เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    พระนอน.jpg
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    เรื่องหลวงปู่ปานเข้าทรง หลวงพ่อเล่าไว้เมื่อตอนท่านกลับจากกรุงเทพไปฟื้นฟูวัดบางนมโคหลังหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว

    DSC04986.jpg DSC04997.jpg DSC07402.jpg 1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg 5.jpg 6.jpg 7.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2532 หน้า 65 - 71)

    image2-4.jpg
     
  3. ลืมจัง

    ลืมจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +822
    ในทีวีก็มีข่าวคนทรงมากมาย มีทรงอะไรต่างๆมากมาย ลูกหลานหลวงพ่อมีหลักยึดมีปัญญามีคำสอนที่หลวงพ่อสอนไว้ในรูปแบบต่างๆแล้วไม่น่าห่วง เท่าคนทั่วไป ขอคุณพระรัตนตรัยคุ้มครองพี่น้องคนไทยทุกท่านครับ
     
  4. jj85

    jj85 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +7,607
    คุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด กำจัดทุกข์ได้จริง กำจัดภัยได้จริง

    ยึดวัดท่าซุงและครูบาอาจารย์ทุกรูปในสายหลวงพ่อเป็นหลักครับ จะนอกวัดหรือในวัดล้วนแล้วแต่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    78615e67.jpg DSC_0360_zpscf84e01a.jpg
    เรื่อง "ขอไปนิพพานชาตินี้" หลวงพ่อเล่าให้ฟังเป็นความรู้พิเศษอีกเรื่องนึงครับ

    ขอ1.jpg ขอ3.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2532 หน้า 29 )

    DSC04811.jpg DSC00956.jpg DSC06706.jpg DSC04187.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2024
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ___paragraphaeparagraph_11_309.jpg ___12_210.jpg 1-16 (1).jpg aa.jpg 3-4.jpg 4-1.jpg 5-1.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ชวนะ แปลว่าอะไร

    1.jpg 1.1.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 7 หน้า 41-42)


    หลวงพ่อตอบปัญหาด้านบนนำมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านสามารถหาอ่านหนังสือเล่มอื่นๆได้จากเวบลิงค์ด้านล่างครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UKGx4RGdKrqGtjdmQFtARpU7VpYIqhUYii5IgpmNFSJB.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UHOPIAYliCWc2JE6J6cFyufxO44AQGyls0Q5zUfcNqb6.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UFoV1Goa9nPbUl2ftLsTK816Rf5ZiQYfPwdJbHsW3Xuc.jpg

    ผ้ายันต์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์แจกแก่ผู้ทำบุญถวายผ้าไตรดอกไม้ธูปเทียนแพ ชุดละ 100 บาทที่วิหารในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณวิหารหลวงพ่อศักดิ์ิสิทธิ์ครับ

    IMG_20180123_133625.jpg IMG_20180123_133634.jpg IMG_20180123_133708.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705

    eac54d2f.jpg
    คาถา "สุนักขัตตัง" เป็นคาถาปลุกตัวเองเป็นการฝึกหัดสมาธิดึงกำลังใจให้เป็นสมาธิได้ง่ายและเร็ว เหมือนการทำเล่นแต่ผลที่ได้จะทำให้กำลังสมาธิตั้งมั่นถ้าฝึกได้ดีแล้วจะฝึกทิพพจักขุญาณ มโนมยิทธิหรืออภิญญา จะได้ง่ายและแจ่มใสรวดเร็ว

    การปลุกตัวด้วยคาถานี้เป็นการใช้กำลังของท่านที่เราชอบใจเราเคารพนับถือมาปลุกตัวเอง


    หลวงพ่อสอนวิธีใช้คาถานี้ในเรื่องด้านล่างครับ

    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg 5.jpg 6.jpg 7.jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2548 หน้า 34 - 40)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2018
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    spec1.jpg spec3-1.jpg spec5.jpg spec7.jpg
    " ความขยันนั้น ลางทีเกิดเป็นนิสัยมาเอง ลางทีต้องอาศัยฝึกหัดกันเรื่อยๆไป เพื่อให้เกิดเป็นนิสัยขยันหรือเกิดความขยันเป็นนิสัย ไม่ยอมให้เป็นโอกาสความเกียจคร้านเข้ามาแทรกซึมได้

    วิธีฝึกให้เกิดความขยันนั้น ในสมัยโบราณมีอยู่หลายวิธี แต่มีอยู่วิธีหนึ่งที่พระพุทธองค์เคยทรงใช้มาคือ การแบ่งเวลาออกเป็นส่วนๆ ว่าเวลาไหนต้องทำอะไร และฝึกฝนตามนั้น ทำกันเรื่อยไป ไม่ใช่ทำกันชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็เงียบหายไป อย่างนี้ไม่ใช่ลักษณะขยัน ลักษณะขยันต้องเดินเรื่อยๆไปไม่หยุด เหมือนกระแสน้ำไหลในฤดูน้ำ มิใช่ดังลักษณะพลุที่สว่างวาบเดียวแล้วก็หยุดกัน "


    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร)วัดสามพระยา


    spec9.jpg spec17.jpg
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    ___paragraphaeparagraph_11_309.jpg ___12_210.jpg

    ตายเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อตาย


    "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" นี่เป็นคำสอนในทางพระศาสนาซึ่งเกี่ยวกับสภาวะธรรม มีปรากฎอยู่ทั้งในฝ่ายพระสูตร ทั้งในฝ่ายพระอภิธรรม เป็นคำสอนที่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวอยู่ทุกกาลทุกสมัย ไม่มีผู้ใดจะโต้แย้งคัดค้านได้ พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกหรือหาไม่ ปวงมนุษย์หรือเทวดสอินทร์พรหมยมยักษ์จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎเกณฑ์ทั้ง ๓ นั้น ก็คงมีอยู่ปรากฎอยู่อย่างนั้นเสมอไป



    ความเกิด ความตั้งอยู่ ความดับ ย่อมมีประจำอยู่ในสรรพสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมเรียกตามศัพท์บัญญัติในทางพระศาสนาว่า สังขาร อันแยกออกเป็น ๒ ประการคือ สิ่งที่มีวิญญาณครองเช่น คน และสัตว์เป็นต้น เรียกว่า อุปาทินนกสังขาร สิ่งที่ไม่มีวิญญาณครอง เช่น ต้นไม้ และเครื่องใช้สอยเป็นต้น เรียกว่า อนุปาทินนกสังขาร ดังนั้นจึงทำให้แลเห็นว่ากฎของธรรมดานั้นมีความยุติธรรมเป็นที่สุด ของบรรดาความยุติธรรมทั้งหลาย



    ความเกิดเป็นเรื่องได้ ความตายเป็นเรื่องเสีย เนื่องจากเหตุนี้ ความเกิดจึงเป็นเรื่องนำความชื่นบานนิยมยินดีปรีดาปราโมทย์มาให้ ส่วนความตายกลายเป็นเรื่องนำความห่อเหี่ยวระทมขมขื่นมาสู่ ความเกิดกับความตายจึงมีลักษณะตรงกันข้ามอยู่ในตัว ดุจขาวกับดำ หรือบวกกับลบ

    แต่ในทางพระศาสนาท่านสอนไว้ว่า ความตายเป็นเงื่อนปลายสาย เพราะฉะนั้นความตายจึงสืบต่อมาจากความเกิด เมื่อความเกิดอันเป็นเงื่อนต้นสายไม่มี ความตายอันเป็นเงื่อนปลายสายย่อมมีไม่ได้ เหมือนแผ่นดินที่เป็นแดนเกิดของต้นไม้ และกอหญ้า หากแผ่นดินไม่มี ต้นไม้ และกอหญ้าที่ต้องอาศัยแผ่นดินเป็นแดนเกิดย่อมมีไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงทั้งหลาย ย่อมไม่กลัวแต่ความตาย กลับไปกลัวแต่การเกิด อันเป็นตัวทุกข์ และเป็นที่รับรองความทุกข์ยากลำบากทุกประการ ส่วนสามัญชนทั่วไปหาได้กล้วแต่ความเกิดไม่ ล้วนกลัวแต่ความตายด้วยกันทั้งสิ้นทุกตัวคน ทั้งชาววัดทั้งชาวบ้าน เวลามีใครเกิด ไม่เห็นมีใครร้องไห้ เห็นมีแต่ล้วนยินดีปรีดา ครั้นเวลามีใครตายที่เป็นญาติหรือมิตรสหาย เห็นมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจร้องไห้พิไรรำพัน ความแตกต่างกันในระหว่างผู้รู้แจ้งเห็นตริง กับสามัญชนในเรื่องเกี่ยวกับการเกิดการตายอยู่ที่ตรงนี้ หาใช่อยู่ที่อื่นไม่

