บทความให้กำลังใจ(ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับชาวพุทธ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ตามหาคนเข้าใจ
    ภาวัน
    “ทำอย่างไรคนที่ฉันรักและรักฉันจึงจะเข้าใจฉัน ”

    นี้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของหลายคน คำถามนี้เกิดขึ้นกับใครย่อมเป็นทุกข์อย่างมาก แต่ก็คงน้อยกว่าคนที่เอาแต่ตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย ”

    ผู้คนเป็นอันมากพยายามอย่างมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจตน แต่ก็มักไม่ประสบผล สาเหตุเป็นเพราะส่วนใหญ่มักเรียกร้องจากคนอื่น แทนที่จะกลับมาเริ่มต้นที่ตนเอง นั่นคือ พยายามเข้าใจคนอื่นให้มาก

    เป็นเพราะเราไม่เข้าใจคนอื่น เช่น มองเขาในแง่ลบ คลางแคลงสงสัยในความตั้งใจดีของเขา น้ำเสียงและอากัปกิริยาของเราที่แสดงออกไป จึงโน้มน้าวให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน การที่เขาไม่เข้าใจเราอาจเป็นเพราะเราเป็นฝ่ายไม่เข้าใจเขาก่อน

    การกระทำของเขาอาจเป็นปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำของเราก็ได้ พ่อแม่ที่บ่นว่าลูกไม่ฟังตนเองนั้น เมื่อสืบสาวสาเหตุก็พบว่า เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ฟังลูกก่อน เอาแต่สั่งสอนหรือดุด่าว่ากล่าว โดยไม่ฟังเหตุผลหรือสอบถามความเห็นของลูกเลย เมื่อลูกโตขึ้น จึงเป็นฝ่ายไม่ฟังพ่อแม่บ้าง

    มองในอีกแง่หนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จริงเขาเข้าใจเราดี เห็นความดีของเรา และชื่นชมเรา แต่เราต่างหากที่เข้าใจเขาผิด ตีความคำพูดและการกระทำของเขาในทางลบ จึงนึกว่าเขามองเราในแง่ร้าย

    ดังนั้นแทนที่จะตัดพ้อหรือกล่าวโทษคนอื่น การกลับมามองตนและแก้ที่ตนเอง ด้วยการพยายามเข้าใจเขาให้มาก ๆ หรือมองเขาให้ถูกต้อง จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปได้ไม่ยาก หรือไม่กลายเป็นปัญหาต่อไป

    มีบางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองและไม่พอใจคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ตนรักและเคารพ เพราะไม่ว่าตนจะทำดีอย่างไร ก็พบว่าเขาเหล่านั้นเห็นแต่ด้านที่ไม่ดีของตน ไม่เคยจดจำความดีของตนได้เลย เอาแต่ตำหนิติเตียนเวลาตนเองทำผิดพลาด

    แต่แน่ใจหรือว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นอย่างที่เราคิด อันที่จริงเขาอาจเห็นความดีของเราและชื่นชมเรา อีกทั้งยังทำดีกับเราด้วย แต่เราต่างหากที่ไม่เห็นหรือจดจำเวลาเขาทำดีกับเรา ครั้นเขาทำไม่ดีกับเราหรือทำไม่ถูกใจเราในบางครั้ง เรากลับจดจำได้แม่น

    ไม่ใช่เขาหรอกที่เห็นแต่ด้านไม่ดีของเรา เป็นเราต่างหากที่เห็นแต่การกระทำด้านลบของเขา

    ถ้าเราพยายามมองเขาให้รอบด้านมากขึ้น ก็อาจพบว่าเขามองเรารอบด้านเช่นกัน หากเรารับรู้ใส่ใจยามที่เขาทำดีกับเรา เราก็จะพบว่าเขาเห็นความดีของเราด้วย ไม่ใช่เห็นแต่ความไม่ดีของเรา ถึงตอนนั้นเสียงตัดพ้อในใจก็จะหายไป ไม่เพียงเรารู้สึกดีต่อเขามากขึ้นเท่านั้น หากยังจะรู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้นด้วย

    ปัญหาทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการมองแต่ข้างนอกจนลืมมองตน หรือคิดแต่จะแก้ที่คนอื่น จนลืมแก้ที่ตนเอง เมื่อใดที่เรากลับมาเริ่มต้นที่ตนเองก่อน แทนที่จะตัดพ้อว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจฉันเลย” หากลองถามใหม่ว่า “ฉันเข้าใจเขาดีแล้วหรือ ” ก็อาจพบคำตอบหรือทางออกได้ในที่สุด

    อย่าว่าแต่การพยายามเข้าใจคนอื่นเลย แม้แต่การเข้าใจตนเอง ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักมองข้าม มัวแต่เสาะแสวงหาคนที่รู้ใจตน อยากได้เพื่อนที่รู้ใจตน คู่ครองที่รู้ใจตน ลูกน้องที่รู้ใจตน ฯลฯ แต่กลับละเลยที่จะรู้ใจตนเอง เมื่อความโกรธเกลียดเกิดขึ้นก็ไม่รู้ทัน ปล่อยให้ความทุกข์เล่นงานจิตใจ หากใจของเรา เราเองยังไม่รู้ จะหวังให้คนอื่นมารู้ใจเราได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วที่ผู้คนทุกข์ระทมทุกวันนี้ก็เพราะไม่รู้ใจตนมากกว่า หาใช่เป็นเพราะไร้คนรู้ใจหรือเข้าใจตนไม่
    :- https://visalo.org/article/Image255801.html


     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ถอนพิษความทรงจำอันเจ็บปวด
    ภาวัน
    ในชีวิตของเราย่อมมีเหตุการณ์มากมายที่ยากจะลืมเลือนได้ จะวิเศษเพียงใดหากเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่หวานชื่นระรื่นใจ แต่ความจริงก็คือมันมักเป็นเรื่องราวที่ขมขื่น หนาวเหน็บและเจ็บปวด นึกทีไรความเศร้าโศก โกรธแค้น หรือรู้สึกผิดก็เกาะกุมใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อยากกำจัดมันออกไปจากความทรงจำ แต่ยิ่งพยายามกำจัด มันก็ยิ่งประทับแน่น ยิ่งผลักไสมันให้ไกล มันก็ยิ่งโผล่หน้ามาหลอกหลอน

    จะว่าชะตากรรมชอบเล่นตลกกับเราก็ได้ แต่อันที่จริงแล้วตัวการมิใช่อะไรอื่นเลย หากเป็นธรรมชาติของใจเราเอง สิ่งใดที่เราเกลียดหรือรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ มันจะมีแรงดึงดูดต่อใจของเรา สังเกตไหมเวลาเราโกรธเกลียดใคร เราจะนึกถึงคน ๆ นั้นบ่อย ๆ เศร้าโศกเสียใจเรื่องอะไร มันก็จะยิ่งผุดโผล่ขึ้นมาในใจ แต่นั่นยังไม่เท่าไร ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามผลักไสหรือกำจัดมัน มันยิ่งตามมารบกวนจิตใจบ่อยขึ้น แม้กระทั่งในยามหลับ

    ที่ออสเตรเลียเคยมีการทดลองกับนักศึกษาจำนวน ๑๐๐ คน โดยให้แต่ละคนเลือกความนึกคิดมาหนึ่งเรื่องที่เขาไม่ชอบแต่มักปรากฏในจิตใจ จากนั้นก็ให้นักศึกษาครึ่งหนึ่งกดข่มความคิดนั้นก่อนนอน ๕ นาที เมื่อตื่นขึ้นมาให้ทุกคนรีบเขียนบันทึกเกี่ยวกับความฝันในคืนนั้นทันที การวิเคราะห์พบว่า นักศึกษากลุ่มหลังนี้ฝันถึงความคิดดังกล่าวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กดข่มมัน

    การทดลองนี้ยืนยันว่ายิ่งอยากกำจัดความคิดหรือความทรงจำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันยิ่งตามมารบกวนทั้งในยามตื่นและหลับ

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

    การค้นพบทางด้านประสาทวิทยาอาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ เมื่อประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น หรือเศร้าโศก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ

    อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้เท่านั้น ตอนที่หวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตามมา แถมยังพยายามจะไปกำจัดมัน ความเครียดที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นฝังลึกมากขึ้น

    ดังนั้นถ้าไม่อยากให้มันฝังลึกมากไปกว่านี้ อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ อย่าไปรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับความทรงจำดังกล่าว เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ อย่าไปหงุดหงิดหรือโกรธเกลียดมัน ปล่อยมันไป ไม่ต้องสนใจมัน รวมทั้งไม่ต้องอยากไปกำจัดมันด้วย เพราะถ้าเราหงุดหงิดใส่มัน โกรธเกลียดมัน หรืออยากกำจัดมันเมื่อไร ฮอร์โมนความเครียดจะหลั่งออกมาและทำให้ความทรงจำในเรื่องนั้นฝังลึกขึ้น

    เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แทนที่จะพยายามปฏิเสธมัน หรือผลักไสกดข่มความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น เราลองหันมายอมรับมันหรือวางใจเป็นกลางกับมัน ใหม่ ๆอาจทำได้ยาก แต่เราสามารถฝึกใจได้ ด้วยการนั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สงบ แล้วค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์นั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็ให้รับรู้เฉย ๆ โดยไม่พยายามกดข่มหรือปฏิเสธมัน เปิดใจต้อนรับเสมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา หากอยากร้องไห้ ก็ขอให้ร้องไห้ออกมา หากมีเพื่อนหรือประจักษ์พยานรับรู้ด้วย ก็ยิ่งดี การที่เรากล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง แสดงว่าเราทำใจยอมรับมันได้มากขึ้นแล้ว

    เมื่อใดก็ตามที่เราวางใจเป็นกลาง สงบ ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจโบยตีหรือหลอกหลอนเราได้อีกต่อไป มันอาจจะไม่เลือนรางในเร็ววัน แต่ก็จะรบกวนจิตใจเราน้อยลง ถึงจะมาปรากฏในมโนสำนึกอีก แต่ก็ไร้พิษสง ไม่ทำให้เราเจ็บปวดอีก แต่เดิมที่เคยเป็นเสมือนแผลเรื้อรัง ที่แตะต้องเมื่อไร ก็เจ็บเมื่อนั้น บัดนี้แผลได้สมานสนิท แม้จะเป็นแผลเป็น แต่ก็แตะต้องได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป

    ความทรงจำเกี่ยวกับความผิดหวัง พลัดพราก สูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด แต่ยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่านี้คือหัวใจสู่ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นสุข

    :- https://visalo.org/article/Image255207.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Buddhasunrise.jpg
    มรดกที่ปฏิเสธไม่ได้

    ภาวัน
    รู้กันมานานแล้วว่า พ่อแม่สามารถมีอิทธิพลต่อลูกได้ ทั้งรูปร่าง สุขภาพ และนิสัยใจคอ โดยผ่านทางสายเลือด(หรือพันธุกรรม) กับการเลี้ยงดู ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การสร้างบรรยากาศแวดล้อม หรือการประพฤติตัวให้เด็กเห็นโดยไม่ตั้งใจ

    แต่เพิ่งไม่นานมานี้เองที่เราพบว่าพ่อแม่สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติบางอย่างให้ลูกโดยกลไกอย่างอื่นได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นคุณสมบัติดังกล่าวยังสามารถ่ายทอดไปยังหลานและเหลนได้อีก แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย

    การค้นพบดังกล่าวมาจากหลายทิศทาง หนึ่งในนั้นก็คือการวิจัยเกี่ยวกับหนู ที่ออสเตรเลียมีการเลี้ยงหนูตัวผู้ด้วยอาหารอุดมไขมัน จนตัวอ้วนฉุและกลายเป็นโรคเบาหวาน(ประเภทที่ ๒ ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์) ที่น่าแปลกใจก็คือลูกเพศเมียของหนูเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็เป็นเบาหวานประเภทเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารอุดมไขมันเลย และแม้ว่าแม่ของพวกมันมีน้ำหนักปกติและกินอาหารที่มีคุณภาพดีขณะตั้งท้องก็ตาม

    ตามปกติอาหารที่แม่กินย่อมมีผลต่อสุขภาพของลูกเมื่อโตขึ้นเพราะมีสายรกเป็นตัวเชื่อม แต่ในกรณีนี้สุขภาพของลูกกลับเป็นผลมาจากสุขภาพของพ่อ คำถามก็คือมันเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพ่อไม่เคยสัมผัสกับลูกเลย แล้วเขาก็พบว่าน้ำเชื้อของพ่อคือต้นเหตุ อาหารอุดมไขมันของพ่อได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางประการในน้ำเชื้อของมัน ซึ่งทำให้เกิดเบาหวานในตัวลูก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เพราะยีน(หรือการเรียงตัวของดีเอ็นเอ)ยังเหมือนเดิม แต่มีการทำงานที่เปลี่ยนไปในบางจุด คือยีนบางตัวที่ควรทำงานแต่กลับไม่ทำงาน ขณะที่ยีนตัวอื่นไม่ควรทำงานแต่กลับทำงาน

    ที่ชิคาโกมีการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของหนูเช่นกัน แต่เน้นพฤติกรรมของมันแทนที่จะเป็นเรื่องสุขภาพ เขาให้หนูเพศเมียอายุ ๑๕ วันวิ่งเล่นเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าผัสสะ เช่น มีจักรให้ถีบ มีของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้เล่น และมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ผลก็คือหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไว นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกก็คือ ลูกของหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไวเหมือนแม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าความสนใจอย่างที่แม่ประสบเลย

    กรณีดังกล่าวชี้ว่านอกจากคุณสมบัติทางพันธุกรรมแล้ว คุณสมบัติที่เกิดจากประสบการณ์ของแม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทั้งนี้โดยผ่านความเปลี่ยนแปลงในไข่ของแม่ กรณีนี้ยังสะท้อนว่า สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมพฤติกรรมของแม่นั้นสามารถส่งผลข้ามไปถึงตัวลูกได้ด้วย

    ไม่ใช่แต่หนูเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็ให้ข้อสรุปสอดคล้องกัน และชี้ว่าผลกระทบนั้นสามารถต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคนด้วย ที่สวีเดนมีการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของคนในเมืองโอเวอร์คาลิกซ์ (Overkalix) ซึ่งเก็บประวัติการเกิดและตายของประชากรอย่างดีมาก ผู้วิจัยพบว่าหากพ่อเริ่มสูบบุหรี่ก่อนอายุ ๑๑ ปี ลูกชายของเขาจะล่ำอ้วนกว่าลูกชายของคนที่เลิกสูบบุหรี่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันผู้ชายที่ขาดอาหารในช่วงอายุ ๘-๑๒ ปี ลูกชายของลูกชายมีโอกาสมากที่จะตายในวัยหนุ่ม ส่วนผู้หญิงที่ขาดอาหารในวัยเด็ก ลูกชายของลูกสาวก็มีแนวโน้มสูงที่จะตายในวัยสาว นอกจากนั้นเขายังพบว่า ผู้ชายคนใดที่กินมากในวัยเด็ก ลูกชายของลูกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    พฤติกรรมและประสบการณ์ของเรานั้นสามารถก่อผลกระทบกว้างไกลกว่าที่เราคิด แม้การศึกษาวิจัยเหล่านี้จะมิใช่บทสรุปที่ชี้ขาด แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่า การกิน การบริโภค และการใช้ชีวิตของเรา ไม่เพียงส่งผลต่อตัวเราและคนรอบข้าง ตลอดจนลูกของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลไปไกลถึงหลานและอาจถึงเหลนของเราด้วยก็ได้ เขาอาจเป็นเบาหวานหรือโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารตามใจปากหรือสูบบุหรี่เลย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายต่างหาก ในทางตรงข้าม หากเราหมั่นดูแลสุขภาพ อารมณ์เย็น ใฝ่รู้ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ประเทืองปัญญาและอารมณ์ ก็สามารถส่งผลให้ลูกหลานของเรามีสุขภาพดีและมีสติปัญญาตามไปด้วยก็ได้ แม้เขาไม่มีโอกาสอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ๆ เหมือนเรา

