น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ญาณจักษุที่ละเอียดกว่า....
    -----------------

    ***แล้ว "ญาณจักษุ" นี้หมายถึงอะไร? ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้ง***


    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ฐาณัฏฐ์, มโนปุพพังคมา, เตชปญฺโญ ภิกขุ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้าต้องการพิสูตรว่าญาณจักษุคืออะไร...
    พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้ปิดทวารทั้ง5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    แล้วดู ใจ ของตนเอง...ปัญญาญาณแห่งพุทธะจะบังเกิดตัดความสงสัยทั้งมวลโดยสิ้นเชิง ...
    ...พระอาจารย์ดูใจของตัวเองโดยโยนิโสมนสิการแล้วหรือยังครับ...

    --------------------------

    ***แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครมีญาณจักษุแล้ว หรือ ยังไม่มี?***

    ***แน่นอนว่าใครๆก็ต้องอวดอ้างว่าตัวเองมีแล้วทั้งนั้น จึงได้กล้ามาโต้ตอบ***

    ***คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองยังไม่มีญาณจักษุเป็นแน่ เพราะกล้วถูกหาว่าโง่แล้วยังมาอวดฉลาด(ดันรู้ว่าญาณจักษุคือปัญญาแห่งพุทธะทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่มี เอาแต่เดา หรือว่าตามคนอื่น)***
    -------------------------------------
    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net -www.whatami.5u.com )
    -----------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2008
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ใครตอบได้บ้างว่า อะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าคำสอนใดถูกหรือผิด?***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net -www.whatami.5u.com )
     
  5. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    วันนี้มาเยี่ยม จริงตั้งใจมารอรายละเอียดหนังสือที่คุณเตชจะโพสให้แต่ไม่เห็นมี เอ้าะ อย่าลืมโพส แบบฟอร์มคำร้องเรียนด้วยนะค่ะ คุณเตช ISBN
    ชื่อ รายละเอียดหนังสือทั้งหมดขาดไม่ได้ค่ะ
    ***ใครตอบได้บ้างว่า อะไรคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าคำสอนใดถูกหรือผิด?***
    "พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ควรน้อมเข้ามาปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้ว ย่อมเข้าถึงได้เห็นผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"
    สิ่งที่คุณ ยังไม่เข้าใจเอามากๆๆก็คือ กรรม วิบาก ภพชาติ คุณก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องอนัตตาอย่างท่องแท้ จริงๆแล้วมันก็ไม่ผิดเพราะข้าพเจ้าเคยสงสัยประเด็นเดียวกับคุณมาก่อน แต่อยากสะกิดคุณสักนิดให้สงสัยความเชื่อคุณตัวคุณเองว่า หากความเชื่อคุณถูกต้อง คุณจะต้องมีคำตอบในทุกๆๆสิ่ง เช่น ทำไม่เราถึงเกิดมาต่างกัน มีสีผิวต่างกัน รูปลักษณ์ต่างกัน เจอเหตุการณ์ต่างกัน คิดต่างกัน ตัดสินใจต่างกัน อะไรเป็นเหตุแห่งความแตกต่างนั้นๆ โดยรายละเอียดลึกๆคุณต้องมีคำตอบในใจหากคุณคิดว่าสิ่งที่คุณรู้ถูกต้องแล้ว เอ้าะอย่าลืม ทำไมบางคนถึงรู้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำไมนักมายากกลอย่างเดวิท คอปเปอร์ฟิวส์ถึงทำเครื่องบินหายทั้งลำต่อหน้าสายตาประชาชี(ถ้าจะเรียกว่าเล่นกลเล่นอย่างไร)
    เพราะหากการเข้าถึงธรรมจริงธรรมนั้นต้องเป็นหนึ่งเสมอ)
    ถ้าจิตเกิดแล้วสูญจริงเราจะระลึกถึงเหตุการณ์อดีตที่ผ่านมาแล้วได้อย่างไร
    ในเมื่อเซลล์สมองอันเก่าได้ถูกทำลายไปแล้ว มันจะมีความทรงจำได้อย่างไร คุณคงไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์บอกว่าเซลล์สทองเราถูกทำลายไปเรื่อยเมื่อหลังสมองโตเต็มที่
    อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้คุณได้พยายามหาคำตอบแต่ปรารถนาให้คุณ" ฉุกคิด" และตั้งคำถามความเชื่อของตัวเองบ้าง ที่ ฝรั่ง เขา เรียกว่า " investigative mind" ไง คือควรสงสัยแม้กระทั่งความคิดของตน หากมันถูกต้อง ทุกคำถามไม่ว่าเล็กหรือใหญ่มันจะหาคำตอบได้
    คุณเตช ถึงคุณไม่เชื่อเรืองผี คุณน่าจะลองพิสูจน์บ้าง อย่างที่คุณว่า ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ของแท้ย่อมไม่หวั่นทดสอบ กรุณาลองท่อง "สุปินานัง" ลองไปทดสอบหมอผีคุณไสย "ของแท้" (ไม่เอาพวกที่หลอกชาวบ้านถ้าไม่มั่นใจก็ทดสอบทั่วประเทศหรือไปทดสอบที่เขมรก็ได้) แต่เสี่ยงต่อความตายเป็นอย่างยิ่งนะ
    (โพสเก่า ตั้งใจหาให้คุณโดยเฉพาะนะนี่ อีกอย่าง มีที่โพสหลักตัดสินธรรมวินัย 8 อยู่ตรงไหนหาไม่เจอคุณเตชลองไปค้นๆดูละกันนะ เรื่องกาลามสูตรก็โพสไปแล้วไปหาอ่านก็แล้วกัน ขี้เกียจพิมพ์ซ้ำค่ะ)