    จากข้อความตามที่พูดมา จึงจับหลักได้มั่นเหมาะว่า ความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน เกิดโดยไม่มีตายเป็นเบื้องปลาย หรือตายโดยไม่มีเกิดเป็นเบื้องต้น เป็นอันมีไม่ได้ไม่ว่าในกาลไหนๆ เพราะผิดกฎของธรรมดา ก็และในท่ามกลางระหว่างเกิดกับตายนั้น ยังมีสิ่งอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นคือความตั้งอยู่ อันความตั้งอยู่นี้ก็คือชีวิตนั่นเอง เพราะมีอยู่ในระหว่างเกิดกับตาย ชีวิตย่อมตั้งต้นเดินทางออกไปจากเกิด และเดินเรื่อยไปไม่มีหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงที่สุดทาง หรือปลายทาง กล่าวคือความตายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" จึงเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว เป็นจริงตามคำสอนในทางพระศาสนาทุกประการ



    คำว่า"อยู่" ที่มาคู่กับคำว่า"ตาย"เป็นหัวข้อแห่งหนังสือนี้หมายถึงความเป็นอยู่ซึ่งเรียกว่า"ชีวิต" มิได้หมายความถึงกิริยาที่อาศัยอยู่ ส่วนคำว่า "ตาย" หมายถึงลักษณะอาการอย่างเช่นใด นี่เป็นปัญหาที่ควรได้รับการพิเคราะห์ก่อน



    คำว่า ตาย สามัญชนทั่วไป ย่อมเข้าใจกันอยู่เป็นพื้นว่าความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ หรือความแตกกายทำลายขันธ์ หรือความขาดสิ้นแห่งลมหายใจเข้าออก แต่ในวงการของพระศาสนาหมายความกว้างกว่าที่สามัญชนเข้าใจกันอยู่ กล่าวคือมิได้หมายความเอาเฉพาะความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ หรือความแตกกายทำลายขันธ์ หรือความขาดสิ้นแห่งลมหายใจเข้าออกเท่านั้น แม้ความหมดสิ้น หรือความเสื่อมสิ้นไปแห่งอายุ และสังขารก็ดี ความหยุดอยู่กับที่ไม่มีความคลี่คลายขยายตัวเพื่อความก้าวหน้าสืบต่อไปก็ดี ความดับแห่งจิตคือดวงความคิดนึกก็ดี ท่านหมายกันว่า ตาย เช่นเดียวกัน



    เมื่อได้พิเคราะห์คำว่า ตาย หมายถึงลักษณะหรืออาการเช่นใดแล้ว ตามแนวทางในพระศาสนา ลำดับต่อไปจะได้พูดถึงข้อว่า ตายเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อตาย นั้นหมายความอย่างไร



    น่าจะมีปัญหาอยู่สักหน่อยว่า ตายไปแล้วแต่ชื่อว่ายังอยู่ หรือยังอยู่แต่ชื่อว่าตายไปแล้ว มีอยู่หรือ? ข้าพเจ้าขอตอบว่า มีอยู่ เพราะพฤติการณ์ของบุคคลแต่ละคนในโลกนี้ เป็นพยานให้เห็นปรากฎอยู่เป็นหลักพิสูจน์หัวข้อเรื่องที่ข้าพเจ้าตั้งไว้ข้างต้น

    กระแสแห่งชีวิตของสัตว์โลก ย่อมไหลไปตามลำธารแห่งชีวิต ไม่มีเวลาหยุดพักสักขณะหนึ่ง ไหลไป และไหลไปจนกว่าจะถึงที่สุดของชีวิต ซึ่งเรียกว่าความดับ หรือความตาย เช่นเดียวกับกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูงไม่มีเวลาหยุดพักสักขณะ จนกว่าจะถึงที่สุดของกระแสน้ำ ฉะนั้น เวลาที่ล่วงไปของอายุ และความเสื่อมสิ้นแห่งสังขาร ไม่มีเวลาถอยกลับมีแต่จะรุดหน้าไปถ่ายเดียว เสื่อมไป สิ้นไป หมดไปเป็นหลักยืนให้เห็นกันอยู่ แต่ใครจะเห็นหรือไม่เห็นจะรู้หรือไม่รู้ เป็นเรื่องบุคคลแต่ละคนไป หาได้เกี่ยวข้องด้วยหลักดังที่กล่าวไม่ ยังไม่มียาขนานใดอันจะแก้ความตายเป็นไม่ให้ตายได้ สัตว์โลกย่อมกลัวแต่ความตาย ก็เพราะความตายเป็นที่สุดของชีวิต หรือความเป็นอยู่ สัตว์โลกยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ จึงยังกลัวแต่ความตาย หากหมดปรารถนาเมื่อใด เมื่อนั้น จะเห็นความตายเป็นของธรรมดาที่สุดมีค่าเท่ากับปิดฉากละครครั้งหนึ่งๆเท่านั้น


    ในอันดับต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขอพูดโดยตรงในเรื่องของบุคคลอันเกี่ยวกับความตายความอยู่ ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่จะพูด ไม่มีปัญหาที่จะทิ้งไว้ให้เราต้องสงสัยกันอีกแล้ว บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ ที่จะไม่ตายไม่มี บัญชีเกิดเท่าใด บัญชีตายเท่านั้น จะเหลื่อมล้ำก้ำเกินกัน หามีไม่ ไม่มีข้อแตกต่างกันแต่ประการใด



    แต่ในระหว่างเกิดกับตายนี้ มีข้อที่ควรพินิจอยู่ประการหนึ่งซึ่งจะมองข้ามไปเสียมิได้ ข้อนั้นคือ "บุคคลบางคนตายเพื่ออยู่ บุคคลบางคนอยู่เพื่อตาย" มีปัญหาสืบต่อไปว่า บุคคลเช่นใดชื่อว่าคายเพื่ออยู่ บุคคลเช่นใดชื่อว่าอยู่เพื่อตาย? ข้าพเจ้าขอตอบปัญหาข้อนี้โดยหลักการว่า บุคคลผู้สร้างชื่อว่าตายเพื่ออยู่ บุคคลผู้ไม่สร้างชื่อว่าอยู่เพื่อตาย



    คำว่า "สร้าง" และ "ไม่สร้าง" ตามหลักภาษาไม่ได้เจาะจงลงไปว่าสร้างดี หรือสร้างชั่ว ไม่สร้างดีหรือไม่สร้างชั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จะยุติเอาว่า สร้างดีก็ได้ สร้างชั่วก็ได้ ไม่สร้างดีก็ได้ หรือไม่สร้างชั่วก็ได้ เป็นการถูกต้องตามหลักภาษาหรือหาไม่ หากจะมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกล่าวนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่าความเข้าใจเช่นนั้นเป็นการถูกต้องตามหลักภาษา แม้จะให้อธิบายความตามหลักภาษานั้น ก็อธิบายได้โดยมีหลัก เพราะสิ่งที่เหลือซึ่งไม่ตายไปตามร่างกายสังขารมีปรากฏอยู่กล่าวคือ ดีก็ปรากฏ ชั่วก็ปรากฏ ดังปรากฏในคำฉันท์อันเตือนใจที่ดีที่สุด ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า



    พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
    โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
    นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
    สถิตย์ทั่วแต่"ชั่วดี" ประดับไว้ในโลกา



    แม้ในส่วนคำว่า"ไม่สร้าง" ก็อธิบายความได้ว่า เมื่อบุคคลที่เกิดมาไม่สร้างดีไม่สร้างชั่ว หรือพูดเป็นคติธรรมว่า บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้างแล้ว ย่อมไม่มีอะไรปรากฎอยู่ ชีวิตเป็นหมัน เรียกตามโวหารทางพระศาสนาว่า ชีวิตของบุคคลเช่นนี้ เป็นโมฆชีวิต เป็นสิ่งที่ท่านตำหนิไว้ ตกอยู่ในประเภทเสีย


