ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกนี้จะตกอยู่ในกำมือของมนุษย์, เทพ หรือว่ามนุษย์ต่างดาว?​



    คนที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เราเห็นแค่ "สังขารเปลือกนอก" นะครับ บางคนจิตใจข้างในไม่ใช่มนุษย์แล้วก็มี ฆ่าลูกตัวเองในใส้ได้ บ้างก็ฆ่าพ่อแม่ตัวเองได้ บางคนก็หากินกับยาเสพติด, สารพิษ ไม่สนใจผลกระทบต่อผู้อื่น เห็นไหมครับ? แบบนี้พวกเขาจะมีความเป็นมนุษย์ไหม? ไม่หรอก แต่เขายังมีโอกาสกลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ ตราบใดที่ยังไม่ละสังขารตายไปครับ ทว่า เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว คนไม่ใช่มนุษย์มีอยู่ร่วมโลกของเรามากมาย ไม่ต้องแปลกใจอะไรหากจะมี "มนุสเทโว" หรือมนุษย์กึ่งเทพบ้าง มีมนุษย์ต่างดาวบ้างในทำเนียบขาว อย่างที่ชายเคยบอกไปแล้ว ทีนี้ โลกของเราจะตกอยู่ใต้การปกครองของกลุ่มไหน ลองมาดูกันครับ

    มนุษย์
    มนุษย์จะมีความคิดว่าแค่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรมากมาย วุ่นวายเกินไปก็พอแล้ว มนุษย์จะไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง พวกเขารักความสงบและไม่ชอบทำสงครามดังมนุษย์ดาวอังคาร มนุษย์ดาวอังคารคือผู้ที่ลงมายังโลกนี้เพื่อชวนให้มนุษย์โลกนี้ทำสงคราม ทว่า เขาก็มีเหตุผลของเขานะครับ ด้วยความคิดและวิสัยทัศน์ของมนุษย์โลกนี้ ไปไกลได้ไม่เกินมิติที่สาม คือ แค่ "วัตถุนิยม" เสพไปวันๆ ไม่สนใจ ไม่คิดอะไรไกลได้เหมือนอย่างมนุษย์ต่างดาว ดังนั้น โลกที่กำลังวิกฤติในยามนี้ จึงไม่อาจที่จะแก้ไขได้ด้วยกำลังของมนุษย์โลกนี้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว

    มนุสเทโว
    เทพในร่างมนุษย์หรือ "มนุสเทโว" พวกนี้คือ คนที่อยู่บนโลกอย่างเทพ ทำตัวเหมือนเทพเดินดิน กินและใช้สิ่งของที่หรูหรามีระดับแบบเทพๆ และมีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์โลกปกติ เรียกว่า "ขั้นเทพ" เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมันสมอง, จิตใจ, ความสามารถอื่นๆ เหล่าเทพพวกนี้ก็อยู่ปนกับคนเรานี่ละครับในทำเนียบขาวก็มีอยู่มาก เทพจะเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงและทำกิจผ่านสิ่งศักดิสิทธิ์ต่างๆ พวกเขาไม่ได้นับถือมนุษย์โลกคนหนึ่งคนใดว่าวิเศษเลอเลิศ เพราะมนุษย์ไม่อาจเทียบเท่าพวกเขาได้นั่นเอง พวกเขาลงมาเกิดยังโลกก็เพื่อ "สร้างโลกใหม่" เหมือนอย่างเทพเจ้าองค์ก่อนๆ ได้กระทำนั้น

    มนุษย์ต่างดาว
    คนที่เป็นร่างมนุษย์ต่างดาว ถูกค้นพบมากขึ้นทุกวัน พวกเขามีความแตกต่างจากมนุษย์โลกชัดเจน ทั้งในเรื่อง DNA และความสามารถพิเศษ ในประเทศที่เจริญแล้วได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และพบว่ามนุษย์ต่างดาวลงมายังโลกในหลายรูปแบบ เช่น อินดิโก้, คริสตัล และเรนโบว์ ซึ่งปนกันอยู่ ทั้งนี้ มนุษย์ต่างดาวเองก็มีทั้งดีและไม่ดี พวกที่ไม่ดีจะเข้ามายึดครองแล้วอยู่ในโลกนี้เลยแต่พวกที่ดีจะลงมาทำกิจช่วยโลก แล้วพวกเขาก็จะกลับคืนสู่ดาวแม่ไป เดิมทีอเมริการ่วมมือกับมนุษย์ต่างดาวฝ่ายไม่ดีมาก่อนเพื่อแลกกับผลประโยชน์ ปัจจุบัน มนุษย์ต่างดาวฝ่ายดีเริ่มเข้ามาจัดการพวกไม่ดีแล้วครับ