    ก้อปอันที่ตอบไปแล้วมาเพราะขี้เกียจพิมพ์ใหม่ อย่าถามซ้ำๆๆซิเปลืองพื้นที่เวปเขาอ่ะ ขออภัยท่านเวปมาสเตอร์ด้วยนะค่ะ
    ถ้าจะให้ดี คุณเตช คุณสงสัยอะไรก็กลับไปอ่านที่โพสๆๆมาแล้วนะค่ะ
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต<O:p</O:p
    เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ<O:p</O:p
    พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้.....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ<O:p</O:p
    จิตแส่ออกไปหาอารมณ์และยึดถืออารมณ์ไว้ ทำให้จิตกระสับกระส่าย เกิดทุกข์ขึ้น (ทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
    <O:p</O:pจิตเมื่อแส่ออกไปหาอารมณ์ ที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี (สมุทัย-เหตุแห่งทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    จิตเมื่อระลึกรู้อยู่ที่ฐานกาย เวทนา จิต หรือ ธรรม<O:p</O:p
    ทำให้จิตไม่แส่ออกไปหาอารมณ์ จิตสงบ ทุกข์ดับลงได้ (นิโรธ-ความดับทุกข์)<O:p</O:p

    พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้.....
    <O:p</O:pการปฏิบัติตามหลักอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔<O:p</O:p
    เป็นการอบรมจิต เป็นการฝึกจิต ทำให้จิตสงบ ทุกข์ดับลงได้ (มรรค-ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สรุปลงที่การชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
    ต้องดับเหตุแห่งธรรม
    ไม่ใช่มัวแต่นั่งคิดฟุ้งซ่านว่า อะไรๆมันก็ไม่มี มันสูญมาตั้งแต่ต้น
    มันเกิดเองเดี๋ยวมันก็ดับเอง ไม่มีทางไม่ดับ เวรกรรม เวรกรรม^_^
    <O:p</O:p<!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ช่วยกรุณากลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่มั่นใจหรือยังคิดเหมือนเดิม เชิญตั้งแต่หน้าหนึ่ง โพสหนึ่งเลยท่าน
     
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ปัญหาคงเคลียกันยากเย็นละค่ะ ขอเรียนถามท่านห่มเหลือง(หรือท่านเตชฯ ของผู้ใดที่นับถือ) ว่าถ้าจะเมตตาเพื่อเคลียปัญหากัน อยากจะเรียนเชิญท่านโปรดแสดงตัวตนของท่าน และพวกเราก็สัญญาจะแสดงตัวตนเขาของเรา และขอย้ำว่าของแท้และไม่บิดเบียนด้วยนะค่ะ