    มนุษย์เราต่างมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อนยิ่ง ทั้งกว้างและไกลไปถึงอนาคตอันกำหนดจุดจบได้ยาก เพียงแค่ดำรงชีวิตอย่างใส่ใจเท่านั้น เราก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย การอยู่อย่างมีสติจึงมิได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น หากยังเป็นความรับผิดชอบต่อโลกด้วย
    :- https://visalo.org/article/Image255406.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    TigerBali.jpg
    ใจดีสู้เสือ

    ภาวัน
    ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากหนังสือเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ อันเป็นบันทึกการเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปยังเกาะสมุยบ้านเกิดเยี่ยงนักจาริกแสวงบุญจนค้นพบความหมายของชีวิตในมิติทางจิตวิญญาณ ชีวิตและมุมมองที่เปลี่ยนไปของเขาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายจนทุกวันนี้

    เขาเคยเล่าประสบการณ์บางช่วงในวัยหนุ่มให้แก่นิตยสาร Way เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า วันหนึ่งเขากับเพื่อนเดินผ่านตลาด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง “แชะ”ดังจากซอกตึก เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบว่ามีคนยืนถือปืนจ้องมายังทั้งคู่ เสียงนั้นคือเสียงลั่นไกปืนนั้นเอง เขาตกใจมาก วิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความกลัวตาย แต่เพื่อนเขาไม่ได้วิ่งตามมาด้วย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง แทนที่จะแสดงความดีใจ เขากลับชี้หน้าด่าว่า “มึงอย่าทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด” เพื่อนเล่าว่า แทนที่เขาจะวิ่งหนี กลับกระโจนเข้าไปหามือปืนจนหมอนั่นตกใจวิ่งหนีไป

    คำพูดของเพื่อนผู้นั้น ได้สอนเขาว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัว อย่าวิ่งหนี ต้องกระโจนเข้าหา เพื่อจะได้รู้ว่าความกลัวไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป”

    ไม่ว่าเรากลัวอะไรก็ตาม หากเราวิ่งหนีสิ่งนั้นอยู่ร่ำไป มันก็จะตามมาหลอกหลอนเราไม่หยุดหย่อน นักธุรกิจที่กลัวความล้มเหลว ไม่ว่าทำอะไร ก็กลัวว่าจะล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมักเลือกสิ่งจำเจหรือย่ำเท้าอยู่กับที่มากกว่าที่จะกล้าริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าชีวิตแบบนี้ย่อมน่าเบื่อ คนที่กลัวความแก่ ก็จะประหวั่นทุกครั้งที่พินิจใบหน้าของตนในกระจกเพราะกลัวว่าจะเห็นรอยย่น ที่ร้ายก็คือ หลายอย่างที่เรากลัวนั้นไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งก็ต้องเจอเข้ากับตัว ความล้มเหลวและความแก่คือส่วนเสี้ยวของความจริงที่เราต้องเจอทุกคน ถ้ายังกลัวมันอยู่ ถึงตอนนั้นก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีมัน ไม่ดีกว่าหรือที่จะหันหน้ามาเผชิญกับมัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มันลดความน่ากลัวลงไปทันที พิษสงที่เคยคิดว่ามันมีอยู่มากมาย กลับละลายหายไป ถึงตอนนั้นก็จะพบว่า แท้จริงแล้วมันไม่น่ากลัวเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือความกลัวในใจเราต่างหาก

    มีคำกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัว” หลายคนพบว่า มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง มะเร็งนั้นทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่ถ้ากลัวมะเร็งแล้ว มันสามารถบั่นทอนทั้งจิตใจและร่างกาย ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไร้ชีวิตชีวา เหมือนคนตายทั้งเป็น มีบางคนที่ร่างกายปกติ แต่หมอวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็ง ทันทีที่รู้ข่าวก็ทรุดทันที ตรงข้ามกับผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ยอมรับความจริงได้ กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

    เมื่อกลัวอะไรก็ตาม พึงรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ความกลัวในใจเรา ดังนั้นสิ่งที่ควรจัดการเป็นอย่างแรกคือความกลัวในใจ อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจหรือบงการชีวิตเรา แต่ควรรู้ทันมัน และถอนพิษสงของมัน ด้วยการทำตรงข้ามกับที่มันสั่ง เมื่อมันสั่งให้หนีสิ่งใด ก็ควรเดินหน้าเข้าหาสิ่งนั้น วิธีนี้นอกจากทำให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจของเราน้อยลงแล้ว เรายังจะพบว่าสิ่งที่เรากลัวนั้น แท้จริงไม่น่ากลัวแต่อย่างใด เอาเข้าจริง ๆ มันกลับกลัวเราด้วยซ้ำ จนต้องล่าถอยไป เช่นเดียวกับมือปืนที่กระโจนหนีไปทันทีเมื่อเห็นเหยื่อกระโดดเข้าหา

    ใช่หรือไม่ว่า ที่คนโบราณสอนว่า “ใจดีสู้เสือ” ก็คงเพราะเสือจะเป็นฝ่ายกลัวเราทันทีที่เราไม่กลัวมัน

    :- https://visalo.org/article/Image255705.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เมื่อความสุขหลุดลอยไป
    พระไพศาล วิสาโล
    ความสุขนั้นใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่เคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่เราอยากได้ความสุข ความสุขกลับเลือนหาย ยิ่งอยากได้ความสุขมากเท่าไร เรากลับมีความสุขน้อยลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?

    เหตุผลนั้นมีหลายประการ ทุกครั้งที่เราอยากมีความสุข เรามักจะนึกถึงสิ่งที่เรายังไม่มี เช่น เงิน รถยนต์ ชื่อเสียง ความสำเร็จ หรือสิ่งที่ยังไปไม่ถึง เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว แต่พอคิดเช่นนั้น เราก็จะรู้สึกไม่พอใจกับสภาพปัจจุบันทันที เพราะตรงนี้เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งที่เราอยากได้ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง

    ทั้ง ๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันอาจให้ความสุขแก่เราอยู่แล้ว เช่น บ้านที่สะดวกสบาย ร่างกายที่ไม่ป่วยไข้ พ่อแม่และคนรักที่รู้ใจ แต่ความสุขเหล่านี้กลับถูกเรามองข้ามเพียงเพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้หรือไม่ใช่สิ่งที่เราอยากไปถึง ใช่แต่เท่านั้นเมื่ออยากได้สิ่งที่ยังไม่มี เราก็ต้องดิ้นรนหามันมาให้ได้ ระหว่างที่ดิ้นรนนั้นก็รู้สึกเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ยิ่งมีคู่แข่งมากมายด้วยแล้ว จะมีความสุขได้อย่างไร

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่เราอยากได้ความสุข เราจะไม่เห็นความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะใจนั้นมัวจดจ่อใส่ใจกับความสุขที่อยู่ข้างหน้า แค่นั้นก็ทำให้ความสุขเลือนหายไปจากใจแล้ว คนส่วนใหญ่ที่อยากมีความสุขนั้นที่จริงเขามีความสุขอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น เพราะเอาแต่มองออกไปนอกตัว เขามองข้ามปัจจุบัน ฝากความหวังไว้กับอนาคต จึงเสียโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ ความอยากทำให้เราขวนขวาย และยิ่งขวนขวายไขว่คว้าความสุขมากเท่าไร มาตรฐานความสุขที่เราตั้งเอาไว้ก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น คนที่เข้าคิวรอกินอาหาร ยิ่งคิวยาวเท่าไร ความคาดหวังในรสชาติของอาหารก็สูงมากเท่านั้น ครั้นได้กินแล้ว แม้รสชาติจะอร่อย แต่หากไม่ถึงขีดที่ตั้งความหวังเอาไว้ ก็ย่อมไม่พอใจ อาหารราคา ๕๐ บาทซื้อจากร้านข้างถนน กินแล้วรู้สึกว่าอร่อย ครั้นไปโรงแรมระดับห้าดาว สั่งอาหารอย่างเดียวกัน แม้รสชาติจะเหมือนกับร้านข้างถนนที่เคยกิน แต่คราวนี้กลับรู้สึกว่าไม่อร่อยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะคาดหวังว่ามันต้องอร่อยกว่านั้นเนื่องจากอุตส่าห์ยอมจ่ายถึง ๓๐๐ บาท

    คนที่อยากได้ความสุขมาก ๆ ยังมักเจอปัญหาอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ ยิ่งอยากได้ความสุข ก็ยิ่งนึกถึงแต่ตัวเอง คิดแต่ว่าทำไมตนถึงจะมีความสุขมาก ๆ ความคิดเช่นนี้ทำให้ไม่สนใจคนอื่น จนอาจถึงขั้นไร้น้ำใจต่อคนรอบตัว เท่านั้นไม่พอ ยังอาจเรียกร้องความสุขจากคนอื่น ๆ อีกด้วย จึงเป็นที่ระอาของผู้คน ใคร ๆ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย ผลที่ตามมาก็คือ ความรู้สึกโดดเดี่ยว ไอริส มอสส์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์คลีย์ พบว่า ยิ่งผู้คนให้ความสำคัญแก่ความสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างโดยเฉพาะเวลามีเรื่องเครียดเกิดขึ้น

    ที่ตามมาควบคู่กันก็คือ ความรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขมากกว่า การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า มีผู้คนถึง ๑ ใน ๓ มีความสุขน้อยลงหรือมีความทุกข์มากขึ้นเมื่อใช้เฟซบุ๊ค เนื่องจากเห็นเพื่อน ๆ หรือคนรู้จักมีความสุขเพราะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ กินอาหารตามห้างดัง หรือร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ฯลฯ ในขณะที่ตนเองต้องอยู่กับบ้าน ทำงาน หรือเตรียมสอบ อันที่จริงการอยู่บ้านหรือที่ทำงานไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เลย แต่พอเห็นคนอื่นมีความสุข ก็พลอยทำให้ตนเองเป็นทุกข์ขึ้นมาทันทีเพราะไม่ได้สุขเหมือนเขา

    ศานติเทวะ ปราชญ์มหายานชาวอินเดีย เคยกล่าวว่า “ความทุกข์ใดในโลกหล้า ล้วนมาจากความปรารถนาให้ตนเองเป็นสุข” สอดคล้องกับโซโฟเคิลส์ นักคิดชาวกรีก ซึ่งกล่าวว่า “ยิ่งพยายามมีความสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขน้อยลงเท่านั้น” นี้ก็ทำนองเดียวกับคนที่อยากได้ความสงบ ก็ยิ่งมีความสงบน้อยลง เพราะเมื่ออยากได้ความสงบ ก็ยิ่งไม่ชอบเสียงรบกวน และยิ่งไม่ชอบเสียงรบกวน ก็ยิ่งเป็นทุกข์เพราะเสียงนั้นมากขึ้น แค่เสียงรบกวนนิดหน่อยก็สามารถทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาได้ ตรงข้ามกับคนที่ไม่หมายมั่นความสงบ แม้มีเสียงรบกวน เขาก็ไม่รำคาญ จิตใจยังคงเป็นปกติ จึงพบความสงบใจได้ไม่ยาก

    คนที่อยากได้ความรัก มักลงเอยด้วยการไม่ได้ความรัก เพราะเมื่ออยากได้ความรักจากใคร ก็มักคาดคั้นหรือเรียกร้องความรักจากเขา ได้แล้วก็ยังไม่พอใจเพราะไม่มากเท่าที่ต้องการ ก็ยิ่งเรียกร้องอีก ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและระอาใจ ใช่แต่เท่านั้น เวลาเห็นเขาให้ความสนใจหรือความรักแก่คนอื่น ตนเองก็จะรู้สึกอิจฉาและโกรธขึ้ง อาจถึงกับอาละวาดอีกฝ่ายด้วยความหึงหวง เมื่อเป็นเช่นนี้หนักเข้า อีกฝ่ายก็ย่อมรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหมางเมินเหินห่างในที่สุด

    ตรงข้ามกับคนที่ไม่ได้ต้องการความรักจากใคร กลับมักได้รับความรักจากผู้อื่น เพราะเขาไม่คิดเรียกร้องความรักจากใคร ไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่ใส่ใจคนอื่น คอยช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น จึงมักเป็นที่รักของผู้อื่น

    อยากได้อะไร กลับไม่ได้สิ่งนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งอยากได้ความสุข กลับไม่ได้ ครั้นไม่อยากได้ความสุข กลับได้ ดังนั้นใครที่อยากมีความสุข ควรวางความอยากลงเสีย แล้วหมั่นทำความดี นึกถึงผู้อื่นให้มาก ๆ ลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง เมื่อนั้นความสุขก็จะมานั่งในหัวใจเราเอง

    “ความสุขใดในโลกหล้า ล้วนมาจากความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข” เป็นวาทะอีกตอนหนึ่งของศานติเทวะที่เตือนใจเราได้เป็นอย่างดี
    :- https://visalo.org/article/secret255605.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ยาวิเศษ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในฐานะพยาบาล เกื้อจิตร แขรัมย์ ตระหนักดีว่ากายกับใจนั้นเกี่ยวข้องกับมาก ดังนั้นผู้ป่วยทุกคนที่เธอดูแลนอกเหนือจากการเยียวยาร่างกายแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับจิตใจของเขาด้วย ประสบการณ์อันยาวนานทำให้เธอจัดเจนในการดูแลรักษาใจของผู้ป่วย จนเพื่อน ๆ ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์มักขอความช่วยเหลือจากเธอเสมอ

    เด็กชายคนหนึ่งอายุ ๑๑ ปี เป็นโรคปวดหัวตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แม่พาไปรักษาหลายโรงพยาบาล หมดเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์นั้น นอกจากปวดหัวอย่างหนักจนอาเจียนแล้ว เด็กยังมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน

    หมอสันนิษฐานว่าเด็กมีเนื้องอกในสมอง จึงส่งตรวจซีทีสแกน แต่ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงคิดว่าเด็กอาจมีปัญหาทางจิต แต่ก่อนที่หมอจะส่งเด็กไปหาหมอจิตเวช พยาบาลที่เห็นเหตุการณ์ได้ขอให้เกื้อจิตรมาดูผู้ป่วยรายนี้ เพราะเกรงว่าถ้าเด็กได้รับยาจากหมอจิตเวช อาจจะมึนงงจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง

    เมื่อเกื้อจิตรไปถึง แม่เด็กเฝ้าแต่ถามว่าลูกเธอจะหายไหม เกื้อจิตรดูอาการของเด็กแล้วถามแม่ว่ามีลูกกี่คน แม่เด็กตอบว่ามีสี่คน “คนโตเรียนมหาวิทยาลัย หน้าตาดี เรียนเก่ง คนที่สองอยู่ม.๕ เรียนเก่ง คนที่สามคือเขานี้แหละ ส่วนคนที่สี่เป็นผู้หญิงอยู่ป.๒ อายุ ๘ ขวบ”
    “รักลูกเท่ากันไหม” เกื้อจิตรถาม “รักเท่ากันเลย” คือคำตอบ
    “ลูกสี่คน ถ้ารักลูกเท่ากัน ด่าเท่ากันไหม”
    “ไม่เท่ากัน ฉันด่าเจ้าคนป่วยนี้แหละมากที่สุด ทั้งด่าทั้งตี” แม่เด็กยังพูดต่อว่า “มันดื้อค่ะ มีวันหนึ่งฉันด่ามัน ไล่มัน มึงไปพ้น ๆ กู”
    “เคยบอกรักลูกคนนี้ไหม”
    “ไม่เคยซักที ไม่เคยบอกรักลูก....มีแต่ด่ากับตี” เธอยังเล่าต่อว่า “ลูกชายคนนี้โง่มาก ไปโรงเรียนครูก็ด่าว่าควาย ทำไมแกไม่เก่งเหมือนพี่เหมือนน้องแกบ้าง”

    คุยไปสักพัก เกื้อจิตรก็ย้อนถามถึงประวัติของแม่เด็ก ซักไปได้หน่อย แม่เด็กก็ร้องไห้ แล้วยอมรับว่า พ่อแม่ไม่ค่อยรักเธอเท่าไหร่ เพราะชอบดุด่าเธอ ถึงตรงนี้เธอก็ได้คิดว่า เธอทำกับลูกชายคนนี้เหมือนกับที่พ่อแม่ของเธอทำกับเธอตอนเด็ก ๆ

    มาถึงตรงนี้เกื้อจิตรจึงบอกว่ามี “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยลูกของเธอได้ นั่นคือ “ให้เธอกลับไปกอดลูก แล้วบอกว่าแม่รักลูกนะ” รวมทั้งบอกตายายที่บ้านด้วยว่า ให้ทำอย่างเดียวกัน เท่านั้นไม่พอเกื้อจิตรยังแนะนำให้ไปบอกครูที่โรงเรียนว่า อย่าดุด่าหรือตีเด็กคนนี้อีก “ไปบอกเลยว่าหมอเกื้อโรงพยาบาลบุรีรัมย์สั่งมา ถ้าไม่กล้าพูด เดี๋ยวฉันจะไปพูดให้”

    หนึ่งเดือนต่อมา เกื้อจิตรตามไปดูเด็ก ปรากฏว่าเด็กไม่มีอาการปวดหัวอีกเลย ปัจจุบันอายุ ๒๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ สุขภาพเป็นปกติ

    เป็นเพราะขาดความรัก ถูกต่อว่าจากคนรอบข้างเป็นประจำ เด็กจึงรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ส่งผลให้อมทุกข์และเครียดหนักจนปวดหัวเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเพราะป่วยใจ กายจึงป่วย ไม่ว่ารักษากายอย่างไร ก็ไม่หายป่วย ต่อเมื่อใจได้รับการเยียวยาด้วยความรัก กายจึงกลับมาเป็นปกติ

    ความรักนั้นเป็น “ยาวิเศษ” ใครที่ป่วยเรื้อรังทั้ง ๆ ที่ไม่พบความผิดปกติในร่างกาย ยาวิเศษขนานนี้อาจช่วยได้
    :- https://visalo.org/article/secret256105.html
    . EndLineMoving.gif
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Budddha2.jpg
    ไม่รักไม่เกลียด

    พระไพศาล วิสาโล
    ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น ที่เรามุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็เพราะรักสุข ขณะเดียวกันการที่เรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอยู่รอบตัว ก็เพราะเกลียดทุกข์ กล่าวได้ว่าความรักสุขเกลียดทุกข์เป็นตัวผลักดันให้มนุษย์สร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

    แต่ความรักสุขเกลียดทุกข์บ่อยครั้งก็สร้างปัญหาให้แก่เราอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เรามีความสุขสบายทางกายมากขึ้น แต่เหตุใดความสุขใจหาได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยไม่ กลับลดลงไปด้วยซ้ำ ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าขณะที่ความทุกข์กายของคนสมัยนี้ลดลงแต่ความทุกข์ใจกลับเพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะความรักสุขเกลียดทุกข์ที่ฝังแน่นในใจนั่นเอง


    ความรักสุขจะไม่ก่อปัญหาแก่เราเลยหากว่าเมื่อดิ้นรนพากเพียรได้ความสุขมาครอบครองแล้ว ความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรานั้นล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากเราไป ยิ่งรักสุข รักทรัพย์ รักชื่อเสียง มากเท่าใด ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเมื่อมันหลุดลอยไปจากเรา คุณยายวัย ๘๐ รักพลอยเม็ดงาม แต่เมื่อพบว่าพลอยหายไปเพราะหลานสาวเผลอกวาดลงถังขยะ ก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วย นักการเมืองท้องถิ่นมีความสุขมากเมื่อได้รับเลือกเป็นนายกอบจ.สมใจ ไปไหนมาไหนก็มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง อยากเป็นสมัยที่สอง แต่เมื่อแพ้เลือกตั้งก็เป็นทุกข์จนเสียศูนย์ ไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะเพราะรู้สึกอับอาย ยิ่งได้ไปเยือนสถานที่ที่ตัวเองผลักดันก่อตั้ง แล้วพบว่าไม่มีใครมาห้อมล้อมเหมือนเคย ก็เสียใจร่ำไห้และเครียดจัดจนนอนไม่หลับ

    จะว่าไปแล้วทันทีที่รักสุข อยากได้อะไรมาครอบครองให้สุขสบาย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นโดยพลัน เพราะเมื่ออยากได้อะไร ก็ย่อมมีความกลัวหรือวิตกกังวลว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น และตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ก็เป็นทุกข์เพราะรู้สึกพร่องหรือไม่สมหวัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่รักสุขซึ่งอยู่ข้างหน้า สุขที่มีอยู่เดิมก็หายไป มีความทุกข์มาแทนที่

    ความเกลียดทุกข์ก็เช่นกัน แม้มันจะผลักดันให้เราหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเลยที่จะหนีความทุกข์พ้น ใช่หรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แต่เป็นเพราะเกลียดความแก่ความเจ็บ ดังนั้นเมื่อพบว่าผมหงอกผิวย่นหน้าตกกระ จึงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงไม่เพียงแต่ป่วยกายเท่านั้น ใจก็ป่วยด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ทำให้ทุกข์สองชั้น มิหนำซ้ำความทุกข์ใจนั้นยังฉุดกายให้ทรุดหนักกว่าเดิมด้วย บางคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ได้แค่สองสัปดาห์ก็ตายทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือน

    บางคนรักความสงบ เวลาทำสมาธิจนจิตสงบ ก็เป็นสุขอย่างมาก แต่พอความสงบหายไป ทำเท่าไรความสงบก็ไม่กลับมา จึงเป็นทุกข์อย่างมาก บางครั้งกลับกลุ้มใจยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกันบางคนเกลียดเสียงรบกวน พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง หรือเสียงคนคุยกันขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกหงุดหงิดมาก เพ่งโทษและพุ่งความโกรธไปที่เสียงเหล่านั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ดังอะไรเลย แท้จริงแล้วเสียงไม่เป็นปัญหา ความรู้สึกเกลียดเสียงต่างหากที่เป็นปัญหา นี้ก็ไม่ต่างจากลิงที่เกลียดกะปิ หากกะปิเปื้อนมือมัน มันจะถูมือกับหินหรือเปลือกไม้จนเป็นแผลเลือดไหลซิบ ถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผล กะปิใช่ไหม เปล่าเลย ความเกลียดกะปิในใจลิงต่างหาก

    นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์เวลาเกิดความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แต่อยู่ที่ความรู้สึกเกลียดที่มีต่ออาการเหล่านั้นต่างหาก ถ้าหากมองว่ามันเป็นธรรมดาของใจ หรือวางใจเป็นกลางต่ออาการเหล่านั้น ความทุกข์จะลดลงมาก ยิ่งผลักไสไล่ส่งมัน มันก็ยิ่งเป็นศัตรูกับเรา หาทางก่อกวนเราไม่เลิก แต่ทันทีที่ยอมรับมันหรือยิ้มรับมัน อย่างที่เราทำกับแขกผู้มาเยือน มันก็จะกลายมาเป็นมิตรกับเรา รบกวนเราน้อยลง และพร้อมจะจากไปในเวลาไม่นาน เหมือนอาคันตุกะที่รู้เวลาของตัวเอง

    แม้เราจะรักความสุขมากมายเพียงใด ความสุขก็หาได้รักเราไม่ วันดีคืนดีความสุขก็จากเราไป ถึงจะกลับมาใหม่ ก็อยู่กับเราประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนความทุกข์นั้นแม้เราจะเกลียดเพียงใด แต่มันก็มักจะมาหาเราอยู่เสมอ ยิ่งพยายามหนีมัน มันก็ยิ่งเข้ามาพัวพัน เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ในทางตรงข้ามยิ่งรักอะไร ก็มักสูญเสียสิ่งนั้น หรือเหนื่อยกับการไล่ล่ามากขึ้นเพราะมันเอาแต่หนีห่างออกไป

    ลองวางใจเป็นกลางต่อสุขและทุกข์ดูบ้าง สุขมาก็ไม่ยินดี ทุกข์มาก็ไม่ยินร้าย เมื่อได้รับคำชมก็ไม่ระเริง เมื่อถูกตำหนิก็ไม่ห่อเหี่ยว ยามสำเร็จก็ไม่ลิงโลด ยามล้มเหลวก็ไม่ซึมเซา แต่ถ้าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ ก็แค่รับรู้เฉย ๆ ด้วยใจเป็นกลาง ดีใจก็รู้ว่าดีใจ ไม่ไขว่คว้าคลอเคลีย เสียใจก็รู้ว่าเสียใจ ไม่ปฏิเสธผลักไส ถือว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่นานก็จะพบว่าพอไม่รักสุข สุขกลับมา พอไม่เกลียดทุกข์ ทุกข์กลับลาจาก แม้ทุกข์กายยังต้องเจออยู่ แต่ใจไม่ทุกข์ แม้เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสียไปด้วย

    มาถึงตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า รักสุขไปเถิดถ้าคิดว่าสุขนั้นเที่ยง เกลียดทุกข์ไปเถิดถ้าคิดว่าหนีทุกข์พ้น แต่ถ้าหนีทุกข์ไม่พ้น ก็ควรเกลียดมันให้น้อยลง ยอมรับมันให้มากขึ้น และถ้าไม่แน่ใจว่าสุขที่มีนั้นเที่ยงแท้แน่นอน ก็ควรรักหรือหวงแหนมันให้น้อยลง
    :- https://visalo.org/article/secret255509.htm

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ภูมิคุ้มกันความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำว่า มนุษย์สามารถเอาชนะเชื้อโรคทั้งหลายได้ สักวันหนึ่งจะไม่มีใครล้มป่วยเพราะโรคติดเชื้ออีกต่อไป แต่มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า นั่นเป็นความฝัน เชื้อโรคจะต้องอยู่คู่กับมนุษย์เราไปตลอดกาล มิใช่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น หากยังอยู่ในตัวเราด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันมิให้ล้มป่วยก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค

    ภูมิคุ้มกันโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มาจากการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคจากภายนอก หากเป็นเชื้อโรคที่ไม่แรงถึงกับทำให้ตาย ร่างกายเราจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้น ๆ ขึ้นมา ทำให้ไม่ป่วยหากเชื้อโรคนั้นเข้ามาในร่างกายอีก การฉีดวัคซีนมิใช่อะไรอื่น หากเป็นการฉีดเชื้อโรคอ่อน ๆ หรือเชื้อที่ตายแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเรานั่นเอง


    เชื้อโรคฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ไม่อาจหนีพ้นได้ ไม่ว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า มีความมั่งคั่งและอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องเจอความทุกข์อยู่นั่นเอง ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีความทุกข์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) เราจึงควรหาทางรับมือกับความทุกข์ วิธีหนึ่งก็คือ สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจ

    ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่รู้จักความผิดหวังนั้น ดูเหมือนเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่แท้จริงเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ หากวันใดพบกับความผิดหวังหนัก ๆ ก็อาจเสียศูนย์ หรือถึงกับฆ่าตัวตาย เคยมีมาแล้วที่คนเรียนดีตั้งแต่เล็กจนโตแต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตายเพราะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกไม่สำเร็จ หรือลูกที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างประคบประหงมกลับฆ่าตัวตายเมื่ออกหัก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือคอขาดบาดตาย แต่เป็นเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันความทุกข์มาก่อน จึงโดนความทุกข์ท่วมทับจนไม่เห็นทางออกอย่างอื่นนอกจากความตาย

    ดังนั้นใครที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ มีชีวิตราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ จึงไม่ควรด่วนดีใจว่าเป็นคนมีโชค เพราะนั่นอาจเป็นเคราะห์ที่แฝงมาในรูปของโชคก็ได้ ส่วนคนที่เจออุปสรรคและความยากลำบากเป็นนิจ ก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ลองสำรวจให้ดีก็จะพบว่าความทุกข์ให้สิ่งดี ๆ แก่คุณ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณอดทนมากขึ้น และไม่กลัวความยากลำบาก

    นักธุรกิจคนหนึ่งเป็นผู้ที่กลัวความล้มเหลวอย่างมาก ไม่ว่าลงทุนอะไร จะเลือกแต่กิจการที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แม้เป็นกิจการที่ตนไม่ชอบก็ตาม จึงทำงานอย่างไม่ค่อยมีความสุข แล้ววันหนึ่งกิจการของตนก็ประสบปัญหา ขาดทุนอย่างหนัก จนต้องเลิกกิจการ แม้เขาจะเสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาพบก็คือ ความล้มเหลวนั้นไม่ได้เลวร้ายน่ากลัวอย่างที่เขาคิด ฟ้ายังไม่ถล่ม แผ่นดินยังไม่ทลาย นับแต่นั้นเขาก็ไม่กลัวความล้มเหลวอีกเลย เขากล้าเสี่ยงกล้าลงทุนมากขึ้น ทำให้มีความสนุกกับการทำงานอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

    ความล้มเหลวนั้นมีประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือ ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความล้มเหลว ไม่เสียศูนย์ง่าย ๆ เมื่อเจอมันอีก สามารถปรับใจรับมือกับมันได้ดีขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ ทำให้มันมีอิทธิพลในทางลบต่อเราน้อยลง นี้ก็เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบกับเรา แม้ไม่น่าพึงพอใจ แต่การที่ได้เจอมันบ่อย ๆ หรือเจอมันนาน ๆ ก็ทำให้เราเป็นทุกข์กับมันน้อยลง

    เคยมีการทดลองแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้นั่งอยู่ในห้องซึ่งมีเครื่องดูดฝุ่นส่งเสียงดังนาน ๔๕ วินาที อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้องที่ดังก้องด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นเช่นกัน แต่เสียงดังแค่ ๕ วินาที จากนั้นผู้ทดลองขอให้ทุกคนตอบคำถามว่ารู้สึกรำคาญมากน้อยเพียงใดในช่วง ๕ วินาทีสุดท้าย ปรากฏว่ากลุ่มที่รู้สึกรำคาญมากที่สุดคือ กลุ่มที่สอง ส่วนกลุ่มแรกนั้นไม่รู้สึกรำคาญเท่าใดเพราะหลังจากที่ฟังมาตลอด ๔๕ วินาทีก็รู้สึกทนกับเสียงนั้นได้