    โอบาม่าเป็นเพียงมนุษย์ที่แวดล้อมด้วยเทพและมนุษย์ต่างดาวครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=I-G8IfjPAII"]http://www.youtube.com/watch?v=I-G8IfjPAII[/ame]
     
  3. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    YOU ARE LOVED
    GOD LOVE YOU

    มนุษย์ทุกคนต้องการความรัก
    แต่น่าเสียดาย..ไม่มีใครรู้จักความรักที่แท้จริง
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ขาดสติในธรรม หลงเพลินธรรม นั้นเป็นไฉน?


    บุคคลที่ไม่มีสติในธรรม ขาดสติเมื่อได้รับธรรม จะลุ่มหลงธรรมะและแยกแยะไม่ออกว่าธรรมใดไม่มีสาระ ไม่มีค่า ไม่ควรเสียเวลากับมัน พวกเขากลับอนุโมทนาในธรรมนั้น นิยมชมชอบในธรรมนั้น แต่ธรรมนั้นไม่ได้ช่วยพัฒนาจิตวิญญาณอะไรเขาได้เลย ตัวอย่างเช่น

    ธรรมะบ้องตื้น
    คือ ธรรมะที่ไม่มีความลึกซึ้งอะไร เรื่องพื้นๆ ที่ใครๆ ก็รู้ เราก็รู้ ก็คิดเองได้ ธรรมะตลาดๆ ที่มีอยู่เกลื่อนไปหมด แต่ไม่ได้ให้สติปัญญาอะไรเราเพิ่มขึ้นได้ เช่น ทำดีได้ขึ้นสวรรค์, ทำทานทุกวันจะดี, ถือศีลแล้วจะดี, มาทำสมาธิกันเถอะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เราก็คิดเองได้ ไม่ต้องไปเสียเวลาอ่าน เสียเวลาฟังใครเขาพูด แต่หลายคนขาดสติ พอเห็นธรรมะแบบนี้แล้วเข้าไปรุม คิดว่าเป็นธรรมแท้ไป จริงๆ แล้วไม่มีสาระอะไรเลย ฟังกับไม่ฟัง มีค่าเท่ากัน นี่เพราะขาดสติแท้ๆ

    ธรรมะเว่อร์ๆ
    คือ ธรรมะที่สูงส่งหรือล้ำลึกมากเกินแบบเว่อร์ๆ แต่ปฏิบัติจริงไม่ได้ เช่น ฉันไม่ยึดติดอะไรแล้ว, ทุกอย่างว่างเปล่าหมด, มันไม่มีอะไรอีกทั้งนั้น, อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ฯลฯ แต่คนพูดไม่ว่างเปล่าจริง ถึงเวลากินก็ต้องกิน ไม่กินไม่ได้ ถึงเวลานอนต้องมีที่นอนให้ ไม่มีให้ เดี๋ยวเป็นเรื่อง เรียกว่า แสดงธรรมะให้เว่อร์ๆ ให้ดูสูงส่งไว้ก่อน แต่ตัวเองปฏิบัติจริงไม่ได้หรอก คนก็ลุ่มหลงกันไป เห็นว่าโห ธรรมะสูงส่งจริง ท่านนี้ต้องอรหันต์แล้วแน่ๆ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าเขาปฏิบัติได้จริงไหม?

