูดว่า ท่านรู้สึกขอบคุณผู้ใหญ่คนนี้ที่มีจิตใจดี มีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือมูลนิธิฯ พร้อมกันนี้ก็รับทราบความเสียใจที่ความหวังดีนั้นถูกเพิกเฉย ไม่ได้รับการตอบสนอง ท่านอยากให้ผู้ใหญ่คนนี้รับรู้ว่ามูลนิธิฯ รับทราบความรู้สึกนี้แล้ว และขออภัยที่ความหวังดี ความปรารถนาดีนั้นยังตอบสนองไม่ได้ มูลนิธิฯ ยังทำสิ่งนั้นไม่ได้ พอพูดจบผู้ใหญ่คนนี้ก็สงบลง

    เรื่องนี้ให้แง่คิดเป็นบทเรียนว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่คนนั้นต้องการ ไม่ใช่คำชี้แจง ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นความ
    ต้องการที่จะให้มูลนิธิฯ ได้รับรู้ความรู้สึกของตน รับรู้ความหวังดีของตนและความผิดหวังที่ตน ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่า เวลาเรารับฟังเราไม่ควรฟังแต่เพียงถ้อยคำเท่านั้น แต่ควรรับฟังความรู้สึกของเขาซึ่งไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นถ้อยคำด้วย ไม่ควรฟังเพียงแค่เขาพูดอะไรเท่านั้น แต่ควรฟังว่าเขารู้สึกอย่างไรด้วย คนที่เก่งเรื่องการคิด ใช้สมอง จะพบว่าทักษะแบบนี้เป็นเรื่องยากมาก จับได้แต่ความคิด แต่สัมผัสความรู้สึกไม่ได้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการศึกษาของเราทำให้เราฉลาดแต่ในการวิเคราะห์ความคิด แต่ไม่รู้ทันความรู้สึกของผู้คน นี่เป็นการใช้สมองคนละส่วนทีเดียว

    พูดอีกอย่างคือ เราใช้สมองในการรับรู้เหตุผล แต่เราใช้หัวใจในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่น การฟังที่ดีเราต้องใช้ทั้งสมองและหัวใจ เมื่อใช้สมองเราจะได้ยินความคิด แล้วเราก็ใช้เหตุผลเพื่อตัดสินว่าผิดหรือถูก หรือเพื่อโต้แย้งกัน แต่ถ้าเราใช้หัวใจ เราจะรับรู้ความรู้สึก รู้ว่าเขากำลังมีความทุกข์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในใจเราก็คือ ความเห็นใจ ความเมตตา กรุณา ถ้าใช้เพียงความคิดก็จะมีแต่เหตุผล นำไปสู่การตอบโต้ การฟังที่ดีต้องอาศัยทั้งสมองและหัวใจ จึงจะทำให้เกิดความเข้าใจได้อย่างครบถ้วน

    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “เวลาสามีภรรยาทะเลาะกัน อย่าใช้เหตุผลเป็นอันขาด ให้ใช้อารมณ์ วางเหตุผลลงให้ได้ ปล่อยให้อารมณ์ลอยขึ้นมา อารมณ์รักที่เคยมีต่อกันในอดีตจะเข้ามาแก้ปัญหาให้เอง” ทำไมจึงไม่ควรใช้เหตุผล คำตอบก็คือเมื่อเราใช้เหตุผลเราจะเอาแต่ยืนยันความถูกต้องของตน ว่า ฉันถูกแต่เธอผิด เราใช้เหตุผลเพื่อปกป้องตนเองและกล่าวหาผู้อื่น เอาถูกเอาผิดกัน แต่เมื่อเราใช้อารมณ์บ้าง เราจะรับรู้ถึงความทุกข์ของเขา และจะเกิดความรักความเมตตา การใช้อารมณ์ที่หมอประเสริฐพูดถึง คือการใช้ความเมตตา ความปรารถนาดีที่มีต่อกัน อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวจะเป็นตัวเชื่อมประสานให้หันมาคืนดีสนิทสนมกัน แต่การใช้เหตุผลมักจะนำไปสู่การเอาถูกเอาผิด และก่อให้เกิดการแบ่งเขา-แบ่งเรา

