บทความให้กำลังใจ(ก้าวใหม่สู่ชีวิตใหม่)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ลบดึงดูดลบ
    พระไพศาล วิสาโล
    “ลบดึงดูดลบ” เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนจำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับ “บวกดึงดูดบวก” ความเชื่อดังกล่าวมีมูลความจริงไม่น้อยหากว่า “ลบ” คำแรกนั้นหมายถึงความรู้สึกลบ เช่น ความโกรธ เกลียด หวาดระแวง

    มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่าความรู้สึกลบนั้นทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อปีที่แล้วมีการศึกษาพบว่าความโกรธอย่างรุนแรงทำให้โอกาสที่จะเกิดหัวใจวายภายในสองชั่วโมงเพิ่มเป็น ๘.๕ เท่า

    ที่น่าสนใจคืองานวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้ข้อสรุปว่า คนวัย ๔๐ ที่มีความคิดลบต่อวัยชรา (เช่น เห็นว่าคนแก่เป็นพวกใจลอย เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ยาก) เมื่อเวลาผ่านไป ๒๕ ปี คนเหล่านี้จะสูญเสียเนื้อสมองบางส่วน (ฮิปโปแคมปัส) มากกว่า รวมทั้งมีลิ่มเลือดมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นตัวบ่งชี้ของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ สอดคล้องกับการวิจัยก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าคนที่มีอคติต่อวัยชราจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้นใน ๔๐ ปีให้หลัง

    ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า “ลบดึงดูดลบ”นั้น บางครั้งก็ส่งผลเกือบจะทันที คือแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางครั้งก็ใช้เวลานาน แต่จะช้าหรือเร็วก็ล้วนมีเหตุผลที่อธิบายได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาลอย ๆ

    ในชีวิตประจำวันเราจะพบว่า ความคิดลบนั้นย่อมนำพาสิ่งที่เป็นลบมาหาเราอยู่เสมอ แต่อาจจะไม่ได้มาในแบบที่คนเป็นอันมากวาดภาพเอาไว้ คือเกิดขึ้นมาโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือเพราะพลังอำนาจบางอย่างที่เข้าใจได้ยาก แต่เกิดจากเหตุปัจจัยอันมีที่มาจากความคิดลบนั้นเอง

    “พร” เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีปากเสียงเป็นประจำ เธอมักเห็นพ่อด่าว่าแม่ บางทีก็ใช้กำลังกับแม่ จึงมีอคติต่อพ่อ รวมทั้งเกลียดชังผู้ชายที่ชอบใช้กำลังกับภรรยา ครั้นเธอเป็นสาว หลงรักชายหนุ่มคนหนึ่ง จึงได้แต่งงานกัน แต่บ่อยครั้งภาพฝังใจในวัยเด็กทำให้เธออดระแวงไม่ได้ว่าสามีของเธอจะเป็นเหมือนอย่างพ่อ ความหวาดระแวงนั้นเองทำให้เธอรู้สึกไวเป็นพิเศษกับคำพูดและอารมณ์ของสามี

    แม้สามีเธอจะเป็นคนอ่อนหวาน รักครอบครัว แต่บางครั้งก็มีความหงุดหงิดเวลาอยู่กับเธอ พูดเสียงเข้มกับเธอ แม้มันเกิดขึ้นไม่บ่อย น้อยกว่าความอ่อนโยนที่เขามีกับเธอ แต่เธอมักเลือกเห็นและเลือกจำแต่อารมณ์และคำพูดที่เป็นลบของสามี เมื่อผสมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่มีต่อพ่อ อคติของเธอที่มีต่อเขาก็ถูกตอกย้ำหนักแน่นขึ้น ผลก็คือเธอมีความรู้สึกลบกับสามีมากขึ้นเป็นลำดับ ความรักเริ่มจืดจาง ความโกรธและหวาดระแวงเริ่มมาแทนที่

    อคติและความรู้สึกลบ ทำให้เธอมีพฤติกรรมลบกับสามีถี่ขึ้น เช่น ต่อว่าสามี ระบายอารมณ์ใส่เขา กล่าวหาว่าเขาไม่รักเธอ จากนั้นก็ขุดเอานิสัยต่าง ๆ ของเขามาตำหนิ เช่น ขี้เกียจ ไม่สนใจลูก เธอมีเรื่องต่อว่ากล่าวโทษเขาเป็นประจำ เมื่อเจอแบบนี้วันแล้ววันเล่า ในที่สุดสามีของเธอก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ตวาดใส่เธอ และเกือบใช้กำลังกับเธอ

    กรณีอย่างนี้มองเผิน ๆ ก็อาจสรุปได้ง่าย ๆ ว่า เป็นเพราะความรู้สึกลบที่มีต่อพ่อ เธอจึงได้สามีที่มีนิสัยอย่างพ่อ (หรือดึงดูดให้คนที่มีนิสัยอย่างพ่อมาเป็นสามีของเธอ) แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า การที่สามีมีพฤติกรรมดังกล่าว มิใช่เพราะนิสัยดั้งเดิมของเขาเป็นอย่างนั้น หากแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวเธอเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการคิดลบ (ว่าสามีคงไม่ต่างจากพ่อ) ทำให้เธอเห็นลบ (เลือกเห็นแต่สิ่งไม่ดีของสามี) ทำให้เกิดความรู้สึกลบ (โกรธและระแวงสามี) ตามมาด้วยพฤติกรรมลบ (ต่อว่า กล่าวโทษเขา) ในที่สุดก็ทำให้สามีตอบโต้เธอด้วยอารมณ์และพฤติกรรมลบ พูดอีกอย่างหนึ่ง ความคิดลบของเธอกระตุ้นปลุกปั่นให้เขามีพฤติกรรมลบกับเธอ

    “ลบดึงดูดลบ” จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากกฎแห่งกรรม เราทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น ดังมีสำนวนว่า “ให้ทุกข์แก่เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” แต่สิ่งที่เราทำนั้นจะเป็นบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิด เห็น หรือรู้สึกอย่างไร ถ้าคิดลบ เห็นลบ รู้สึกลบ ก็ย่อมทำลบ ซึ่งเท่ากับกระตุ้นให้คนอื่นเกิดปฏิกิริยาที่เป็นลบ และส่งผลลบแก่เรา

    ในทางตรงข้ามถ้าปรารถนาบวก ก็ต้องเริ่มต้นจากการคิดบวก บางอย่างแค่คิดบวก ก็เกิดผลบวกแล้ว (เช่น มีสุขภาพดี ไกลจากโรคหัวใจและอัลไซเมอร์) แต่มีอีกหลายอย่างที่คิดบวกไม่พอ ต้องทำบวกด้วย จึงจะเกิดผลบวกแก่เรา

    บวกย่อมดึงดูดบวก หากว่าบวกตัวแรกนั้นหมายถึงการคิดดีและทำดี แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะตามมา อาทิ ความรัก ความเกื้อกูลจากผู้อื่น และความสุขใจ แต่ถ้าคิดถึงแต่เงินทองและความสำเร็จ แล้วหยุดแค่นั้น ก็ยากที่เงินทองและความสำเร็จจะตามมา
    :- https://visalo.org/article/secret255907.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ทุกข์คลายได้ เมื่อใจยอมรับ
    พระไพศาล วิสาโล
    พระเจดีย์พุทธคยาทุกวันนี้เนืองแน่นด้วยผู้คนที่มาบูชาสักการะจากทุกสารทิศ วันหนึ่งมีจำนวนนับหมื่น ๆ คนโดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิอากาศเป็นใจแก่นักท่องเที่ยว แต่ใครที่คิดมาหาความสงบที่นี่ อาจจะผิดหวัง เพราะนอกจากความพลุกพล่านแล้ว ยังมีเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์ตลอดวัน เนื่องจากแต่ละคณะมิได้มาสักการะด้วยดอกไม้และเครื่องหอมเท่านั้น หากยังสวดมนต์ด้วยภาษาของตน ทั้งในระหว่างเดินประทักษิณรอบพระเจดีย์และระหว่างนั่งรายล้อมพระศรีมหาโพธิ์ ยังไม่นับการแสดงธรรม ซึ่งมักใช้เครื่องเสียงเพื่อให้สมาชิกทุกคนในคณะได้ยินกันถ้วนทั่ว

    แต่น่าสังเกตว่า ทั้ง ๆ ที่มีเสียงอื้ออึงอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันนั่งสงบ หลับตาทำสมาธิอยู่รายรอบพระเจดีย์ ไม่มีทีท่ารำคาญกับเสียงเหล่านั้นเลย จะว่าเขาไม่ได้ยินเสียงดังกล่าว ก็เห็นจะไม่ใช่ ขณะเดียวกันก็น่าคิดว่าหากเขานั่งอยู่กลางตลาดหรือกลางถนน ซึ่งมีเสียงดังในระดับเดซิเบลเท่า ๆ กันหรือน้อยกว่า เขาจะยังนั่งหลับตานิ่งสงบได้หรือไม่ หลายคนคงทำไม่ได้

    เหตุใดผู้คนจึงสามารถสงบใจได้ท่ามกลางความพลุกพล่านและเสียงดังเซ็งแซ่รอบพระเจดีย์ คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่ผู้คนเหล่านี้รู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นเป็นเสียงสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ออกมาจากจิตที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา ในฐานะชาวพุทธด้วยกัน ผู้คนเหล่านี้จึงมีความรู้สึกดีกับเสียงเหล่านั้นแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม ดังนั้นจิตจึงไม่ผลักไสหรือต่อต้านเสียงดังกล่าว ผลก็คือจิตมีความสงบ สามารถนั่งสมาธิได้อย่างสบาย ไม่มีอาการอึดอัดกระสับกระส่าย

    ภาพดังกล่าวบอกให้เรารู้ว่า ความสงบในใจนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากบรรยากาศที่สงบสงัดเท่านั้น แม้มีเสียงอึกทึกครึกโครมรอบตัว เราก็สามารถพบความสงบใจได้ ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้ใจไม่สงบจึงมิใช่อยู่ที่เสียงจากภายนอก หากอยู่ที่ใจของเราเอง หากยอมรับหรือรู้สึกดีกับเสียงที่ดังรอบตัว ใจเราก็สงบได้ไม่ยาก ในทางตรงข้ามหากใจมีทีท่าต่อต้าน ผลักไส ปฏิเสธ หรือชิงชังเสียแล้ว แม้เสียงจะแผ่วเบา ความว้าวุ่นกระสับกระส่ายหรือเป็นทุกข์ก็เกิดขึ้นกับใจได้ทันที