    ธรรมะยาฝิ่น
    คือ ธรรมะที่งดงาม, ไพเราะ, น่าฟัง แต่ไม่ได้ให้สติปัญญาอะไรเราเลย เช่น จิตทั้งหลายเป็นพุทธะ, เราเป็นพุทธะกันอยู่แล้ว, เราเป็นพระอรหันต์กันอยู่แล้ว, ไม่ต้องปฏิบัติอะไรก็เป็นพุทธะแล้ว ฯลฯ นี่ มันไพเราะเสนาะหู เพราะสนองกิเลส ความอยากของเรา เราอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า อยากเป็นพระอรหันต์ ให้คนอื่นเขามานั่งกราบไหว้บ้าง พอมีคนพูดถูกใจ ตรงใจความอยากของเรา เราก็เชื่อเลยทันที แต่มันทำให้เรามีสติเท่าทันกิเลสตัวเองไหม? ไม่มีเลย

    ธรรมะถูกตลอด
    คือ ธรรมะที่พูดยังไงก็ถูกตลอด แต่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์กับเรา ไม่ได้ดูเลยว่าเราผู้ฟังนั้น ยึดติดตรงไหน? ขาดสติตรงไหน? เช่น ธรรมะที่ไปลอกเอามาจากไตรปิฎกเป็นตับๆ จำมาแบบทุกตัวอักษร พูดได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่ขอโทษ เราไปอ่านเองก็ได้ เปิดไตรปิฎกดูเอาเองเลยก็ได้ จะต้องมาเสียเวลานั่งฟังเขาพูดทำไม? แย่กว่านั้น พอไปฟังเขาพูดแล้วเคลิ้ม หลงว่าเขาเป็นอรหันต์ ดีเลิศเหนือกว่าคนอื่นไปอีกนั่น อันนี้เรียกว่า หลงเพลินธรรมะ ขาดสติในธรรม

    ธรรมมานุสติปัฏฐานจะทำให้เรามีสติ หลุดพ้นจากธรรมะเหล่านี้ครับ
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความหลงเหลิงของข้าราชการไทย


    ปัญหาของระบบข้าราชการไทยสะสมมานานแล้ว เหมือนขยะที่ซุกไว้ใต้พรม ไม่มีใครที่จะเข้ามาชำระสะสางเสียที นานวันเข้าก็เลยทำให้คนหลงเหลิงอำนาจ เพราะอยู่มานาน จะทำอะไรผิดก็ได้ ไม่มีใครมาว่ากล่าวตักเตือนได้ เลยหลงเหลิงกันไปใหญ่ ดังตัวอย่างเช่น

    1 ทำตัวเป็นอภิสิทธิชน
    อันนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ข้าราชการจำนวนมากชอบทำตัวให้เหนือคนอื่นเขา ไป รพ. ก็ต้องลัดคิว, ไปธนาคารก็ต้องมีคนทำให้เป็นพิเศษ จะต้องมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเขาอยู่เรื่อยไป ไม่ทำตัวให้เหมือนคนอื่นเขา ชอบเรียกร้องจะเอานั่นนี่ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่งานไม่เดินหน้า มีแต่จะเอาเงิน-สวัสดิการเพิ่ม แต่ประสิทธิผลการทำงานกลับลดลง

    2 ทำตัวเป็นเทพเดินดิน
    ข้าราชการบางคนหลงเหลิงตัวเองเกินขนาด ถึงขั้นไปไหนมาไหนจะต้องมีคนคอยดูแลยังกับเป็นเจ้า เป็นเทพมายังงั้นเลยก็มี จะต้องจัดที่นั่งให้สูงส่งเหนือใคร เป็นมนุษย์ปกติเหมือนอย่างใครเขาไม่ได้ ทำตัวเหมือนเทพสูงเทียมฟ้า เห็นเจ้าเขาทำ ตัวเองไปสั่งให้ลูกน้องทำเหมือนเจ้าบ้าง ออกงานอะไรทีหนึ่ง จะต้องได้อย่างเจ้าเขาบ้าง