    เชิญทั้ง 2 ฝ่ายเลยดีไหมค่ะ จะขอออกอากาศกันที่ไหน สถานีไหน หรือจะไปว่ากันที่พระอาวุโสท่านใดกันดีว่ากันมาลยดีกว่า เชิญท่านกระทรวงมาด้วยยิ่งดีใหญ่ ถ้าไม่มีความดีพอ ... ก็เชิญกันลาออกไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2008
  9. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    คุณ บุคคล ทั่วไป 3คน ค่ะ
    จริงๆแล้วข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นห่วงเรื่องการสอนผิดมากๆ ถึงได้แสดงความเห็นเรื่องนี้บ่อยๆ
    การใช้กุศโลบายเป็นสิ่งที่ดีก็ต่อเมื่อกศโลบายนั้นต้องไม่ปิดบิดเบือนความเป็นจริงค่ะ
    หากสิ่งที่คุณเตชกล่าวเป็นแค่อุบาย ย่อมส่อให้เห็นถึงความขาดจรรยาบรรณและจริยาธรรมในอาชีพค่ะ เพราะสอนตายแล้วสูญ กรรมวิบาก นรก สวรรค์ ไม่มีย่อมเป็นการปูพื้นฐานที่เลวและผิดทำให้ผู้เรียนรู้พบทางตัน ไม่สามารถต่อยอดความรู้ให้เข้าถึงมรรคผลนะค่ะ
    การปิดกั้นทางมรรคผลนี่เป็นมิจฉาทิฏฐิที่รุนแรงมากนะค่ะ
    หากจะสอนกันให้อยู่กับปัจจุบันจริงๆต้องสอนประมาณว่า
    ปัจจุบันเเป็นผลวิบากกรรมของอดีต เราแก้อดีตไม่ได้ ปัจจุบันเป็นเหตุแห่งอนาคตที่มาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดี ย่อมปูทางวิบากแห่งอนาคต
    สอนต้องเริ่มด้วยศีล สมาธิและปัญญาไปตามนั้น
    หากผู้เรียนจะถามถึงชาติภพ ต้องสอนให้ผู้เรียนรักษาศีลก่อนแล้วให้ต่อยอดทีหลังกับพระปฏิบัติ การสอนธรรมต้องตั้งต้นที่โลกิยะธรรม คือธรรมที่เกื้อกูลโลกเพื่อปลูกกุศลจิตในใจผู้เรียนก่อนค่ะเมื่อกุศลถึงพร้อมการใฝ่ในการเจริญปัญญาในระดับที่สูงขึ้นจะตามเองค่ะ

    คุณเตช คุณอย่าลืมเรื่องรายละเอียดของหนังสือทั้งหมดนะค่ะ รออยู่ค่ะ
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ผมได้เตือนคุณบุคคล3มาหลายครั้งแล้วนะครับ
    คุณเองก็ไม่สำนึกในสภาวธรรมเพื่อที่จะไหลไปสู่ธรรม
    คุณพยายามที่จะยกครูบาอาจารย์มาเพื่อรับรองความถูกให้ใครต่อใครวุ่นวายไปหมด
    มันถูกต้องแล้วหรือ ถ้านำมาเพื่อเทียบเคียงก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก

    คุณเองเคยสัมผัสกับครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านแล้วหรือ
    ถึงได้นำมารับรองความถูกต้องให้กับคุณเตชะ
    ก่อนจะพร่ำสภาวธรรมอะไร กลับไปดูคำสอนครูบาอาจารย์เสียก่อน
    ท่านกล่าวว่า "พระท่านห้ามไว้ ห้ามใช้อ้างอิงเพื่อการทะเลาะ
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ทางนี้เป็นทางอันเอก(ทางที่สวนกระแสธรรมให้ไหลไปสู่ธรรม) ส่วนวิธีนั้นมีหลายวิธี
    แต่ขึ้นกับธรรมอันเดียวคือจิต พระองค์คงไม่สอนให้ขึ้นทางหน้าผานะครับ
    มีแต่ตายกับตายลูกเดียว...

