ธรรมะ คือ ธรรมชาติ จงนำกายสู่ความดีงาม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พระวัดหัวเขา, 2 กันยายน 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บางทีก็เหมือนเล่นกล

    ความว่างสร้างเรื่องราว (ตามเรื่องตามราว มันคงมีหน้าที่สร้างอย่างเดียว)
    เรื่องราวสร้างตัวตน(ไม่รู้ตัวตนมันมาตอนไหน อยู่ๆมันก็เกิดมี ตั้งแต่เมื่อไร ก็ไม่รู้ตัวอีก)
    ตัวตนยึดเอาความว่างเป็นของตน(เพราะดันเป็นคนเห็นเรื่องราว เห็นแล้วยึดจับจองไว้)

    เมื่อความว่างเคลื่อนไหว ตัวตนก็เลยเกิดมี
    ภพชาติก็เลยต้องมีตามมาเพื่อรองรับตัวตนอีกที
    ถ้าความว่างไม่เคลื่อน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เรียนถามพระคุณเจ้า อิฉันเข้าใจถูกไหม
    อนุโมทนา ล่วงหน้าเจ้าค่ะ
     
  2. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    สงสัยท่านผู้พัน คงคิดในใจว่า " ตูถามเล่นๆไม่ต้องการคำตอบเฟ้ย
    ดันสะแหล่นมาตอบได้ ไอ้พวกนี้ไม่เจียมบอดี้เลย"
    ตอนแรกบอกผมตอบเหมือนพระ ตอนหลังนี้ผมตอบก่อนพระ แต่
    ท่านบอกอยากได้คำตอบจากพระ แล้วถ้าพระมาตอบเหมือนผมท่านจะว่า
    อย่างไรครับ หวังว่าคงไม่ให้ความเห็นแบบนี้นะครับ ผมว่าท่านถามมา
    เป็นข้อๆอย่าเล่นคำ ดูว่าชาวบ้านเขาจะตอบคำถามท่านได้มั้ย
    ปัดโธ่! เดี๋ยวให้ไปยืนยามหน้า บกเลย (อันนี้ล้อเล่นน่าครับ)
     
  3. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    คุณ น้ำใส..ที่เคารพ

    นับเป็นกุศลผลบุญอันใหญ่หลวงที่กรุณาคนแก่ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ตาที่เคยเป็นต้อลมอยู่ บัดนี้ได้รับการชำระให้เห็นธรรมอันเป็นที่สงสัยมานาน ไม่เคยได้อ่านอย่างนี้มาก่อน นอกจากอ่านหนังสือจากพระท่านเทศน์ ก็จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก พอได้หน้ามาถึงหลังก็งง

    ขอให้คุณพระโมทนาบุญกุศลนี้ให้ คุณน้ำใส ด้วยครับ............

    คุณ บุญพิชิต ..

    ด้วยความขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่พยายามเข้ามาดูแล ไม่ทอดทิ้งหลายหัวข้ออยู่ ขอบุญกุศลนี้จงเป็นของคุณด้วยครับ อนุโมทนาครับ แจ้งโล่งอย่างที่เข้าใจ แต่ไม่มั่นใจกลัวหลงอยู่คนเดียว คิดวนไป วนมาอยู่คนเดียว ถ้าเราไม่โง่ จะรู้ว่าฉลาดเป็นอย่างไร ใช่ไหม?.....

    ถ้าจะให้ถามก็ลองสักหน่อย เพราะอะไร ? ทำให้ อัตตา มันเกิดได้แล้วเป็นทุกข์มากที่สุด ทำไมมันจึงเกิด ? เราจะทำอย่างไร จึงระงับไม่ให้มันเกิดได้ทัน.? ตอบโดยอุปปมา อุปมัยก็ได้ จะอ่านเข้าใจง่าย คนตอบก็ตอบง่าย..............................ตอบได้ผมจะยอมไปเฝ้าเวร.....555555.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2009
  4. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    <> ก็ขอกล่าวคำว่าสวัสดีก่อนก็แล้วกัน ....

    <><> ตามที่คุณนิยายธรรม ท่านผู้พันจุ่น คุณบุญพิชิตพร้อมด้วยคุณจีโอ 14 ได้ให้ความสนใจในกระทู้ที่ได้เขียนไว้ในเรื่องธรรมคือ ธรรมชาตินั้น เรารู้สึกดีใจที่มีคุณท่านทั้งหลายให้ความสนใจ แลกความรู้ความเห็นกัน .....