    3 ทำตัวหรูหราอวดกัน
    ในหลวงสอนให้ทำตัวสมถะ ม่ีความสุขแบบเรียบง่ายๆ พื้นๆ อยู่แบบพอเพียงมันก็มีความสุขได้แล้ว แต่ข้าราชการนี่ ปากพูดว่าตามรอยพ่อ แต่ปฏิบัติตรงกันข้าม แต่ละคนเดี๋ยวนี้ชอบอวดหรูแข่งกัน อย่างมือถือนี่อวดกันเหลือเกิน ใช้เงินเกินตัว ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินเขามา จนกลายเป็นหนี้กันไปหมด เพราะอยากอวดหรูหราให้คนอื่นชื่นชม

    4 เล่นพรรคเล่นพวก
    เห็นอยู่เสมอในข้าราชการ ใครเป็นพรรคพวกคนนั้นต้องได้ เอาญาติตัวเองมาเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ทำงานได้หรือเปล่าก็ไม่รู้? มีตำแหน่งว่างก็เอาพรรคพวกตัวเอง, ญาติตัวเอง, ลูกเมียตัวเองมายัดลงก่อน นี่มันระบบข้าราชการหรือร้านกงสีกันแน่? นี่มันบ้านของคุณหรือองค์ของรัฐ? ทำเหมือนเป็นของตัวเองยังงั้น

    5 ไหลตามน้ำไปวันๆ
    ทำตัวเหมือนปลาตาย ไม่ใช่ปลาเป็น เขาทำผิด ตัวเองก็ต้องผิดไปด้วย ไหลตามน้ำ เอาตัวรอดไปวันๆ บางแห่งโกงกันหมดยกองค์กร คนไหนไม่โกงอยู่ไม่ได้ โดนกลั่นแกล้งจนต้องย้าย ต้องลาออกไป กันเลยทีเดียว เรียกว่าคนดีไม่มีที่ยืนในสังคม ที่เราเห็นๆ ว่าดีกันอยู่นี่ "ผู้ดีจอมปลอม" เกลื่อนเลย ยิ่งองค์กรตั้งนานๆ นี่ยิ่งตัวร้ายนัก

    6 เช้าชามเย็นชาม
    ทั้งเช้าชามเย็นชาม และผลัดวันประกันพรุ่งครับ ไปติดต่อราชการแต่ละทีกว่าจะเสร็จนี่เสียเวลาเยอะมาก อยากให้เร็วต้องมีเงินยัดใต้โต๊ะอีก มันจะอะไรกันนักหนา เป็นข้าราชการหรือเป็นโจร? แต่ก็ดีที่ยุคนี้ เขากำหนดระเบียบข้าราชการมาแล้วว่าทุกงานต้องมีกำหนดเวลาสำเร็จ ทำเสร็จได้เมื่อไร ประชาชนจะมารับผลได้เมื่อไร?

    7 มีค่านิยมผิดเพี้ยน
    เช่น วัตถุนิยม, บริโภคนิยม, ทุนนิยม ฯลฯ เมื่อก่อนข้าราชการไทยไม่เป็นขนาดนี้ แต่ภายหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ชอบหลงเหลิงไปในสิ่งเหล่านี้ วัตถุนิยมทั้งหลาย ใครไม่มีรถยนต์ขับ กลายเป็นว่าอายเขา จะต้องไปกู้เงินมาให้มีให้ได้ ขี่จักรยานไม่ได้ กลัวถูกคนอื่นมองว่ายากจน ซื้อของกินของใช้ก็ต้องของแพง มาอวดมาโชว์กัน

    * องค์กรใหม่ๆ อย่าง อบต. นี่พอใช้ได้นะ ยังไม่ค่อยมีปัญหาแบบนี้
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตวิญญาณที่มีฤทธิ์มากๆ จะกลับคืนสู่ "บ้านเก่า" เสมอ?