    แต่อย่างไรก็ดี เรื่องสร้าง กับเรื่องไม่สร้าง นี้ ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะพูดตามหลักภาษา ซึ่งจะต้องอธิบายขยายความกันกว้างขวางพิสดารเกินกำลังของหนังสือเล่มนี้ และเกินความประสงค์ของข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้ด้วย จะขอพูดตามความหมายที่ข้าพเจ้ามุ่งตั้งขึ้นให้เป็นความหมายเท่านั้น ซึ่งพอกำลังของหนังสือเล่มนี้ และพอเหมาะแก่ความประสงค์ของข้าพเจ้า



    คำว่า "สร้าง" ข้าพเจ้ากำหนดความหมายไว้ว่า หมายถึง สร้างความดี คำว่า "ไม่สร้าง" ข้าพเจ้ากำหนดความหมายไว้ว่า หมายถึง ไม่สร้างความดี จากความหมายอันเป็นหลักนี้ จึงได้ความหมายสืบต่อไปว่า บุคคลผู้สร้างความดี ชื่อว่าตายเพื่ออยู่ บุคคลผู้ไม่สร้างความดี ชื่อว่าอยู่เพื่อตาย


    เมื่อได้ให้ความ หมายสืบต่อมาเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดปัญหาท้ายคำตอบสืบต่อไปว่า ความดีได้แก่สิ่งใด หรือสิ่งใดจัดว่าเป็นความดี? ปัญหาว่าความดีคืออะไร หรือว่าอะไรเป็นความดี ถ้าจะพูดกันตามโลกสมมติตามยุคสมัย เห็นจะหาคำตอบให้ถูกต้องครบถ้วนได้ยากเต็มที จะว่าเป็นปัญหาโลกแตกก็พอจะว่าได้ แต่ถ้าจะหาคำตอบตามแนวพระศาสนา พอจะหาคำตอบที่เป็นหลักได้อยู่ ข้าพเจ้าจึงสมัครใจที่จะให้คำตอบตามแนวพระศาสนาที่ข้าพเจ้าพอรู้อยู่บ้าง ความดีคืออะไร หรืออะไรเป็นความดี เมื่อพูดกันตามแนวทางของพระศาสนา พอจะรวบรวมได้เป็นหลักใหญ่ ๓ ประการคือ


    1 .สิ่งที่วิญญูชนยอมรับนับถือว่าเป็นความดี
    2. สิ่งที่เป็นประโยชน์ตน และเป็นประโยชน์ผู้อื่น หรือสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตน และไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    3. ความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ

    แนว คิดของข้าพเจ้าตามแนวพระศาสนาทั้ง ๓ ประการนี้ ข้าพเจ้าขอฝากท่านผู้รู้ทั้งหลายเพื่อพิจารณาต่อไปด้วย ว่าจะครบถ้วนหรือยังขาดตกบกพร่องประการใด จะได้ช่วยกันแก้ไขตกเติม เพื่อให้ถูกครบถ้วนสืบต่อไป

    ย่อม เป็นที่รับรองต้องกันในวงการพระศาสนาแล้วว่า ความตายไม่ได้หมายเอาเฉพาะความสิ้นชีวิต หรือการแตกกายทำลายขันธ์เท่านั้น แม้ยังมีชีวิตอยู่หรือยังไม่แตกกายทำลายขันธ์ กล่าวคือยังเป็นอยู่นั่นเอง ก็เรียกว่าตายได้เหมือนกัน พระพุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เย ปมตตา ยถา มตา คนพวกใดประมาทแล้ว คนพวกนั้นย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว" เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างของเขาไม่มี เช่นเดียวกับคนที่ตายแล้ว ย่อมไม่มีภาวะแห่งความเป็นผู้สร้าง ฉะนั้น


    บุคคลที่ปล่อยให้ อายุหมดสิ้นไป หรือปล่อยให้สังขารร่างกายเสื่อมสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในโลกนี้ หรือประโยชน์ในโลกหน้า หรือปรมัตถประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตน หรือประโยชน์ผู้อื่น ก็ล้วนแต่เปล่าทั้งสิ้น ความหมดสิ้น หรือความเสื่อมสิ้นแห่งอายุสังขารย่อมสูญไปตามลำดับกาลเวลา อันไม่มีใครจะห้ามได้ อายุสังขารที่ต้องสูญเสียไปเช่นนี้ ชื่อว่าสูญเสียไปโดยถ่ายเดียว ไม่มีสิ่งที่เป็นคุณค่าทดแทนเลย ชีวิตของบุคคลเช่นนี้ต้องนับว่าอยู่เพื่อตายเท่านั้น เป็นคนที่เอาตัวไม่รอด หรือเอาตัวรอดไม่ได้ ครอบครัวใดมีแต่คนประเภทนี้ ครอบครัวนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ สกุลใดมีแต่คนประเภทนี้ สกุลนั้นต้องสูญสิ้นสกุลวงศ์ หมู่ใดคณะใดมีแต่คนประเภทนี้ หมู่นั้นคณะนั้นต้องสูญสิ้นเช่นกัน ชาติใดประเทศใดมีแต่คนประเภทนี้ ชาตินั้นประเทศนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้โดยอิสระเสรี มีแต่จะป่นแหลกล่มจม หรือต้องเป็นขี้ข้าชาติอื่นประเทศอื่น ศาสนาใดมีแต่สาวกประเภทนี้ ศาสนานั้นต้องอันตรธานสูญสิ้นไปในไม่ช้า สมาชิกของครอบครัว ของสกุลวงศ์ ของหมู่คณะ ของประเทศชาติของศาสนา หากล้วนแต่มีลักษณะอยู่เพื่อตาย ผลร้ายที่สุดย่อมบังเกิดเช่นกล่าว โดยไม่ต้องสงสัยแต่ประการใด ชีวประวัติ ของบุคคล ของครอบครัว ของสกุลวงศ์ ของหมู่คณะ และประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ ตลอดถึงศาสนาจะเป็นพยานได้อย่างดีที่สุดในเรื่องที่พูดมานี้



    โดย นัยตรงกันข้าม หากบุคคลไม่ให้อายุหมดสิ้นไป หรือไม่ปล่อยให้สังขารร่างกายเสื่อมสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ มุ่งหน้าบากบั่นพยายามประกอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะเป็นประโยชน์ในโลกนี้ หรือประโยชน์ในโลกหน้า หรือประโยชน์อย่างยิ่งก็ตาม หรือมุ่งหน้าบากบั่นพยายามประกอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น หาสิ่งที่ทดแทนความหมดสิ้นแห่งอายุ หรือความเสื่อมสิ้นแห่งสังขาร ไม่ปล่อยให้ตายเปล่าโดยไม่มีสิ่งเป็นคุณค่าทดแทน ชีวิตของบุคคลเช่นนี้ต้องนับว่าตายเพื่ออยู่ เป็นคนที่เอาตัวรอด หรือรอดตัวได้ ครอบครัวใด สกุลใด หมู่ใด คณะใด ประเทศชาติใด ศาสนาใด มีคนประเภทนี้อยู่ แม้ไม่ต้องทั้งหมด แต่มีเป็นส่วนมากเท่านั้น ครอบครัวนั้น สกุลนั้น หมู่คณะนั้น ประเทศชาตินั้น ศาสนานั้น ต่างจะรุ่งเรืองมั่นคง ตำรงเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ไม่ล่มจม หากจะมีคนประเภทนี้ทั้งหมด หรือส่วนมากที่สุดแล้ว จะไม่มีวันเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว และยั่งยืนตลอดกาล ชีวิตสิ้นเปลืองไปเท่าใด สิ่งอันเป็นคุณค่าเครื่องทดแทนแห่งชีวิตย่อมพอกพูนขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้ กำไรแห่งชีวิตย่อมเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ตายเพื่ออยู่ ล้วนอำนวยประโยชน์ทุกที่ทุกทาง จึงเป็นข้อควรนึก และควรปลูกฝังให้มีอยู่กับตัว