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง เสียงไม่ใช่ปัญหา ท่าทีของใจเราต่างหากที่เป็นปัญหา นี้คือความจริงที่ผู้คนมักมองข้าม เมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น ผู้คนจึงมักโทษสิ่งภายนอก แต่ลืมมองกลับมาที่ตนเอง ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะใจที่ต่อต้าน ผลักไส หรือปฏิเสธสิ่งนั้นต่างหากจึงทำให้เป็นทุกข์ จะว่าไปแล้ว ไม่จำเพาะสิ่งที่เป็นลบเท่านั้น แม้สิ่งที่เป็นบวก เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ ทันทีที่รู้สึกผลักไสมัน เพราะเห็นว่ามันไม่เข้ากับบรรยากาศ ไม่ถูกกาละเทศะ หรือเพราะกำลังง่วนอยู่กับสิ่งอื่นอยู่ ใจก็เป็นทุกข์ทันที แม้จะได้กำไรมาหลายสิบล้าน แต่หากรู้สึกลบกับมัน เพราะคิดว่าน่าจะได้มากกว่านี้ ใจก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที

    ในทางตรงข้าม แม้เจอสิ่งที่เป็นลบ เหตุการณ์ที่ย่ำแย่ หากเราทำใจยอมรับมันได้ ไม่ต่อต้านหรือผลักไสมัน คือ ไม่บ่น ไม่โอดโอยหรือโวยวาย ความทุกข์ใจจะลดน้อยลงมาก จริงอยู่เราอาจคิดว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นกับเรา แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรยอมรับมัน ป่วยการที่จะบ่นว่าไม่น่าเลย เพราะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำการบ่นหรือปฏิเสธมัน มีแต่จะทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้น หากเจ็บป่วยแล้วยังโวยวายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ก็จะไม่ป่วยแต่กายเท่านั้น ใจก็จะป่วยด้วย หากเงินหาย ก็จะไม่เสียแต่ของเท่านั้น ใจก็จะเสียด้วย ตามมาด้วยเสียสุขภาพ เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วก็จะเสียงาน เพราะไม่มีอารมณ์ทำงาน ตามมาด้วยเสียสัมพันธภาพ เพราะหงุดหงิดใส่เพื่อน ระบายความโกรธใส่ลูกหรือพ่อแม่และคนรัก

    ถ้าไม่อยากซ้ำเติมตนเอง ก็ควรทำใจยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน แต่การยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ อะไรที่แก้ไขได้ก็ควรทำ ไม่นิ่งเฉยหรืองอมืองอเท้า แต่จะทำได้ดีก็ต่อเมื่อเราหยุดบ่น หยุดโวยวาย ยอมรับความจริงให้ได้แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    :- https://visalo.org/article/secret255801.htm
    . .

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ในวิกฤต มีโอกาส
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อพูดถึงความตาย เรามักนึกถึงความเจ็บปวด ความทุรนทุราย และความพลัดพรากสูญเสียจากสิ่งที่รัก บางคนอาจนึกเลยไปถึงสิ่งลี้ลับดำมืดหรือความทุกข์ทรมานที่รออยู่เบื้องหน้าหลังสิ้นลม ความตายจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวในความรู้สึกของผู้คน จนแม้แต่จะเอ่ยถึงก็ยังไม่กล้า

    กล่าวได้ว่าความตายเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่สามารถจะเกิดได้กับคน ๆ หนึ่ง เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นสุดยอดของความพลัดพรากนอกจากความตาย แต่ในทุกวิกฤตย่อมมี “โอกาส”อยู่เสมอ

    มองในแง่กายภาพ ความตายเป็นวิกฤตที่นำความแตกดับมาสู่ชีวิตก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เปิดโอกาสให้หลายชีวิตมีลมหายใจยืนยาวต่อไป โดยอาศัยอวัยวะจากผู้ตายมาปลูกถ่ายทดแทน หรืออาศัยความรู้จากร่างของผู้ตาย มาพัฒนาวิธีการเยียวยารักษาโรคร้ายเพื่อยืดชีวิตของผู้คน

    ใช่แต่เท่านั้น ความตายยังเป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณด้วย กล่าวคือเป็นประตูเปิดสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น ดังคนโบราณเชื่อว่าหากตั้งจิตให้เป็นกุศลก่อนตายก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์หรือได้พบพระศรีอาริย์ในชาติต่อไป ถ้าเป็นคนอีสานก็เชื่อว่าจะได้ไปสักการะพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อในภพหน้า ความตายก็ยังสามารถหนุนเนื่องให้เกิดการยกระดับทางจิตใจได้ตั้งแต่ขั้นสามัญไปจนถึงขั้นสูงสุด คือการบรรลุอรหัตผล ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับบุคคลที่บรรลุธรรมขั้นสูงในขณะที่ความตายมาประชิดตัว อาทิ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ในวาระสุดท้ายของพระองค์ทรงประชวรหนัก มีทุกขเวทนาแรงกล้า พระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมถึง ๗ วัน ๗ คืน ในคืนสุดท้าย ทรงแสดงธรรมเรื่องความไม่เที่ยง พระเจ้าสุทโธทนะทรงพิจารณาตาม และเห็นแจ้งด้วยพระองค์เองว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ในที่สุดก็ทรงบรรลุอรหัตผลก่อนจะเสด็จดับขันธ์ในคืนนั้นเอง

    heaw3.jpg พระติสสะก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับทุกขเวทนามากในยามใกล้ตาย มิหน้ำซ้ำท่านยังถูกเพื่อนพระด้วยกันทอดทิ้งเนื่องจากเป็นโรคที่น่ารังเกียจ ท่านถูกปล่อยให้นอนจมปฏิกูลและมีหนองเปรอะเปื้อนเต็มตัว เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบจึงเสด็จมาดูแลท่าน อาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนจีวรใหม่ จากนั้นพระองค์ได้แสดงธรรมสั้น ๆ ว่า “อีกไม่นาน ร่างกายนี้ จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ อันหาประโยชน์มิได้” พระติสสะได้พิจารณาตามและประจักษ์ด้วยตนเองร่างกายนี้ไม่น่ายึดถือเลย ส่งผลให้ท่านบรรลุอรหัตผลในขณะเดียวกับที่สิ้นชีวิต
    ส่วนพระสัปปทาสมีประวัติที่แตกต่างออกไป กล่าวคือท่านมีความทุกข์มากที่ไม่เคยพบกับความสงบใจเลยตลอด ๒๕ ปีที่บวช จึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง ช่วงที่ท่านปาดคอตนเอง ท่านได้สติหันมาพิจารณาความเจ็บปวดอันแรงกล้าที่เกิดขึ้น และเห็นว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จิตจึงละวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ชั่วขณะนั้นเองก็บรรลุอรหัตผลก่อนจะสิ้นลม

    ความตายนั้นตัดรอนชีวิตและบีบคั้นกายใจก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็ประกาศสัจธรรมอย่างชัดเจนว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเราได้เลย เพราะเอาไปไม่ได้สักอย่าง ส่วนทุกขเวทนาอันแรงกล้านั้นก็ตอกย้ำว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่น่ายึดไม่น่าเอา เป็นเสมือนครูที่เฆี่ยนตีไม่หยุดหย่อนจนกว่าเราจะเข็ดหลาบ และยอมปล่อยวางสังขารนั้นไปในที่สุด

    ด้วยเหตุนี้ในยามที่ความตายมาคุกคาม จึงมีโอกาสอย่างมากที่บุคคลจะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมจนละวางความยึดติดถือมั่นในสังขาร เข้าถึงมรรคผลนิพพาน หรือลุถึงอิสรภาพทางจิตวิญญาณได้ ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเรียกช่วงเวลาที่ใกล้ตายว่าเป็น “นาทีทอง”ของชีวิต

    สำหรับคนทั่วไปที่ไกลวัด หรือไม่หวังนิพพานในชาตินี้ ความตายก็ยังเป็นโอกาสให้ได้พบสิ่งดี ๆ เท่าที่ปุถุชนจะหวังได้ เช่น ได้เห็นลูกหลานหรือพี่น้องกลับมาคืนดีกันเพราะเห็นแก่คนป่วยที่กำลังจะตาย ในทำนองเดียวกัน บางคนที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ภรรยาจนฝ่ายหลังตีจาก เมื่อเจ้าตัวป่วยหนักจนภรรยาอยู่เฉยไม่ได้ ต้องกลับมาดูแลอย่างใกล้ชิด สามีจึงมีโอกาสเอ่ยปากขอโทษภรรยา และนำไปสู่การคืนดีกันได้ในที่สุด
    เมื่อถึงคราวจะสิ้นลมสามีก็จากไปอย่างสงบ

    ทั้ง ๆ ที่ร่างกายใกล้จะแตกดับ แต่ก็มีหลายคนที่ได้พบกับความสงบในยามใกล้ตาย เพราะได้ปล่อยวางภาระต่าง ๆ ในชีวิต ด้วยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแบกเอาไว้ต่อไป บ้างก็หันมาให้เวลากับลูกหลานและพ่อแม่ ได้รับความอบอุ่นใจ และดีใจที่ได้ทำสิ่งสำคัญในชีวิตก่อนตาย บางคนเมื่อรู้ว่ามีเวลาเหลือน้อย ได้หันเข้าหาธรรมะ เจริญสมาธิภาวนา สร้างบุญสร้างกุศลเต็มที่ จึงพบกับความสุขใจอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน

    หากไม่มีมรณภัยมาประชิดตัว ผู้คนเหล่านี้ก็คงยังหมกมุ่นกับการงาน แสวงหาเงินทอง วุ่นวายกับภาระต่าง ๆ หาไม่ก็เพลิดเพลินกับความสนุกสนาน จนลืมไปว่ายังมีสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งสำคัญอย่างอื่นในชีวิตที่ต้องใส่ใจ ใช่หรือไม่ว่าความตายมาเตือนให้เขาหันมาทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจอย่างแท้จริง รางวัลที่ได้ก็คือความสงบเย็นและความสุขใจที่อาจไม่เคยรู้จักมาก่อน กระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิตก็ยังพบกับความสงบได้ ไม่ทุรนทุรายแม้ทุกขเวทนาทางกายจะบีบคั้นก็ตาม

    ความตายจึงไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยความทุกข์ทรมานเสมอไป มีผู้คนเป็นอันมากที่จากไปท่ามกลางความอาลัยและความปลื้มปีติของญาติที่เห็นคนรักของตนจากไปอย่างสงบและงดงาม

    มารี คูรี นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องเคยกล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัว มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ” ความข้อนี้ใช้กับความตายได้ด้วย ความตายนั้นไม่น่ากลัวเลยหากเราเข้าใจความตายอย่างรอบด้านและทุกแง่มุม จนเห็นว่าความตายไม่ใช่วิกฤต หากเป็นโอกาสอันทรงคุณค่าด้วย
    :- https://visalo.org/article/secret255207.htm

    . skullunderlinemoving.gif
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่
    พระไพศาล วิสาโล
    เงินทอง เวลา และสุขภาพ คือสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา หากมีครบทั้งสามอย่างชีวิตย่อมมีความสุข และสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มาก แต่กล่าวโดยทั่วไปใหญ่แล้ว การที่เราจะมีทั้งสามอย่างครบถ้วนในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเรื่องยากมาก

    มีผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ดีมากว่า เมื่อเรายังเด็ก เรามีเวลาและสุขภาพ แต่ไม่ค่อยมีเงิน เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ เรามีเงินและสุขภาพ แต่ไม่ค่อยมีเวลา ครั้นแก่ตัว เรามีเงินทองและเวลา แต่สุขภาพไม่ค่อยดี

    ผู้ใหญ่ทุกคนคงจำได้ดีว่า ตอนเป็นเด็กนั้น เรามีเวลาวิ่งเล่นได้ทั้งวัน กำลังวังชาล้นปรี่ แต่ถ้าอยากได้ของเล่นสักอย่าง ช่างยากเย็นเหลือเกิน เพราะไม่มีเงิน ขอพ่อแม่ก็มักถูกปฏิเสธ แต่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานทำ ชีวิตมีความสะดวกสบาย มีปัญญาหาเงินซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แต่กลับไม่ค่อยมีเวลาใช้ของเหล่านี้ รวมทั้งเวลาพักผ่อนหรืออยู่กับครอบครัว เพราะมัวแต่ทำมาหากิน

    แต่เมื่อเข้าสู่เข้าวัยชรา เกษียณจากการงาน เราก็จะมีเวลาเหลือเฟือ เงินที่เก็บไว้ก็มีไม่น้อย แต่ถึงตอนนี้สุขภาพไม่อำนวยให้ทำอย่างที่อยากทำได้ จะไปเที่ยวไหนก็ไม่สะดวกเหมือนก่อน จะกินตามใจปากก็ไม่ได้เพราะถูกโรคร้ายคุกคาม

    ใช่หรือไม่ว่า ชีวิตนี้หาความสมบูรณ์พร้อมได้ยาก มักจะมีบางอย่างขาดหายไปเสมอ เมื่อดิ้นรนจนได้สิ่งใหม่มา สิ่งเก่าก็พลันสูญหายไป จะเรียกว่าชีวิตนี้มีความพร่องเป็นนิจก็ได้ ใครที่ต้องการความสมบูรณ์พร้อมจากชีวิต ก็เตรียมใจพบกับความผิดหวังได้เลย

    แทนที่จะมัวไขว่คว้าหาสิ่งที่ยังไม่มี ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่กับตัว อย่าลืมว่าสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ สักวันหนึ่งก็จะสูญหายไป หรือกลายเป็นของหายากขึ้นมา ถ้าปล่อยปละละเลยสิ่งนั้น วันหน้าก็จะเสียใจเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากไปจากเรา

    ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนักว่าสิ่งที่ตนมีอยู่ตอนนี้ วันหน้าจะกลายเป็นอดีต เรามักทึกทักเอาเองว่าอะไรที่เรามีนั้นจะอยู่กับเราไปตลอด ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่า หาไม่ก็ใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือย เช่น เด็กและวัยรุ่น มักจะใช้เวลาที่มีอยู่มากมายไปอย่างเปล่าประโยชน์ พอโตเป็นผู้ใหญ่ถึงค่อยมานึกเสียดายเวลาที่ผลาญไปในวัยเด็ก แต่แล้วผู้ใหญ่เองกลับไม่ค่อยถนอมสุขภาพ ใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยัง เอาแต่ทำมาหากินจนไม่ได้พักผ่อน ยิ่งเครียดก็ยิ่งหันเข้าหาอบายมุข กินเหล้า สูบบุหรี่ หรือเที่ยวกลางคืน กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรกับร่างกายของตนเองก็ต่อเมื่อถูกโรคนานาชนิดเล่นงาน

    เมื่อถึงวัยชราหลายคนย่อมนึกเสียใจที่ก่อนหน้านั้นไม่รู้จักถนอมรักษาสุขภาพ ถึงตอนนี้มีเวลามากมายแต่ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว จึงปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ นั่งเหม่อลอยหวนคิดถึงแต่อดีต หรือปล่อยใจไปกับความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่เขาอาจจะลืมไปว่าเวลาที่มีอยู่มากมายในวันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่เหลือแม้แต่นาทีเดียว เพราะความตายมาพราก ถึงตอนนั้นอาจนึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหลายอย่างที่ควรทำ โดยเฉพาะการเตรียมใจรับมือกับความตาย

    สิ่งที่เรามีมากมายจนล้นเหลือ เรามักไม่เห็นคุณค่า ต่อเมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป เราจึงจะซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใด พึงระลึกไว้เสมอว่า ทั้งหมดที่คุณมีอยู่ตอนนี้ จะไม่อยู่กับคุณไปตลอด ดังนั้นจึงควรรู้จักชื่นชมสิ่งเหล่านี้ และใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้จะมีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม แต่หากใช้ให้เป็น ก็สามารถสร้างสุขแก่เราได้

    ถึงจะมีแต่เวลาและสุขภาพ แต่ไม่ค่อยมีเงิน เราก็ยังสามารถใช้เวลาและกำลังวังชาให้เกิดประโยชน์สุขแก่ตัวเองและผู้อื่นได้ เช่นศึกษาหาความรู้และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีเงินมีสุขภาพ แต่ไม่มีเวลา ก็ยังมีความสุขได้หากรู้จักใช้เงินและสุขภาพอย่างถูกต้อง เช่น ใช้เลี้ยงตนและดูแลผู้อื่นให้ผาสุก ในทำนองเดียวกัน ถึงจะมีเวลาและเงิน แต่สุขภาพไม่ค่อยดี ก็ใช่ว่าชีวิตจะไม่มีความสุข หากรู้จักใช้เวลาที่มีนั้นในการฝึกฝนจิตจนเกิดสติและปัญญา

    ความสุขและความดีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำต้องมีเวลา สุขภาพ และเงินทองครบทั้งสามประการ แม้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หากรู้จักใช้ ก็บันดาลให้เกิดความสุขและความดีได้ จะว่าไปแล้วมีชีวิตจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามประการนี้ แต่หากมีความสุขและความดีแล้ว ชีวิตก็ย่อมเต็มอิ่ม จิตใจจะไม่รู้สึกพร่องเลย

    ใช้ชีวิตโดยตระหนักว่าทุกอย่างที่มีนั้นจะต้องจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง นอกจากจะทำให้เราไม่ประมาทกับชีวิตแล้ว ยังช่วยให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น ใช่หรือไม่ว่าเพียงแค่รู้จักชื่นชมสิ่งที่มี จิตใจก็เป็นสุขทันที
    :- https://visalo.org/article/secret255303.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    Buddhaandlotusamazon.jpg
    ความดีที่ผันแปร

    พระไพศาล วิสาโล
    กุมภ์เมลาเป็นพิธีที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากสำหรับชาวฮินดูในอินเดีย ครั้งล่าสุดจัดที่เมืองอัลลาฮาบาดมีผู้คนมาร่วมงานถึง ๗๐ ล้านคน ไม่มีการชุมนุมทางศาสนาใดในโลกที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

    ตลอดช่วง ๕๖ วันของพิธีดังกล่าวผู้คนหลายสิบล้านได้มาก่อกระโจมริมแม่น้ำคงคาเพื่อทำพิธีอาบน้ำชำระบาป ลองนึกภาพว่าผู้คนจำนวนหลายเท่าตัวของประชากรลาวทั้งประเทศมากระจุกรวมกันอยู่ในพื้นที่เล็กขนาดแค่อำเภอเดียว ความแน่นขนัดจะมากมายเพียงใด ความโกลาหลวุ่นวายน่าจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ

    แต่แล้วก่อนที่พิธีนี้จะยุติได้เกิดโศกนาฏกรรมที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ผู้คนมหาศาลพากันเบียดเสียดยัดเยียดจนเหยียบกันตายถึง ๓๖ คน บาดเจ็บอีกมากมาย คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เพิ่งเสร็จการจาริกแสวงบุญทั้งสิ้น

    น่าคิดก็ตรงที่ว่า ช่วงที่อยู่ในพิธีกุมภ์เมลานั้น ผู้คนล้วนอยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน หญิงผู้หนึ่งพูดถึงบรรยากาศในพิธีดังกล่าวว่า “ผู้คนจะห่วงใยคุณ ปฏิบัติต่อคุณอย่างสุภาพ (เช่นพูดว่า) คุณแม่มานี่เลย เชิญตามสบายเลย” แต่พอถามถึงเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟ หญิงคนเดียวกันนี้พูดว่า “ผู้คนคิดว่าพวกเขาแข็งแรงกว่าคุณ นึกอยากจะผลักคุณไปไหนก็ได้”

    คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า ผู้คนที่ผลักใครต่อใครเพื่อแย่งขึ้นรถไฟ ที่จริงก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่เอื้ออาทรนักจาริกแสวงบุญด้วยกัน แต่อะไรทำให้เขาเหล่านั้นมีพฤติกรรมตรงข้ามกันราวกับคนละคน

    ใช่หรือไม่ว่าความสุภาพและเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อเรามีสำนึกว่าตนเองเป็นนักจาริกแสวงบุญหรือผู้ใฝ่ธรรม ในภาวะเช่นนั้นเราจะมีหิริโอตตัปปะและความอดทนอดกลั้นได้มากกว่า จะว่าไปแล้วสิ่งแวดล้อมไม่ว่าผู้คน พิธีกรรม และบรรยากาศล้วนมีส่วนช่วยสร้างสำนึกดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนหลายสิบล้านที่นั่น เพราะตลอด ๒๔ ชั่วโมงมีเสียงดนตรีและการแสดงธรรมดังก้องทุกหนแห่ง อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับสำนึกดังกล่าวก็คือความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของมหาชนที่นั่น เป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน

    แต่พอออกจากพิธีดังกล่าวเพื่อเดินทางกลับบ้าน ทันทีที่ถึงสถานีรถไฟ สำนึกว่าฉันเป็นนักจาริกแสวงบุญก็เลือนหายไป มีสำนึกใหม่มาแทนที่คือ ความเป็นผู้โดยสาร ที่ไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับใคร แต่ละคนมีแต่ความปรารถนาที่จะเดินทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงคิดถึงแต่ตัวเอง เห็นผู้อื่นเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะเพื่อขึ้นรถไฟก่อนใคร ๆ ผลก็คือแย่งชิงผลักไสกันจนเหยียบกันตายอย่างน่าเศร้าสลด