    อ่านแล้วก็รู้สึกในความแตกต่างดี และต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนาน โดยเฉพาะท่านผู้พันจุ่น ที่ต้องรอฟังการตอบปัญหา ในเรื่องความเป็นอนัตตาแห่งรูปกาย เราเองก็ได้ตอบให้ทราบไปแล้วในตอนต้น แต่เมื่อเข้ามาดูในกระทู้แล้ว ก็ต้องมาเจอเรื่องที่แตกต่างเพิ่มมาอีก.... ที่ว่าด้วย กายของเรา ครอบครัวของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา และก็ยังมีอีกว่า... การจะใช้คำว่าอนัตตามาพิจารณากับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

    <> การที่เรามีกายก็ดี มีสรรพสิ่งที่กล่าวมาก็ดี เราล้วนมีมาในภายหลัง เมื่อก่อนไม่มีไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมี เมื่อเห็นก็ห่วงก็ยึด เมื่อคำที่ผู้รู้กล่าวไว้ว่า"มีมากยึดมาก มีน้อยยึดน้อย" หรือ "รู้มากกลัวมาก รู้น้อยกลัวน้อย ไม่รู้เลยไม่กลัวเลย".... อะไรก็ตามที่มีอยู่ก็ควรทำใจไว้ก่อน โดยการอาศัยการได้เห็น การได้ประสพในสภาวะความเป็นจริง ที่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยอาศัยสิ่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือสรรพสัตว์ และบุคคลก็ตาม ที่เห็นความแตกสลาย หายไป ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ย่อมมีความเกิด ตั้งอยู่และก็ดับไปในที่สุด

    <><> เมื่อเราเห็นดังที่กล่าวมาในเรื่องของสรรพสิ่งแล้ว เราก็ต้อง"โยนิโสนมัสสิการ" ในเรื่องราวต่างๆที่ได้พบ ได้เจอแล้วก็เอาเข้ามาพิจารณารูปกายเรา รูปกายคนรอบข้าง แม้ทรัพย์สมบัติก็ตาม ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น...... มีเกิด มีดับเป็นธรรมดา ไม่จีรัง เป็นทุกข์ หาสาระมิได้..... ดังนี้....

    <> การให้สมมุติ แก้สมมุติ เพื่อไปวิมุติ.... ในคำถามที่ว่า"ความไม่มีตัวตนที่บังคับได้" นี้
    ฟังดูแล้ว.. "ก็ดีคิดได้อย่างไร"..... ที่ว่ากายนั้นย่อมบังคับได้ ใจนั้นก็บังคับได้นั้น แท้จริงแล้วทั้งสองอย่างนั้นสามารถบังคับได้ในบางครั้ง ในบางอย่าง ดังคำที่ว่า"คิดก่อนทำ"...

    <>ที่ว่า"ความไม่มีตัวตน เป็นเหตุให้บังคับไม่ได้" กับ"ความไม่สามารถให้คงอยู่ในสภาพเดิมได้" นั้นโดยลักษณะ เหมือนกันด้วยความหมาย เพราะสิ่งใดก็ตาม หากประกอบขึ้นมา โดยการประชุมแห่งธาตุแล้ว ย่อมกลับสู่สภาพเดิม เป็นไปตามกาลเวลา ไม่มีความจีรัง ธาตูก็กลับสู่ธาตู เหมือนลมในยางรถ เมือมีเหตุให้ลมหมด ลมไปอยู่ที่ใด สูญ สลาย หรือไมีมีหรือสูญเปล่า.....

    <> ดังนั้นกายก็ดี ทุกสิ่งรอบข้างก็ดี เราควรพิจารณาว่า เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งรักสิ่งเจริญใจ เมื่อเราพิจารณาแบบนี้อยู่เนื่องๆแล้ว เราก็จะเห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    <> ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงพิจารณาในธรรมที่พระองค์ได้รู้ได้เห็น แล้วก็มาพิจารณาถึงเหตุและผล ว่าธรรมที่รู้ที่เห็นนั้นรู้ได้ยาก คงไม่มีใครสามารถรู้ตามได้ แต่เมื่อพิจารณาดูอีกก็รู้ได้ถึงบุคคลที่จะรู้ได้ก็ยังคงมี เลยตัดสินใจสั่งอบรมสอนมา......