    ความ หมดสิ้นแห่งอายุก็ดี หรือความเสื่อมสิ้นแห่งสังขารก้ดี ย่อมมีอยู่ทุกโมงยามทุกวันทุกเดือน และทุกปี ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งได้ ดังกล่าวแล้ว กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์ให้มอดม้วยไปพร้อมกับกินตัวมันเองด้วย สัตว์โลกจึงชื่อว่าตายไปทุกโมงทุกยาม ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เป็นเช่นนี้ทั่วเมทนีดล และมิใช่แต่ความหมดสิ้น หรือเสื่อมสิ้นเท่านั้น ที่ท่านเรียกว่าความตาย กิริยาที่หยุดยั้งไม่มีการเคลื่อนไหน หรือคลี่คลายขยายตัว ท่านก็เรียกว่าตายเหมือนกัน เช่นดังนาฬิกาตาย ก็คือนาฬิกาที่ไม่เดิน น้ำตายก็คือน้ำที่ไม่ไหล ฉะนั้นความไม่สืบต่อในสิ่งที่ต้องทำ ในคำที่ต้องพูด ในแนวที่ต้องคิดก็ดี กิริยาที่หยุดอยู่กับที่ ไม่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับภาวะต่างๆ อันเนื่องกับความเป็นไปในปัจจุบันก็ดี เนื่องกับเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็ดี เนื่องกับกาลสมัยก็ดี เนื่องกับเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็ดี เนื่องกับกาลสมัยก็ดี เนื่องกับผลได้ผลเสียทั้งบัดนี้ และภายหน้าก็ดี เหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่บ่งถึงความตายอยู่ในตัวทั้งสิ้น คือบอกให้รู้ว่าไปไม่รอด เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างได้ถึงความสะดุดหยุดลงสิ้นแล้ว อย่างนี้ก็เป็นเรื่องอยู่เพื่อตายเช่นกัน ชีวิตมีแต่จะสิ้นไปหมดไปถ่ายเดียวเท่านั้น



    ส่วนกิริยาที่ไม่ หยุดยั้ง สืบต่อไปไม่ขาดสายในสิ่งที่ต้องทำ ในคำที่ต้องพูด ในแนวที่ต้องคิด กิริยาที่ไม่ยืนอยู่กับที่ มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับภาวะต่างๆดังกล่าวแล้ว กิริยาที่เป็นไปเช่นนี้ ทำให้สิ่งทั้งหลายมีชีวิตอยู่ได้โดยมีการเคลื่อนไหว หรือคลี่ขยายตัวไม่มีการหยุดยั้ง ถึงชีวิตจะหมดสิ้นไปตามระยะกาลเวลา ก็ยังชื่อว่าตายเพื่ออยู่ ถึงจะตายก็เหมือนยังอยู่ เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างมิได้สะดุดหยุดลงแต่ประการใด



    ความ อยู่กับความตายตามที่พูดมา หมายเอาเฉพาะความเป็นไปในระหว่างแห่งชีวิตของบุคคล ก่อนแต่จะถึงความแตกกายทำลายขันธ์หรือหมดลมปราณ ความตายครั้งสุดท้ายของสัตว์โลกย่อมมีเป็นประจำสำหรับชีวิต บุคคลบางคนในโลก เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้วก็หมดกัน ไม่ทิ้งอะไรเหลือไว้ให้เป็นสมบัติเพื่อคนในภายหลัง มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตายในที่สุดเท่านั้น อย่างนี้เข้าในลักษณะว่าอยู่เพื่อตาย อันคติธรรมที่ว่า "เสียเพื่อได้" อันบริสุทธิ์มิเคยบังเกิดขึ้นในวาระจิตของเขาเลย หากจะมีเรื่องได้เสียเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้งบางคราวในน้ำใจ ก็มักจะเป็นไปในลักษณะ "ได้เพื่อเสีย" เรื่องได้กับเสียเป็นคติธรรมชนิดหนึ่งที่คู่ ตัวหนึ่งอยู่ ตัวหนึ่งตาย เสียเพื่อได้ เสียเป็นตัวตาย ได้เป็นตัวอยู่ ได้เพื่อเสีย เสียไม่ใช่ตัวตาย ได้ไม่ใช่เป็นตัวอยู่ ได้กลับเป็นตัวตาย เสียกลับเป็นตัวอยู่ การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ได้มานั้น เล็กกว่า แคบกว่า ต่ำกว่า ส่วนสิ่งที่เสียไป ใหญ่กว่า กว้างกว่า สูงกว่า ขอให้เทียบดูในเรื่องประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนรวม สิ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า ย่อมครอบงำสิ่งที่เล็กกว่าแคบกว่าได้มิดชิด สิ่งที่สูงกว่าย่อมกำบังสิ่งที่ต่ำกว่าการได้ชนิดถูกความเสียเข้าครอบงำ กำบังไว้ย่อมไม่ปรากฏ เท่ากับสูญสิ้นไป ส่วนความเสียย่อมลอยเด่นเป็นที่ปรากฏอยู่ เสียจึงกลายเป็นตัวอยู่ ได้จึงกลับเป็นตัวตายมีลักษณะละม้ายกันกับอยู่เพื่อตาย



    ส่วน บุคคลบางคนไม่เป็นเช่นพูดมา มองเห็นความเกิดความดับว่าเป็นของของคู่กัน เหมือนมีหน้าก็ต้องมีหลัง มีสว่างก็ต้องมีมืด จะเลือกเอาเฉพาะแต่อย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่ ในฐานะที่ตนได้เกิดมาเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มอยู่ในมนุษยชาติไม่เกิน ๑๐๐ ปี จะต้องถอดทิ้งเรือนร่างถมแผ่นดิน จึงลงทุนก่อสร้างสมบัติเพื่อคนในภายหลัง โดยวิธียกประโยชน์อันเหนือกว่าเป็นหลักยึดกล่าวคือ ยอมสละผลอันเล็กน้อย เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ยอมสละสุขอันเล็กน้อยเพื่อสุขอันไพบูลย์ เขามั่นอยู่ในคติธรรมที่ว่า "พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทรัพย์ และอวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม" คติโลกที่ว่า "ตัวตายดีกว่าชาติตาย" จึงเป็นคติอันถูกต้องสอดคล้องกับคติธรรมดังกล่าวมา เพราะได้ยึดสิ่งที่เหนือ หรือสูงสุดเป็นหลัก และยอมสละสิ่งที่เล็กน้อยเพื่อสิ่งอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ไพบูลย์ บุคคลผู้อุทิศร่างกาย และชีวิตประกอบกิจเพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อสิ่งที่เกื้อกูล และเพื่อความสุขแก่มหาชน แม้ร่างกายชีวิตจะต้องย่อยยับแตกดับลงก็ตาม สมบัติที่เขาลงทุนก่อสร้างไว้ยังคงดำรงอยู่ ชื่อเสียงเกียรติคุณยังลอยเด่นอยู่ไม่ดับ บุคคลเห็นปานนี้แลชื่อว่า"ตายเพื่ออยู่" โดยแท้



    จากข้อความตามที่พูดพอเป็นแนวคิดสะกิดใจโดยย่อเพียงเท่านี้ พอจะยุติได้ว่า "อยู่เพื่อตาย" ไม่ดี "ตายเพื่ออยู่" ดีกว่า ดีทั้งแก่ตัว แก่ครอบครัว แก่สกุลวงศ์ แก่หมู่คณะ แก่ประเทศชาติ แก่ศาสนา



    เพราะฉะนั้น จึงควรตั้งเป็นสูตรว่า "อยู่เพื่อตาย ได้เพื่อเสีย เป็นทางล่มจมป่นแหลก และย่อยยับอัปปาง เสียเพื่อได้ ตายเพื่ออยู่ เป็นทางรุ่งเรืองเฟื่องฟูวัฒนาสถาพร" บุคคลในโลกนี้จะเป็นประเภทอยู่เพื่อตาย หรือตายเพื่ออยู่ก็ตาม ในที่สุดก็แตกกายทำลายขันธ์เหมือนกันทั้งหมด แต่ความอยู่เพื่อตายกับความตายเพื่ออยู่หาเหมือนกันไม่ เป็นข้ออันวิญญูชนทั้งหลายควรไตร่ตรองพิจารณา