    พฤติกรรมของคนเรานั้นจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสำนึกว่าเราเป็นใคร แต่สำนึกว่าเราเป็นใครนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเราอย่างเดียว หากยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทั้งบุคคลและวัตถุด้วย ตอนอยู่วัดหรือเข้าคอร์สกรรมฐาน เราอาจมีสำนึกว่าตนเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่พอกลับบ้านหรือกลับมาทำงาน สำนึกอย่างอื่นมักจะมาแทนที่ เช่น ความเป็นนักธุรกิจ ความเป็นพ่อแม่ หรือความเป็นลูก ซึ่งอาจทำให้เรามีพฤติกรรมแตกต่างไปจากตอนอยู่วัด ที่เคยอดกลั้นต่ออารมณ์ ก็กลับมาหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ที่เคยชนะใจตนเองได้ ก็กลับมาพ่ายแพ้ต่อกิเลส ที่เคยมีน้ำใจไมตรี ก็กลับมาคิดถึงแต่ผลประโยชน์

    จะว่าคนเรามีหลายตัวตนก็ได้ ตัวตนใดจะโดดเด่นครองใจเราได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมมิใช่น้อย บ่อยครั้งมันถูกปลุกเร้าได้ง่ายมากอย่างที่เราไม่ทันรู้ตัว เคยมีการทดลองโดยแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม โดยมีภารกิจเหมือนกันคือเรียบเรียงคำต่าง ๆ ที่สลับกันให้เป็นประโยคขึ้นมา กลุ่มแรกได้ประโยคที่มีความหมายกลาง ๆ (เช่น “ข้างนอกอากาศหนาว”) ส่วนกลุ่มที่สอง ได้ประโยคที่เกี่ยวกับเงิน ( เช่น “ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น”) จากนั้นให้ทั้งสองกลุ่มทำภารกิจอย่างที่สอง เช่น ไขปริศนาที่ค่อนข้างยาก

    สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนที่เรียงประโยคที่เกี่ยวกับเงิน มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคนอื่นน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ดำเนินการทดลองในการกรอกข้อมูล หรือการช่วยเหลือ “คนแปลกหน้า” (ที่จริงเป็นผู้ดำเนินการทดลองที่ปลอมตัวเข้ามา)ที่ทำกล่องดินสอหล่น “โดยบังเอิญ” ในขณะที่กลุ่มแรกนั้นมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือคนอื่นมากกว่า

    การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่า เพียงแค่ถูกกระตุ้นให้คิดถึงเรื่องเงิน คนเราก็มีแนวโน้มจะเห็นแก่ตัวมากขึ้น ช่วยเหลือเกื้อกูลน้อยลง แต่หากถูกกระตุ้นให้คิดหรือรู้สึกในทางอื่น เช่น เห็นคนที่ทุกข์ยาก หรือเด็กที่กำลังยิ้ม ความเห็นใจหรือเอื้อเฟื้อก็อาจมาแทนที่ได้ ดังมีการทดลองพบว่า กระเป๋าสตางค์ที่มีรูปทารกแย้มยิ้มนั้น หากทำตกหล่นในที่สาธารณะ เจ้าของมีโอกาสได้คืนมากที่สุด (เช่น มีโอกาสได้คืนถึงร้อยละ ๘๘ ส่วนกระเป๋าที่ไม่ใส่รูปอะไรเลย มีโอกาสได้คืนแค่ร้อยละ ๑๕) พูดง่าย ๆ ก็คือ คนเรามีทั้งต่อมคุณธรรมและต่อมเห็นแก่ตัว เราจะมีพฤติกรรมอย่างใดก็ขึ้นอยู่กับว่าต่อมใดถูกกระตุ้นเร้ามากกว่า

    ทั้งหมดนี้ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมนักปฏิบัติธรรมบางคนเมื่อกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ จึงมีนิสัยไม่น่ารักดังเดิมหรือยังพ่ายแพ้กิเลสเช่นเคย อย่างไรก็ตามหากเรารู้เท่าทันอิทธิพลของสิ่งเร้าภายนอก รวมทั้งรู้เท่าทันสำนึกในตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถรักษาใจไม่ให้ความเห็นแก่ตัวครอบงำ และหันกลับมาทำสิ่งที่ดีงามได้
    :- https://visalo.org/article/secret255705.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    อานุภาพแห่งความดี
    พระไพศาล วิสาโล
    การทำความดี หมั่นสร้างบุญกุศล ไม่เพียงช่วยให้มีชีวิตที่ผาสุกเท่านั้น หากยังอำนวยให้มีความสุขในเวลาละโลกนี้ไป ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต”

    คนเป็นอันมากกลัวตายก็เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อตายแล้วจะไปไหน จะไปทุคติหรือไม่ แต่ความกลัวเช่นนี้จะไม่เกิดกับผู้ที่มั่นใจในความดีที่ทำมาทั้งชีวิต เพราะรู้ดีว่าบุญกุศลที่ได้ทำนั้นย่อมส่งผลให้ไปสู่สุคติ ในชาดกตอนหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้กล่าวอย่างองอาจว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความชั่ว ซึ่งทำไว้ ณ ที่ไหน ๆ เลย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง”


    อย่างไรก็ตามผู้ที่จะมั่นใจในความดีของตนถึงขนาดนั้น เห็นจะมีไม่มาก คนส่วนใหญ่ย่อมมีบ้างที่พลั้งเผลอทำความชั่ว หรือทำสิ่งที่ไม่สมควร และหากเป็นคนไกลวัด ใจไม่แนบแน่นกับธรรมะ ก็ย่อมหวั่นไหวเมื่อความตายใกล้เข้ามา ส่วนหนึ่งกลัวว่าจะไปอบาย แต่มีจำนวนไม่น้อยที่กลัวเพราะจะต้องพลัดพรากจากทุกอย่างที่รักและหวงแหน รวมทั้งชีวิตนี้

    ความกลัวดังกล่าวทำให้ผู้คนเป็นอันมากไม่สามารถตายอย่างสงบได้ มิพักต้องเอ่ยถึงความเจ็บปวดทางกาย และความทุกข์ทางใจที่รุมเร้าในยามใกล้ตาย ทำให้จิตใจกระสับกระส่ายและทุรนทุรายจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

    ในยามนี้สิ่งหนึ่งที่จะช่วยน้อมใจให้สงบจนสิ้นลมก็คือ การระลึกถึงสิ่งดีงามอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ สำหรับชาวพุทธก็ได้แก่ พระรัตนตรัย หรือพระโพธิสัตว์ เป็นต้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งเหล่านี้ หากผู้ใดศรัทธานับถืออยู่ก่อนแล้ว เมื่อระลึกนึกถึงคราใดย่อมเกิดความอบอุ่นใจ และมั่นใจว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจนปลอดภัย ความอบอุ่นและมั่นใจดังกล่าวเป็นโอสถอย่างดีที่เยียวยาจิตใจให้หายทุกข์ บรรเทาความกระสับกระส่ายให้คลายไป

    ส่วนผู้ไกลวัด ที่ไม่รู้สึกแนบแน่นกับพระรัตนตรัย ก็ใช่ว่าจะหมดโอกาสพบกับความสงบใจในวาระสุดท้าย เพราะอย่างน้อยยังมีสิ่งดีงามอีกอย่างหนึ่งที่ควรแก่การระลึกนึกถึง นั่นคือความดีที่ตนได้ทำ มนุษย์ทุกคนย่อมเคยกระทำความดีมาแล้วไม่มากก็น้อย ความดีเหล่านี้ไม่เคยสูญเปล่า ยังสามารถช่วยเหลือเราได้ในยามใกล้ตาย

    อย่างไรก็ตามเมื่อวาระสุดท้ายใกล้มาถึง ปุถุชนมักถูกบีบคั้นด้วยทุกขเวทนา อีกทั้งถูกครอบงำด้วยความกลัวและอารมณ์อกุศลต่าง ๆ จนไม่มีสติมากพอที่จะนึกถึงความดีที่ตนเคยทำ จึงจำเป็นที่ญาติมิตรจะช่วยน้อมใจเขาให้ระลึกถึงความดีงามเหล่านี้ การกระทำดังกล่าวสำคัญไม่น้อยไปกว่าการบรรเทาความเจ็บปวดทางกายหรือการรักษาด้วยยา

    ชายชราผู้หนึ่งป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ในช่วงท้ายของชีวิต เขามีอาการทรุดลงบ่อยครั้ง ทุกครั้งลูกหลานต้องรีบพาไปโรงพยาบาล เมื่ออาการทุเลาจึงพากลับบ้าน สถานการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายเดือน ทั้งผู้ป่วยและลูกหลานมีความทุกข์ถ้วนหน้า กระทั่งเดือนสุดท้าย มีหลานคนหนึ่งได้ไปเฝ้าไข้ผู้ป่วยแทบทุกวัน หลานได้ชวนผู้ป่วยคุยเรื่องชีวิตในอดีต เขาจึงเล่าเรื่องความภาคภูมิใจในวัยหนุ่ม อาทิ การได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และการรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

    หลานสังเกตว่าตลอดเวลาที่คุยเรื่องเหล่านี้ผู้ป่วยมีแววตาเป็นประกาย สีหน้าเบิกบานและดูสงบมากขึ้น ยิ่งเมื่อได้คุยกันเรื่องแก่นธรรมของพุทธศาสนาในตอนท้าย ๆ ผู้ป่วยก็ปล่อยวางได้มากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานผู้ป่วยก็เรียกลูกหลานมาสั่งเสีย และจากไปอย่างสงบ ด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มน้อย ๆ

    ที่น่าแปลกก็คือ ตลอดหนึ่งเดือนเต็มที่หลานมานั่งคุยกับผู้ป่วย เขาไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    การเตือนใจให้ผู้ป่วยนึกถึงความดีของตนนั้น สามารถทำได้แม้ในยามที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะโคม่าหรือไม่รู้สึกตัว หญิงชราผู้หนึ่งใกล้จะสิ้นลมแล้ว ไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ ลูก ๆอยากให้แม่ถวายสังฆทานเป็นครั้งสุดท้าย จึงไปนิมนต์พระรูปหนึ่ง ซึ่งบังเอิญมาอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ของท่านที่อาพาธในห้องใกล้ ๆ กัน เมื่อท่านรับสังฆทานเสร็จ ก็สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระตุกไม่หยุด สัญญาณชีพบนจอมอนิเตอร์พุ่งขึ้นลงเร็วมาก

    ท่านอยากช่วยให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ดังนั้นเมื่อทราบจากลูกหลานว่าผู้ป่วยชอบใส่บาตรวันพระและไปกราบพระประธานที่วัดไตรมิตร ท่านจึงบอกผู้ป่วยว่า โยม วันนี้เป็นวันพระ ให้คดข้าวใส่ขัน เตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม จะไปใส่บาตรกัน พร้อมแล้วก็ให้ไปที่หน้าบ้าน ทีนี้ท่านถามผู้ป่วยว่า ซ้ายมือมีพระไหม ปรากฏว่าผู้ป่วยส่ายหน้า ท่านถามต่อว่า ขวามือมีพระไหม ทีนี้ผู้ป่วยพยักหน้า พร้อมกับพนมมือ แล้วท่านก็พูดนำผู้ป่วยให้ใส่บาตรพระทีละองค์ จนครบ ๙ องค์ ถึงตอนนี้ผู้ป่วยมีอาการสงบอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นท่านก็พูดนำผู้ป่วยให้ไปกราบหลวงพ่อทองที่วัดไตรมิตร พร้อมกับนั่งภาวนา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ

    ระหว่างที่พระนำจิต หญิงชราไม่มีอาการกระตุกอีกเลย ส่วนสัญญาณชีพก็ค่อย ๆ ลดลง ในที่สุดก็แบนราบ ลูก ๆ ดีใจมากที่แม่จากไปอย่างสงบ

    ความดีหรือบุญกุศลนั้น นอกจากจะนำความแช่มชื่นเบิกบานมาสู่จิตใจในขณะกระทำแล้ว ยังอำนวยให้เกิดความอิ่มเอิบปลาบปลื้มใจเมื่อระลึกนึกถึง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยามใกล้ตาย
    :- https://visalo.org/article/secret255211.htm

     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    สุขด้วยปัญญา
    พระไพศาล วิสาโล
    ผู้มีปัญญากับผู้ไม่มีปัญญาแตกต่างกันตรงไหน ข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผู้มีปัญญานั้นย่อมหาความสุขได้แม้ประสบทุกข์ ส่วนผู้ไม่มีปัญญามัวแต่เป็นทุกข์ทั้ง ๆ ที่พบสุข

    เมื่อความเจ็บป่วย ความสูญเสีย หรือความล้มเหลว เกิดขึ้นกับผู้มีปัญญา เขาไม่เอาแต่บ่นหรือตีโพยตีพาย แต่ยอมรับว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม ดังนั้นจึงหันมาใคร่ครวญว่าจะแก้ไขหรือจัดการกับมันอย่างไร หากแก้ไขไม่ได้ ก็ยอมรับความจริง และมองไปข้างหน้า ไม่มัวเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอันเป็นอดีตไปแล้ว เพราะรู้ดีว่าความเสียใจนั้นเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ป่วยกายก็พอแล้ว ทำไมต้องป่วยใจด้วย เสียทรัพย์ก็พอแล้วจะเสียใจไปอีกทำไม หาไม่อาจทำให้เสียสุขภาพและเสียงานเสียการตามมา เท่านั้นไม่พอ อาจเสียสัมพันธภาพอีกด้วย เพราะเผลอระบายอารมณ์ใส่คนใกล้ชิด เช่น ลูกหรือคู่รัก

    ผู้มีปัญญานั้นนอกจากจะไม่ปล่อยให้ใจเป็นลบแล้ว ยังรู้จักมองหาข้อดีหรือประโยชน์จากเหตุร้ายที่เกิดขึ้น เช่น ได้เห็นสัจธรรมว่าสังขารนั้นไม่เที่ยงเลย พบกับพราก เจอกับจากเป็นของคู่กัน ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง มันแค่มาอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้ายึดติดถือมั่นว่าเป็นของเราเมื่อใด ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตยังเตือนใจให้ไม่ประมาทและฝึกใจให้เข้มแข็ง ทำให้มีภูมิต้านทานต่อความทุกข์และอดทนต่อความผันผวนปรวนแปรในชีวิตได้มากขึ้น

    ความทุกข์นั้นไม่ได้มีแต่ด้านลบ แต่ยังมีด้านบวกที่ปัญญาเท่านั้นช่วยให้มองเห็น หลายคนพบว่าความเจ็บป่วยทำให้เขาได้สัมผัสกับความรักอย่างลึกซึ้งของพ่อแม่ หรือรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่รักและห่วงใยเขา ขณะที่จำนวนไม่น้อยขอบคุณโรคร้ายที่ช่วยให้เขาได้พบธรรมะและความสงบเย็นในจิตใจ ส่วนคนที่ล้มละลายก็ได้เห็นน้ำใจของมิตรแท้และรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองหาใช่สรณะที่แท้ไม่ ใช่แต่เท่านั้นเขายังมองเห็นว่า ถึงจะเจอเรื่องร้ายเพียงใด ก็ยังดีที่มันไม่ร้ายไปกว่านี้

    การมองด้านบวกยังหมายถึง การมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่กับตัว ไม่มัวใส่ใจกับสิ่งที่เสียไปหรือสิ่งแย่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่จะอาลัยแขนขาที่พิการหรือตาที่มืดบอด ก็หันมาชื่นชมอวัยวะต่าง ๆ อีกมายที่ยังดีอยู่ และใช้อย่างเต็มศักยภาพจนทดแทนสิ่งที่เสียไป ดังนั้นจึงพบกับความสุขได้ไม่ยาก ทำนองเดียวกันแทนที่จะคะนึงถึงทรัพย์ที่เสียไป ก็หันมาตระหนักว่าตนเองยังมีทรัพย์อีกมากมายที่สามารถให้ความสุขแก่ตนได้ ใช่แต่เท่านั้นสุขภาพก็ยังดีอยู่ อีกทั้งมีพ่อแม่และคนรักอยู่ใกล้ตัว ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งทรงคุณค่าที่เงินซื้อไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ทั้ง ๆ ที่ประสบทุกข์ ผู้มีปัญญาก็ยังสามารถมองเห็นและเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่รอบตัว อีกทั้งยังสามารถสัมผัสความสุขจากภายในอันเกิดจากใจที่ปล่อยวางและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมดา รวมทั้งความสงบเย็นจากสมาธิภาวนา

    ในทางตรงกันข้ามผู้ไม่มีปัญญาแม้มีทุกอย่างในชีวิต แต่ก็ยังทุกข์เพราะรู้สึกว่ามีน้อยไป ทั้ง ๆ ที่มีสุขภาพดี หน้าตาสะสวย ทรวดทรงงดงาม ก็ยังกลุ้มใจเพราะมองเห็นแต่ข้อตำหนิ เช่น มีสิว ผิวคล้ำ น้ำหนักเกิน ได้โบนัสนับล้านก็ยังไม่พอใจเพราะเห็นเพื่อนได้มากกว่า มีบ้านที่งดงาม กว้างขวาง อยู่สบาย ก็ยังไม่มีความสุขเพราะเห็นเพื่อนอยู่คฤหาสน์ ถึงจะได้โชคลาภมา ก็ยังเสียใจเพราะคิดว่าน่าจะได้มากกว่านั้น

    ผู้ไม่มีปัญญานั้นหากไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เสียไป ก็มัวแต่ชะเง้อมองสิ่งที่ยังไม่มี หวังว่าจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้มันมาครอบครอง เขาคิดถึงแต่ความสุขที่รออยู่ข้างหน้า จนลืมไปว่าความสุขนั้นมีอยู่กับเขาแล้ว เป็นความสุขที่สัมผัสได้ในปัจจุบัน จะเรียกว่าเป็นความสุขที่อยู่ปลายจมูกก็ได้ แต่มันอยู่ใกล้มากจนมองไม่เห็น หาไม่ก็เป็นเพราะมันอยู่กับเขานานจนกลายเป็นสิ่งจำเจ ไม่มีค่า หรือเป็น “ของตาย” หารู้ไม่ว่ามันเป็นของชั่วคราว สักวันหนึ่งก็ต้องสูญสลายหายไป ต่อเมื่อวันนั้นมาถึง เขาจึงจะเห็นคุณค่าของมัน แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่สรุปบทเรียน มัวแต่เศร้าเสียใจที่สูญเสียมันไป จนลืมใส่ใจกับสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้

    ผู้ไม่มีปัญญานั้นจะเห็นคุณค่าของสิ่งใดก็ต่อเมื่อ ๑) มันยังไม่เป็นของเขา ๒) เขาสูญเสียมันไปแล้ว แต่ผู้มีปัญญานั้นเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นขณะที่มันยังอยู่กับเขา เพราะเขาให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่าอนาคตหรืออดีต ดังนั้นเขาจึงมีความสุขทุกขณะ โดยไม่หวังความสุขจากอนาคต หรือหวนหาความสุขในอดีต

    ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ แต่ใจก็ไม่ตกต่ำย่ำแย่ เพราะนอกจากไม่ยอมให้ความทุกข์ฉาบย้อมครอบงำใจแล้ว ยังสามารถมองเห็นความสุขทุกขณะด้วยประการฉะนี้
    :- https://visalo.org/article/secret255603.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ประตูสู่ธรรม
    พระไพศาล วิสาโล
    ในความรู้สึกของคนทั่วไป ทุกข์ กับ ธรรม คือสิ่งที่ตรงข้ามกันราวเหวกับฟ้า หรือกลางคืนกับกลางวัน ทุกข์นั้นชวนให้รู้สึกหม่นหมอง มืดมน อยากถอยห่าง ขณะที่ธรรมให้ความรู้สึกโปร่งเบา สว่างไสว อยากเข้าใกล้ แต่ในความเป็นจริง ทุกข์กับธรรมนั้น ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง ราวกับฝาแฝดก็ว่าได้ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยเข้าหาธรรมก็เพราะความทุกข์ ท่านโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์คนสำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน เล่าว่า เป็นเพราะท่านปวดไมเกรนอย่างหนัก โดยที่การแพทย์แผนใหม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ท่านจึงเข้าหาสมาธิภาวนาตั้งแต่อายุ ๓๐ ต้น ๆ เป็นเหตุให้ท่านซาบซึ้งในคุณค่าของพุทธศาสนา และทุ่มเททั้งชีวิตให้แก่การปฏิบัติธรรม จนกลายเป็นคุรุที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีลูกศิษย์ทั่วโลก

    ในทำนองเดียวกันหลายคนเข้าหาธรรมก็เพราะถูกมะเร็งคุกคาม ครั้นได้พบความสงบเย็นจากพระธรรม ก็ถึงกับอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะหากไม่เป็นโรคนี้ ก็คงใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ยากจะพบความสุขที่แท้

    ผู้คนจำนวนไม่น้อยขอบคุณวิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ เพราะหากเขาไม่สิ้นเนื้อประดาตัว ก็คงไม่หันหน้าเข้าวัดหรือปฏิบัติธรรม จนรู้ว่าอะไรคือสรณะอันประเสริฐของชีวิต

    ทุกข์ไม่เพียงผลักผู้คนให้เข้าหาธรรมเท่านั้น หากยังสามารถสอนธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง

    นางกีสาโคตมีเสียลูกในวัยที่กำลังน่ารัก ส่วนนางปฏาจาราเสียทั้งลูก สามี และพ่อแม่ ทั้งสองเศร้าโศกเสียใจอย่างหนักจนไร้สติ คนแรกอุ้มศพลูกด้วยความหวังว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาได้ คนหลังกระเซอะกระเซิงจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ครั้นได้พบพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมจากพระองค์เพียงไม่กี่ประโยค ก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะเห็นกระจ่างแจ้งจากประสบการณ์ของตนเองว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ยึดติดมากเท่าไรก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น เช่นเดียวกันกับพระติสสเถระ ซึ่งป่วยหนักด้วยโรคร้ายน่ารังเกียจ จนเพื่อนภิกษุหนีห่าง ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาพยาบาล และตรัสสอนเรื่องอนิจจังของสังขาร เมื่อท่านพิจารณาตามก็เห็นแจ่มแจ้งด้วยตนเอง เกิดความหน่ายในสังขาร ปล่อยวางหมดสิ้น บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สิ้นกิเลสพร้อม ๆ กับสิ้นชีวิต

    ในพระไตรปิฎกยังพูดถึงพระภิกษุที่ถูกเสือกัดระหว่างธุดงค์ในป่าลึก ขณะที่มีทุกขเวทนาแรงกล้า ท่านได้เจริญกรรมฐาน เอาเวทนาเป็นอารมณ์ คือพิจารณาความเจ็บปวดด้วยสติอย่างสงบนิ่ง จนเห็นชัดว่าสังขารนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง จิตจึงสลัดคืนสังขารทั้งปวง ไม่ยึดติดอีกต่อไป บรรลุอรหัตผลคาปากเสือนั้นเอง

    ทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเปิดใจให้เราเห็นสัจธรรมได้เสมอ ว่าไม่มีอะไรที่เราจะฝากใจไว้ได้เลย เพราะล้วนแต่ไม่เที่ยง บกพร่องบีบคั้น และยึดมาเป็นของเราไม่ได้เลยสักอย่าง แต่สาเหตุที่เราไม่เห็นสัจธรรมเหล่านี้เวลาเกิดเหตุร้าย ก็เพราะใจมัวแต่คร่ำครวญ โกรธแค้น จึงไม่มีสติมากพอที่จะใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น ผลก็คือเสียอย่างน้อยสองสถาน คือ นอกจากเสียสิ่งที่รักแล้ว ใจก็ยังเสียด้วย หนักกว่านั้นคือ เสียสุขภาพ(เพราะเครียดจัด) เสียงาน (เพราะไม่มีสมาธิ) และเสียสัมพันธภาพ (เพราะระบายอารมณ์ใส่คนรอบตัว) ในทางตรงข้าม หากตั้งสติให้ดี พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา แม้จะเสียสิ่งที่รัก แต่ก็ได้ธรรม ซึ่งมีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะยกใจให้พ้นจากทุกข์จากเหตุการณ์เฉพาะหน้าแล้ว ยังเป็นภูมิคุ้มกันใจมิให้เป็นทุกข์ในวันหน้าอีกด้วย

    เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ๒ ปีก่อน มีผู้สูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก หลายคนเครียดหนักถึงกับเจ็บป่วย ที่ฆ่าตัวตายก็ไม่น้อย แต่ก็มีบางคนที่ยิ้มได้ เหตุผลก็เพราะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริงเลย ทรัพย์สินทั้งหลายนั้นมาอยู่กับเราเพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานเรากับมันก็ต้องจากกัน

    เมื่อทุกข์เกิดขึ้น หากเอาแต่คร่ำครวญ เราก็ขาดทุน แต่ถ้าใคร่ครวญ เราก็ได้กำไร เพราะธรรมที่ได้ประจักษ์นั้นมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่เสียไปมากมายนัก อันที่จริง แม้ยังไม่ต้องใคร่ครวญ แค่รู้ทันทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ก็ช่วยได้มากแล้ว เพราะสามารถดึงใจให้ไม่ถลำเข้าไปในความทุกข์จนกลายเป็นผู้ทุกข์

    ทุกข์นั้นเป็นเสมือนประตูสู่ธรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงยกทุกข์ให้เป็นอริยสัจข้อแรก จากนั้นจึงตามมาด้วยสมุทัย นิโรธ และมรรค ถ้าไม่เจอทุกข์ ก็ยากที่จะเข้าใจสมุทัย ไม่เห็นคุณค่าของมรรค และไม่อาจเข้าถึงนิโรธได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเจอทุกข์แล้ว ก็ต้องเกี่ยวข้องกับทุกข์ให้เป็นนั่นคือ รู้ทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ ดังนั้นพระองค์จึงสอนว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละ ผลักไส หรือถลำเข้าไป

    จะเห็นธรรมหรือถึงธรรมได้ ก็ต้องผ่านทุกข์เสียก่อน สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ทุกข์จึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย น่ารังเกียจ หากแต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ หากใช้มันให้เป็น เกี่ยวข้องกับมันให้ถูก ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะสามารถเปิดทางไปสู่การพ้นทุกข์ได้
    :- https://visalo.org/article/secret255607.htm


     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    วางได้จึงไปดี
    พระไพศาล วิสาโล

    ทุกวันยายจะตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ หลังจากสวดมนต์และทำกิจส่วนตัวเสร็จ ก็จะออกมาเตรียมอาหารใส่บาตรโดยมีลูกสาวช่วยอีกแรง


    วันหนึ่งหลานสาว ซึ่งต้องออกไปทำงานก่อนฟ้าสาง สังเกตว่าตีห้าครึ่งแล้ว ยายไม่ออกมาเตรียมอาหารเหมือนเคย มีแต่แม่ทำงานอยู่ในครัวคนเดียว จึงมาเคาะประตูห้องยาย พร้อมกับถามว่า “ยายจ๋า ไม่ใส่บาตรเหรอ?”

    ยายตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “วันนี้ไม่ใส่หรอก เดี๋ยวยายจะนั่งสมาธิต่อสักหน่อย”

    หลานสาวถามต่อว่า “งั้นหนูไปทำงานนะ ยายจะเอาอะไรไหม?”
    ยายตอบว่า “ไปเหอะ ยายไม่เอาอะไรอีกแล้ว”

    จนสายยายก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ลูกสาวรู้สึกผิดสังเกต จึงทั้งเรียกทั้งเคาะประตูห้องอยู่นาน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงไปเรียกคนมาช่วยงัดประตูห้องเข้าไป ภาพที่ปรากฏก็คือ ยายนุ่งขาวห่มขาว หลังพิงฝาอยู่ในท่านั่งสมาธิ ดวงตาปิด มีรอยยิ้มน้อย ๆ คล้าย ๆ คนนั่งหลับ แต่พอมีคนมาแตะตัว ร่างของยายก็เอียงกระเท่เร่ลงมา ถึงตอนนั้นทุกคนจึงรู้ว่ายายหมดลมแล้ว

    ยายจากไปอย่างสงบและดูเหมือนจะรู้ตัวล่วงหน้าด้วยว่าจะจากไปในเช้าวันนั้น จึงนุ่งขาวห่มขาวและเลือกที่จะทำจิตให้สงบ แทนที่จะออกไปใส่บาตรเหมือนเคย ธรรมดาคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ย่อมอยากให้คนรักหรือลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ยายกลับปรารถนาที่จะอยู่ลำพัง ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับการสวดมนต์ รำลึกถึงพระรัตนตรัย และนั่งสมาธิ

    คนที่จะทำเช่นนี้ได้ย่อมไม่อาลัยในชีวิตและไม่กลัวความตาย ทั้งนี้เพราะเชื่อมั่นว่าได้ทำความดีมาโดยตลอด และได้ใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์คุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จึงแน่ใจว่ามีสุคติเป็นเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าหน้าที่ที่สมควรทำก็ทำเสร็จสิ้นแล้ว จึงหมดห่วงไร้กังวล ดังนั้นจึงพร้อมที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องสั่งเสียหรือล่ำลาลูกหลาน

    คนทั่วไปนั้นเมื่อใกล้จะตายมักทำใจไม่ได้ พยายามดิ้นรนต่อสู้กับพญามัจจุราชเพราะกลัวว่าตายแล้วจะไปอบาย เนื่องจากไม่สนใจสร้างบุญกุศล หรือทำบาปเป็นอาจิณ หาไม่ก็นึกเสียใจที่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกมากมายที่สมควรทำ ความห่วงกังวลและความรู้สึกผิดติดค้างใจจึงรบกวนจิตใจทำให้กระสับกระส่าย ใช่แต่เท่านั้น เป็นเพราะยึดติดหวงแหนสิ่งต่าง ๆ อย่างเหนียวแน่นมาทั้งชีวิต เมื่อรู้แน่ว่าจะต้องพลัดพรากสิ่งเหล่านั้นไปหมด จึงไม่สามารถยอมรับความตายได้ แต่ยิ่งดิ้นรนต่อสู้ความตายมากเท่าไร ก็ยิ่งทุรนทุรายมากเท่านั้น

    นอกจากการทำความดี ละเว้นความชั่วแล้ว เราจะตายอย่างสงบได้ก็ต่อเมื่อรู้จักปล่อยวางด้วย ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ อำนาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดจนลูกหลาน ไม่เว้นแม้กระทั่งร่างกายที่ยึดว่าเป็นตัวตน แต่ถ้าจะรอปล่อยวางเมื่อใกล้ตายก็นับว่าเป็นความประมาทอย่างยิ่ง จึงควรฝึกปล่อยวางตั้งแต่ยังสุขสบายดีอยู่ ด้วยการให้ทานซึ่งเป็นการสละสิ่งที่ง่ายที่สุดคือเงินทองของนอกตัว ตามมาด้วยการรักษาศีล อันเป็นการฝึกลดละความเห็นแก่ตัว โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อหมกมุ่นในกามสุข

    แต่เท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นต้องบำเพ็ญภาวนาคือฝึกฝนจิตใจ นอกจากเพื่อสละความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอกุศลหรือทำให้จิตใจรุ่มร้อนเศร้าหมองแล้ว ที่สำคัญก็คือเพื่อให้มีปัญญาเห็นความจริงว่าสิ่งทั้งปวงนั้นไม่จีรังยั่งยืน (อนิจจัง) เจือไปด้วยทุกข์ ไม่เคยทำให้เกิดความพอใจได้อย่างแท้จริง (ทุกขัง)และไม่สามารถยึดมั่นเป็นตัวเราของเราได้อย่างแท้จริง (อนัตตา) ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ดังกล่าวจะทำให้จิตใจสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายได้ ไม่ตกเป็นทาสของมัน รวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ บริษัทบริวาร ลูกหลานคนรัก และความสำเร็จทั้งปวง

    ปล่อยวางในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งไม่ไยดีหรือไม่รับผิดชอบ หากหมายถึงการมีจิตใจเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น แม้ยังเกี่ยวข้องอยู่แต่ก็ไม่สยบมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและส่วนรวมตามควรแก่กรณี แต่เมื่อถึงเวลาพลัดพรากจากกัน ก็ไม่หวงแหนติดยึดหรือเศร้าโศกเสียใจ