    การใช้หัวใจในการฟังนั้นจะเชื่อมประสานผู้คนให้เข้ากัน และหากเรารู้จักใช้หัวใจในการฟังความรู้สึกของตนเอง ก็สามารถทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้น รับรู้ถึงความทุกข์ แม้กระทั่งความว่างเปล่าเคว้งคว้างที่กำลังเกิดขึ้นในใจตน ปราศจากการฟังด้วยหัวใจแล้ว ยากที่เราจะเป็นมิตรกับตนเอง อย่าว่าเป็นมิตรกับผู้อื่นเลย
    :- https://visalo.org/article/jitvivat255801.html
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มองนอกตัว
    สามสลึง
    ส้มโอเจอกันยาผู้เป็นเพื่อนบ้านขณะออกไปจ่ายตลาด

    “นี่เธอ เจอยายที่เพิ่งย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามหรือยัง” ส้มโอถามพร้อมบ่นขึ้นมาว่า”แย่จังเลย”

    “อ๋อ เธอหมายถึงยายคนที่ชอบพูดแต่เรื่องของสามีหล่อนใช่ไหม ?” กันยาสนอง

    “ชอบพูดแต่เรื่องของเขาหรือ โอ๊ย มันแย่กว่านั้นอีก” ส้มโอว่า “หล่อนบ่นว่าสามีฉอด ๆ ไม่หยุดหายใจเลย ทั้ง ๆ ที่สามีของเธอเอาอกเอาใจเธอยังกับอะไร ผิดกับสามีของฉัน วัน ๆ เอาแต่เที่ยวกับเล่น งานการไม่สน กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ วันไหนกลับมาหัวค่ำ ก็นั่งกระดิกขาดูโทรทัศน์ ไม่สนใจแม้กระทั่งลูก ๆ ฉันนี่นึกแช่งชักให้เขาตายไปเร็ว ๆ แต่ถึงเขาจะแย่ขนาดนั้น ฉันก็ไม่ไปเที่ยวบ่นว่าสามีของฉันให้ใครต่อใครฟังหรอก”

    ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง คนไทยคุ้นกับสำนวนนี้เป็นอย่างดี แต่ก็มักลืมมาใช้กับตัวเอง น่าแปลกไหมว่าเวลาบ่นว่าใคร บ่อยครั้งเรามักเผลอทำอย่างคนที่เราว่า เวลาเราเกลียดโกรธใคร สุดท้ายเราก็ทำอย่างคนที่เราโกรธเกลียด มีคนหนึ่งหงุดหงิดรำคาญใจมากที่กำแพงบ้านคอนกรีตอย่างดีกลายเป็นที่ขีดเขียนของใครต่อใคร จะด่าใคร จะเป็นพ่อของสถาบันไหน ก็มาพ่นสีระบายกันบนกำแพงบ้านนี้อยู่เป็นประจำ จนเปรอะไปหมด เจ้าของบ้านอุตส่าห์ปักป้ายหน้ากำแพงขอร้องอย่าขีดเขียน ก็ไม่มีใครสนใจ กลับพ่นสีทับป้ายนั้นเสียอีก เจ้าของบ้านสะสมความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายวันหนึ่งก็หิ้วสีกระป๋องใหญ่มาหน้าบ้าน แล้วก็เขียนข้อความตัวใหญ่บนกำแพงนั้นว่า “ใครเขียน เป็นหมา”

    เจ้าของบ้านโกรธคนที่เขียนกำแพง สุดท้ายตัวเองก็กลับทำอย่างคนเหล่านั้น เจ้าของบ้านอยากจะด่าคนที่เขียนว่าเป็นหมา แต่แล้วก็กลับประจานด่าว่าตัวเอง นี้ก็ไม่ต่างจากส้มโอในเรื่องข้างบน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเวลาไม่พอใจใคร จิตของเราจะไปจดจ่ออยู่กับคนนั้น จนลืมที่จะมองดูตัวเอง ปล่อยให้ความไม่พอใจนั้นลุกลามจนกลายเป็นโทสะ ถึงตอนนั้นก็คิดแต่จะหาทางเล่นงานหรือแก้แค้นเขา แล้วอะไรจะสะใจเท่ากับเอาหนามบ่งหนาม เขาโกหกมา เราก็โกหกไป เขาด่ามา เราก็ด่าไป สุดท้ายเราก็เลยเป็นอย่างคนที่เราโกรธ