    (จากหนังสือ " บูชา " ในขัอธรรมเทศนาเรื่อง " ตายเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อตาย " โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร ป.ธ. ๙) วัดสามพระยา)

    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UIAcd8R_ZSIXU_YxMxgtIjAc3LqAj0DFr-WQ6kZnSAow.jpg ไไไ.jpg
     
  12. Yingsab

    Yingsab Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +35
    124146.jpg

    กราบสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 3 กราบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบผู้มีพระคุณเป็นอย่างสูงคะ
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    124146.jpg 138559.jpg
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UDwbgCZNlDSRrUCDuhJRoHZtE91C_mfXqn8hFfWuHyna.jpg

    สมเด็จองค์ปฐมรุ่น 4

    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UIspzgTzEVm_yzcQNPc3OeVvtxA33azGqenMmUJ8FOek.jpg

    สมเด็จองค์ปฐมรุ่น 4 และ 5
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    IMG_20180626_155033.jpg IMG_20180626_155005.jpg IMG_20180626_154946.jpg IMG_20180626_154520.jpg IMG_20180626_154701.jpg
    (เหรียญพระนอนมหาเศรษฐี แบบแขวนหน้ารถ ถ่ายเทียบขนาดกับแบบห้อยคอ)

    เหรียญพระนอนมหาเศรษฐี ทั้งแบบแขวนหน้ารถและแบบห้อยคอ ด้านหลังเป็นรูปยันต์พระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ ทำพิธีพุทธาภิเษกไปเมื่อเสาร์ 5 วันที่ 7 ธันวาคม 2556 พร้อมเหรียญตะกรุดเมและวัตถุมงคลอื่นๆ

    วันทำพิธีพุทธาภิเษกอยู่ในช่วงงานบวชธุดงค์ มีพระสุปฏิปันโนในสายหลวงพ่อมาร่วมงานพิธีกันหลายท่านอย่างหลวงพ่อหนุน วัดพุทธโมกข์ หลวงพ่อปลัดวิรัช วัดธรรมยาน หลวงตาชลอ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ฯ

    เหรียญนี้ตั้งชื่อว่าเหรียญพระนอนมหาเศรษฐีเพราะสร้างเป็นองค์แทนพระนอน วัดสุขุมาราม จ.พิจิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไทย ใช้ระยะเวลาในการสร้างเพียง 3 ปีก็แล้วเสร็จด้วยเงินกว่า 50 ล้านบาท นับเป็นพระมหาลาภมากองค์หนึ่งเพราะเพียงระะยะเวลาแค่ 3 ปีมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญด้วยเงินจำนวนมากสร้างองค์ท่านจนสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว


    1-11.jpg 11-12.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UPUJtzYMf2AhjXTQjxaooLPiR-SHkit7qMixij0zZhQV (1).jpg

     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    IMG_20180619_142122.jpg IMG_20180619_142011.jpg IMG_20180619_141848.jpg IMG_20180619_141900.jpg

    รูปหล่อพระแม่ธรณี ภายในบริเวณวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ วัดท่าซุง

    มีผู้มากราบบูชาขอพรท่านในด้านซื้อขายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ได้ประสบผลสำเร็จหลายรายด้วยกันครับ
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 5 หน้า 17).jpg (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6 หน้า 3).jpg (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6 หน้า 4).jpg
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UE3B3vVtzcopTU0KSilJQEkVhDU_Z1SLyzxGR6o9uO6g.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UFdUJwWmG44owQQLpuY-AVFFu3g-D0nGZJKHdnHiD9fl.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UFRRxXkbmCNKSF3BMotJ5ZzX4KOJsqV6ZWa-M06_THPC.jpg lWn-HE_LuEP1rL7J4zk8UJk9cDX2AJYni0dkVqCt9uSDbIWxC20Rd7VvcyxzTCEg.jpg
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705

    5201314.jpg
    โอวาทวันเกิดหลวงพ่อ 6 ตุลาคม 2528



    วันนี้ถือว่าเป็นวันทำบุญวันเกิด แต่ความจริงฉันก็เกิดไม่ซ้ำกันหรอก ปีไหนฤกษ์ดีเมื่อไหร่ก็เกิดเมื่อนั้นแหละ ไอ้ผีตัวนี้มันเลือกที่เกิดได้ รวมความว่าขอขอบคุณหลวงน้า (หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์) และ ภิกษุสามเณรและก็บรรดาลูกหลานทุกคน ที่มีความปรานีมาสงเคราะห์ด้วยการทำบุญวันเกิด วันนี้รู้สึกว่าคับคั่งมากและทุกปีก็มีสภาพเหมือนกัน เพราะว่าคนเข้าข้างในแล้วห้ามออกข้างนอก อยู่ข้องนอกก็ห้ามเข้าข้างใน อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดีของทุกคนที่มีความหวังดี ฉันเองก็คาดไม่ถึง

    แต่ว่าถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วคณะของเราส่วนใหญ่ถ้าเป็นคณะจริงๆ นี่เป็น ปรมัตถบารมี เราจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญกุศลแต่ละวาระที่นี่ก็ดี ที่วัดท่าซุงก็ดี หรือไปที่อื่นก็ดี ถ้าไปทำบุญร่วมกันก็ไม่ต้องประกาศเรียกว่าจงมาทำบุญ ทุกคนไปถึงต่างคนก็ต่างทำด้วยความตั้งใจจริง ถ้าจะกล่าวโดยศรัทธา อย่างนี้เรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เพราะว่าศรัทธา มี 2 อย่าง

    คือ สังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่ง
    กับ อสังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่ง

    สังสาธิกศรัทธา ต้องชักชวน ต้องแนะนำ ต้องเรียกจึงจะทำ ดีไม่ดีเรียกแล้วเรียกอีก นั่งบิดไปบิดมายังไม่ค่อยจะทำเลย

    อสังสาธิกศรัทธา ไม่ต้องเรียก ทำกันด้วยความเต็มใจและว่องไว

    ศรัทธาทั้ง 2 ประการนี้บ่งชัดถึงบารมีของบุคคลว่าบุคคลใดถ้าบารมีไม่ถึงปรมัตถบารี ก็มีศรัทธาเป็น สังสาธิกศรัทธา คือ ทำบุญทำทานยาก ถึงแม้จะทำก็ทำด้วยความเนือยๆไม่กระฉับกระเฉง และผู้ที่มีบารมีเต็มเป็นปรมัตถบารมีเรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เช่นคณะของเราทั้งหมดที่ปรากฏมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นศรัทธาที่เป็น อสังสาธิกศรัทธา

    และก็ทุกคนก็มากันด้วยความเหนื่อยยาก บางคนมาคอยข้างนอกตั้งแต่เช้ายันบ่ายยังเข้าไม่ได้ (หลวงพ่อยังปรามกับพวกกันเองภายใน บอกว่านี่เราไม่ได้แจกเงินแจกทองนะ) ที่ทุกคนมานี่ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไป ถ้าจะว่ากันถึงว่าทรัพย์ก็ต้องถือว่าเป็น อริยทรัพย์ แต่ว่าอริยทรัพย์นี่คนเห็นได้ยาก ถ้าคนไร้ปัญญาหรือความศรัทธามีน้อยหรือบารมีต่ำก็จะไม่เห็นเลย ถ้าหากว่าเป็นทรัพย์เป็นโลกียทรัพย์แจกเงิน แจกทอง แจกของชอบใจ เพราะเห็นง่าย