    > พระพุทธองค์กล่าวว่า บางคนให้กินอิ่ม นอนกลับสุขสบาย เมื่อได้ฟังธรรมก็รู้ได้เลย บางคนให้กินพอประมาณ เมื่อได้ฟังธรรมก็รู้ธรรมได้ บางคนไม่ให้กิน เมื่อฟังธรรมก็รู้ธรรมได้ แต่บางคนทำอย่างไร ๆ ก็ไม่สามารถรู้ธรรมได้(ประเภทสุดท้ายต้องปล่อยไป ไม่สอนไม่บอก)

    <> ที่ได้การไว้ในเรื่อง"สมมุติ แก่สมมุติ"นั้น ว่าต้องทำความเข้าใจให้ได้ในเรื่องของสมมุติ กายก็เป็นธาตุที่มาประชุม มีหัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง แล้วก็ตั้งชื่อเป็นสมมุติว่าชื่อนั้น ชื่อนี้ นายดำ นายแดง เมื่อมีชื่อก็เขาไม่ติดในชื่อว่าเราชื่อดำ เราชื่อแดง หากมีใครมาว่า"คุณดำเป็นคนไม่ดี เป็นคนเลว ส่วนนายแดงเป็นคนดี ร่ำรวยเงินทอง มีเมตตาช่วยเหลือผู้อื่น" เมื่อนายดำได้ยิน เขาว่าก็โกรธ เพราะมาว่าเรา(ความยึดเกิดทันที่ อัตตาเกิด ตัวตนเกิด) แต่ถ้าเรามีสติ มีการพิจารณาอยู่ตลอด เข้าใจสมมุติ เราก็ไม่โกรธ และปล่อยว่างได้ ...

    ดังนั้นร่างกายก็เป็นเครื่องอาศัย ครอบครัวก็เป็นเครื่องอาศัย ทรัพย์สมบัติก็เป็นเครื่องอาศัยเช่นกัน จงมีให้เป็นแล้วทุกข์ไม่เกิด ต้องรู้ว่าเมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมมี เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี ....


    <> เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์(อาการของใจ) ปฎิกิริยาของอารมณ์ไม่เกิด ความยึดมั่นไม่มี แล้วจะมีอะไรเกิด ......

    <> ขอเจริญในธรรม.....

    <> พระวัดหัวเขา .... นาโพธิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2009
  5. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านผู้พันครับ ความไม่มีตัวตนบังคับไม่ได้นี้ เราต้องพิจารณาจากลักษณะ
    ของการ เกิด,ตั้งอยู่และดับไปแต่อย่างเดียวครับ สิ่งที่ว่านี้มันครอบคลุมเรา
    ตั้งแต่เกิดจวบจนวันตาย แม้ขณะจิตหนึ่งมันก็เกิดขึ้น,ตั้งอยู่,ดับไปให้เห็น
    แล้วครับ ที่ว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว เราก็ดูที่จิตว่าสั่งให้กายทำอะไร เมื่อ
    จิตสั่งเสร็จ อาการที่สั่งไปแล้วก็คือการเกิดขึ้น,ตั้งอยู่,ดับไป แม้กระทั่ง
    กายที่ถูกจิตสั่ง มันก็แสดงการเกิดขึ้น,ตั้งอยู่,ดับไปพร้อมๆกับจิต
    ส่วนเรื่องการบังคับจิต ไม่ขอพูดเดี๋ยวทะเลาะกันครับ
    .....ฉะนั้นที่ท่านว่ากายหรือจิต สามารถบังคับได้เป็นบางครั้ง มันไม่ใช่ครับ
    มันเป็นเพียงอาการหนึ่งอาการใดของกายหรือจิต ที่แสดงออกมา แล้วก็ดับ
    ไป ตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ท่านหลงไปเลยไม่ได้ดูอาการนั้นๆครับ
    ........เรื่องอัตตาหรืออนัตตานั้นขอตอบแบบง่ายๆ เอาแบบตามอารมณ์ที่
    เกิดขึ้นจริงๆเลยนะครับ
    ชาวพุทธส่วนใหญ่ ย่อมต้องรู้และเชื่อว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนัตตา
    บ้างครั้งทั้งๆที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่า อัตตาไม่มีอยู่จริงแต่ก็เพราะความหลง ทำให้
    เกิดขบวนการทางจิตหรือขันธ์ขึ้น เกิดการปรุงแต่งต่างๆให้เป็นอัตตาขึ้น
    ....ปัญหาสำคัญของนักปฏิบัติอีกอย่างคือ ความกลัว กลัวความสูญสลาย
    หาตัวตนไม่ได้ ทำให้จิตไม่ยอมรับจึงเกิดอัตตาขึ้น เมื่อมีอัตตาสิ่งที่เป็น
    ทุกข์ในความเห็นผมคือ ความโลภ,โกรธ,หลงครับ สิ่งที่จะหยุดมันได้ก็คือ สติ
    ครับ ถามง่ายๆ ตอบง่ายๆ

    เมื่อก่อนเป็น ไอ้เณรเสาร์อาทิตย์ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ถูกอยู่เวรตลอด
    เพราะไปเถียงผู้บังคับบัญชา(ล้อเล่นอีกทีนะครับ เอา..เฮๆๆ)
     