    กลุ่มที่สองนั้นดูเผิน ๆ เหมือนโชคดีที่มีเสียงรบกวนแค่ ๕ วินาที แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทุกข์มากกว่า ทั้งนี้เพราะยังไม่คุ้นกับเสียงนั้นนั่นเอง ตรงข้ามกับกลุ่มแรกซึ่งเจอเสียงนั้นมาก่อนแล้วจึงมีภูมิคุ้มกันเสียงนั้น

    ใครที่ไม่เคยเจอน้ำท่วมบ้าน ย่อมเป็นทุกข์อย่างมากเมื่อเจอมันเป็นครั้งแรก แต่ถ้าคุณเจอมันเป็นครั้งที่สอง เชื่อได้ว่าคุณจะรู้สึกเป็นทุกข์น้อยลง นี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ มีการวิจัยพบว่า เมื่อเกิดเหตุร้าย ผู้คนจะมีความรู้สึกเป็นบวกมากขึ้น หรือเป็นลบน้อยลงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว หากว่าเคยประสบมันมาแล้วในอดีต ไม่ว่าเหตุร้ายนั้นจะได้แก่ความสูญเสีย ความล้มเหลว หรือความเจ็บป่วยก็ตาม ในทำนองเดียวกันคนที่เคยประสบกับความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก่อน (เช่น จากอุบัติเหตุ) จะสามารถทนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภายหลังได้มากขึ้น

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์นั้น ในเบื้องต้นเกิดจากความเคยชินและความสามารถในการปรับตัวปรับใจของมนุษย์ แต่ยังมีภูมิคุ้มกันความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากปัญญาที่เข้าใจความทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง จนตระหนักว่ามันเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครหนีพ้น อีกทั้งยังเห็นความจริงต่อไปด้วยว่า ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย หากไม่ยึดติดถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ว่าต้องเป็นไปดั่งใจ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยมากกว่าตามความอยากของตน

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์ประเภทหลังนี้แหละที่คุ้มกันใจให้ปลอดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง แม้มีเหตุร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่งความตาย

    แต่ภูมิต้านทานประเภทหลังนี้ใช่ว่าจะเกิดได้ง่าย ๆ ไม่อาจได้มาจากการคิดเอา แต่ต้องเกิดจากการเจอความทุกข์บ่อย ๆ จนเกิดปัญญา เพราะมีแต่เจอทุกข์เท่านั้นจึงจะเห็นธรรม
    :- https://visalo.org/article/secret25550501.htm

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เห็นค่าของทุกข์ ใจก็เป็นสุข
    พระไพศาล วิสาโล
    หญิงวัย ๔๐ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เธอเป็นชาวคริสต์ ทุกวันเธอจึงสวดวิงวอนพระเจ้าขอให้ช่วยเธอให้พ้นจากโรคร้าย เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อลูก เธอไม่อยากเห็นลูกซึ่งยังเล็กต้องเห็นเธอในสภาพที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย แต่ไม่ว่าเธอจะวิงวอนพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเพียงใด อาการของเธอกลับแย่ลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้น แม้หมอจะให้มอร์ฟีนเต็มที่แล้วก็ตาม ในที่สุดเธอก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค เธอรู้ดีว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่เป็นปีหรือเป็นเดือน แต่เป็นแค่อาทิตย์เท่านั้น

    เธอทุกข์ทั้งกายและใจ นอกจากปวดกายแล้วยังรู้สึกผิดหวังที่พระเจ้าไม่ช่วยเธอเลย ใครที่มาเยี่ยมเธอ อดสงสารไม่ได้ที่เห็นเธอมีสีหน้าอมทุกข์และกระสับกระส่าย แต่แล้ววันหนึ่งเธอกลับมีอาการนิ่งสงบ เธอพูดกับเพื่อนที่มาเยี่ยมว่า เธอยอมรับความตายได้แล้ว

    เธออธิบายต่อว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความตายคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความเจ็บปวดสิ้นสุด มันเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกไม่เห็นฉันทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉันยังจะได้สอนลูก ๆ ด้วยว่า จะตายอย่างไรโดยไม่กลัว นี้คือสิ่งที่ฉันจะทำให้แก่ลูกได้ในฐานะที่เป็นแม่”

    นับแต่นั้นเธอก็ไม่มีอาการกระสับกระส่ายอีกเลย แม้ความเจ็บปวดไม่ได้ลดลง สุดท้ายเธอก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางลูก ๆ และมิตรสหาย ซึ่งอดแปลกใจไม่ได้ในความเปลี่ยนแปลงของเธอ

    ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตาย แต่อะไรทำให้เธอนิ่งสงบได้ คำตอบก็คือ การเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย ความตายไม่เพียงยุติความเจ็บปวดที่รุมเร้าร่างกายของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่เธอจะได้สอนลูกว่าคนเราควรตายอย่างไร สำหรับเธอ นี้เป็นคำสอนที่สำคัญมาก ซึ่งแม่ควรจะมอบให้แก่ลูก ด้วยการเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น

    จะว่าไปแล้ว นอกจากการสอนให้ลูกรู้จักการดำเนินชีวิต อะไรจะสำคัญเท่ากับการสอนให้ลูกรู้วิธีตาย อย่างหลังนั้นใช่ว่าจะสอนกันได้ง่าย ๆ และไม่ค่อยมีคนสอนกันเท่าใด แต่ถ้าจะมีใครสักคนเป็นผู้สอน คนนั้นควรเป็นแม่

    เป็นเพราะเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย เธอจึงยอมรับความตาย โดยไม่ผลักไสหรือต่อต้านขัดขืน จะว่าเธอยิ้มรับความตาย ก็คงไม่ผิด และนั่นทำให้ใจเธอไม่เป็นทุกข์แม้กายจะปวดก็ตาม

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรามองหรือรู้สึกกับมันอย่างไร แม้จะเป็นเหตุร้าย แต่ถ้าเห็นคุณค่าของมัน มองมันในแง่บวก หรือยอมรับมันได้ ใจก็ไม่เป็นทุกข์ แม้สิ่งนั้นได้แก่มะเร็ง ความเจ็บปวด หรือความตายก็ตาม

    ความเจ็บปวดหรือโรคร้าย หากมองว่ามันกำลังสอนธรรมให้แก่เรา เช่น แสดงไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจเราก็จะเปิดรับ และใคร่ครวญด้วยปัญญามากขึ้น ในทางตรงข้ามหากเห็นมันเป็นสิ่งเลวร้าย ใจก็จะโอดครวญ ก่นด่า หรือผลักไสต่อต้าน ซึ่งมีแต่ทำให้ทุกข์มากขึ้น แม้แต่ความอยากให้มันหายไป ก็ทำให้เราทุกข์ได้

    หลวงปู่ขาว อนาลโย จึงแนะนำว่า “อันความอยากหายจากทุกขเวทนานั้น อย่าอยาก ยิ่งอยากให้หายเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มสมุทัยตัวผลิตทุกข์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ให้อยากรู้อยากเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่แสดงอยู่กับกายกับใจเท่านั้น”

    ท่านอาจารย์พุทธทาสก็สอนเช่นกันว่า “ความเจ็บไข้มาเตือนให้เราฉลาด” คือ มาสอนให้เราเห็นสัจธรรมของสังขาร จะได้คลายความยึดติดถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ใจ

    แม้จะทำได้ยาก แต่หากเราลองนำคำสอนนี้ไปใช้กับเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เบาบางกว่า เช่น อุปสรรค ความล้มเหลว คำต่อว่าด่าทอ หากเราเห็นคุณค่าของมัน เช่น ฝึกให้เราเข้มแข็ง ฉลาดกว่าเดิม มีประสบการณ์มากขึ้น รวมทั้งรู้ว่ามันเป็นธรรมดาโลก เราก็จะยอมรับมันได้มากขึ้น และเป็นทุกข์เพราะมันน้อยลง

    สุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกหรือมองมันอย่างไรต่างหาก
    :- https://visalo.org/article/secret256102.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ask a question.jpg
    อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์

    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น ความรู้และเทคโนโลยีนานาชนิดทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมาย ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำก็ไม่ต้องกลัวหนาวเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไปไหนมาไหนก็ไม่เหนื่อยเพราะมีรถยนต์และเครื่องบิน ฯลฯ

    แต่ถึงแม้จะมีความสามารถในการพาตัวให้ไกลจากความทุกข์ได้มากมายเพียงใด ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่างที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ ร่ำรวยเพียงใดก็ยังต้องเจอกับความพลัดพรากสูญเสีย ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง เก่งเพียงใดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายไปได้

    คนเป็นอันมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นการเอาความทุกข์มาซ้ำเติมตนเองให้หนักกว่าเดิม แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย พูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก ธนูดอกแรกนั้นอาจ มาจากคนอื่นหรือสิ่งนอกตัว แต่ธนูดอกที่สองนั้นเกิดจากน้ำมือของเราเอง ร้ายกว่านั้นก็คือธนูดอกที่สองนั้นมักก่อความทุกข์ที่รุนแรงหนักหนากว่าธนูดอกแรกเสียอีก

    หญิงสูงวัยผู้หนึ่งไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคอะไร แล้ววันหนึ่งหมอก็เรียกเธอไปพบ แล้วบอกว่า “ ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” เธอตกใจมาก นับแต่นั้นมาก็เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก ไม่พูดไม่คุยกับใคร ผ่านไปได้แค่ ๑๒ วัน เธอก็เสียชีวิต

    ก้อนมะเร็งนั้นแม้จะบั่นทอนร่างกายของเธอ แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับใจที่ตื่นตระหนกและวิตกกังวล นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธต่อต้านตลอดเวลา ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้นสามารถตัดรอนชีวิตของเธอได้เร็วยิ่งกว่าก้อนมะเร็งเสียอีก

    จะว่าไปแล้วความทุกข์ของคนสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากใจที่ปฏิเสธต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นยิ่งกว่าอะไรอื่น ดังนั้นแม้แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คนขึ้งเครียดหงุดหงิดอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่เครียดหรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเราก็ไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจที่ปฏิเสธต่อต้านสิ่งนั้น พูดอีกอย่าง ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอสิ่งนั้น การวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทงจะรู้สึกปวดมากกว่าคนที่วางเฉยต่อเข็มนั้นถึงสามเท่า คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ย่อมทำให้ความทุกข์นั้นทบทวีหรือตรีคูณ

    ในทางตรงข้ามทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก คนที่ยอมรับความจริงได้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญตีโพยตีพายอีกต่อไป จะพบว่ามีแต่กายเท่านั้นที่ทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย

    เป็นธรรมดาของคนเราเมื่อเจอภัยคุกคามหรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยาในทางใดทางหนึ่งเสมอคือ ถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจก็ยังดิ้นรนขัดขืนหรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น แต่หากเรามีสติรู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน มันก็จะค่อย ๆ สงบลง ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้นจะแสดงออกมาในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็สามารถสงบลงได้เมื่อมีสติหรือรู้ตัว

    ในทางตรงข้ามการกดข่มหรือพยายามกำจัดมันกลับทำให้มันดำรงคงอยู่ต่อไป แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริงมันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีกด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิมหากมีอะไรมากระทบหรือสะกิดใจเรา จะว่าไปก็คงไม่ต่างจากการเกาให้หายคันเวลาถูกยุงกัดหรือเป็นลมพิษ แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกาหนักขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งเกาก็ยิ่งคัน การอยู่เฉย ๆ รับรู้ความคันที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทันใจที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ทุเลาเบาบางลง

    การยอมรับความจริง มิได้หมายถึงการยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้วมันกลับช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น คนที่ยอมรับความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญหาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำจึงไม่ได้ทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้

    ลองถามตัวเองว่าแต่ละวันเราเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญหรือวิตกกังวลมากมายเพียงใด บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่องก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้าแล้ว แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็เถอะ ลองตั้งสติและมองให้รอบด้านอาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังนั้น ก็จะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้งอาจมีแง่ดีบางอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อปักใจอยู่กับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่าชีวิตนี้ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่รอการชื่นชมจากเรา

    ความทุกข์บางอย่างเราหนีไม่พ้นก็จริง แต่หากเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
    :- https://visalo.org/article/secret255403.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พรที่คู่ควรกับชีวิต
    พระไพศาล วิสาโล
    สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จังหวัดอยุธยา เป็นพระที่มีผู้คนเคารพนับถือมาก หลายคนมาหาท่านเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของท่านในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ มีเรื่องเล่าว่า ชายผู้หนึ่งมาบวชที่วัดสะแกอยู่พักใหญ่ เมื่อจะลาสิกขาก็มาหาหลวงปู่เพื่อขอให้ท่านพรมน้ำมนต์และให้พร ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้ พระรูปนั้นตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า “ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี มีกินมีใช้ ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมาก ๆ”

    พอท่านอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็มองหน้าพร้อมกับพูดว่า “ท่าน...ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง”

    เมื่อพูดถึงพรหรือสิ่งประเสริฐ ผู้คนมักคิดถึงแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่แท้จริงแล้ว มีสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นอีก ซึ่งจะช่วยนำความสุขมาให้แก่ชีวิตอย่างยั่งยืน สิ่งนั้นได้แก่คุณธรรมหรือคุณภาพจิตที่ดีงาม อาทิ วิริยะ ศีล สมาธิ สติ และ ปัญญา หากมีขึ้น นอกจากความสงบเย็นและมั่นคงในจิตใจแล้ว ความสำเร็จทางโลกก็จะตามมา

    ด้วยเหตุนี้พระสุปฏิปันโนซึ่งเปี่ยมด้วยปัญญาอย่างหลวงปู่ดู่จึงเตือนพระรูปนั้นให้นึกถึงสิ่งที่ประเสริฐกว่าความร่ำรวยและโชคลาภ

    เรื่องราวของหลวงปู่ดู่ยังสอดคล้องกับชาดกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าสมัยยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ชื่อกัณหาฤาษี ฤาษีท่านนี้ทำความเพียรและบำเพ็ญคุณธรรมจนท้าวสักกะหรือพระอินทร์ยกย่องนับถือ วันหนึ่งท้าวสักกะเสด็จมาเยี่ยมกัณหาฤาษีเพื่อประทานพร ๔ ประการ แต่แทนที่ฤาษีจะขอให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ หรือทรัพย์สมบัติ กลับบอกท้าวสักกะว่า “หากพระองค์จะประทานพรแก่อาตมา อาตมาหวังเฉพาะความประพฤติของตน คือ อย่ามีความโกรธ อย่ามีโทสะ อย่ามีความโลภ และอย่ามีความเสน่หา ขอพระองค์ทรงประทานพรทั้ง ๔ ประการเหล่านี้แก่อาตมาเถิด”

    ท้าวสักกะคาดไม่ถึงว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ แน่นอนว่าพระองค์ไม่สามารถประทานให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นแก่ตนได้