    ตอนนี้ถ้ามาคอยกันตั้งแต่เช้ายันบ่ายโมงยันเข้าไม่ได้ ก็รวมความว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าทุกคนมีบารมีดีแล้ว และก็วันนี้มีคนมีการตั้งใจเอา บายศรีเงินบายศรีทองมา แต่เป็นที่น่าเสียดายอยู่หนึ่ง เป็นเงินปลอมทองปลอมถ้าเป็นเงินแท้ทองแท้คนที่นี่ตายกันหลายคน แย่งกันหัวชนกันตาย (หัวเราะ) แต่นี่มันหมายถึงความดี บายศรี เป็นการเชิดหน้าชูตา เป็นการบูชาความดีซึ่งกันและกัน เขาจะทำบุญที่มีความสำคัญ เขาใช้บายศรีและดอกไม้ธูปเทียน นี่เขาทำครบแล้ว
    ก็ขอบคุณทุกคนที่มีเจตนาดี แต่ว่างานที่ทำนี่จริงๆด้วยน้ำใจจริงก็เต็มใจทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะไปหาโปรดทราบว่า เวลานี้จิตใจที่มุ่งงานจริงๆ อย่างเดียวคือ ธรรมะ ถ้าไปหาเรื่องอื่นก็ไม่ได้ผล ไปหาหมอดูถ้าพูดถึงคำที่ 2 ถูกด่าเลย เพราะอะไรรู้ไหม แก่มากแล้ว

    ถ้าหากจะถามว่างานก่อสร้างเป็นธรรมะไหม บอกจุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก สังฆทาน อย่างหนึ่ง งานวิหารทานอย่างหนึ่ง เป็นงานสำคัญเบื้องต้น ที่ท่านปู่ท่านสั่งไว้เมื่อปี พ.ศ. 2515 บอกว่า ต้องนำคณะอย่างน้อยที่สุดนำคณะของเราทั้งหมดไปดาวดึงส์ให้หมด ถ้าหากว่าพวกนี้บรรลุมรรคผลไม่ทันชาตินี้ สมัยพระศรีอาริย์ท่านจะลงมานำคณะลงมาทั้งหมด แล้วก็ชาตินั้นทุกคนจะได้บรรลุอรหัตผลทั้งหมด ไปนิพพานหมด

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สินในแผ่นดิของเรามีมาก โดยเฉพาะทองคำนี่ของเรามาก ในที่ต่างๆ เขามาแจ้งว่า นี่ทรัพย์ของท่าน นี่ก็ทรัพย์ของท่าน ถ้าจะนำมาใส่ที่บ้านนี้ทั้งหมดเรียกว่า หลายบ้าน ไม่พอใส่ แต่ในเมื่อเทวดาเขามาบอกให้ทราบ ท่านปู่ก็มาบอกว่า เอาไว้ให้ฉันเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเมื่อพระศรีอาริย์ลงมา ก็เลยไม่ขุด ทีแรกนึกจะงัดขึ้นมาแล้วสิ แต่นี่เขาครอง ก็เลยไม่ขุด เลยมาเตือน 3 ครั้งว่าของท่านอยู่มุมถ้ำนี้ ถ้าคิดจำนวนทองเห็นจะหลายตัน เลย 20 ตัน ถามว่าชาติไหน ท่านก็บอกเลย พอจะไปเอาเข้า โยมท่านก็บอกว่า

    คุณ ! ชาตินี้คุณไม่อยู่ก็ไม่แน่ใจว่าลูกหลานของคุณทุกคนจะไปได้หมดรึเปล่า ถ้าลูกหลานทุกไปไม่ไหมด คุณเอามาใช้ชาตินี้ ชาติตต่อไปพวกนี้มันจะไม่มีใช้ ขอให้โยมเถอะ !

    เวลานี้โยมเองก็ตัดสินใจไปนิพพาน เพราะว่ามีความหวังว่าลูกหลานทุกคนของท่านไปนิพพานได้แน่เป็นอันว่าทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินก็ยังเอามาใช้ไม่ได้อีก เพราะพระพุทธเจ้ามาบอกว่า ควรให้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ เลยไม่ต้องใช้กัน

    แต่ว่าถึงอย่างไรก็ดี พวกเราต้องไม่อดตาย เพราะว่า สมบัติของเราที่มีใต้ดินมีอยู่เวลานี้ส่วนใหญ่ทั้งหมดนำมาไว้ในเขตวัดท่าซุงเต็มบริเวณ ที่คนเดินไปเดินมายังเดินไม่ถึงไอ้ 100 ไร่นั่นก็เต็มข้างล่าง และก็เทวดาที่รักษาท่านก็มีความดีใจว่า ทรัพย์สินอยู่ในเขตที่หวงห้าม ท่านก็ไม่ต้องดูถ้าใครขืนมาขุดก็ต้องตีกับเจ้าของที่ เทวดาสบาย

    ฉะนั้นทุกคนเข้าไปที่นั่นนะ ก็บอกกับเทวดาผู้รักษาว่า “พวกเรามีส่วนในทรัพย์สินนี้เราจะไม่ขุดเอา ขอให้ท่านช่วยในการทำมาหากิน” อันนี้จะมีประโยชน์มาก

    รวมความว่า ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทและลูกหลานทุกคนที่ทำและก็อาตมาเองทำเองก็เพื่อความหวังดีกับทุกคน แต่ว่าจะไปนึกว่าอาตมาหรือว่าฉันทำแต่ผู้เดียวนั่นไม่ถูก งานที่ฉันทำนี่เป็นคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรง เวลานี้ถ้าใครตาดีๆ อย่าขยี้ตานะ ตาบอดเปล่าจงใช้ตาใน จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับอยู่ด้วยถึง 4 พระองค์

    บนหัว องค์ปฐม
    บนด้านขวา เรียกว่าไหล่ขวา พระพุทธกัสสป
    ทางด้านไหล่ซ้าย ไม่ใช่นั่งบนไหล่ พระพุทธทีปังกร
    ข้างหน้า สมเด็จองค์ปัจจุบัน

    เพราะว่า 2 คราวที่ต้องมาคุมถึง 4 องค์ เพราะอะไรแรงมาไม่ไหว กำลังไม่พอ การมาคราวนี้ที่วัดก็ยังไม่ได้รับแขก ยังนอนป่วยอยู่ ก่อนหน้าวันจะมาก็ยังให้น้ำเกลืออยู่ให้มันทุกวัน แรงไม่มี พอถึงวาระจะมาจริงๆ ขึ้นไปหา ท่านบอก ไปได้ แต่ว่าคุณต้องระมัดระวังอย่าให้เหนื่อยมากเกินไป ฉันขอยืนยันว่ายังไงๆ ก็ทำงานครบ 3 วันแน่ ท่านช่วยกำลัง

    ทีนี้ความดีที่ทำที่หลวงน้าบอกเมื่อกี้นี้ว่า ตั้งใจสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทโดยบรรลุมรรคผลเร็ว อันนี้จริง การป่วยคราวนี้เพราะเรื่องเป็นเหตุ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งทำตำราใหม่ หนังสือเล่มใหม่นี่จะเป็นหนังสือที่ความรู้สึกว่า พระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่เบามาก ท่านบอกสอนตามความจริง ไอ้ตำราที่เขียนนี้มามันก็เขียนจริงๆ แต่มันไม่ค่อยจะตรงความจริง อันนี้เป็นตำราของพระพุทธเจ้าเอง เพราะถ้าทุกคนถ้าอ่านไปหน้า 2-3 หน้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปถ้าสามารถทำได้ แต่บางคนที่มีบารมีอ่อนไปหน่อยหนึ่งก็ต้องอ่านหน้าต่อไปจึงขึ้นคำอธิบาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามไม่เกินวิสัยของเราเหล่าพุทธบริษัท และท่านก็แนะด้านเสียง เสียงก็ต้องจำกัด ต้องบันทึกกันใหม่อีก พอจะเริ่มทำงานมันก็เล่นทางท้องก่อน ห้ามขี้ พอเริ่มขี้ได้ก็ ห้ามเยี่ยว ตอนห้ามเยี่ยวนี่ก็น่ารักมาก พอเยี่ยวได้อีก 2-3 วันจะมา มันห้ามขี้อีกเพิ่งมาไล่ขี้เมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ไล่ วันนี้ไม่ไหว !

    ไอ้โรคนี้มันมาจากไหน ?