  6. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    นมัสการ พระวัดหัวเขา
    คุณ บุญพิชิต

    นั่นไง.....เห็นไหม พระมาโปรดแล้ว ท่านตอบคำถามให้ผมด้วย เหมือนกับของท่านบุญพิชิตตอบ ใกล้เคียงกัน แสดงว่าที่ผมเข้าใจไม่หลงอยู่คนเดียวแล้ว ของอย่างนี้ต้องกระทบกันเพื่อให้เกิดประกายไฟแล้วจะได้เห็นเหมือนกันทั้งคู่ ยกเว้นตาเป็นต้อเห็นไม่ชัด ช่วยไม่ได้

    ขอกราบขอบพระคุณพระ...และขอบคุณ คุณบุญพิชิต ด้วยครับ ต่อจากนี้ผมก็จะนำความรู้ไปคร่ำครวญ ใคร่ครวญ ตามวิธีของผม เค้นให้ลงไปในสมองอันทึบให้มันสว่างโล่ง แล้วsave ไว้ตลอดไป เป็นภูมิต้านทานเพื่อให้มีกำลังต้านเชื้อโรคได้ เรื่องนี้คงจบละมั๊ง....

    เจอกันใหม่ในกระทู้อื่นครับ.
     
  7. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    <> ขอกล่าวว่า... สวัสดีท่านผู้ใคร่ในธรรมปฎิบัติ....

    <><> สาธุ... สาธุในธรรม ในความเข้าใจที่ท่านเข้าใจนั้น ก็ถูก ที่ว่า.....

    ... "ความว่างสร้างเรื่องราว เรื่องราวสร้างตัวตน ตัวตนยึดเอาความว่างเป็นตัวตน".. นั้น... คงมีความว่า"เมื่อหยุดว่าง เพราะเหตุแห่งความคิดเกิด แล้วเข้าไปยึด ในปฎิกิริยาแห่่งความคิด เกิดสัญญาเจตนา(ความตั้งใจในความจำได้หมายรู้ ในสิ่งที่คิด) เกิดรัก เกิดชังเป็นเหตุให้เกิดความมีตัวมีตน....

    ..."ที่ว่า"เมื่อความว่างเคลื่อนไหว ตัวตนเกิดมี"... การเคลื่อนที่ของความว่าง ก็เพราะ มีความคิดเกิดขึ้น ความว่างก็เลยหายไป (เหมือนห้องว่าง เมื่อเราเข้าไป ก็ไม่ว่าง)... มีคำๆหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์ ชอบพูด "จิตคิด จิตเกิด" ดังนี้....

    ... ที่ว่า"ภพชาติก็เลยต้องมีตามมาเพื่อรองรับตัวตนอีกที"..เมื่อมีเกิด ย่อมมีตั้งอยู่ และมีตายในที่สุด ภพชาติจะเกิดไม่ได้ถ้า ไม่มีอวิชชา (ความไม่รู้) เมื่อมีอวิชชาก็มีสังขาร(ความคิด) เมื่อสังขารก็มีวิญญาณ(ความรู้) เมื่อมีวิญญาณก็มีรูป

    .... ด้วยความหมายว่า..เมื่อเกิดมาแล้วย่อมอยู่ภายใต้"สมมติ" เมื่อ"สมมติเกิดแล้ว ก็เข้าไปยึดใน"สมมติ"นั้น ๆ.... เกิดภพเกิดชาติเกิดชรามรณะ ต่อ ๆ ไปไม่รู้จบ

    หากจะจบก็ต้องจบลงด้วย "วิชา"(ความรู้จริง) ......"จิตเกิด จิตถูกทำลาย"

    .... ที่ว่า"ถ้าความว่างไม่เคลื่อน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" จริงแท้... เมื่อไม่คิด กรรมก็ไม่เกิด มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า" ความคิดทำให้เกิดการกระทำ การกระทำทำให้เกิดเป็นนิสัย"..ดังนี้...

    <> หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านกล่าวไว้ว่า" จิตคิดจิตเกิด จิตเกิดจิตถูกทำลาย"..

    .. "จงหยุดกระหาย หยุดแสวงหา" ........

    <><> ขอโมทนาในธรรมปฎิบัติ....