    จิตวิญญาณของคนเราทุกคน หากมีฤทธิ์เดชมากๆ เขาจะกลับคืนสู่ "บ้านเก่า" ของเขานะ คือ ภพภูมิก่อนหน้า เพราะมีญาติมิตรบริวารเก่าๆ ที่ยังมีความผูกพันกันอยู่เชื่อมโยงมา เช่น ลูกศิษย์สายมโนมยิทธิ ส่วนใหญ่ที่ได้มโนมยิทธิ จิตวิญญาณจะไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะชาติภพก่อนหน้านั้นมาจากสวรรค์ชั้นนี้ นั่นเอง ทีนี้ หากโลกนี้ ไม่น่าอยู่สำหรับเขา เขาก็อาจจะไม่กลับมาเลยก็มี เรียกว่าไปแล้วไม่กลับ จิตวิญญาณจรจากร่างไปก่อนหมดอายุขัยก็มี ถามว่าแล้วเราจะตายไหม? ส่วนใหญ่ไม่ตาย เพราะเมื่อเสียจิตวิญญาณเดิมแท้ไปแล้ว จะมีจิตวิญญาณดวงอื่นเข้ามาครองสังขารไว้ ทำให้ทรงสังขารต่อไปได้ จิตวิญญาณที่เข้ามาใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะไม่ดีเท่าของเดิมที่บางคนได้โพธิจิตแล้วก็มี พอเสียจิตวิญญาณเดิมไป เสียโพธิจิตไป กลับได้จิตวิญญาณดวงใหม่เข้ามาแทนที่ เป็นยักษ์ก็มี เป็นเทพนักษัตรก็มี บางคนเป็นจิตวิญญาณองค์ครูก็มี ดังนั้น คนเราทุกคนก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้ไปได้ กรณีที่สูญเสียไปเพราะเขากลับสู่ภพภูมิเก่าแล้วไม่ยอมกลับมานั้น ยังดีนะ เพราะเขาจะปลอดภัย แต่ถ้าสูญเสียจิตวิญญาณแล้วถูกจับไปเป็นทาสซาตาน อันนี้ไม่ดีเลย จะส่งผลต่อสังขารให้ต้องเป็นทาสคนอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่วิถีชีวิตปกติที่มนุษย์จะพึงมี

    หากสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว ได้จิตวิญญาณดวงใหม่ที่ไม่ดี เราจะต้อง "ฟื้นฟูจิตญาณ" นั้นๆ ให้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ก่อน เช่นถ้าเราสูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไป แล้วได้จิตวิญญาณองค์ครูมาเราก็จะไม่ยอมให้ใครมาสอนเรา เราจะเอาแต่สอนคนอื่น ให้คนอื่นเขากราบไหว้เราอย่างเดียว นี่คือจิตวิญญาณองค์ครู ดังนั้น จึงไม่พร้อมรับธรรมจากใครได้ เราจะต้องฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้ของเราให้กลับเป็นมนุษย์ให้ได้ก่อน ความยึดมั่นในองค์ครูความเป็นครูการไม่ยอมก้มรับธรรมจากใคร ก็จะหมดสิ้นไปได้ หาไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะติดภาวะตัวตนองค์ครู เมื่อละสังขารจากโลก เราจะตายแล้วกลายเป็นองค์ครู องค์ใหม่ เร่ร่อนหาร่างมนุษย์อาศัย เพราะไม่มีภพภูมิอยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องหาทางหลอกล่อมนุษย์ให้ยอมรับตนเป็นร่าง เป็นครูอยู่ร่ำไป แทนที่จะได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ถูกต้อง ไม่ต้องเร่ร่อนแบบนี้ ดังนั้น การฟื้นฟูจิตญาณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารอดพ้น ไม่ไปเป็นองค์ครู ไม่เป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่บนโลกและทำให้เราสามารถน้อมรับธรรมได้โดยไม่มี "สักกายทิฏฐิ" หลายคนมีสักกายทิฏฐิ แต่ทำตัวเหมือนคนที่อ่อนน้อม ยอมรับฟังธรรมะจากคนอื่นได้หมด แต่จริงๆ ก็มีสักกายทิฏฐิอยู่ดีนะ มันคนละเรื่องกัน สักกายทิฏฐิเป็นความถือตนอยู่ข้างในใจ แต่การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นแค่บุคคลิกภายนอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้พระอริยบุคคลท่านสามารถดูออกได้

    ดังนั้น คนเราจึงเสี่ยงที่จะสูญเสียจิตวิญญาณเดิมแท้ได้ไม่ต่างกัน!
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นัก ปชต. รุ่นใหม่ ต้องมีแนวทางของตัวเอง (เด็กแนว) ​