    มีชาดกอีกเรื่องที่คล้าย ๆ กัน อกิตติฤาษีเป็นอีกผู้หนึ่งท้าวสักกะเสด็จมาเพื่อประทานพร ๔ ประการแต่คำตอบที่ได้จากฤาษีก็คือ “ขอให้อาตมาไม่พึงพบเห็นคนพาล ไม่พึงได้ยิน ไม่พึงอยู่ร่วมกับคนพาล ไม่พึงทำการเจรจาปราศรัย และไม่พึงพอใจการเจรจาปราศรัยกับคนพาลเลย” ฤาษีคงรู้ว่าท้าวสักกะประทานพรดังกล่าวให้ไม่ได้ จึงเปลี่ยนใจ ขอพรเพียงแค่ข้อเดียวคือ “ขอมหาบพิตรอย่าเสด็จมาหาอาตมาอีกเลย” ทั้งนี้ท่านให้เหตุผลว่า การเสด็จมาของท้าวสักกะ อาจทำให้ท่านประมาทในการบำเพ็ญเพียร “การพบเห็นมหาบพิตรจะเป็นภัยแก่อาตมา”

    เมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่ดู่และฤาษีทั้งสองแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมตัดสินได้เองว่าอะไรคือพรอันประเสริฐที่ตนควรตั้งจิตปรารถนาให้บังเกิดขึ้นกับตน แน่นอนว่าการตั้งจิตปรารถนาอย่างเดียวย่อมไม่พอ แต่จะต้องลงมือทำด้วยความเพียรของตนด้วย

    ดังนั้นในโอกาสปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ อาตมาขออวยพรให้ผู้อ่านซีเคร็ตทุกท่านมีความเพียรพยายามในการสร้างคุณงามความดีและบ่มเพาะคุณภาพจิตให้เจริญงอกงาม จนพบความสงบเย็นในชีวิต มีปัญญาพาจิตออกจากความทุกข์ เข้าถึงสุขอันเกษมคือพระนิพพานในปัจจุบันชาติด้วยเทอญ
    :- https://visalo.org/article/secret256101.html
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อานุภาพแห่งความรัก
    พระไพศาล วิสาโล
    อังคณา มาศรังสรรค์ หรือ “ครูณา” แห่งโรงเรียนพ่อแม่ลูกเล่าว่า ตั้งแต่เล็กจนโต เธอเห็นพ่อเอาแต่เล่นไพ่ ไม่ค่อยทำงาน ขณะที่แม่ทำงานทั้งวัน ไหนจะงานบ้านและรับจ้างตัดเสื้อ เวลาได้ยินผู้คนเล่าว่าพ่อรักแม่มาก เธอนึกภาพไม่ออก และไม่อยากเชื่อเลย เพราะภาพที่เธอเห็นชินตาตั้งแต่เด็กก็คือ พ่อกราดเกรี้ยวแม่ ต่อว่าแม่เป็นประจำ บางครั้งก็ใช้กำลังกับแม่

    เธอรู้สึกเหินห่างหมางเมินพ่อมาโดยตลอด ความรู้สึกลบที่มีต่อพ่อนั้นกลายแรงผลักที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของเธอตั้งแต่สาว นั่นคือ พยายามเป็นและทำสิ่งที่ตรงข้ามกับนิสัยของพ่อ เช่น ทำงานหนัก ไม่ชอบผ่อนคลาย และไม่นอนกลางวัน ขณะเดียวกันก็ไม่มั่นใจที่จะมีชีวิตคู่กับใคร เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นอย่างพ่อ

    แต่เมื่อเธอมีครอบครัว วันหนึ่งเธอก็พบว่าเธอทำกับลูกอย่างเดียวกับที่พ่อทำกับเธอ นั่นคือตีลูกด้วยความโกรธ พฤติกรรมหลายอย่างของพ่อที่เธอไม่ชอบ เธอกลับรับเข้ามาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัว เธอเริ่มหันกลับมามองตนเองอย่างจริงจัง สิ่งหนึ่งที่ค้นพบก็คือ อคติที่มี่ต่อพ่อนั้นได้ก่อปัญหาแก่เธออย่างที่นึกไม่ถึง

    เธอพบว่าอคติดังกล่าวทำให้เธอเห็นพ่อแต่ในแง่มุมเดียว คือด้านที่เป็นลบ ไม่สามารถมองเห็นด้านที่เป็นบวกได้เลย ดังนั้นไม่ว่าพ่อจะทำดีกับเธออย่างไร เธอก็มองไม่เห็น บางครั้งก็หันหลังให้ “เมื่อเขาชวนฉันไปกินขนม ฉันก็ปฏิเสธ เมื่อป๊าจะกอดฉัน ฉันก็วิ่งหนี เมื่อป๊าชวนฉันไปเที่ยว ฉันก็ว่าไม่อยากไป” หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นส่งผลให้พ่อโอภาปราศรัยกับเธอน้อยลง และเหินห่างมากขึ้น

    เมื่อทบทวนชีวิตที่ผ่านมาอย่างจริงจัง เธอจึงตระหนักว่าพ่อเป็นคนรักครอบครัวมาก ตอนที่ลูกยังเด็ก พ่อเป็นคนป้อนข้าวให้ลูก เมื่อลูกไปโรงเรียน พ่อก็ไปส่งปิ่นโตที่โรงเรียนทุกวัน ทุกครั้งที่เล่นไพ่ได้พ่อจะซื้ออาหารดี ๆ กลับมาให้ที่บ้านได้กินอย่างเอร็ดอร่อย เสื้อผ้าชุดโปรดของเธอในวัยเด็กก็ได้มาจากเงินในวงไพ่ แม้เมื่อเธอโตเป็นสาวแล้ว คราใดที่ล้มป่วย พ่อก็จะมาดูแลอย่างใกล้ชิด มีคราวหนึ่งเธอกินอะไรแทบไม่ได้ พ่อก็จะซื้อปลากระบอกฮ่องกงซึ่งแพงมาก แล้วลอกเป็นเส้นเล็ก ๆ ป้อนใส่ปากเธอทีละนิด เมื่อเธอตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา พ่อก็รับปากว่าจะหาเงินมาส่งเสีย แล้วก็ทำได้อย่างที่พูด แน่นอนว่าเงินเหล่านี้พ่อได้จากการเล่นไพ่

    ทัศนคติของเธอเริ่มเปลี่ยนไป เธอรู้สึกดีกับพ่อมากขึ้น “ในวัยสี่สิบต้น ๆ ฉันพึ่งเริ่มหลงรักพ่อของตัวเอง พ่อที่น่ารัก พ่อที่ใจดี และพ่อที่อ่อนโยน” เธอหันกลับมาทำดีกับพ่อมากขึ้น พูดคุยใกล้ชิดขึ้น จากเดิมที่ให้เงินต่อเมื่อพ่อออกปากขอ เธอรีบให้ก่อนที่เขาจะขอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพ่อจะเอาเงินไปเล่นไพ่

    แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พ่อเริ่มเปลี่ยนไป หรือพูดให้ถูกคือ กลับมาเป็นคนเดิม นั่นคือ เป็นพ่อที่สงบและใจดี เป็นสามีที่อ่อนหวาน เลิกต่อว่าภรรยา เมื่อภรรยาป่วย ก็คอยดูแลภรรยา จับมือและพูดหวาน พาภรรยานั่งรถเที่ยวโดยไม่บ่นเลย

    วันหนึ่งเธอตัดสินใจพูดคุยกับพ่อเพื่อขอร้องให้เลิกเล่นไพ่ สนทนาเพียงสิบนาที พ่อก็ตัดสินใจเลิกเล่นไพ่ เมื่อตระหนักว่าเหตุผลที่จะเล่นไพ่ไม่มีแล้ว เนื่องจากลูก ๆ มีชีวิตที่สุขสบาย ครอบครัวไม่เดือดร้อนแล้ว

    พ่อเปลี่ยนไปเมื่อได้รับความรักและความเข้าใจจากลูก พลังแห่งความดีในใจพ่อที่เคยซบเซาอ่อนแรง ได้รับการกระตุ้นหนุนเสริมจากความรักและความเข้าใจดังกล่าว จนสามารถเอาชนะความกระด้างและความเห็นแก่ตัว ทำให้พ่อกลับมาเป็นพ่อที่ดีและสามีที่น่ารักดังเดิม

    คนเรานั้นแม้อยากทำดีหรือเป็นคนดี แต่หากคนรอบข้างมึนตึง เมินเฉย หรือรังเกียจ ก็กลับกลายเป็นคนกระด้างและเห็นแก่ตัวได้ไม่ยาก ไม่ว่าคนอื่นจะเรียกร้องหรือคาดคั้นให้เขาทำดีเพียงใด ก็ไร้ผล จนกว่าคนรอบข้างจะเปลี่ยนทัศนคติ และหันกลับมาทำดีกับเขาด้วยความรักและความเข้าใจ

    ถึงตอนนั้นเขาจึงจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนใหม่ หรือกลับเป็นคนดีดังเดิมได้
    :- https://visalo.org/article/secret256103.html
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    รักตนเองด้วยการช่วยผู้อื่น
    พระไพศาล วิสาโล
    ที่สำนักเซนแห่งหนึ่งในอเมริกา เมื่อมีการอุปสมบทพระใหม่จะมีพิธีกรรมปุจฉา-วิสัชนา โดยพระใหม่จะกล่าวกับอุปัชฌาย์ว่า “การปฏิบัติธรรมคืออะไร? โปรดสอนกระผมเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่น”

    อุปัชฌาย์จะกล่าวว่า “อะไรนะ ช่วยเหลือผู้อื่นหรือ? ท่านต้องช่วยตัวเอง”

    “กระผมจะช่วยตัวเองได้อย่างไร?” พระใหม่ปุจฉา

    “ดูแลผู้อื่น” คือคำตอบของอุปัชฌาย์

    ช่วยตนเองด้วยการดูแลผู้อื่น ไม่ใช่เป็นแนวคิดของเซนเท่านั้น ที่จริงเป็นคำสอนดั้งเดิมของพุทธศาสนา ดังมีพุทธพจน์ว่า “เมื่อรักษาผู้อื่นก็คือรักษาตน.....ข้อนี้หมายความว่า รักษาผู้อื่นด้วยการอดทน ด้วยการไม่เบียดเบียน ด้วยเมตตาจิต ด้วยความรักใคร่เอ็นดู นี้แหละคือเมื่อรักษาผู้อื่นอยู่ จะมีผลเป็นการรักษาตนด้วย”

    พุทธศาสนามองว่า ความผาสุกของตน กับความผาสุกของผู้อื่นนั้นไม่ได้แยกจากกัน เราจะผาสุกได้ต่อเมื่อผู้อื่นมีความผาสุกด้วย นิรมล เมธีสุวกุลเล่าว่า คราวหนึ่งได้ไปถ่ายทำสารคดีในหมู่บ้าน ขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่ คุณป้าคนหนึ่งถือปลาพวงใหญ่มาแล้วถามทีมถ่ายทำว่า “รู้ไหมว่า ปลาพวงนี้ทำอย่างไรจึงจะกินได้นาน” แต่ละคนก็ให้คำตอบต่าง ๆ กัน เช่น หมักบ้าง ตากแดดบ้าง ใส่ตู้เย็นบ้าง “ผิดหมดเลย” คุณป้าตอบ “ต้องเอาไปแบ่งเพื่อนบ้านให้ทั่วถึง”

    หลายคนสงสัยว่าถ้าแบ่งให้คนอื่น เราก็ได้กินน้อยลงสิ จะมีกินนาน ๆ ได้อย่างไร แต่ชาวบ้านอย่างคุณป้ามองว่า ถ้าเรามีน้ำใจแบ่งปลาให้เพื่อนบ้าน เวลาเพื่อนบ้านจับปลาได้ ก็จะแบ่งให้เรา ทำให้มีปลากินได้เรื่อย ๆ ท่านอาจารย์พุทธทาสก็พูดทำนองเดียวกันว่า ข้าวที่เรากินนั้น แค่วันเดียวมันก็กลายเป็นอุจจาระ แต่ถ้าเราแบ่งให้ผู้อื่น มันก็จะอยู่ในใจเขานานเท่านาน

    ที่จริงนี้ไม่ใช่ภูมิปัญญาของชาวบ้านไทยเท่านั้น แต่เป็นภูมิปัญญาสากล มีเกษตรกรชาวอเมริกันผู้หนึ่งในรัฐไอโอวา เขาเป็นเจ้าของพันธุ์ข้าวโพดคุณภาพดีที่ได้รางวัลชนะเลิศติดต่อกันหลายครั้งในการประกวดระดับรัฐ แทนที่จะหวงพันธุ์เหมือนคนอื่น เขาชอบแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ดีที่สุดให้แก่ชาวไร่ทุกคนในละแวกเดียวกัน

    เมื่อถูกถามถึงเหตุผล เขาตอบว่า “ถ้าเพื่อนบ้านผมปลูกข้าวโพดพันธุ์ไม่ดี ละอองเกสร(ที่ลอยมาจากไร่ข้างเคียง)จะผสมข้ามพันธุ์ ทำให้ข้าวโพดของผมมีคุณภาพลดลง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงให้ความสำคัญกับการที่คนเหล่านั้นจะต้องปลูกข้าวโพดพันธุ์ดีที่สุดจริง ๆ”

    ชาวไร่ผู้นี้รู้ดีว่า ถ้าอยากให้ผลผลิตในไร่ของเขาดี ไร่รอบ ๆ ก็ต้องดีด้วย เขาไม่อาจประสบความสำเร็จได้หากคนอื่นย่ำแย่

    ในทำนองเดียวกันถ้าเราต้องการความสุข ก็ควรช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

    อย่างไรก็ตามเราไม่ควรเกื้อกูลผู้อื่นเพียงเพราะหวังประโยชน์ตนเท่านั้น แต่ควรก้าวไปอีกขั้น คือทำเพราะมีความปรารถนาดีต่อเขาเป็นที่ตั้ง

    แต่ถึงแม้จะไม่ได้ทำดีเพราะมุ่งหวังประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตนเอง แต่ก็ขอให้มั่นใจได้ว่า ผลดีย่อมเกิดขึ้นแก่ตนเองอย่างแน่นอน ผลดีที่ว่าไม่ได้หมายถึงชื่อเสียงเกียรติยศหรือภาพลักษณ์ แต่ประเสริฐยิ่งกว่านั้นอีก

    “น้องด้าย” เด็กหญิงอายุ ๑๔ ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเด็กอ่อนที่บ้านปากเกร็ด หลังจากที่ไปช่วยได้ไม่กี่เดือน แม่สังเกตว่า เธอนิ่งและสุขุมขึ้น รับฟังคนอื่นมากขึ้น และใช้อารมณ์กับแม่น้อยลง ไม่ต่างจาก “กบ” นักธุรกิจวัย ๓๐ ปลาย ๆ เขารู้สึกว่าตนเองใจเย็นขึ้น แม้แต่ลูกน้องก็ทักว่าเขาพูดนุ่มนวลกว่าเดิม ไม่โผงผางเหมือนเก่า เหตุผลก็เพราะ เวลาอยู่กับเด็ก เขาต้องใช้ความอดทนและความอ่อนโยน จะทำตามอารมณ์ไม่ได้ เขายังเล่าด้วยว่า “ในขณะที่เราพยายามจะให้เขามีพัฒนาการที่ดี เขาก็ช่วยขัดเกลาให้เราอ่อนโยนในเวลาเดียวกันด้วย"

    การช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ช่วยขัดเกลาและปรับปรุงจิตใจของเราโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราเห็นแก่ตัวน้อยลง และมีจิตใจอ่อนโยนมากขึ้น ที่สำคัญอีกประการก็คือ ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทีแรกคิดจะไปให้ความสุขแก่เขา กลับกลายเป็นว่า เขาให้ความสุขแก่เรา สอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”