    <> พระวัดหัวเขา .... นาโพธิ์....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2009
  8. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    นมัสการพระคุณเจ้า ผมขออนุญาตินำข้อความเรื่องศีลของท่าน ไปสอน
    สมาชิกในห้องพุทธศาสนานะครับ
     
  9. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805

    <><> สวัสดีคุณบุญพิชิต....
    <><><> ก็ยินดี พร้อมขออนุโมทนาบุญด้วย
    ..... สาธุ...สาธุ... อนุโมทามิ...
    <> พระวัดหัวเขา... นาโพธิ์...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2009
  10. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    กราบมนัสการ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคะ

    หลายวันก่อน ลูกได้เข้าไปสนทนาในห้องแชท มีบุคคลหนึ่งถามลูกว่า

    ยังกลัว แมลงสาบ หนู ตะขาบอยู่ไหม ลูกก็ตอบไปว่า ยังกลัวอยู่

    เขาก็บอกกับลูกว่า บารมีของลูกยังไม่เต็มเพราะยังกลัวอยู่

    (เกี่ยวไหมเจ้าคะ ถ้ายังกลัวอยู่ จะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงอริยะเบื้องต้นได้)


    ..........................

    และบุคคลเดิมยังบอกกับลูกอีกว่า ลูกยังขาดเนกขัมมบารมี เพราะว่า

    ยังโทร..หาพระวัดโน้น หาพระวัดนี้อยู่

    จะเป็นความจริงเพียงใด ขอพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้โปรดชี้แนะเป็นธรรมทานด้วยเทอญ เจ้าคะ... ลูกยังปัญญาน้อยนัก เผื่อผู้ใดมาอ่านหรือติดขัดประการใด จะได้หายข้อข้องใจเจ้าคะ

    ด้วยความเคารพ
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ความมี ความไม่มี จะสำคัญอะไร เบื้องต้นก็ลองพิจารณาธรรมนอกไปก่อน ลองดูซิว่าอันตัวท่าน เป็นเจ้าของอะไรได้บ้าง มีอะไรบ้างที่มันเป็นของท่านอย่างแท้จริง ^-^

    แสนชาติก็หาคำตอบที่แท้ได้ยาก เพราะมันก็ปรุงไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้ถูก ไม่ฟันธงได้ว่าผิด วันนี้เห็นอย่างหนึ่งว่ามันถูก วันถัดไปกลับว่าที่แล้วผิด อย่างวันนี้ซิมันถูก

    อาการอย่างนี้เรียกว่าอะไรหนอ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2009
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่เกี่ยวครับ ^-^
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไปเอามาจากไหนครับ ถ้าเข้าทรงมา หรือรู้เห็นในนิมิต ถอดจิต ผมขออนุญาติไม่เห็นด้วยนะ แล้วนอกจากศาสดาองค์ปัจจุบันนี่ ไปนับถือใครอีกเหรอครับ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดได้ยุคละองค์นะครับ ^-^
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้ว่า ไม่รู้
    รู้ว่า มันสงสัย
    รู้ว่า มันอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่
    รู้ว่า รู้ไปแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรม แต่ก็ยังอยากรู้ อยู่ดี!!!
    รู้ว่า มีคนรู้จริงอยู่ สามารถไขข้อข้องใจ เพื่อจะได้ละความสงสัยในตัวเองได้
    รู้ว่า มีคนไม่รู้จริงอยู่ ไม่สามารถไขข้อข้องใจให้แก่ผู้ใดได้

    ปุถุชน ถ้าไม่ปรุงแต่งแล้ว ก็ไม่ใช่ปุถุชน นะซิ
    บัณฑิตผู้รู้แจ้ง ย่อมรู้จริงเสมอ ไม่มีสงสัย ไม่มีทิฏฐิ
    รู้ก็บอกว่า รู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่จำเป็นต้องรู้ในทุกเรื่องเพราะไม่ใช่พระสัพพัญญูเจ้า

    แสนชาติ เป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน มันก็ยังไม่กลัวที่จะเกิด
    วันไหนที่มันกลัวการเกิดแล้ว แค่เกิดชาติเดียวก็เป็นทุกข์แสนสาหัสแล้ว...นิ

    อาการอย่างนี้เรียกว่า นิวอน ...หนอ [​IMG]
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ในฐานธรรม ก็มีว่าไว้ในเรื่องการยกนิวรณ์มาพิจารณา

    แรก ๆ ระลึกรู้ไม่ทันความปรุงแต่งประเภทนิวรณ์ก็ลากไป พอฝึกไปเรื่อย ๆ ก็จะดีขึุ้น รู้เร็วขึ้น ละได้เร็วขึ้น

    เมื่อชำนาญ เพียรจนละนิวรณ์ได้ ที่นี้ยกวิปัสสนาญาณต่อได้เลย

    ฝึกดูนิวรณ์ เห็นนิวรณ์ เพียรละนิวรณ์นี้เป็นยอดได้เลยนะ อินทรีย์ดี ๆ นี่รอแค่นิวรณ์เบา หรือหายนี่ ถึงรู้แจ้งเห็นธรรมได้เลยเชียว

    บล๊า ๆ บลา ๆ บ๊า บล้า ๆ ^-^
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อินทรีย์5 พละ5 จัดเป็นอนุสัยเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ถูกไหม
    อินทรีย5 พละ5 มีมากๆ นิวรณ์ ก็เบาบาง ถูกไหม เกี่ยวกันไหม
     
  17. พระวัดหัวเขา

    พระวัดหัวเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,562
    ค่าพลัง:
    +4,805
    <> ก็ขอกล่าวคำว่า... สวัสดีก่อนก็แล้วกัน.....