    แม้ปุถุชนคนทั่วไปยากที่จะมีปัญญาถึงขั้นปล่อยวางสิ่งทั้งปวงได้อย่างแท้จริง แต่การดำเนินชีวิตโดยหมั่นให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนาอยู่เสมอ ย่อมช่วยให้จิตใจปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสุขเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ทรัพย์สมบัติอาจจะลดลง เป็นความสุขจากจิตที่สงบเย็นและจากความสัมพันธ์ที่ร่มรื่นกับผู้อื่น ช่วยให้ชีวิตโปร่งโล่งเบาสบายอย่างแท้จริง และเมื่อถึงคราวละจากโลกนี้ไปก็สามารถจากไปได้อย่างสงบ เพราะไม่หวงแหนอะไรและไม่คิดจะเอาอะไรอีกแล้ว

    เช้าวันที่ยายจะจากไป ประโยคสุดท้ายที่ยายตอบหลานก็คือ “....ยายไม่เอาอะไรอีกแล้ว” ข้อความนี้มีนัยยะลึกซึ้งมากเพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของผู้ที่ปล่อยวางทุกอย่าง จึงพร้อมที่จะตายอย่างสงบ ใช่หรือไม่ว่า ต่อเมื่อเราสามารถพูดประโยคนี้ได้จากก้นบึ้งของหัวใจ จึงจะพร้อมรับความตายได้ด้วยใจสงบ
    :- https://visalo.org/article/secret255305.htm

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    มีและเป็นอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ชีวิตคนเราส่วนใหญ่หมุนเวียนไปตามความอยาก มีความอยากเป็นตัวผลักดันให้โลดแล่นไป ความอยากของคนเรานั้นจะว่าไปก็หนีไม่พ้นความอยากมี กับความอยากเป็น เช่น อยากมีเงินมีทอง อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออยากเป็นคนเด่นคนดัง เป็นนักกีฬา เป็นดารา แต่ไม่ว่าจะมีอะไรหรือเป็นอะไร ถ้าอยากมีอยากเป็นแล้วก็ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ใช่ทุกข์เพียงเพราะมีความอยากเท่านั้น แม้ได้มีได้เป็นสมอยากในที่สุดก็ทุกข์เช่นกัน

    ทันทีที่มีความอยากขึ้นมาใจก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะว่ายังไม่ได้สมอยาก ระหว่างที่ดิ้นรนขวนขวายไปหาสิ่งนั้นมาก็ทุกข์อีก ต้องเจออุปสรรคมากมายกว่าจะฟันฝ่าจนได้มา ครั้นได้มาแล้วก็ทุกข์ในการที่ต้องรักษา ต้องดูแล กลัวคนจะมาแย่งเอาไป ครั้นสิ่งที่หามาได้เกิดเสื่อมไปหรือถูกคนแย่งชิงไป ก็ทุกข์อีก เห็นได้ว่าทุกขั้นตอนของความอยาก เริ่มจากการมีความอยาก ไปจนถึงการตอบสนองความอยาก และรักษาสิ่งที่ตนอยากเอาไว้ ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ เราทุกข์เพราะกลัวความพลัดพรากสูญเสีย จึงต้องดิ้นรนเพื่อป้องกันการพลัดพรากสูญเสียเอาไว้ แต่บ่อยครั้งก็ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ เพราะความพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดาของชีวิต

    แต่ถึงแม้ความพลัดพรากสูญเสียยังไม่เกิด ทรัพย์สมบัติของเรายังคงอยู่ในสภาพเดิม เราก็หนีความทุกข์ไม่พ้น แต่คราวนี้ทุกข์เพราะอยากได้อันใหม่ที่ดีกว่า คนที่มีรถราคาแพงหลายล้านบาท ยากนักที่จะพอใจกับรถคันเดิม ส่วนใหญ่อยากได้รถคันใหม่ที่แพงหรือแรงกว่าเดิม อาหารอร่อยก็เช่นกัน แม้ว่าจะชอบแค่ไหน แต่เมื่อกินไปทุกวันๆ ๆ ก็เบื่อได้ ทั้งๆ ที่รสชาติก็เหมือนเดิม

    มีอะไรก็ตามถ้าเรามีไม่เป็นก็ทุกข์ได้ทั้งนั้น พระพุทธองค์เคยตรัสกับนางวิสาขาซึ่งเศร้าโศกเสียใจที่หลานสาวตาย พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ถ้าคนในกรุงสาวัตถีน่ารักเหมือนหลานของนาง นางจะรักเขาเหมือนหลานไหม นางวิสาขาตอบว่ารัก พระองค์จึงถามต่อว่าคนในกรุงสาวัตถีตายวันละกี่คน นางตอบว่ามากจนนับไม่ได้ พระองค์จึงถามว่า ถ้าเช่นนั้นนางไม่ต้องเศร้าโศกทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า วิสาขาเอย ผู้ใดมีสิ่งที่รักร้อยสิ่ง ผู้นั้นก็ทุกข์ร้อย ผู้ใดมีสิ่งที่รักเก้าสิบ ผู้นั้นก็ทุกข์เก้าสิบ ผู้ใดมีสิ่งที่รักแปดสิบ ผู้นั้นก็ทุกข์แปดสิบ ผู้ใดมีสิ่งที่รักเพียงหนึ่ง ผู้นั้นก็ทุกข์หนึ่ง ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีความคับแค้นใจ

    การมีสิ่งที่น่าพึงพอใจคือสาเหตุแห่งทุกข์ เพราะเมื่อได้มาแล้วก็ต้องมีจากพราก เป็นธรรมดาของโลก ถ้าไปยึดในความมีหรือยึดติดถือมั่นในสิ่งที่มีแล้วก็เตรียมใจทุกข์ได้เลย มีอะไรก็ตาม ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็อย่าไปยึดมั่นในสิ่งนั้น คือมีโดยใจไม่ได้เข้าไปยึดครอง พูดอีกอย่างหนึ่ง ให้เรามีเหมือนกับไม่มี

    ทีนี้เราลองหันมาดูความเป็นบ้าง ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนเก่ง แต่พอรู้ว่ามีคนอื่นเก่งกว่า ก็ไม่สบายใจ เกิดความอิจฉาริษยา ถ้ามีใครมาวิจารณ์ว่าไม่เก่ง ก็โมโห หรือเล่นกีฬาแล้วแพ้ก็เป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่การแพ้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกข์เพราะว่าฉันเป็นคนเก่ง คนเก่งต้องไม่แพ้ ในทำนองเดียวกันใครที่เป็นคนเด่นคนดัง แต่ถ้าไปไหนไม่มีคนทักหรือคนรู้จัก ก็เป็นทุกข์

    แม้แต่ความเป็นแม่เป็นพ่อ ทันทีมีความสำนึกขึ้นมาว่าฉันเป็นพ่อเป็นแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คืออยากจะให้ลูกเคารพเชื่อฟัง ไม่อยากให้โต้เถียงเรา นี่เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ติดมากับความเป็นแม่หรือความเป็นพ่อ แต่พอลูกไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวังก็เป็นทุกข์ เรียกว่าความเป็นแม่ความเป็นพ่อมันกัดเรา

    มีตัวอย่างแม่คนหนึ่งที่กลุ้มใจเรื่องลูก ลูกเอาแต่เล่นเกมออนไลน์ การบ้านไม่ทำ การเรียนไม่เอาใจใส่ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรียกให้มากินข้าวก็ไม่กิน นอนก็ไม่เป็นเวล่ำเวลา พอแม่ว่ากล่าวมาก ๆ ลูกก็ไม่พอใจตามประสาวัยรุ่น จนถึงกับปั้นปึ่ง ไม่พูดกับแม่ แม่ก็น้อยอกน้อยใจว่าอุตส่าห์เลี้ยงลูกมาด้วยความรัก แต่ลูกมาทำกับแม่อย่างนี้ จึงยื่นคำขาดว่า ถ้าลูกไม่พูดด้วยแม่จะโดดตึก แล้วลูกก็ไม่พูดกับแม่จริงๆ แม่เสียใจมากจึงกระโดดตึกตายจริง ๆ อย่างนี้เรียกว่าถูกความเป็นแม่ทำร้ายเอา คือไปยึดถือกับความเป็นแม่มาก สำคัญว่าฉันเป็นแม่ ดังนั้นลูกต้องเชื่อฟังฉัน ต้องไม่เย็นชากับฉัน แต่เมื่อไม่ได้รับสิ่งนั้นจากลูก ก็น้อยเนื้อต่ำใจ หัวใจสลาย จนทำร้ายตัวเอง

    ไม่ว่าเป็นอะไรก็ตามย่อมทุกข์ได้ทั้งนั้น เพราะว่าเรามักจะเป็นกันไม่ถูก นั่นคือไปยึดความเป็นนั่นเป็นนี่เอาไว้ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่สมมุติ เด็กนักเรียนที่สอบได้ที่ ๑ จากโรงเรียนในชนบท อาจจะคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ที่จริงมันเป็นแค่สมมุติที่หาความแน่นอนไม่ได้ เพราะพอไปเรียนในกรุงเทพ ฯ กลับสอบได้อันดับท้าย ๆ แต่ถ้าหากว่าเรารู้ทันว่าความเป็นคนเก่งนั้นเป็นเรื่องสมมุติ เราก็พร้อมที่จะปล่อยวางได้ และไม่ไปเป็นทุกข์กับมันยามมันเสื่อมสลายไป หรือในยามที่คนอื่นเขาไม่รับรู้สมมุติเหล่านั้น

    จะมีอะไรก็ต้องมีให้ถูก คือไม่ยึดมั่นถือมั่น พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและความพลัดพรากสูญเสีย จะเป็นอะไรก็เป็นให้ถูก คือรู้ว่าสิ่งที่เป็นนั้นเป็นแค่สมมุติ จะเป็นคนเก่ง คนดัง คนใหญ่คนโต เป็นอธิบดี ปลัดกระทรวง หรือผู้อำนวยการ ก็ล้วนเป็นสมมุติที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนไป ไม่มีวันยั่งยืนได้ และถึงแม้จะยังไม่แปรเปลี่ยน แต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์

    แต่ถ้าให้ดีที่สุดก็คือคือว่าไม่สำคัญมั่นหมายว่ามีหรือเป็นอะไรเลย เคยมีพราหมณ์ผู้หนึ่งเห็นพระพุทธองค์ว่ามีผิวพรรณวรรณะผ่องใส จึงถามพระองค์ว่า ท่านเป็นเทวดาหรือ พระพุทธองค์ทรงตอบปฏิเสธ พราหมณ์ถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นท่านคงเป็นคนธรรพ์ พระองค์ก็ปฏิเสธอีก พราหมณ์จึงพูดต่อว่า ท่านคงจะเป็นยักษ์แน่ พระองค์ก็ปฏิเสธ พราหมณ์จึงพูดว่า ท่านคงจะเป็นมนุษย์กระมัง พระพุทธองค์ทรงตอบว่าไม่ได้เป็น สุดท้ายพราหมณ์ก็เลยถามว่า ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นอะไร พระองค์ทรงตอบว่า กิเลสที่เป็นเหตุให้ได้ชื่อว่าเป็นเทวดาก็ดี เป็นคนธรรพ์ก็ดี เป็นยักษ์ก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี เราได้ละหมดแล้ว สุดท้ายพระองค์ก็ตรัสกับพราหมณ์ว่า จงถือว่าเราเป็นพุทธะเถิด