    ดังนั้นถ้าเรารักตนเองจริง ๆ อยากให้ตนเองมีความสุขและมีจิตใจเจริญงอกงาม ควรช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นมาก ๆ เพราะ “รักษาผู้อื่นก็คือรักษาตน”
    :- https://visalo.org/article/secret255609_2.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Peninsula, Costa Rica_.jpg
    พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา

    พระไพศาล วิสาโล
    หลังจากที่ “หมวย” เรียนจบพยาบาลได้ไม่นาน ป้าก็ป่วยหนักและมารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเธอ ป้าผู้นี้มีบุญคุณกับเธอมากเพราะได้ดูแลเธอแทนแม่จนเธอเรียนจบชั้นมัธยม หลังจากที่ย้ายไปเรียนจังหวัดอื่น เธอแทบไม่ได้พบหน้าป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าล้มป่วย แต่ช่วงที่ป้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูนั้น เธอมีเวลาไปเยี่ยมป้าน้อยมากเพราะงานรัดตัว ตั้งใจว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไปเยี่ยมป้า แต่แล้วเพื่อน ๆ ก็ชวนเธอไปเที่ยวพัทยา เธออยากเล่นน้ำทะเลอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อน คิดว่าเช้าวันจันทร์ไปเยี่ยมป้าก็ยังไม่สาย แต่พอเธอกลับถึงบ้านค่ำวันอาทิตย์ ก็ได้ข่าวว่าป้าเสียชีวิตแล้ว ผ่านมานับสิบปีแล้วเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปดูแลป้า ทั้ง ๆ ที่เป็นพยาบาลดูแลคนอื่นได้มากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้กับผู้มีพระคุณ

    ตอนเรียนมัธยม “สมใจ” สนิทสนมกับ “ชัย”มาก แต่เมื่อเรียนจบทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่ง มีช่วงหนึ่งที่ชัยโทรศัพท์มาคุยกับเธอแทบทุกคืน แต่ละครั้งคุยนานมาก คืนหนึ่งเธอรู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน แต่ชัยก็ยังไม่เลิกคุย เธอรำคาญจึงพูดตัดบท แต่เขาก็ยังคุยต่อ เธอจึงต่อว่าเขาด้วยความโมโห แล้ววางหู วันรุ่งขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินเข้าห้องเรียน แม่ของชัยก็โทรศัพท์มาบอกว่าชัยเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์หลังจากคุยกับเธอได้ไม่นาน เธอตกใจและรู้สึกเสียใจมากที่พูดไม่ดีกับชัยเมื่อคืน มันเป็นเสมือนบาดแผลในใจที่ยังอยู่จนทุกวันนี้


    ทั้งหมวยและสมใจพูดตรงกันว่า หากรู้ว่าคนที่เธอรักจะต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เธอจะไม่ทำอย่างที่ได้ทำไป หมวยจะใช้เวลาอยู่กับป้าให้นานที่สุดและอย่างดีที่สุด ส่วนสมใจก็จะพูดคุยกับชัยด้วยความใส่ใจและอย่างนุ่มนวล แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า

    ความตายของคนที่เรารักมักจะมาอย่างไม่คาดฝัน มันพร้อมจะมาได้ทุกเวลา และไม่เลือกว่าจะเกิดกับผู้ใหญ่ก่อนเด็ก ใครที่มองข้ามความจริงข้อนี้ จะต้องพบกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง มิใช่เพียงเพราะคนรักจากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาได้พลั้งเผลอทำสิ่งที่ไม่สมควร(หรือไม่ได้ทำสิ่งที่สมควร)กับผู้ที่จากไป โดยไม่มีโอกาสขอโทษหรือแก้ตัวได้เลย สิบปีอาจนานพอที่จะเยียวยาความเศร้าใจที่สูญเสียคนรักไป แต่ยากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่ได้ทำสิ่งไม่สมควรกับคนรัก

    หากไม่อยากมีบาดแผลในใจ ก็ควรปฏิบัติต่อคนที่เรารักอย่างดีที่สุด อ่อนโยนและใส่ใจกับความรู้สึกของเขาให้มาก ๆ แต่ปัญหาก็คือยิ่งเราสนิทสนมคุ้นเคยกับใคร เราก็ยิ่งคำนึงถึงความรู้สึกของเขาน้อยลง และทำตามอารมณ์ของเรามากขึ้น (ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย เรามักจะสุภาพและนุ่มนวลกับเขามากกว่า) ผลก็คือเรามักจะลืมตัวทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา

    ความลืมตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เผลอทำสิ่งที่ไม่สมควรกับคนที่เรารัก นั่นคือการเตือนใจตนเองเสมอว่าพรุ่งนี้เขากับเราอาจจะต้องพรากจากกัน วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เขากับเราจะได้อยู่ด้วยกัน ขณะที่เขากำลังอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แก่เขา

    การเตือนใจเช่นนี้จะกระตุ้นเตือนให้เราปฏิบัติต่อเขาอย่างนุ่มนวล ไม่ทำตามอำเภอใจ รับฟังและใส่ใจกับความรู้สึกของเขามากขึ้น เมื่อเราทำอย่างดีที่สุดกับเขา หากใครเกิดมีอันเป็นไปในวันข้างหน้า ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดต่อกัน จะว่าไปแล้วการเตือนใจเช่นนี้ไม่ควรทำเฉพาะกับคนที่เรารักเท่านั้น แต่ควรทำกับทุกคนที่เรารู้จักหรือติดต่อสัมพันธ์ด้วย

    คราวหนึ่ง “เขมานันทะ” ได้จาริกไปประเทศพม่า และได้รู้จักกับพระไทยใหญ่รูปหนึ่ง เมื่อไปถึงเจดีย์ชเวดากอง ท่านได้ชวนเขมานันทะถ่ายรูปคู่กัน แต่เขมานันทะนั้นไม่ชอบธรรมเนียมแบบนี้จึงเดินหนี แต่พระไทยใหญ่ขอร้องให้เขาไปถ่ายรูปด้วย คำพูดประโยคเดียวของท่านที่ทำให้เขมานันทะเปลี่ยนใจก็คือ “ชีวิตนี้เราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียว” เขมานันทะจึงยอมถ่ายรูปด้วย หลังจากเขมานันทะกลับมาเมืองไทยไม่นานก็มีจดหมายมาแจ้งข่าวว่า พระไทยใหญ่รูปนั้นมรณภาพแล้ว เขมานันทะเล่าในเวลาต่อมาว่าคำพูดประโยคนั้นสะเทือนอารมณ์ของตนมาก เพราะทำให้ได้คิดว่าคนเราเอาแต่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา มัวแต่แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนลืมไปว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

    การปฏิบัติต่อผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเราราวกับว่าเขาอาจพลัดพรากจากเราไปในวันพรุ่งนี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันมิให้เกิดบาดแผลในใจเราในวันข้างหน้าเท่านั้น หากยังช่วยสร้างสุขให้แก่เราในวันนี้ อันเป็นผลจากสัมพันธภาพที่ราบรื่นและงดงามทั้งกับคนใกล้และคนรอบตัว ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ทุกวันที่คนรักยังอยู่กับเราเป็นวันที่มีความหมายยิ่งกว่าเดิม วันนี้จะกลายเป็นวันพิเศษ เพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มีเขาอยู่กับเราก็ได้

    หญิงผู้หนึ่งเล่าว่า เพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ ทุกคนพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เพราะเธอไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือไม่ สำหรับเธอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขเท่านี้อีกแล้ว

    ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล และไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าให้เหนื่อยยาก เพราะแท้จริงความสุขนั้นมีอยู่กับเราในขณะนี้แล้ว นั่นคือการที่คนรักยังอยู่กับเรา และให้โอกาสแก่เราได้ทำความดีกับเขาอย่างเต็มที่ อย่ามองข้ามความสุขอย่างนี้ และอย่าปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือเราไป
    :- https://visalo.org/article/secret255301.htm

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    becarefullSti.jpg
    ลืมตัว

    พระไพศาล วิสาโล
    ชายผู้หนึ่งไปซื้อของที่ตลาดคลองเตย เห็นแผงมะม่วงเรียงติด ๆ กันหลายแผง เขาจึงเดินดูและสอบถามราคาตั้งแต่แผงแรกไปจนถึงแผงสุดท้าย จากนั้นก็กลับมาที่แผงแรก และเลือกมะม่วงมาได้จำนวนหนึ่ง แต่เมื่อจะจ่ายเงิน พ่อค้ากลับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไปดูร้านอื่นแบบนี้ อั๊วไม่ขายให้แล้ว”

    พ่อค้าไม่พอใจที่เห็นชายผู้นั้นเดินผ่านแผงของเขาทีแรก ไปสนใจแผงอื่น ความรู้สึกว่า “ตัวกู” ถูกกระทบเพราะไม่ได้รับความสนใจ ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองชายผู้นั้น จึงตอบโต้ด้วยการไม่ยอมขายมะม่วงให้

    พ่อค้าคงรู้สึกสะใจที่ชายผู้นั้นไม่ได้มะม่วงอย่างที่ต้องการ เขาอาจรู้สึกว่า “กูชนะ” แล้ว แต่ถ้าถามว่าพ่อค้าผู้นี้ฉลาดหรือโง่ คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้ว

    ธรรมดาพ่อค้าควรดีใจที่มีลูกค้ามาซื้อของ เพราะนั่นคือรายได้ที่จะตามมา จะว่าไปแล้วเขามาเป็นพ่อค้าก็เพราะเหตุนี้ การปฏิเสธลูกค้าย่อมไม่เป็นผลดีแก่ตัวเขาเอง แต่อะไรทำให้เขาทำเช่นนั้น คำตอบก็คือ ความลืมตัว

    พ่อค้าลืมตัวเพราะถูกความขุ่นเคืองครอบงำจิตใจ จึงคิดแต่จะตอบโต้หรือเอาชนะผู้อื่น จนลืมไปว่าผลเสียจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไรบ้าง มะม่วงของเขาแม้จะดี หอมหวาน แถมราคาถูก แต่หากเขาลืมตัวแบบนี้บ่อย ๆ เพราะปล่อยให้ความหงุดหงิดขุ่นเคืองเกิดขึ้นเป็นประจำ ก็หวังความเจริญในอาชีพนี้ได้ยาก

    คนเราไม่ว่าฉลาดหรือเก่งเพียงใดก็ตาม หากลืมตัวเสียแล้ว ก็สามารถทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตัวเองได้ทั้งนั้น นักธุรกิจต้องการเสนอขายผลิตภัณฑ์ลูกค้า แต่เมื่อถูกลูกค้าวิจารณ์ ก็โกรธ ห้ามใจไม่อยู่ ใช้ถ้อยคำรุนแรงตอบโต้ลูกค้า ผลก็คือเสียลูกค้า ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาควรทำคือตั้งสติ ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจ พยายามโน้มน้าวลูกค้าให้เห็นข้อดีของผลิตภัณฑ์ หรือใช้เหตุผลหักล้างคำวิจารณ์ดังกล่าว

    ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นอกจากความรู้ ความสามารถ เงินทุน เครือข่าย และโอกาสแล้ว อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ สติหรือความรู้ตัว ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการงาน เป็นซีอีโอ ศาสตราจารย์ ดาราดัง แต่หากขาดสติ จนลืมตัว แม้เพียงชั่วขณะ ชีวิตก็อาจดำดิ่ง ประสบหายนะได้ เพราะอารมณ์ชั่ววูบชักนำให้ทำสิ่งเลวร้าย จนต้องติดคุกติดตะราง

    แม้แต่การทำบุญ หากไม่มีสติ ก็อาจลืมตัวทำบาปก็ได้ หญิงผู้หนึ่งไปทำบุญที่วัดใหญ่แห่งหนึ่ง วันนั้นมีคนเยอะมาก ต้องต่อแถวยาวกว่าจะได้ไปบูชาสักการะพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ จู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งแซงเธอต่อหน้าต่อตา เธอไม่พอใจ จึงต่อว่าชายผู้นั้น ผลก็คือเกิดการทะเลาะกัน ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงทั้งสองฝ่าย วันนั้นแทนที่เธอจะได้บุญ กลับได้บาป เพราะจิตใจขุ่นมัว มีแต่ความเคืองแค้นและหมองหม่น

    เมื่อใดที่ลืมตัว ก็ลืมผิดชอบชั่วดี จึงทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจ ลูกสามารถกราดเกรี้ยวกับพ่อแม่เพราะดื้อไม่ทำตามคำแนะนำ ส่วนสามีก็สามารถทำร้ายภรรยาเพราะถูกต่อว่า

    ทุกวันนี้เราเห็นความลืมตัวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสื่อโซเชียล เช่น เฟซบุ๊ค ความลืมตัวเพราะโกรธชั่ววูบ ทำให้ดารา นักร้อง คนดัง หลายคนเขียนข้อความรุนแรง ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง บางคนอนาคตดับวูบเพียงเพราะข้อความไม่กี่ประโยคที่ระบายออกมา

    หลายคนไม่ตระหนักว่าอันตรายนั้นอยู่ที่ปลายนิ้วของตน นั่นคือโทรศัพท์มือถือ ทันทีที่ขาดสติ ลืมตัว เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ข้อความที่พรั่งพรูผ่านปลายนิ้ว ไปปรากฏในสื่อโซเชียล กลับกลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงตัวเอง บางคนทนไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย

    โลกยุคนี้ ความลืมตัวคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรอื่น
    :- https://visalo.org/article/secret256011.html
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    BuddhaAndOneMan.jpg
    ความปรารถนาที่ถูกมองข้าม

    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อพบว่าคนรักป่วยด้วยโรคร้าย อาการลุกลามจนอยู่ในระยะสุดท้าย สุดวิสัยที่จะเยียวยาให้หายได้ สิ่งเดียวที่ผู้คนส่วนใหญ่นึกออก คือ ทำทุกอย่างเพื่อยืดชีวิตของเขาให้ยืนยาวที่สุด อะไรที่ช่วยให้เขาอยู่ได้นานขึ้น ก็ดิ้นรนไปหามาให้เขา และเมื่อเขาเพียบหนัก ความหวังสุดท้ายคือหมอและโรงพยาบาล วลีที่หมอได้ยินจากญาติผู้ป่วยคนแล้วคนเล่าก็คือ “ทำทุกอย่างเลยนะหมอ” ผลก็คือ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนไม่น้อยถูกนำมาที่ห้องไอซียู โดยมีท่อสอดใส่ทั่วร่างกาย และถูกกำกับด้วยเครื่องนานาชนิด หลายคนสิ้นชีวิตในสภาพดังกล่าว

    การยืดชีวิตของผู้ป่วยให้นานที่สุดเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในความรู้สึกของลูกหลานและญาติ แต่นั่นอาจไม่ใช่ความต้องการสูงสุดในความนึกคิดของผู้ป่วยก็ได้ ความปรารถนาอันดับต้น ๆ ของผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ก็คือ เจ็บปวดให้น้อยที่สุด อยากอยู่ใกล้คนรัก ไม่เป็นภาระของลูกหลาน อยากมีสติรู้ตัวจนสิ้นลม และอยากตายสงบ

    อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่ความปรารถนาดังกล่าวของผู้ป่วยไม่เป็นที่รับรู้เลย สาเหตุสำคัญก็เพราะญาติมักคิดแทนผู้ป่วย หาไม่ก็เอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนรักจากไปทั้ง ๆ ที่มีโอกาสยืดชีวิตต่อไปได้ จึงตัดสินใจแทนผู้ป่วยด้วยความหวังดี ผลที่ตามมาก็คือ ผู้ป่วยนอนทุกข์ทรมานอยู่ในห้องไอซียู แม้จะมีลมหายใจยืนยาวขึ้น แต่คุณภาพชีวิตกลับถดถอย หลายคนส่งสายตาวิงวอนขอกลับบ้าน หรือขอให้ถอดท่อช่วยหายใจ แต่ลูกหลานก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอให้ผู้ป่วยสิ้นลมไปเอง