    เพราะหากยังไม่มีแนวทางของตัวเอง แต่ไปเอาแนวทางของ นศ. ในยุคเก่าๆ มาใช้ แบบที่ไปตายกันเป็นเบือนั้น ชายว่านอกจากจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้ว ยังจะสูญเสียเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครับ ซึ่งชายคิดว่าทีมงานเองก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบแนวทางในการต่อสู้แล้วครับ ดังนั้น จึงได้เชิญ "โจชัว หว่อง" จากฮ่องกงมาที่ไทย โจชัว หว่อง ประสบความสำเร็จในการต่อสู้โดยสันติวิธีในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังต้องสู้ต่อไป เพราะเขาต้องการปลดแอกฮ่องกงจากจีน ในขั้นนี้ สิ่งที่เขาทำได้คือ สมัครลงเลือกตั้งแล้วได้รับชัยชนะครับ ในไทยเราใช้ยุทธวิธีของสังคมนิยมสมัย นศ. ยุคก่อนๆ เช่น ปลุกระดมมวลชนเพื่อล้มรัฐบาลตามแนวคิด "การปฏิวัติโดยประชาชน" ซึ่งแนวคิดนี้ เป็นรากฐานสำคัญของการปฏิวัติไปสู่ ปชต. เรียกว่าถ้าไม่ใช่ ปชช. ไม่มี ปชช. เป็นส่วนร่วมแล้ว มันก็ไม่มีทางเกิด ปชต. ขึ้นมาได้ สมัยก่อน เขาปฏิวัติกัน ต้องพลีชีพ ล้มตายกันไม่น้อยเลย แต่สมัยใหม่นี้ เรามีเครื่องมือทันสมัย มีอินเตอร์เน็ตใช้ ดังนั้น เราจึงสามารถทำอะไรได้มากกว่า และเหนือกว่าสมัยก่อนๆ ครับ ชายจึงว่าเราควรมีแนวทางของตัวเอง อย่างชายก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือหลัก หลายคนประสบความสำเร็จในการใช้สื่อ เช่น การเปิดโปงคอรัปชั่นก็สามารถใช้สื่อเป็นเครื่องมือได้ครับ บางคนอาจบอกว่าเราเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง พูดอะไรไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก แต่ชายอยากให้ดูทฤษฎี Butterfly effect ครับ แม้เราเป็นแค่ผีเสื้อตัวเล็ก ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนได้ ถ้าเราใช้ทฤษฎีนี้ให้เป็นในทางปฏิบัติให้ได้นะครับ

    ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสภาพเหมือนคนไร้หัว เกิดวิกฤติขาดผู้นำอย่างหนัก ทั้งๆ ที่คนไทยที่เป็นคนดีมีความสามารถ ก็มีอยู่มากมาย บางคนไม่มีงานทำด้วยซ้ำ เห็นไหม? เราไม่ได้ขาดแคลนคนดีม่ีความสามารถ แต่ระบบปัจจุบัน ไม่อาจดึงเอาคนดีมีความสามารถเข้าไปสู่ระบบได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างในระบบจริงไหม? จึงทำให้ประเทศไทย มีกษัตริย์ แต่ป่วย, มีนายก แต่ไม่มีใครยอมรับ, มีพระสังฆราชแต่ตำแหน่ง แต่หาตัวไม่ได้, มีผู้ว่า กทม. แต่หนีคดีอยู่ ฯลฯ เห็นไหม? ถ้านับเป็นการศึก ก็คงเรียกได้ว่าเก็บหัวหน้าได้หมดแล้ว ที่เหลือก็เหลือแค่ตัวกระจอกเท่านั้นเอง หากทัพไร้ผู้นำ ไม่มีแม่ทัพ ทัพนั้นย่อมแตกสลาย ไม่เหลืออะไรแน่นอน ไม่ต่างอะไรกับตอนที่พระสุริโยทัยคอขาดช้าง พระมหาจักรพรรดิก็หนีเอาตัวรอดไป ไม่หนีไม่ได้ ตายอย่างเขียด ถ้าจะบอกว่ากองทัพประชาชนไม่มีชัย คงไม่ได้ละครับ 555 เพราะมีผลงานขนาดนี้ ได้หัวแม่ทัพชนิดรายหัวกันเลย ถ้าเราจะลุยต่อก็ต้องให้ได้หัว "ผู้บงการเบื้องหลัง" บ้างละครับ ซึ่งก็เหลือแค่ไม่กี่หัวเอง อันนี้ อุปมานะครับ ไม่ใช่ให้ไปเอาจริงๆ เอาแค่ให้ได้ผลออกมาเหมือนกษัตริย์ป่วย ผู้ว่าฯ หนีคดี แค่นั้นก็พอแล้ว ฮ่าๆๆ เห็นไหม ชัยชนะเราอยู่ไม่ไกล ใครว่าเราไม่มีความก้าวหน้า? ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งแทบจะไม่เหลืออะไรแล้วนี่ครับ