    <><> พอดีกลับจากทำวัตร อบรมพระเณรแล้วก็เข้ามาเปิดดู ก็ดีเห็นมีกระทู้ หลายกระทู้ ต่างก็พูดคุยถามตอบกันสนุกดี ได้ความรู้มากดี เราเองก็บวชมาน้อย ศึกษามาก็น้อย ที่ได้เขียนกระทู้มาก็ได้อ่านมาบ้าง เห็นมาบ้าง ปฎิบัติมาบ้าง เมื่อเข้ามาเขียนกระทู้บทนี้กลับได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากเลย.....

    <><> เมื่อได้อ่านแล้วก็ขอตอบกระทู้นี้ก่อนก็แล้วกัน....

    <><><> ตามที่ได้ศึกษามานั้น ในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้ที่ได้ "อริยคุณชั้นต้น" ก็เห็น พระอัญญาโกญฑัญญะ เป็นองค์แรก ในขณะฟังปฐมเทศนา แล้วได้มีดวงตาเห็นธรรม เพราะเห็นถึงความเกิดดับเท่านั้น.... ละความเห็นผิด เกิดความเห็นถูก... จึงได้"อริยะคุณชั้นต้น" แต่ยังคงมีความยินดี ยินร้ายอยู่ เพราะราคะ โทสะ มานะ อวิชายังคงอยู่ จึงต้องฟัง"อนันตลักขณะ"อีกที่จึงรู้ถึงความไม่จีรังหาแก่นสารไม่ได้ ไม่อยู่ในบังคับและก็ไม่สามารถบังคับได้.....

    <><> <> ... ส่วนพระอานนท์ ก็เช่นกันมาบวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า (หนีจากกาม) ได้รู้ถึงความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดความดำริชอบ ตั้งมั่นชอบ เห็นชอบ ในธรรมที่พระศาสดาสอน ก็ได้คุณแห่งอริยะชั้นต้น แต่ก็ยังร้องไห้

    เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน... ก็เพราะอะไร ก็เพราะยังมีความยินดี ยินร้ายอยู่ ราคะ โทสะ มานะทิฐิอวิชาอยู่....... อุปาทาน(ความยึดมั่น)ยังมี จนที่สุดก็ต้องปล่อยว่าง ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แล้วพักกายเพื่อนอนก็ได้คุณแห่งอริยชั้นสูง สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส......

    <> ส่วนพระสารีบุตรก็เช่นกันได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้คุณแห่งอริยชั้นต้น ทั้ง ๆ ที่ท่านยังมี่ความยินดี(ราคะ) อยู่....

    <>อีกในหนึ่ง อุบาสก อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาลก็ได้คุณแห่งอริยชั้นต้นหลายต่อหลายท่าน เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี..... นางอุตตรา.... นางสิริมา ....นั้นก็ยังคงครองเรือนอยู่..... ก็ยังได้คุณแห่งอริยชั้นต้น.....

    <> คำว่าเนกขัมมบารมีนั้น ในความจริง... คือการถือบวช หรือออกจากกาม....

    แต่จริงแล้ว เนกขัมมบารมีจะเต็มหรือไม่เต็มนั้น อยู่ที่ใจ เมื่อใดก็ตามหากใจ ยังยึดติดอยู่ เมื่อนั้นยังมีกามอยู่ เมื่อใดยังชอบใจอยู่ เมื่อใดยังไม่ชอบใจอยู่ เมื่อนั้นถือว่ายังมีกามอยู่ แม้แต่บุคคลที่ได้ คุณแห่งอริยชั้นต้นตายไป ... ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ ก็ยังไปเสยวกามอยู่ เมื่อใดตัณหาหมด เมื่อนั้นแลเนกขัมมบารมีจึงเต็ม ....เพราะ หมดราคะ หมดโทสะ หมดรูปราคะ หมดอรูปราคะ หมดอวิชา

    <> สรุปความ... แม้อยู่ครองเรือนก็สามารถทำอริยคุณให้เกิดขึ้นได้ แม้ยังอยู่ในกาม แต่ก็มีความเข้าใจในกาม รู้จักโทษแห่งกามแล้ว ทำใจให้หากจากกาม ..เท่านี้ก็เป็นพอ


    ...... เราเป็นพระจะพูดเรื่องคุณพิเศษนั้น ไม่สู้ดี แต่ก็พูดตามที่ถามมา ก็พูดได้เท่านี้.... ก็ขอสวัสดี มีอะไรไม่เข้าใจก็โทรมา.... เอวํ ....