    ทุกครั้งที่เราเห็นคนอื่นว่าไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ ให้ระลึกไว้ว่าเราเองอาจจะกำลังเป็นอย่างเขาก็ได้ เวลาเราเห็นใครเป็นตัวปัญหา ควรรีบย้อนมาตรวจสอบตัวเองว่าเรากำลังจะกลายเป็นตัวปัญหาอย่างเดียวกับเขาหรือเปล่า ที่ต้องระวังคือความโกรธเกลียด เพราะความโกรธเกลียดนั้นเป็นเชื้ออย่างดีให้ความชั่วร้ายเขามาสิงสู่ใจเรา ยิ่งด่าว่าใครว่าชั่วร้าย ระวังว่าเราจะชั่วร้ายเหมือนเขาหรือยิ่งกว่าเขา ฮิตเลอร์เห็นคนยิวเป็นพวกชั่วร้าย สุดท้ายวิธีการที่เขาใช้กับคนยิวกลับทำให้เขากลายเป็นคนชั่วร้ายเสียเอง อเมริกาก็เช่นกัน ชอบไปชี้นิ้วประนามประเทศนั้นประเทศนี้ว่าชั่วร้าย เพราะไปสนับสนุนการก่อการร้ายฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่แล้วอเมริกาก็ทำอย่างนั้นกับประชาชนคนบริสุทธิ์ในประเทศเหล่านั้นเช่นกัน

    ไม่ใช่แต่คำด่าว่าเท่านั้นที่เราต้องระวังเวลาจะใช้กับคนอื่น แม้กระทั่งคำแนะนำสั่งสอน ก็พึงระวังเหมือนกัน แม้จะทำด้วยเจตนาดีก็ตาม อธิบายอย่างไรก็ไม่ชัดเท่ากับเรื่องข้างล่าง

    ชายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อ ปรึกษาว่าลุงเป็นโรคหัวใจ มีอะไรมาทำให้ตกใจไม่ได้ หัวใจจะวายได้ง่าย ๆ ปัญหาก็คือเมื่อเช้าเขาไปตรวจล็อตเตอรี่ให้ลุง ปรากฏว่าลุงถูกรางวัลที่ ๑ แต่ยังไม่รู้ ชายคนนี้กลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ ลุงจะดีใจจนหัวใจวายตายไปดื้อ ๆ จึงอยากให้หลวงพ่อช่วยบอกเรื่องนี้ให้ลุงหน่อย เชื่อว่าหลวงพ่อรู้วิธีที่จะเตรียมใจให้ลุงตั้งสติก่อนได้ฟังข่าวดี

    “ได้เลย ไม่ยากดอก” หลวงพ่อตอบ

    วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาหลวงพ่อ

    “โยมตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ?” หลวงพ่อเริ่มบทสนทนา

    “ ๗๘ ปีแล้วครับ”

    “โยมก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว คงรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีความแน่นอน มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ ควรปล่อยวาง อย่าไปยินดียินร้ายกับอะไรทั้งปวง “

    “เข้าใจครับ ผมก็พยายามทำใจอย่างนี้อยู่”

    “ดีแล้ว ถ้าโยมเข้าใจ อาตมาก็อยากให้โยมตั้งสติให้ดี โยมรู้ไหมว่าโยมถูกรางวัลที่ ๑”

    “จริงเหรอครับ หลวงพ่อ นับว่าเป็นบุญของผม ผมตั้งใจว่าก่อนตาย อยากจะทำบุญสร้างวัดสักครั้ง ถ้าได้เงินมา ผมจะถวายให้หลวงพ่อสร้างโบสถ์ ๒ ล้าน ที่เหลือผมจะ....อ้าวหลวงพ่อ..”
    ปรากฏว่าหลวงพ่อเป็นลมแน่นิ่งไปแล้ว

    นิทานเรื่องนี้สอนว่า เตือนคนอื่นแล้วอย่าลืมเตือนตัวเองด้วย
    :- https://visalo.org/article/sarakan254510.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...