    วันนี้นอนอยู่ประมาณสัก 4 ทุ่มเศษๆ อาการทางกายเครียดหนัก การป่วยคราวนี้เครียดหนักจริงๆ ถึง 4 ครั้ง ก็คิดว่ามันจะทรงตัวไหวหรือไม่ไหว ไอ้เรื่องจะหนีไปอยู่บ้านใหม่เป็นของไม่ยาก แต่งานมีอยู่จึงไม่ตัดสินใจไปทีเดียว ขอไปพักชั่วคราว มันเครียดจัดก็ขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกดูร่างกาย ท่านสั่งท้าวมหาราชทั้ง 4 พระองค์มาที่ร่างกาย ทั้ง 4 ท่านก็พยายามถอนพิษไข้สามารถทรงตัวได้ เมื่อคุยกับท่านใกล้ๆ จะมานี่ฉันก็รำคาญในใจ ว่ามันบาปชาติไหนกันแน่ ใช้ยถากรรมมุตาญานดูก็ไม่เห็นว่าไปทำอะไรไว้ชาติไหนถึงป่วยแบบนี้ ก็นึกในใจ เครียดก้ช่างมัน เดี๋ยวไปคุยกับพระพุทธเจ้าดีกว่า พอขยับออกจากตัวเห็นท้าวมหาราชทั้ง 4 องค์นั่งอยู่ข้างหน้า ก็เลยคุยกับ ท่านท้าวเวสสุวัณ

    ถามว่า “การป่วยคราวนี้มันบาปชาติไหน ทำอะไรไว้เมื่อไหร่ ฉันใช้ยถากรรมมุตาญานดูแล้วไม่เห็น ใช่ว่าจิตฟั่นเฟือน สมาธิเสีย นั่นไม่ใช่ อารมณ์สบาย”

    ท่านท้าวมหาราช มีท่านท้าวเวสสุวัณเป็นหัวหน้าบอกว่า
    “มันไม่ใช่บาปที่ท่านทำ มันเป็นกฎอันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ท่านทำตำราง่ายที่สุด และมรรคผลเบื้องต้น 2 ประการจะเข้าใจได้ง่ายมากคนจะบรรลุมาก

    ถ้าถามว่าเบื้องต้นได้ เบื้องปลายเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร นั่นไม่ต้องห่วง ถ้าวันไหนจะตายบุคคลนั้นจะเป็นอรหันต์วันนั้นและนิพพานวันนั้น

    และประการที่ 2 เสียงที่จะพึงออกมามาก็เป็นการสกัดการทำบาปของคนเป็นเสียงง่ายๆ
    ท่านบอกว่า เหตุนี้แหละที่กิเลสมารจะต้องเข้ามาขัดขวาง ทำลายท่านให้ยับยั้ง เมื่อกิเลสมารเข้ามาแล้ว ไอ้กิเลสมารมันทำไม่ได้เพราะ

    1. ราคะ ความรัก ไม่มีทาง
    2. โลภะ ความโลภ ไม่มีทาง
    3. โทสะ ความโกรธ คิดจะเข่นฆ่าใครมันก็ไม่สามารถที่จะทำได้
    4. โมหะ ความหลง ติดนั่นติดนี่มันก็ไม่มีโอกาสมันก็ทำได้อย่างเดียว คือทำลายร่างกาย เมื่อกิเลสมารเข้ามาสวมร่างกายเราก็เรียกว่า ขันธมาร ป่วยนั่นป่วยนี่มันจะยับยั้งท่าน ท่านจะได้ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ หรือเขียนหนังสือได้ พอจะเขียนหนังสือทีไรมันตัดทางเขียน พอจะพูดทีไรมันตัดทางพูดด้วยเสมหะ

    เมื่อท่านท้าวเวสสุวัณพูดแบบนี้ พระพุทธเจ้าก็เสด็จท่านบอกว่า หนังสือน่ะเขียนไม่ครบ ก่อนที่ฉันจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน อาการเป็นอย่างนี้

    ท่านก็เลยทำภาพของท่านจริงๆ รูปร่างในสมัยนั้นให้ปรากฏและสถานที่ก็ปรากฏชัด มีต้นหมากรากไม้มีอะไรบ้างก็เห็นชัด อาการป่วยของท่านก็คล้ายคลึงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เสมหะก็หนัก ถ่ายก็ไม่ค่อยจะออก ขี้ออกแต่เยี่ยวไม่ออก แล้วก็อาเจียน เป็นหนักจริงๆ อยู่ 8 วัน มันเครียดหนักท่านบอกว่า ฉันก็ตัดสินใจว่าขณะใดที่ลมปราณคือลมหายใจยังมีอยู่ฉันจะถอยไม่ได้ ตั้งใจแล้ว เมื่อตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ ไอ้กิเลสมารนั่นก็ถอยไป ร่างกายฉันก็ดีขึ้น ดีขึ้นประมาณไม่ถึง 10 วันดี ก็เป็นวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน นั่นเรื่องพระพุทธเจ้าท่านมาทำให้ดู

    แล้วท่านก็บอกเธอก็มีสภาพเช่นเดียวกับฉัน คือเธอปรารถนาพุทธภูมิถึงแม้จะลาพุทธภูมิแล้ว เวลานี้ทำงานเพื่อพุทธภูมิ กำลังแนะนำลูกหลานให้ห้ำหั่นกิเลสชนิดง่ายๆ คือ กิเลสจะตายเร็ว เขาก็ต้องเล่นงานเธอ

    ท่านถามว่า “เธอท้อใจไหม ?”

    ก็เลยกราบทูลท่านบอกว่า คำว่าท้อใจน่ะไม่มีเพราะจิตมันสู้มาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชื่อว่าอุปสรรคนี่สู้มานาน คำว่าถอยหลังนี่ไม่มีมาตั้งแต่เด็ก

    ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องได้

    ก็เลยวิตกกังวลในงานที่จะมานี่ ก็เลยถามท่านว่า ไปกรุงเทพ นี่จะไหวไหมครับ มันยังเดินโซซัดโซเซยังเซอยู่ จะไปไหนก็ตามทหารกับพระนี่ต้องเข้าประคองกลัวล้ม จะขึ้นกุฎิทีพระก็ต้องประคอง 2 ข้าง คือเดินดูไปกลัวจะหล่นบันได

    ท่านบอกว่า มาได้ ฉันจะควบคุมเธอทั้ง 4 องค์ เวลานี้ก็คุมอยู่

    ฉะนั้นก็ขอบรรดาทุกคนที่มีความหวังดีตั้งใจคิดให้ฉันอยู่นานๆ ก็รวมความว่า ความตายนี่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะอายุขัยนี่มันเลยมานานแล้ว เมื่อ 23 ร่างกายดีสมบูรณ์แบบไม่เป็นอะไรเลย ตอนเช้าก็ลงไปจากชั้น 2 หิ้วกระเป๋าหวังจะไปทำงาน กระเป๋าเอกสารมันก็หนักพอลงไปที่ตึกที่งานปรากฎว่าอยากจะไปเข้าส้วม พอเข้าไปนั่งที่โถส้วมปั๊ป มันมืดตึ๊บ ไม่เห็นอะไรเลย ใจหลุดลอยขึ้นไปข้างบน ขึ้นไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และ พระจุฬามณี ถ้าตายจริงๆที่นั่นจะต้องมีพิธีกรรม ต้องเห็นพระเห็นเทวดา เห็นพรหมชัด แต่ไม่เห็นก็เลยพุ่งไปนิพพาน

    พอถึงนิพพานพระพุทธเจ้าบอก ลงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเขาจะห่วงร่างกาย ก็ลงมา ลงมาแล้วลืมตายังมองไม่เห็นอะไรเลย มืดจริงๆ สักครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นมา นี่มันอยู่ไหนกันแน่ รวมความว่าอีตอนหน้ามืดมันจะเวียนหัวอยู่ในส้วม ถ้าตายตอนนั้นจะสวยมาก ก็เป็นอันว่าพอลืมตาขึ้นมามีความรู้ สึกก็ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอจงคิดว่าเริ่มต้นเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เล่นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว นี่เกิดมาแล้วกี่ปีก็เป็นอย่างนี้นะ

    ก็รวมความว่าการตายทุกคนห่วงว่าจะตายเร็วหรือไม่เร็วนั้นก็ไม่ต้องห่วง เพราะท่านที่ห่วงอยู่คือพระพุทธเจ้า แล้วก็พวกที่นั่งๆอยู่นี่คนที่มีความดีเต็มพอสมควรก็จะตายตามอายุขัยไม่ได้เหมือนกัน จะถูกถ่วงเหมือนกันจนกว่างานของท่านจะสมบูรณ์แบบ นี่ทุกคนไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความตาย เรื่องตายนี่เราต้องตายกันแน่ แต่จะตายเวลาไหนเมื่อไร เป็นเรื่องของมันไม่ต้องกังวล ให้กังวลอย่างเดียวว่ากิเลสตัวไหนจะเหลือบ้าง ต้องทำลายมัน