    มีกรณีมากมายที่ชี้ชัดว่า การทำทุกอย่างเพื่อยืดชีวิตผู้ป่วยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาเลย มีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น เช่น การช่วยให้เขาสุขสบายมากที่สุด เจ็บปวดน้อยที่สุด โดยไม่เน้นการยืดชีวิตให้ยืนยาว ดังนั้นแทนที่จะระดมเทคโนโลยีนานาชนิดมาใช้กับผู้ป่วยจนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมาน ก็ช่วยประคับประคองให้ เขาได้ทำสิ่งที่อยากทำมากที่สุดในวาระสุดท้าย ขณะเดียวกันแทนที่จะมุ่งแทรกแซงร่างกายของเขาด้วยวิธีการที่รุนแรง ก็หันมาดูแลจิตใจของเขาควบคู่กับการลดความทุกข์ทรมานทางกาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ช่วยประคองคุณภาพชีวิตของเขาให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

    วิธีการหลังนั้นให้ทางเลือกแก่ผู้ป่วย แทนที่จะอยู่ห้องไอซียูจนสิ้นลม ก็อาจกลับมาอยู่บ้าน หรืออยู่โรงพยาบาลก็ได้ ในหลายประเทศมีการสร้างสถานดูแลผู้ป่วยระยะท้าย (hospice) ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล แม้ใช้เทคโนโลยีไม่มาก ทุนรอนก็น้อยกว่า แต่ปรากฏว่าผู้ป่วยที่เลือกวิธีการหลังได้รับผลดีอย่างเห็นได้ชัด

    ในสหรัฐอเมริกามีการวิจัยพบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ ถูกปั๊มหัวใจ หรืออยู่ในห้องไอซียูนั้น คุณภาพชีวิตของเขาในอาทิตย์สุดท้ายย่ำแย่กว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือด้วยวิธีการดังกล่าวเลย ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า ผู้ป่วยที่เลือกมาอยู่ในสถานดูแลระยะท้าย มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่า ช่วยตัวเองได้มากกว่า สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นดีกว่าและยืนยาวกว่า

    ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ การวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะท้ายจำนวน ๑๕๑ คนที่โรงพยาบาลแมสสาชูเสทได้จัดทำขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๓ พบว่า ผู้ป่วยที่เลิกรับเคมีบำบัด (คือไม่คิดยื้อชีวิตให้ยืนยาวขึ้น) แล้วหันมาใช้วิธีแบบประคับประคองในสถานดูแลระยะท้าย นอกจากจะมีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าผู้ป่วยที่ใช้เคมีบำบัดแล้ว ยังกลับมีชีวิตยืนยาวกว่าคนกลุ่มหลังถึงร้อยละ ๒๕ ด้วย

    ในการดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะระยะสุดท้าย เราจะคำนึงแต่การเยียวยาทางกายหาได้ไม่ การดูแลจิตใจก็สำคัญอย่างยิ่ง การยื้ออวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่นานขึ้น ยืดลมหายใจให้ยืนยาวขึ้น ไม่ควรเป็นจุดหมายสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย สิ่งสำคัญกว่าก็คือการช่วยให้เขาสุขสบายทั้งกายและใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่พึงคำนึงถึงแต่ปริมาณหรือตัวเลขของสัญญาณชีพ แต่ควรให้ความสำคัญแก่คุณภาพชีวิตของเขาด้วย

    ใช่หรือไม่ว่าประการหลังคือสิ่งดีที่สุดที่เราควรมอบให้แก่คนรักก่อนที่เขาจะสิ้นลม
    :- https://visalo.org/article/secret255805.html
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    MindThings.png
    ใกล้แสนใกล้ ไกลแสนไกล

    พระไพศาล วิสาโล
    เดวิด เซอร์วอง ชไรเบอร์ เป็นศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส ที่ผ่านงานวิจัยมานับไม่ถ้วน คราวหนึ่งเขาทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับสมอง โดยให้อาสาสมัครดูภาพที่รุนแรงน่ากลัว ขณะเดียวกันก็มีการตรวจวัดคลื่นสมองของอาสาสมัครด้วยเครื่อง MRI

    อาสาสมัครผู้หนึ่งเป็นนักวิจัยสาวในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา หลังจากที่ฉายภาพดังกล่าวให้เธอดูพักใหญ่ หัวใจของเธอก็เต้นแรงมาก ความดันเลือดพุ่งพรวดจนอยู่ในระดับที่ไม่ปกติ เขารู้สึกเป็นห่วงเธอ จึงแนะนำว่าควรหยุดการทดลองนี้ เธอมีสีหน้าแปลกใจ แล้วบอกกับเขาว่าเธอสบายดี ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ภาพเหล่านี้ไม่มีผลต่อเธอ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงคิดหยุดการทดลอง

    คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจ เพราะร่างกายของเธอฟ้องชัดเจนว่าเธอกลัว แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่ากำลังมีความกลัว เขารู้ในเวลาต่อมาว่าเธอมีเพื่อนน้อยมาก เพื่อนร่วมงานของเธอไม่มีใครที่ชอบเธอเลย ทั้ง ๆ ที่เธอฉลาดหลักแหลมแต่ไม่มีใครอยากทำงานกับเธอ หลายคนสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร บ้างก็คิดว่าเป็นเพราะเธอพูดแต่เรื่องของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่นเลย ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครอยากคบเธอเลย

    แต่เดวิดคิดว่าเขารู้คำตอบ ปัญหาสำคัญของเธอก็คือ การไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ส่งผลให้เธอมืดบอดต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น เธอจึงพูดหรือทำอะไรต่ออะไรที่กระทบความรู้สึกของคนอื่นอยู่เนือง ๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้ใคร ๆ ไม่อยากคบเธอ หรือทำงานร่วมกันกับเธอ

    อารมณ์ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง เกิดขึ้นเมื่อใดใจก็น่าจะรับรู้ได้ทันที แต่นับวันผู้คนที่ไม่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถูกถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรขณะนี้” หรือ “เมื่อกี้รู้สึกอย่างไร” หลายคนกลับตอบไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร บางคนเอาความคิดในหัวของตนมาตอบ นั่นเป็นเพราะทุกวันนี้ผู้คนเหินห่างแปลกแยกกับตัวเองมาก เนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับสิ่งภายนอกมากเกินไป เช่น งานการ เงินทอง จนละเลยความรู้สึกของตน หาไม่ก็ใช้ “สมอง”มากเกินไป จนลืมใช้ “หัวใจ”ของตน

    ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเป็นอันมากทั้ง ๆ ที่กำลังหงุดหงิด แต่กลับไม่รู้ตัวว่าหงุดหงิด จริงอยู่คนที่ด้านชาต่ออารมณ์ของตน และมืดบอดต่ออารมณ์ของคนอื่น อย่างนักวิจัยสาวผู้นั้น อาจมีไม่มาก แต่เธอก็เป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนมากมายในปัจจุบัน

    นอกจากเหินห่างแปลกแยกกับอารมณ์ของตนแล้ว หลายคนยังมีอาการดังกล่าวแม้กระทั่งกับร่างกายของตน เดวิดพบว่าแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลของเขาหลายคนมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน กล่าวคือ หลังจากทำงานอย่างหนักตลอดทั้งวันติดต่อกันวันแล้ววันเล่า แถมยังต้องเข้าเวรดึก หรือถูกเรียกตัวกลางดึกอาทิตย์ละหลายครั้ง คนเหล่านี้เมื่อเสร็จงานก็เดินไปยังร้านฟาสต์ฟูดทันทีราวกับว่านั่นคือสิ่งที่ร่างกายต้องการ

    อันที่จริงร่างกายของคนเหล่านี้ส่งสัญญาณว่าต้องการพักผ่อน แต่เป็นเพราะเขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างทุกข์เพราะเหนื่อยล้า กับ ทุกข์เพราะหิว ดังเมื่อเหนื่อยล้าขึ้นมา แทนที่จะไปนอนสักงีบ กลับตรงไปหาของกินทั้ง ๆ ที่ดึกแล้ว ผลก็คือคนเหล่านี้อ้วนเอา ๆ ขณะที่ร่างกายก็เหนื่อยล้าขึ้นเรื่อย ๆ นี้คงเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดผู้คนยุคนี้ยิ่งเครียดยิ่งล้าก็ยิ่งอ้วนขึ้น ๆ

    ฉลาดแค่ไหน รวยเพียงใด ก็ไม่ควรลืมกายและใจ แต่หากเหินห่างแปลกแยกกับใจและกายของตน ก็เท่ากับไม่รู้จักตัวเอง และเมื่อไม่รู้จักตัวเองเสียแล้ว จะมีความสุขหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร
    :- https://visalo.org/article/secret256003.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมดีที่ไม่ควรมองข้าม
    พระไพศาล วิสาโล
    secret106.jpg


    พยาบาลผู้หนึ่งเมื่อรู้ว่าคนไข้ของตนอยู่ในระยะสุดท้าย เธออยากทำความประสงค์ครั้งสุดท้ายของเขาให้เป็นจริง นั่นคือ ขอกลับไปตายที่บ้านท่ามกลางญาติพี่น้อง แต่เขาเป็นคนยากจน ไม่มีเงินจ้างรถจากหาดใหญ่ไปยังบ้านเกิดที่ชัยภูมิซึ่งไกลกว่าพันกิโลเมตร เธอจึงวิ่งเต้นขอเงินช่วยเหลือจากโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่พอ ต้องเรี่ยไรเพิ่มเติมจากผู้มีจิตศรัทธา ขณะเดียวกันก็ต้องติดต่อประสานงานกับโรงพยาบาลตำบลที่ชัยภูมิ เพื่อให้การดูแลเขาเมื่อกลับถึงบ้าน รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ออกซิเจน เพื่อให้เขาจากไปอย่างสงบ

    ทั้งหมดนี้เธอต้องทำเองหมดเพราะโรงพยาบาลของเธอไม่มีระบบรองรับสำหรับกรณีแบบนี้ งานประจำของเธอก็มากอยู่แล้ว เมื่อมาช่วยเหลือคนไข้รายนี้ให้กลับถึงบ้านด้วยดี ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือความรับผิดชอบของเธอ เธอจึงเหนื่อยมาก เพื่อนหลายคนยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ แต่มีบางคนไม่เพียงยืนดูเฉย ๆ แต่ยังพูดว่า สงสัยเธอเคยทำกรรมกับคนไข้คนนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็เลยต้องชดใช้กรรมด้วยการวิ่งช่วยเขาจนเหนื่อยอ่อน

    คำพูดดังกล่าวนับว่าน่าสนใจ เพราะระยะหลังมีคนคิดแบบนี้มากขึ้น เคยมีสามีผู้หนึ่งทิ้งงานมาดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งด้วยความใส่ใจ เขาทุ่มเทให้กับเธอตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เว้นแม้กระทั่งเช็ดอุจจาระปัสสาวะให้เธอ เพื่อนบ้านหลายคนเมื่อรู้เช่นนี้ก็พูดขึ้นว่า ชาติที่แล้วเขาคงทำกรรมกับผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรม ด้วยการรับใช้เธออย่างลำบากลำบน

    อันที่จริงสิ่งที่พยาบาลและสามีผู้ป่วยทำนั้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองว่าทั้งสองท่านกำลังชดใช้กรรม(ไม่ดี)ที่เคยทำในอดีต การกระทำซึ่งควรถือเป็นแบบอย่างที่พึงปฏิบัติตาม จึงมีสถานะไม่ต่างจากชะตากรรมจากของนักโทษที่กำลังชดใช้ความผิดที่ได้ทำ คำพูดเช่นนี้แทนที่จะให้กำลังใจเขา กลับเป็นการซ้ำเติมเสียอีก คำถามก็คืออะไรทำให้ผู้คนมีความคิดเช่นนั้น

    คำตอบเห็นจะอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีความคิดเหมารวมว่า เมื่อใดที่ใครก็ตามประสบความยากลำบาก แม้เป็นผลจากการทำความดี ก็ถือว่าเป็นการใช้กรรมไปหมด แต่เหตุใดจึงไม่มองว่า การทำความดีแม้ประสบความยากลำบากนั้น เป็นการสร้างกรรมดี หาใช่การชดใช้กรรมไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมาก แยกไม่ออกระหว่าง การสร้างกรรมดี กับ การชดใช้กรรม

    การชดใช้กรรมนั้น หมายถึง การ “ถูกกระทำ” หรือจำต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่พึงปรารถนาอันเป็นผลจากการกระทำของตน อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้( เช่น ขโมยที่ถูกจำคุกเพราะลักทรัพย์ หรือป่วยหนักเพราะติดเหล้า) ส่วนการสร้างกรรมดีนั้น หมายถึงการ “เลือกที่จะทำดี” ทั้ง ๆ ที่ไม่ทำก็ได้ ดังเช่นพยาบาลและสามีผู้ป่วยที่กล่าวถึง หากจะนิ่งดูดาย ไม่ยอมขวนขวายช่วยเหลือคนไข้และภรรยา ก็ย่อมได้ แต่ทั้งสองเลือกทำสิ่งตรงข้าม ไม่มีอะไรมาบังคับหรือกระทำให้ทั้งสองต้องเสียสละอย่างนั้น นอกจากมโนธรรมสำนึกหรือเมตตากรุณาในจิตใจของตน

    อุปสรรคหรือความยากลำบากนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำความดี ซึ่งช่วยฝึกฝนขัดเกลาจิตใจให้เข้มแข็งและงดงาม หากไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก มุ่งมั่นทำความดีจนถึงที่สุด ย่อมถือได้ว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีที่ยกจิตใจให้สูงขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากไม่ยอมทำความดีเพราะกลัวความยากลำบาก นั่นเท่ากับว่ากำลังบ่มเพาะความเห็นแก่ตัวให้เพิ่มพูนขึ้น

    กฎแห่งกรรมนั้น พระพุทธเจ้านำมาตรัสสอนเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนทำความดีและมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น แต่หากนำกฎแห่งกรรมมาใช้ในทางที่ผิดหรือด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ก็กลายเป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยาก ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดี ดังที่มีคนจำนวนไม่น้อยนิ่งดูดายเมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์ ( ทั้ง ๆ ที่คนนั้นอาจเป็นพี่น้องของตนด้วยซ้ำ) โดยให้เหตุผลว่า หากไปช่วยเขาจะกลายเป็นการแทรกแซงกรรมของเขา หรือทำให้เจ้ากรรมนายเวรของเขามาเล่นงานฉันแทน ผู้ที่คิดเช่นนี้หารู้ไม่ว่า การเฉยเมยนิ่งดูดายเช่นนั้น แท้ที่จริงก็คือการสร้างกรรมใหม่นั่นเอง และเป็นกรรมที่ไม่ดี อันมีวิบากซึ่งตนต้องรับในอนาคต

    ความเสียสละเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธ ไม่เพียงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีความสุขด้วย แม้ทรัพย์จะพร่องไป แม้กายจะเหน็ดเหนื่อย แต่ย่อมได้บุญเพิ่มขึ้น บุญนี้แหละที่ทำให้ใจเป็นสุขทั้งในปัจจุบันและวันข้างหน้า จวบจนกระทั่งวันสิ้นลม ดังมีพุทธภาษิตว่า “บุญย่อมนำให้เกิดสุขในยามสิ้นชีวิต” ตรงข้าม หากหวงทรัพย์และไม่ยอมเสียสละเพราะกลัวเหน็ดเหนื่อยและลำบากกาย จิตใจย่อมไกลบุญและยากจะซึ้งถึงความสุขใจ เมื่อสิ้นลมก็ไม่มีบุญที่จะช่วยน้อมใจให้จากไปอย่างสงบ
    :- https://visalo.org/article/secret255511.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    บทเรียนสำคัญ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อรู้ว่านครสวรรค์ถูกน้ำท่วมทั้งเมือง และมวลน้ำกำ ลังเคลื่อนลงมา “อ้อย” ได้เดินทางไปยังบ้านแม่ที่อยุธยา แล้วทยอยขนข้าวของขึ้นชั้นสอง น้องสาวเห็นเช่นนั้น จึงว่าเธอ “ตื่นตูม” เธอตอบไปว่า “ไม่ประมาท” กับ “ตื่นตูม” อาจดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันนะ หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์น้ำก็ไหลเอ่อท่วมอยุธยาถึง ๒ เมตร
    จากอยุธยา เธอไปตั้งหลักที่บ้านของเธอเองที่ปทุมธานี เมื่อเห็นว่ามวลน้ำยังไหลมาไม่หยุด เธอก็เริ่มเก็บข้าวของ น้องสาวจึงท้วงว่า ไม่ต้องขนหรอก ถึงท่วมก็ไม่มาก แต่เธอไม่สนใจ ทยอยเก็บไปเรื่อย ๆ ไม่กี่วันมวลน้ำก้อนใหญ่ก็มาถึงปทุม พอเห็นน้ำเข้ามา น้องสาวถึงได้ตระหนักว่าครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่คิด แต่โชคดีที่พี่สาวขนของล่วงหน้าไปมากแล้ว จึงสูญเสียทรัพย์สมบัติไปไม่มาก นับแต่นั้นเธอก็ต้องระเหเร่ร่อน แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะทำใจได้กับข้าวของที่สูญเสียไป

    ตรงข้ามกับ “เข็ม” บ้านของเธออยู่ที่นครสวรรค์ ซึ่งมักเจอปัญหาน้ำท่วมแทบทุกปี ตอนที่ได้ข่าวว่าน้ำท่วมพิษณุโลกนั้น เธอคิดว่าคงกระทบกับนครสวรรค์ไม่มากนัก จึงไม่ได้เตรียมการรับมือแต่อย่างใด จู่ ๆ วันหนึ่งก็พบว่าน้ำไหลเอ่อท่วมบ้านเธออย่างรวดเร็ว นอกจากโน้ตบุ๊คแล้ว ก็มีของมีค่าอีกไม่กี่ชิ้นที่เธอกับสามีขนออกมาได้ แม้จะกลับไปกู้ข้าวของที่บ้านอีก ๒-๓ ครั้ง แต่ก็ได้มาไม่มาก เพราะน้ำขึ้นสูงมาก ข้าวของส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ ยังความเศร้าโศกเสียใจให้แก่เธอเป็นอย่างยิ่ง

    อุทกภัยครั้งนี้สร้างความเสียหายเหลือคณานับอย่างที่นึกไม่ถึง อันที่จริงภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดฝันของคนไทย ก่อนหน้านี้คนไทยจำนวนไม่น้อยพากันปริวิตกว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังจะมา โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าภัยพิบัติจะมาในรูปที่คุ้นเคยและเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ อย่างอุทกภัย คนไทยนั้นคุ้นเคยกับน้ำท่วมจนไม่คิดว่าจะมีอะไรร้ายแรงกว่าปีก่อน ๆ ดังนั้นจึงชะล่าใจและลงเอยด้วยความสูญเสียมากมาย

    สำหรับคนที่ไม่ประมาท การเตรียมตัวอย่างเนิ่น ๆ ทำให้ไม่สูญเสียมาก จึงทำใจปล่อยวางได้ ส่วนคนที่ทำใจไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือผู้ที่ประมาท ไม่ได้เตรียมการใด ๆ ไว้เลย จึงสูญเสียทรัพย์สมบัติจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว

    อุทกภัยครั้งนี้ให้บทเรียนที่สำคัญมากมาย ที่เห็นได้ชัดก็คือ เราไม่สามารถหลีกหนีวิบากหรือผลกรรมที่เราทำกับธรรมชาติได้ ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่เรามิอาจประมาทได้อีกต่อไป อันที่จริง มิใช่แต่ภัยธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยชนิดอื่น ๆ ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน คนทั่วไปนั้น ตราบใดที่ภัยยังอยู่ไกลตัว ก็มักชะล่าใจ ไม่คิดเตรียมการป้องกัน ครั้นมันจู่โจมถึงตัว ก็สายเสียแล้วที่จะรับมือกับมัน อุทกภัยครั้งนี้น่าเป็นข้อเตือนใจอย่างแรงว่า อย่าชะล่าใจแม้ภัยยังไม่ประชิดตัว

    อุทกภัยครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สอนให้เราตระหนักชัดถึงความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง มันกำลังบอกเราว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ไม่ช้าก็เร็วสิ่งเหล่านั้นต้องพลัดพรากจากเราไป ยิ่งยึดติดถือมั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์

    จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเสมือนการบ้านที่ฝึกให้เรารู้จักปล่อยวาง เมื่อต้องเจอภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในวันหน้า มันสามารถเป็นได้ทั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติ (ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงกว่านี้ในอนาคต) และภัยพิบัติที่เกิดแก่ชีวิต จะเป็นภัยพิบัติชนิดใดก็ตาม ล้วนนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ว่า ความสูญเสียที่เกิดจากอุทกภัยครั้งนี้ แม้จะมากเพียงใด ก็ยังเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    จริงอยู่ บางคนอาจโชคดีที่รอดพ้นจากภัยธรรมชาติครั้งหน้าได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดแก่ชีวิตนั้น ไม่มีใครหนีพ้น โดยเฉพาะความตาย วันนี้ถึงเราจะสูญเสียไปมากมาย แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็มีโอกาสที่จะหามาได้ใหม่ แม้สิ้นเนื้อประดาตัว ก็สามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้อีกไม่ช้าก็เร็ว แต่เมื่อถึงวันที่เราละจากโลกนี้ไป ไม่ว่ามีเท่าไหร่ก็สูญหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งลมหายใจ

    หากเราไม่รู้จักปล่อยวางความสูญเสียจากอุทกภัยครั้งนี้ เราจะทำใจได้อย่างไรเมื่อต้องเจอความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคต โดยเฉพาะในวันสิ้นลม

    อย่าชะล่าใจเพราะคิดว่าความตายนั้นยังอยู่อีกไกล ผู้ไม่ประมาทย่อมเตรียมตัวเสียแต่วันนี้โดยอาศัยเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจ

    ถ้ารู้จักเก็บเกี่ยวบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เราจะได้ทรัพย์อันประเสริฐที่มีค่ายิ่งกว่าสมบัติที่สูญเสียไป อย่างเทียบกันไม่ได้

    :- https://visalo.org/article/secret255501.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ที่พึ่งพิงของชีวิต
    พระไพศาล วิสาโล
    ในระหว่างการอบรมคราวหนึ่ง วิทยากรให้ทุกคนเดินสบาย ๆ ไปทั่วห้อง แล้วเลือกจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกใจ จากนั้นให้สมมติว่าตรงนั้นเป็น “บ้าน” ของตน ยืนเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้นสักพัก หายใจเข้าหายใจออกสบาย ๆ ทีนี้ให้ทุกคนออกไปเดินเที่ยวรอบห้อง แต่มีข้อแม้ว่า ระหว่างที่เดิน ให้หายใจออกได้อย่างเดียว ห้ามหายใจเข้า จะหายใจเข้าได้ต่อเมื่อกลับมายัง “บ้าน” ของตนเท่านั้น

    ผ่านไป ๓ นาที เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ให้ทุกคนมองหน้าเพื่อนที่อยู่ในห้อง เลือกคนที่รู้สึกประทับใจเพียงคนเดียว (โดยที่เขาไม่รู้ตัว) แล้วสมมุติว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาเป็น “บ้าน”ของตน เป็นจุดที่แต่ละคนสามารถหายใจเข้าหายใจออกได้ตามสบายเมื่อได้อยู่ใกล้ แต่เมื่อใดที่ออกไปเที่ยว เดินเล่นรอบห้อง ก็ต้องงดหายใจเข้า หายใจออกได้อย่างเดียว จนกว่าจะกลับมาที่ “บ้าน”ของตน จึงจะหายใจเข้าออกได้ตามปกติ


    ผ่านไป ๓ นาที ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย ทีนี้ให้ทุกคนสมมติว่าทุกที่เป็นบ้านของตน ไม่ว่าอยู่ตรงไหน หรือเดินไปไหนก็สามารถหายใจเข้า-ออกได้ตลอดตามต้องการ

    เมื่อทำกิจกรรมดังกล่าวเสร็จ ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่าช่วงแรกนั้นรู้สึกอึดอัดเวลาก้าวออกจากจุดที่สมมติว่าเป็น “บ้าน” จะไปไหนก็ไปได้ไม่นาน ต่อเมื่อกลับมา “บ้าน”จึงรู้สึกสบาย สำหรับช่วงที่สองนั้นส่วนใหญ่บอกว่ารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าเดิมเพราะคนที่หมายตาไว้ในใจนั้น ไม่ยอมอยู่นิ่ง แต่จะเดินไปทั่วห้อง ดังนั้นจึงต้องคอยไล่ตามอยู่เสมอ เพื่อจะได้หายใจเข้าได้อย่างปลอดโปร่ง

    เมื่อถูกถามว่ากิจกรรมดังกล่าวให้แง่คิดอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน หลายคนให้ความเห็นว่า ในชีวิตจริงนั้นเรามีความสุขที่ได้อยู่บ้าน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงานก็ตาม ก็ไม่สบายเท่ากับเวลาอยู่บ้าน แต่คนเราไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอด บางครั้งก็ต้องออกไปนอกบ้าน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเหินห่างจากความสุขที่เคยมี

    ความสุขของคนเรายังอยู่ที่ได้ใกล้ชิดใครบางคน ได้พบปะพูดคุยแล้วมีความสบายใจ แต่เมื่อใดที่อยู่ห่างไกลเขาก็จะมีความทุกข์มาแทนที่ ทำให้อยากเข้าหาเขาอยู่เสมอ แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่เคยอยู่นิ่งเลย ถ้าอยากอยู่ใกล้เขาก็ต้องไล่ตามหาเขาไม่หยุดหย่อน ทำให้เหน็ดเหนื่อย

    ทุกคนพูดตรงกันว่า ถ้าหากทุกที่เป็นบ้านดังกิจกรรมช่วงที่สาม จะรู้สึกโปร่งโล่ง เบาสบาย มีความสุข จะไปไหนหรืออยู่ที่ไหน ก็ไม่อึดอัดคับข้อง เมื่อถามว่าทุกหนแห่งจะเป็นบ้านของเราได้อย่างไร คำตอบก็คือ ต้องทำใจให้เป็นบ้าน หรือให้บ้านย้ายมาอยู่ที่ใจ

    บ้านที่เป็นสถานที่นั้น ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกันการฝากใจไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง แม้จะได้รับความอบอุ่นหรือความสุข แต่ก็ทำให้ชีวิตและจิตใจไม่เป็นอิสระ จะอยู่ลำพังหรือเหินห่างจากเขาก็ไม่ได้ ครั้นพยายามใกล้ชิดสนิทแน่น ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะเขาเองก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง เคลื่อนย้ายและแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ กลายเป็นว่าต้องไล่ตามเขาหรือปรับตัวปรับใจตามเขาตลอดเวลา

    ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ คนที่เราพึ่งพิงทางใจนั้น เขาเองก็พึ่งพิงคนอื่นหรือสิ่งอื่นอีกต่อหนึ่ง ดังกิจกรรมข้างต้น ก.เลือก ข. เป็นบ้าน ส่วนข.กลับเลือก ค. เวลาข.เดินเข้าหา ค. ก.ก็ต้องขยับตาม ข. เป็นเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน และเป็นเช่นนี้กันทุกคน จึงกลายเป็นการไล่ตามซึ่งกันและกันทั้งห้อง

    ทุกวันนี้ผู้คนเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามความสุข เพราะหวังความสุขจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าเป็นสถานที่ บุคคล หรือวัตถุ แต่ความจริงที่ผู้คนมองข้ามไปก็คือ สิ่งเหล่านั้นหาได้เป็นอิสระในตัวเองไม่ แต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น ๆ เป็นทอด ๆ
    เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยน สถานที่ บุคคลหรือวัตถุที่เราฝากใจไว้ ก็พลอยแปรเปลี่ยนไปด้วย หากแปรเปลี่ยนไปในทางร้าย เราก็กลายเป็นทุกข์ ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้องดิ้นรนขวนขวายทำอะไรสักอย่างสุดแท้แต่สถานการณ์จะพาไป กลายเป็นว่าไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้เลย

    บ้านที่เรารัก ให้ความสุขสบายได้ก็เพราะเหตุปัจจัยมากมายหลายอย่าง อาทิ ดินฟ้าอากาศดี ชุมชนแวดล้อมอำนวย แต่หากวันดีคืนดีฝนตกหนักจนน้ำท่วม หรือชุมชนรอบข้างมีความขัดแย้งกัน โรงงานระเบิดปล่อยสารพิษออกมา ถึงตอนนั้นบ้านก็มิใช่วิมานแสนสุขอีกต่อไป ถ้าไม่ย้ายหนีก็ต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์

    คนรักไม่ว่าพ่อแม่ สามีภรรยา ลูกหลาน ให้ความสุขแก่เรา เมื่อทุกอย่างราบรื่นลงตัว แต่หากงานของเขาล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย สุขภาพย่ำแย่ ทำให้เขากลัดกลุ้ม ถึงตอนนั้นเราก็พลอยทุกข์ไปด้วย และไม่อาจดำเนินชีวิตตามปกติได้ แต่จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามเขา เช่น ต้องให้เวลาแก่เขามากขึ้น สาละวนช่วยเขาจนกว่างานการจะสำเร็จ เขามีความสุขเมื่อใด เราจึงจะมีความสุขได้ หาไม่แล้วก็ต้องทุกข์ต่อไป

    การเอาความสุขของเราไปผูกติดกับสิ่งใด ๆ ก็ตามจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระ หรือเที่ยงแท้ยั่งยืน พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นอนัตตา ดังนั้นจึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มิอาจเป็นไปดังใจได้

    การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนแปรปรวนอย่างใด เราจะไม่มัวคาดหวังสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นดั่งใจ เพราะรู้ว่ามันไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยสิ่งต่าง ๆ หากยังพร้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลโดยทำตามเหตุปัจจัย มิใช่เพราะความยึดติดถือมั่นอยากให้เป็นตามใจปรารถนา

    ความสุขที่แท้อยู่ที่การพึ่งตน ซึ่งที่จริงก็คือการพึ่งธรรม ดำเนินชีวิตตามธรรมและอย่างถูกธรรมนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/secret255507.htm

     

แชร์หน้านี้

Loading...