    หลวงปู่ฝากไว้
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ***ขนาดเขียนหลักสูตรเหนือยิ่งกว่าครูบาอาจารย์ เตชะจะเชื่อคนที่เขาอธิบายให้ฟังหรือ***

    ***พระองค์เริ่มต้นจากตรรกะ จบลงด้วยสิ่งเหนือกว่าตรรกะในโลก***

    ***ไอ้ถามแบบนี้ไม่รู้สึกว่ากำปั้นทุบดินไปหน่อยหรือ
    เตชะลองเอาตรรกะของน้ำ และตรรกะของไฟ มาเทียบเพื่อให้เข้ากันหน่อยสิ***

    ***เตชะไม่รู้หรือไงว่านักวิทยาศาสตร์บางส่วนไม่มีศาสนาและไม่เชื่อเรื่องศาสนาด้วยซ้ำไป***

    ***เตชะอย่าลืมไปเอารูปไอน์สไตล์มากราบไหว้แทนก็แล้วกัน
    ถ้าไม่มีหนทางที่ดีกว่าที่เตชะพูด พระองค์คงต้องศึกษาทางวิทยาศาสตร์แทนการออกบวชแล้ว***

    ;aa21
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    มันก็กลุ้มเหมือนกันนะ ที่พยายามเข้ามาแทรก เข้ามาแจกแจงในบางเรื่อง

    คุณต้องเข้าใจ ผู้รับสาร เป็นอันดับแรก ในทีนี้คือ เด็กนักเรียน ซึ่งมีหลาย
    เชื้อชาติศาสนา

    หากเราสอนตามความจริงของเรา ตามปริยัติของเรา จะเกิดอะไรขึ้น หาก
    อยู่ดีๆมีเด็กนักเรียนทั้งชั้นซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์แต่ต้องอาศัยหลักสูตรการ
    ศึกษาจากกระทรวงเพื่อทำการเรียนการสอน แล้วพบคำว่า นิพพาน คือ บรม
    สุข คือ สุขแท้ นึกภาพออกไหมครับ ( ไม่อยากกล่าวละเอียดกว่านี้ ขอละไว้
    ซึ่งเชื่อว่าพวกท่านก็ทราบ )

    อย่ากล่าวนะว่า ดีแล้ว เขาจะได้สดับ จริงๆแล้ว คนจัดหลักสูตร จะไม่ยอมให้
    อะไรแบบนี้ออกไปเป็นหลักสูตรกลางหรอก เพราะมันบั่นทอนความั่นคงของชาติ

    ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องลดการใช้คำศัพท์ลง เอาแต่พอดี เอาแต่คนจะใช้ศึกษา
    แบบเป็นกลางๆได้ ไม่เหมือนถูกยัดเยียดให้เรียน ไม่เหมือนถูกล้างสมอง พอเรียน
    ไปแล้วสนใจ ก็ไปค้นคว้าเพิ่มเติม เป็นหนังสือนอกหลักสูตร อยู่ในห้องสมุด ซึ่งก็ให้
    จัดเตรียมที่ถูกต้องเอาไว้อีกที

    กรณีที่ทำไม เตชฯภิกขุ ท่านกล่าวนิยมแต่ทางวิทยาศาตร์ ก็เพราะมันเหมาะแก่ฐานะ
    ของนักเรียน ที่ส่วนใหญ่เลือกเรียนสายวิทย์มากกว่าสายศิลป หรือแม้แต่เรียนสายศิลป
    อะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็อยู่ในวิถีชีวิตความคุ้นเคยอยู่แล้ว ก็ถือเป็นการ น้อมเข้าหานัก
    เรียน เอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง หากประเทศนี้มีนักเรียนนิยมปรัชญาก็ค่อนว่ากับด้วย
    แนวปรัชญา หรือศาสนาโดยตรง

    ดูอย่างพระที่เป็นนักเทศน์ ที่ทำ CD ทำ VDทัศน์ มีท่านไหนเสนอแบบตรงๆ บ้างละครับ

    ก็ต้องใช้อุบายต่างๆ นานา เพื่อให้นักเรียนค่อยๆน้อมจิตน้อมใจเข้ามา เอาแค่ฟังธรรมได้
    โดยไม่หลับเสียก่อนนี่คือหัวใจเลย ตอนจบเห็นนิยมทำให้ซึ้ง เสร็จแล้วก็ให้ผ่อนคลาย
    เด็กก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าได้ เรียนรู้สภาวะทุกข์ สภาวะสุข ที่ไม่เที่ยงจบหลักสูตร จบวัตถุ
    ประสงค์หลักที่แอบแฝงไว้ เรียกว่า ฟังเทศน์ไป หัวเราะไป ร้องไห้ไป แล้วก็กลับมาปิติ
    เรียกว่า เรียนรู้สภาวะธรรม เจริญสติไปแล้ว โดยไม่ใช่การสอนนั่งสมาธิ บางท่านเท่านั้น
    ที่จะมีสอนให้นั่งสมาธิ ก่อนและหลังการฟังเทศน์แบบวัยรุ่น