    ... ขอจงเจริญในธรรมปฎิบัติ ...

    <> จาก... พระวัดหัวเขา .... นาโพธิ์ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2009
  18. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    โมทนาสาธุ ครับ นั่งอ่านของท่านอื่นๆ ได้ใจความเยอะเลย
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เดี๋ยวนี้พี่ขวัญเป็นอะไรก็ไม่รู้ เหมือนลังเล เหมือนสงสัย เหมือนปรุงแต่งปลายทาง

    สิ่งทั้งหลายแค่ "ลงมือทำ" ก็เท่านั้นเอง

    ทำไมการดูนิวรณ์ จึงจัดอยู่ในสติฐานฐานธรรมรู้ไหม ทั้งที่หลายท่านเอาสมาธิกดมันก็ได้

    ตอบให้ได้ว่า เหตุที่การละนิวรณ์ การดูนิวรณ์จึงเป็นวิปัสสนา ก็เพราะนิวรณ์มีห้าตัวหลัก ๆ บางเกิดตัวนี้ บางเกิดตัวนั้น แต่เวทนาหลัก ๆ ก็ทำให้เกิดความไม่สงบ จะทำอะไรต่อก็ทำไม่ได้ การที่เราดู การที่เราเห็น การที่เรารู้ทัน การที่เราเห็นโทษ ก่อให้เกิดความเศร้าหมอง แล้วเราเพียรละ ก็เป็นการบรรเทาทุกข์ เพื่อความผ่องใส เพื่อจะได้เหตุรูปนามที่ละเอียดขึ้น เหตุรูปนามที่มาจากการปรุงน้อย(ปรุงจากต้นทาง คือ กิเลสที่เกิดก่อน) เกิดขึ้น ไม่เหมือนนิวรณ์ที่ปรุงมาจนปลายทางเป็นธรรมหยาบ ๆ แล้ว

    แต่หากเอาสมาธิดับนิวรณ์มันก็ได้แค่นั้น ไม่เห็น ไม่มีการต่อยอด ไม่ก่อการพัฒนาความเห็นเลย เป็นเพียงหินทับหญ้าก็เท่านั้น แต่ก็ขอให้ใช้สมาธิเพื่อพักผ่อน ในกรณีที่วุ่นวายจะทนไม่ไหว และให้สะสมพลัง เพื่อพิจารณานิวรณ์ต่อไป

    ในเมื่อช่วงชีวิตสุขสบาย ไร้ทุกข์หนักให้เพียร ก็ยกนิวณ์นั้นแหล่ะ มาพิจารณา ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2009
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอบคุณจินนี่ (ท่านอื่นจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ก็ดีนะคะ)

    ก็ไม่ได้อยากปรุงแต่ง มันขึ้นมาเอง ก็เลยถามไปงั้นๆ เอง (ก็มันลิง..นินา)
    เผื่อมีฟีดแบคดีดีกลับมาแล้วชอบใจ จะได้สะสมเป็นความรู้ถูกไว้ในคลังสัญญา
    (ไม่ได้ตั้งใจจะจำมันจำของมันเอง) เวลาไปเจอคำสอนที่นอกลู่นอกทางมันจะได้รู้ทันไง
    จะได้มีวิจารณาหยั่งรู้ส่วนตนได้ว่า ไหนคือสัมมาทิฏฐิ ไหนคือมิจฉาทิฏฐิ ก็ต้องมาเรียนรู้
    จากบัณฑิตผู้รู้ สะสมไว้เป็นทุนก่อน เรื่องภาวนามันก็ทำของมันไปเรื่อยอยู่แล้ว มีรู้ กับ หลง
    อยู่สองอย่าง สลับไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นผู้ทรงฌาณ นินา จะได้มีแต่รู้ ไม่มีหลงตลอดเวลา