    วิธีทำลาย อย่าทำลายแบบยาก ถ้าทำลายแบบยากไม่ใช่วิสัยของพวกเรา ก็มีบางคณะที่เขาต้องทำลายแบบยาก เพราะคนพวกนั้นเขาทำบุญแบบยากๆ มาตั้งแต่ต้น

    คณะของเราเรื่องบุญเรื่องทานตั้งแต่อดีตมาไม่เคยทำแบบยาก ทำแบบง่ายๆ ตัดสินใจทันทีทันใดทุกชาติ มีอะไรเกิดขึ้นปั๊ปไม่ต้องตรองกันมาก เรื่องความดีฉันทำแน่ มากหรือน้อยฉันก็ทำทันทีทันใด ในเมื่อบุญบารมีเราสร้างมาแบบนี้ การบรรลุมรรคผลจะปฎิบัติแบบยากไม่ได้ ถ้าปฎิบัติแบบยากจะมีความกลุ้มและจะไม่เกิดผล ต้องทำแบบง่ายๆ นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้นะ ฉะนั้นท่านจึงหาแบบง่ายๆ มาให้ และก็คิดว่าก่อนตายนี่ก็คงเขียนได้ ถ้าตายแล้วคงเขียนไม่ได้ เพราะมือใช้ไม่ได้ ใช่ไหม

    ไอ้คนที่พูดมาแล้วก็ควรจะคิดว่าเป็นกรรมฐานไปด้วยนะ ถ้าขึ้นชื่อว่าร่างกายนี่มีสภาพไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เกี่ยวกับความหนักของร่างกาย คือโรคภัยไข้เจ็บมันหนักมาก การกินอยู่มันก็หนัก แต่ว่าจิตใจเราสบายมันเบากว่า แต่ว่าการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เป็นของธรรมดา เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เห็นใครเขาป่วยไข้ไม่สบาย คิดว่าอาการอย่างนี้สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะถึงเรา เวลาจะตายจริงๆ มันจะมีความทุกข์เพราะทรมานอย่างหนัก

    แต่ว่า วิธีที่จะบรรเทาเวทนา มันมีอยู่ทางเดียว พยายามฝึก อานาปานุสสติให้มาก อานาปานุสสติคือลมหายใจเข้าออก คำว่ามากนี่ไม่จำเป็นต้องไปล่อทั้งวันจนไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่เจริญพระกรรมฐานขึ้นอานาปานุสสติก่อนให้มันชิน ถ้าขณะที่ป่วยอยู่อย่างทิ้งกรรมฐาน ตื่นขึ้นมาปั๊ป จับอานาปานุสสติควบกับภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนิพพานไปทุกวันให้ชิน นิพพานนี่ต้องไปให้ชิน เพราะอารมณ์ของนิพพานนี่เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ และอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ทุกขเวทนามันจะน้อยเต็มที มันจะมีความรู้สึกไม่ถึง 3 ใน 100

    อย่างกับวันที่ปัสสาวะไม่ออก ไอ้ปัสสาวะไม่ออกนี่มันคั่งมาถึง 4 วัน เพราะว่าไม่มีทางที่จะรักษา เป็นวันเริ่มต้นของการสอนมโนมยิทธิเต็มกำลัง ( 21 ก.ย. 28) มันเริ่มวันนั้นเป็นอย่างหนัก และวันเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปทำงาน พอวันจันทร์ก็ไปอยู่ที่กุฎิด้านล่าง วันนั้นนอนไปไหนไม่ได้ ไม่รับแขก ต่อมาวันอังคาร หมอประสิทธิ์ ขึ้นไปวัด

    วันนั้นพระอนันต์ถามว่า “หลวงพ่อครับ ท้องน้อยปวดไหม ?”

    ความจริงมันไม่รู้สึกปวดเลย เหมือนกับธรรมดา แต่เวลาปัสสาวะมันไม่ค่อยจะออกเลย มันปวดมาก พอพระอนันต์ถามมันปวดไหม ก็เลยเอามือแตะท้องน้อย พอมือถูกมันปวดจี๋เลย พอปวดจี๋พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า

    “ฉันคลายให้เธอรู้ว่าเวทนามันขนาดนี้นะ และเมื่อกี้เลยไม่รู้เลยก็เพราะ

    1. สมาธิ 2. อารมณ์พระนิพพาน 3. กำลังของฉันช่วยควบคุม”

    ฉะนั้นขอให้ทุกคนก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าเวลาที่เราจะป่วยไข้ไม่สบายอย่าลืมอานาปานุสสติ ยามปรกติอย่าทิ้งพระนิพพาน อย่างนี้เวลาป่วยจริงๆ ทุกขเวทนามันจะน้อย

    ก็จำไว้ว่าร่างกายมีสภาพไม่ดี มันเป็นทุกข์ สมบัติที่เราได้จากมันคือ

    1. ความแก่มาหาเราทุกวัน
    2. อาการป่วยไข้ไม่สบายต้องมีเป็นปรกติ
    3. ความปราถนาไม่ค่อยจะสมหวังมีเป็นปกติ
    4. ความตายเข้ามาถึง

    ทั้งหมดนี้ถือไว้แต่ตอนต้นว่ามันเป็นธรรมดาของเราเมื่อเราเกิด สิ่งนี้มันต้องมี ในเมื่อมันมีเราถือเป็นธรรมดา มันจะพังเมื่อไหร่ก็เชิญ พังเมื่อไหร่ฉันขอไปนิพพานเมื่อนั้น ถ้าตั้งใจแบบนี้เวทนามันจะน้อย ถ้าตั้งใจแบบนี้ก็ตั้งใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่งว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก จุดที่เราต้องการคือ พระนิพพาน

    ที่นี้การพูดแบบนี้นักปราชญ์บางคนอาจจะค้านว่าการปฎิบัติหวังพระนิพพานคือกำลังจิตยังอ่อน อันนี้ก็ยอมรับ แต่ว่าเราอย่าประมาทในชีวิต คนที่มีกำลังน้อยถ้าเวลาเดินขึ้นบันไดต้องเกาะราว ถ้าไม่เกาะราวก็จะหล่น ถึงแม้ว่ามีกำลังมาก ถ้ามีราวก็ต้องเกาะ คือความไม่ประมาท ถ้าไม่เกาะมันเผลอมันก็หล่นได้ฉันใด ถ้าทำจิตว่างเฉยๆ ดีไม่ดีมันจะลงอเวจีไป ต้องเกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่าไปเชื่อเขาพวกเราต้องทำแบบนั้น

    รวมความว่าขอขอบใจทุกคน ทั้งหลวงน้าด้วยที่ห่วงกลัวฉันจะตายเร็ว อยากอยู่นานๆ ฉะนั้นหลวงน้าจะตายก่อนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าตายเมื่อไหร่จะจับยัดใส่เตาเผาทันทีเอาให้เข็ด

    (สุดท้ายหลวงพ่อท่านให้พรว่า)

    “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอให้พุทธบริษัทและลูกหลานทุกคน จงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ”

    (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2541 หน้า 35-42)

    5201311.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    111
    ค่าพลัง:
    +225,705
    577178_294247757334169_100002468402313_656753_191107322_n.jpg 542012_242255445908234_767997356_n.jpg 549940_106570849538465_124448868_n.jpg


    จากเรื่องโอวาทวันเกิดหลวงพ่อด้านบนนี้

    ฉะนั้นทุกคนเข้าไปที่นั่นนะ ก็บอกกับเทวดาผู้รักษาว่า “พวกเรามีส่วนในทรัพย์สินนี้เราจะไม่ขุดเอา ขอให้ท่านช่วยในการทำมาหากิน” อันนี้จะมีประโยชน์มาก

    ................................................................................................

    ถ้าสนใจเพื่อนๆเวลาไปวัดก็ลองอธิษฐานกันดูนะครับ

    อธิษฐานจุดไหนในวัดก็ได้หมดเพียงนึกก็ถึงท่านแล้วครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...