    ก็อยากชี้แจงแค่ว่า การสื่อสารนั้น จะต้องเลือกส่งสารที่พอเหมาะแก่คนรับสาร จึงจะมี
    ประโยชน์ แต่คนสื่สารที่เก่งจะฉลาดในอุบายที่ใช้ โดยที่ผู้รับสารไม่อาจล่วงรู้ว่าได้กระ
    ทำรับสารนั้นอยู่ จนกว่าจะเฉลยให้สดับ
     
  14. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    มันน่าจะ งง และสับสนมากกว่า ตรงที่การสอนผิดเพี้ยนไปเนี้ยแระ ยิ้มก็กล่าวแบบภาษาพระท่านไม่ค่อยเป็นก็ต้องขออภัย ด้วยความรู้ก็ยังมีไม่มาก แต่ยังขอบังอาจยืนยันด้วยใจอันบริสุทธิ์ของตนว่า

    ความจริงเป็นเช่นไร ก็สอนตามนั้นถูกต้องที่สุด ครูบาอาจารย์ที่ท่านทำถึง พิสูจน์ได้แล้วด้วยตนเอง ท่านย่อมถ่ายทอดได้เพราะรู้ชัดเจนแล้ว ท่านย่อมสอนได้โดยไม่ผิดเพี้ยน แต่ผู้ที่ไม่ได้นี่สิ ดันทะลึ่งมาสอน...มันจะไปถูกได้อย่างไร ได้แต่คิดเอง เออออเอง ฟังเขาเล่ามา อะไรเทือกนั้น...จะสอนให้มันง่ายได้อย่างไร เพราะยังไม่เคยสัมผัส ยังไม่เคยได้...อย่างงี้เรียนให้ทราบว่า เขาเรียกว่า สอนมั่ว ๆๆ
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ในพุทธบริษัท มีบุคคลทำหน้าทีหลายอย่าง

    พวกเราที่เป็นฝ่ายปฏิบัติแล้ว เราหันหน้าเขาสู่ธรรมะด้วยเหตุใด ก็เพราะสื่อการสอน
    ของนักปริยัติที่เสียสละเวลาในการปฏิบัติของตน เพื่อสร้างสื่อการสอนหลาก
    รูปแบบ เพื่อให้เกิดศรัทธานำร่อง

    เราก็อาศัยการเห็น การสดับ สื่อธรรมะเหล่านั้น จนเกิดสงสัย จนอยากต่อธรรม
    ที่เคยเห็น เคยรู้อยู่แล้ว พอเกิดสงสัยก็หันหน้าเข้าหาสื่อธรรมะที่ถูกต้อง

    แต่เราจะลืมบุคคล หรือ สื่อธรรมะ ที่เป็นดั่งไม้ขีดไฟ ที่จุดแสงสว่างให้เราหันไป
    ดูเพียงชั่วขณะนั้นไม่ได้

    หากคุณกำลังเป็นนักปฏิบัติ ที่ปฏิบัติจนเห็นจริงแล้ว โปรดอย่าลำพังแต่แผ่เมตตา
    กลับไป โปรดอย่าลำพังแต่กรุณากลับไป เพราะเขายังไม่พร้อมละหน้าที่ เราก็
    ควรแผ่มุทิตาจิตให้กับเขาเหล่านั้น จิตพยาบาทจะคลายลง และทำให้คุณก้าวหน้า
    ทางธรรมได้มากขึ้นกว่าเดิม จนถึงอุเบกขารมณ์ ตามพรหมวิหารสี่ได้อย่างดียิ่งขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2008
  16. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    สงสัยงานนี้พวกเราจะต้องเจอ ผีหลอก วิญญาณ หลอน นะเนี้ย เหนื่อย อิ๊บอ๊ายเลย
    เอาเป็นว่า ข้อตามข้างต้นก็ละกัลลล เชิญทั้ง 2 ข้างเลยค่ะ
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้าใครเป็นคนจริง กรุณาตอบคำถามง่ายๆนี้***
    ***๑. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมากจากเหตุปัจจัยเท่านั้น?"***

    ***ตอบ.........

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ตัวตนของเรา (จะเรียกว่า จิต หรือวิญญาณธาตุก็แล้วแต่จะเรียก) เกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ?***