    หา "แนวทาง" ใหม่ ที่ไม่มีใครคาดคิดให้เจอ แล้วลุยให้เต็มที่ครับ!
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ภาวะ "อนัตตา" ไม่ได้มาจากการปฏิเสธตัวตน!

    คนเราทุกคน ก่อนจะตื่นแจ้งในภาวะ "อนัตตา" ได้ จะต้องผ่านการ "เรียนรู้และเข้าใจตัวเองก่อน" ไม่ใช่อยู่ๆ ไปปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธตัวตัวแบบไม่ได้รู้แจ้งอะไรจริง ปฏิเสธไปเสียก่อนแล้วเพราะคิดว่าคือการปฏิบัติธรรม แบบนั้นไม่ใช่นะ และการที่เราจะรู้จักตัวเราเองได้ เราจะต้องผ่าน "การถูกบีฑาธรรม" คือ เหมือนเพชรนี่ละ จะต้องถูกเจียรไนก่อน ถึงจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพชร ไม่ใช่ก้อนหินไร้ค่า ทีนี้ หลายคนยังไม่ได้ผ่านอะไรแบบนี้เลย ยังไม่ผ่านการถูกบีฑาธรรมเลย ยังติดสุขอยู่ก็มี ยังหลงอยู่กับความสบายอยู่ก็มี มันก็ไม่มีทางได้รู้จัก หรือตื่นแจ้งในตัวเองได้จริงๆ พระสมัยพุทธกาลท่านก็จะใช้ "ธุดงควัตร" คือ เดินทางไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติดที่ นี่ละ เป็นเครื่องเคี่ยวกรำตัวเอง เหมือนถูกบีฑาธรรมนี่ละ เพื่อให้แจ้งในตัวเองก่อน ก่อนที่จะตื่นแจ้งในภาวะอนัตตาที่ไม่อาจยึดตัวตนของตนได้ จะต้องถูกบีบคั้น เพื่อดึงเอา "ศักยภาพภายใน" ออกมาก่อน แล้วเอามาใช้ให้ "ถึงที่สุดแห่งธรรม" คือ ไม่เหลือเลย มีเท่าไรก็ใช้หมด นั่นจึงจะหมดซึ่งตัวตนของตนได้ ไม่ใช่อยู่ๆ ไปปฏิเสธเสียก่อนแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้ดึงศักยภาพของตนออกมาสร้างคุณประโยชน์อะไรเลย ไปปฏิเสธมันเสียก่อนแล้ว แบบนั้นจะเกิดมาทำไม? แบบนี้ก็เป็นปัจเจกชนละ คือ ไม่สนใจอะไรใคร ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อะไรทั้งนั้น อยากจะไปก็ไป ปฏิเสธทุกความรับผิดชอบ ทุกตัวตน