    พระพุทธองค์ไม่ทรงถือว่าพระองค์เป็นอะไรเลย แต่หากจะเรียกขาน ก็ขอให้เรียกพระองค์ว่าพุทธะ ทั้งนี้เพราะพระองค์ตระหนักว่าการเป็นอะไรก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องสมมติ ถ้าเข้าไปยึดมั่นสำคัญหมายก็ทำให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นจะมีหรือเป็นอะไรก็ตาม อย่าเผลอเข้าไปยึดมั่นสำคัญหมายว่านั่นเป็นตัวเราหรือของเราจริง ๆ มิฉะนั้นจะถูก “ตัวกู ของกู”กัดเอาจนหาความสุขไม่ได้

    :- https://visalo.org/article/bkkB000003.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ก้าวใหม่สู่ชีวิตใหม่
    พระไพศาล วิสาโล
    สุขหรือทุกข์ของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยสองส่วน คือปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ในบรรรดาปัจจัยสองส่วนนี้ ปัจจัยภายในคือตัวเรามีความสำคัญที่สุด บางครั้งปัจจัยภายนอกไม่มีอะไรน่ากลัวหรืออันตรายเลย แต่เหตุใดเราถึงเป็นทุกข์ ละอองเกสรนั้นไม่มีพิษมีภัย แต่หลายคนกลับมีอาการแพ้อย่างแรง บางคนแพ้อาหารทะเล กินแล้วเป็นต้องเกิดผดผื่นคัน ละอองเกสรหรืออาหารทะเลนั้นไม่ได้เป็นปัญหามากเท่ากับปฏิกิริยาบ้าคลั่งจากบางส่วนในร่างกายของเรา

    คนเราล้มป่วยได้ไม่ได้เพราะเชื้อโรคอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอ่อนแอด้วย จึงปล่อยให้เชื้อโรคลุกลามและอาละวาดได้ ขณะที่บางคนมีเชื้ออย่างเดียวกันอยู่ในร่างกาย แต่ไม่เป็นอะไรเลย เนื่องจากภูมิคุ้มกันสามารถควบคุมมันไม่ให้ขยายตัวได้ คนที่ตายเพราะโรคซารส์หรือไข้หวัดนก ปอดของเขาถูกทำลายยับเยินไม่ใช่เพราะพิษจากเชื้อไวรัสที่แปลกปลอม แต่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายของเขาเองที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ โดยปล่อยสารเคมีออกมาซึ่งทำให้ปอดอักเสบอย่างรุนแรง นอกจากเนื้อเยื่อที่ดีจะตายแล้ว หลอดเลือดในปอดยังรั่ว ทำให้เลือดและของเหลวท่วมปอด จนถึงแก่ความตายได้ พูดง่าย ๆ ก็คือภูมิคุ้มกันเหล่านี้ “โอเวอร์รีแอคท์” จนกลายเป็นอันตรายต่อร่างกายของตัวเอง

    ความทุกข์ทางใจก็เช่นเดียวกัน ปัจจัยภายนอกไม่สำคัญเท่ากับปัจจัยภายใน คือการวางจิตวางใจของเราเอง อยู่ในบ้านคนเดียว แม้ไม่มีใครมาก่อกวนรังควานเลย แต่ใจกลับผวาจนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา หาไม่ก็ฟุ้งซ่านกระสับกระส่ายเพราะคุมความคิดไม่อยู่ คนจำนวนไม่น้อยแม้จะอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยพ่อแม่พี่น้อง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่กลับเป็นทุกข์เพราะรู้สึกอ้างว้าง การสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า เยาวชนในกรุงเทพ ฯ ใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือวันละสามชั่วโมงโดยเฉลี่ย เหตุผลหลักคือ “เหงา”

    เวลาเป็นทุกข์เพราะถูกตำหนิ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เรามักโทษคนที่พูดเช่นนั้นกับเรา แต่เราลืมนึกไปว่าลมปากของเขานั้นสลายไปกับอากาศธาตุนานแล้ว เหตุใดคำพูดของเขาจึงยังดังก้องอยู่ในหัวของเราครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังชัดเจนเหมือนกับเปิดเทปกรอกหูซ้ำแล้วซ้ำอีก ใครกันที่จดจำคำพูดของเขาจนประทับแน่นในใจ ซ้ำยังเอามาทวนย้ำซ้ำเติมตัวเองไม่หยุดหย่อน แม้เขาอาจพูดด้วยวาจาสุภาพ ด้วยความปรารถนาดี แต่เหตุใดมันจึงกลายเป็นเสมือนค้อนทุบใจเรา เป็นเพราะเขาหรือเรากันแน่

    ที่จริงไม่ใช่ใจเราดอกที่รู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบเมื่อได้ฟังถ้อยคำดังกล่าว แต่เป็นกิเลสหรืออัตตาต่างหากที่เจ็บปวด ความหลงตัวพองตนว่า “กูแน่”กลับมีอาการฝ่อบุบบี้ไปทันทีเมื่อถูกคนตำหนิ วิจารณ์ หรือเพียงแต่ไม่ชื่นชมอย่างที่เราหวังเท่านั้น แต่เมื่อกิเลสหรืออัตตาเจ็บปวดทุรนทุราย ควรหรือที่เราจะไปเจ็บปวดกับมันด้วย หรือเหมาเอาความเจ็บปวดของมันมาเป็นของเราแทน ที่จริงควรยินดีด้วยซ้ำที่เห็นมันถูกทรมาน มันจะได้เลิกพองตนเสียที จะได้ไม่มีเรี่ยวแรงมาขี่คอข่มขู่เราอย่างที่แล้วมา บางคนฉลาดที่จะมองเห็นประโยชน์จากคำตำหนิ อย่างน้อยก็ทำให้เห็นจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข ช่วยให้ผลงานออกมาดีขึ้น ด้วยเหตุนี้คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อสร้างเมืองโบราณ จึงกล่าวว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล” คำตำหนิไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้เลย กลับเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ หากเรารู้จักมอง

    เมื่อรู้ข่าวว่าเป็นโรคร้าย ทั้ง ๆ ที่ก้อนมะเร็งยังไม่ได้ก่อกวนร่างกายเลย เพราะยังเล็กกระจิริดอยู่ แต่หลายคนกลับทรุดลงทันที ไม่มีเรี่ยวแรง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เซื่องซึม ไร้ชีวิตชีวา อะไรทำให้เขาเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะก้อนมะเร็งกระนั้นหรือ หรือว่าเป็นเพราะใจของเขาที่นึกไปถึงวันตายข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่อีกไกล
    มะเร็งทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ หากใจเราไม่ทำร้ายตัวเอง มะเร็งทำร้ายได้ก็แต่ร่างกายของเราเท่านั้น แต่เมื่อวางใจไว้ถูก มะเร็งกลับมีประโยชน์ต่อชีวิต หลายคนพบธรรมะหรือจุดหมายของชีวิตหลังจากเป็นมะเร็ง มรณสติที่มะเร็งช่วยเตือนให้ระลึกถึงบ่อย ๆ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเห็นคุณค่าของชีวิตและใช้ทุกวินาทีที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่า แทนที่จะมัวเสพสุขหรือหาเงินอย่างเคย ผลก็คือคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีความสุขสงบในจิตใจมากขึ้นอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงพูดว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” ขณะที่บางคนบอกว่า “โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” ด้วยเหตุผลที่ไม่ซับซ้อนแต่นึกไม่ถึง นั่นก็คือหากเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกจะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานกว่านี้มาก

    หลายคนประสบเหตุร้ายจนพิการ แต่เมื่อปรับตัวได้ คนพิการเหล่านี้กลับมีความสุขมากกว่าหลายคนที่มีอาการครบ ๓๒ บางคนสามารถสร้างสรรค์ผลงานชั้นเลิศทั้ง ๆ ที่ทุพพลภาพตั้งแต่คอลงมา แม้มือใช้การไม่ได้ แต่ก็ยังมีปากงับพู่กันวาดภาพแต่ละชิ้นราคานับแสน จนสามารถเลี้ยงพ่อแม่และน้อง ๆ ได้ทั้งบ้าน บางคนกลายเป็นอาจารย์กรรมฐาน หลังจากประจักษ์แจ้งในความจริงที่ว่า กายต่างหากที่พิการ แต่ใจไม่ได้พิการด้วย เมื่อใจลาออกจากความพิการ จิตก็สดใสแจ่มกระจ่าง

    ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไร เงินฝืดเคือง สูญเสียทรัพย์สิน งานการไม่ก้าวหน้า ตำแหน่งติดตัน คนรักตีจาก เพื่อนพ้องพลัดพราก หรือแม้เคราะห์กรรมจะมากระทบกับร่างกาย จนสุขภาพเสื่อมทรุด ร่างกายไม่สมประกอบ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้หากใจยังมีสติมั่นคง ไม่จมปลักอยู่กับอดีตที่หวานชื่น หรือหมกมุ่นกับอนาคตที่หม่นมอง อีกทั้งไม่เผลอใจไปยึดเอาความทุกข์ของกิเลสมาเป็นของใจ มีปัญญาที่รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ และจากทุกอย่างที่ยังมีอยู่กับตัว ตระหนักว่าทุกอย่างที่เกิดกับเรานั้นดีเสมอ อย่างน้อย ๆ ก็ดีที่มันยังไม่เลวมากไปกว่านี้

    ปีใหม่นี้ใคร ๆ ก็ปรารถนาจะเห็นโชคลาภ ความสำเร็จ ชื่อเสียงเกียรติยศพร้อมพรั่งบริบูรณ์รออยู่เบื้องหน้า แต่จะดีกว่าหากมองเข้ามาที่ใจของเราด้วยความหวังว่าธรรมทั้งหลาย มี สติ ปัญญา สมาธิ เป็นต้นจักเจริญงอกงามเพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองใจ โดยไม่หวั่นกลัวเคราะห์ภัยใด ๆ เพราะมั่นใจว่าธรรมเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้ แต่หวังเท่านั้นย่อมไม่พอ ต้องลงมือบำรุงเลี้ยงธรรมดังกล่าวด้วย โดยควรถือเอาศักราชใหม่เป็นนิมิตหมายสำหรับการสร้างคุณภาพใหม่ให้แก่จิตใจเพื่อชีวิตใหม่ที่เปี่ยมสุข

    :- https://visalo.org/article/bkkB254912.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...