    โบราณว่าเด็กซนเป็นเด็กฉลาด ซนมาก ก็รู้มาก เจ็บมากๆก็จำได้เอง มันก็หลบเอง
    เด็กซึมยังอันตรายกว่าเลย เวลาโดนกิเลสพุ่งเข้าใส่ ซึมๆ มันก็ไม่ค่อยรู้ตัว รู้เรื่องกิเลส
    แต่พอกิเลสเกิดจริงๆ ก็ไม่รู้อีก ใครมันจะหลบหลีกกิเลสได้ตลอดชีวิต เล่า มีแต่ต้องรู้จัก
    กิเลสให้เยอะๆ กิเลสมาท่าไหนก็รู้ ย่อมเอาชนะมันได้ แพ้มันไปเรื่อยๆ ก็ได้เรียนรู้มันไป
    ด้วย พอรู้ทันมันได้ ก็หลุดพ้นจากมันได้เองแหละ ตอนนี้ยังไม่พ้นก็เลยเป็นอย่างที่เห็นๆ
    นี่แหละ แต่ถ้าหลงลูกเดียวไม่มีรู้เกิดมั่งเลย ขอแนะนำให้ไปใช้อุบายอื่นๆ นะ เพราะถ้าแพ้
    ลูกเดียว ไม่มีวี่แววจะรู้ตัวขึ้นมาได้ แปลว่าอินทรีย์และพละ ไม่พอ หรืออาจไม่ตรงจริต ถ้า
    ดันทุรังทำ อาจถึงขั้นขาดทุนล้มละลาย หมดตัว ก็เป็นได้ ไม่ได้ขู่แต่เพื่อการไม่ประมาท
    เล่นกับไฟมันร้อน ถ้าเกิดไหม้ดำเป็นตอตะโกแล้วทำใจไม่ได้ จะเศร้าหมองนานเสียเวลากู้
    จิตใจ แต่ถ้ากู้ขึ้นมาได้จิตใจมันก็แกร่งขึ้น เหมือนตกเหว แล้วปีนกลับมาได้ ต้องคนใจถึง
    หน่อย ถ้าออกก้อย ตกเหวแล้วกู่ไม่กลับ ก็แย่เยอะ อตร.มิใช่น้อย ต้องมั่นใจว่ามีศีลประจำใจ
    อยู่ระดับหนึ่ง จะเป็นเครื่องป้องกันอบายให้ตัวเองได้

    อาการพี่ขวัญก็เป็นอย่างนี้แหละ อาศัยว่าหน้ามึนหน่อย ผิดก็ช่างหัวมัน ได้อย่างรู้ว่านี้ผิด
    ไม่อายว่าเรารู้ผิด ไม่อายว่าเราคิดผิด แต่ถ้าทำผิดศีลถึงมีอาย ก็นะ...เราปุถุชนคนไม่รู้นี่นา
    คนมันไม่รู้...นินา มันก็สงสัยมาก แล้วก็ถามมาก แล้วก็ไม่รู้ตัวอีก ก็ต้องปล่อยให้มันรู้เอง
    ไม่ได้ฟุ้งซ่าน ซะหน่อย เพราะถามแล้วก็เลิกคิด รอคำตอบเฉยๆ มีคนตอบก็ดี
    ไม่มีคนตอบก็ดี ไม่ได้เดือดร้อนเพราะฟุ้งซ่านไม่เลิก
    (คงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆแหละจนกว่าจะมีสติรู้สึกตัว ละสงสัยได้เมื่อไร
    อาการพวกนี้ก็หายไปเอง นะ มาจี้บ่อยๆนะ จะได้รู้ตัวไวไว)


    จิตมันเกิดสงสัย ใจเรารู้ว่ามันสงสัย ถือว่าได้ภาวนาแล้ว สงสัยบ่อยๆ รู้ตัวว่าสงสัยบ่อยๆ
    ก็ได้ภาวนามากๆ ถี่ๆ รู้ตัวถี่ๆ ไง ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ซึมอย่างเดียว ก็คงดูซึม ไปได้อย่าง
    เดียว คงเซงจิตแย่เลย เดี๋ยวมันก็หลับอีก พี่ขวัญทำอะไรผิดหรือ ก็จิตพี่ขวัญมันมีนิวรณ์
    ดองอยู่ในสันดาน เยอะ อะนะ กำลังขุดมันออกมาชำระอยู่ สัญญาที่อมภูมิไว้มันก็เยอะ
    ก็เลยผุดออกมาเยอะ แต่ไม่รู้ว่ามันผิดหรือมันถูก ก็ต้องปล่อยมาแล้วสังคายนาชำระมันอีกที
    เดี๋ยวจำไปผิดๆ ก็จะยิ่งเน่าในกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิดองในสันดานอีก พี่ขวัญไม่ได้ยึดว่า
    ความคิดตัวเองถูกเสมอ เพราะคนคิดมันคิดเพราะไม่รู้ตัว ถ้ามันคิดเพราะรู้จริงเมื่อไร
    ก็ไม่ถามคนอื่นแล้ว แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...