    ***ตอบ...........

    ***๒. ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)ไม่ใช่ตัวตน?" (สัพ เพ ธัมมา อนัตตา)***

    ***ตอบ............

    ***เมื่อใครสามารถตอบอย่างมีเหตุผล และยอมรับความจริง จึงจะเป็นคนจริงที่ควรสนทนาด้วย***

    ***ถ้าใครตอบอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่สมควรสนทนาด้วย***

    (ฉันคืออะไร? = เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***วิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการค้นหาความจริงของธรรมชาติ โดยใช้การสังเกตุจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง (จากการทดลอง หรือจากธรรมชาติก็ได้)***

    ***หลักการของวิทยาศาสตร์ จะมีเหตุมีผล คิดอย่างเป็นระบบ และจะเขื่อจากการที่ได้พิสูจน์จนเกิดความเห็นแจ้งแล้วเท่านั้น***

    ***วิทยาศาสตร์จะตรงข้ามกับ ไสยศาสตร์ ที่หมายถึง หลักวิชาของคนหลับ ซึ่งหมายถึงคนที่ไม่มีปัญญา หรือยังไม่ตื่น(ไม่เป็นพุทธะ) ***

    ***ดังนั้นหลักของไสยศาสตร์จึงไม่มีเหตุผล สอนให้เชื่อเพียงอย่างเดียว ห้ามถาม ห้ามสงสัย (เพราะตอบไม่ได้) เพราะถ้าถามขึ้นมาเมื่อไร ไสยศาสตร์ก็จะหมดความน่าเชื่อถือลงไปทันที***

    ***ดังนั้น ถ้าใครไม่เชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ ก็จะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปทันทีโดยไม่รู้ตัว***

    ***พุทธศาสตร์ ก็คือหลักวิชาของผู้รู้ ซึ่งถ้าไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่พุทธศาสตร์(สมัยก่อนยังไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์)***

    (ฉันคืออะไร? => เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ"

    ***คำว่าธรรมในที่นี้จะหมายถึง ธรรมชาติ หรือทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใด)***

    ***สรุปได้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ***

    ***เมื่อไม่มีเหตุ มันก็ไม่เกิด***

    ***เหตุผลง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงไม่เข้าใจ***

    ***แต่ก็ยังดันทุรังบอกว่า "จิตเกิดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีเหตุ***

    ***บิดเบือนกันชัดๆ แล้วยังมาว่าคนอื่นบิดเบือน***

    (ฉันคืออะไร? => เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com ) ​
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ<O:p</O:p
    พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้.....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ<O:p</O:p
    จิตแส่ออกไปหาอารมณ์และยึดถืออารมณ์ไว้ ทำให้จิตกระสับกระส่าย เกิดทุกข์ขึ้น (ทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
    <O:p</O:pจิตเมื่อแส่ออกไปหาอารมณ์ ที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี (สมุทัย-เหตุแห่งทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น<O:p</O:p
    จิตเมื่อระลึกรู้อยู่ที่ฐานกาย เวทนา จิต หรือ ธรรม<O:p</O:p
    ทำให้จิตไม่แส่ออกไปหาอารมณ์ จิตสงบ ทุกข์ดับลงได้ (นิโรธ-ความดับทุกข์)<O:p</O:p

    พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้.....
    <O:p</O:pการปฏิบัติตามหลักอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔<O:p</O:p
    เป็นการอบรมจิต เป็นการฝึกจิต ทำให้จิตสงบ ทุกข์ดับลงได้ (มรรค-ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สรุปลงที่การชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง
    ต้องดับเหตุแห่งธรรม(เหตุแห่งทุกข์) คือ จิตไม่แส่ออกไปหาอารมณ์

    ไม่ใช่มัวแต่นั่งคิดฟุ้งซ่านว่า ***ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ******เมื่อไม่มีเหตุ มันก็ไม่เกิด***
    ในเมื่อไม่ดับเหตุแห่งธรรม(เหตุแห่งทุกข์) ทุกข์มันก็ต้องเกิด-ดับ เกิดดับที่จิตอยู่ร่ำไป

    พระองค์จึงสอนให้ชาวพุทธรู้วิธีดับเหตุแห่งธรรม(เหตุแห่งทุกข์) เพื่อจิตจะได้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง
    ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...