    ถามตัวเองง่ายๆ เลยนะ เราเป็นใคร? เราชอบอะไร? ไม่ชอบอะไร? เรามีความสุขกับอะไรที่แท้จริง? เรามาเกิดในโลกนี้ทำไม? เพื่ออะไร? เพื่อใคร? ค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ไม่ใช่ตัวเองยังไม่รู้จัก ค้นตัวเองยังไม่เจอ ไปแสวงหาธรรมะนอกตัว เอามาสวมใส่เหมือนหัวโขน แล้วก็กลายเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นครู, เป็นผู้วิเศษ, เป็นผู้มีธรรม ฯลฯ อะไรกันเสียแล้ว อันนั้นคือ ภาวะ "สูญเสียตัวตน" แล้วไปคว้าเอา "ตัวตนใหม่ๆ" ที่คิดว่าใช่ คิดว่าดี ก็ไปคว้าเอามาเป็นตัวกูของกู เดี๋ยวกูจะเอาพระอรหันต์ละ เดี๋ยวกูจะเป็นพุทธะละ เดี๋ยวกูจะได้เป็นพระโพธิสัตว์ละ ฯลฯ อย่างนี้ไม่ใช่แล้วละ อย่างนี้เรียกว่าเคว้งคว้าง คือ สูญเสียตัวตนดั้งเดิมแท้ไป แล้วเคว้งคว้าง เลยไขว่คว้าหาตัวเอง ไปทึกทักเอาตัวตนนั้น ตัวตนนี้มาเป็นตัวเอง ตัวกูของกูตัวใหม่ บ้าง ไปเอาความไม่มีอะไรเลย ความว่างเปล่ามาเป็นตัวตนของตนก็มี เอาเข้าไป ความว่างเปล่ามันก็เป็นเช่นนั้นเองของมันอยู่แล้ว จะไปอะไรกับมัน? จะต้องไปเอามันมาแบกไว้ มาพล่ามพูด มาสวมไว้เป็นหัวโขนอีกทำไม? มันจะว่างเปล่าก็เรื่องของมันสิ นี่พล่ามกันซะเหลือเกิน จนมันไม่ว่างเปล่าแล้ว เพราะพล่ามความว่างเปล่าเสียจนมันเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว เป็นตุเป็นตะไปแล้ว อะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะ มีสติอยู่กับตัวเองให้ก่อน เรียกว่า "กายานุสติปัฏฐาน" สติหนอ สติ อยู่กับเนื้อกับตัวหนอ อย่าเพิ่งเตลิดไปไหนหนอ ตั้งสติดีๆ หนอ อยู่กับกายก่อนหนอ ตั้งสติที่ฐานแรก ฐานกายก่อนหนอ ให้มันได้สติที่ตัวเรา กายเราก่อน อย่าเพิ่งเตลิดไปไหนไกล อย่าเพิ่งไปไขว่คว้าตัวตนไหน พิจารณากายในกายนี่ จนกว่าจะตื่นแจ้งในอนิจจัง อนัตตา อย่าไปอุปทานภาวะอนัตตากันเอง ถ้าอนัตตาจะปรากฏ จิตจะตื่นแจ้งในอนัตตา ก็จะเป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปคิดเอาเอง ไม่ต้องปฏิเสธตัวเอง

    อย่าเพิ่งไปปฏิเสธตัวตนแล้วไขว่คว้าตัวตนใหม่เหมือนว่าวสายขาด
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปัญหาของโลก ไม่ได้มาจาก "ระบอบการปกครอง" ?


    กล่าวง่ายๆ สั้นๆ ชัดๆ ฟังธงได้เลยครับว่าไม่ว่าระบอบการปกครองไหน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมันคือความจริงเชิงประจักษ์ คุณไปดูเลยได้ทุกวันนี้ รัสเซียปกครองแบบคอมมิวนิสต์, จีนเป็นสังคมนิยม, เกาหลีเหนือเป็นเผด็จการทหาร ฯลฯ ถามว่าแล้วประเทศเขาอยู่ไม่ได้ ล่มจมรึ? ก็ไม่ใช่ แสดงว่าระบอบการปกครองนั้นมีปัญหาหรือ? ไม่จริง เขาอยู่ได้ เขาปกครองกันได้ จะรวยหรือจน ไม่ใช่ตัวหลัก ตัวสำคัญ เขาอยู่ของเขาได้ก็แล้วกัน เราอย่าไปสอด เรื่องของเขา ทีนี้ มาดู ปชต. บ้าง ประเทศอเมริกา, อังกฤษ, ญี่ปุ่น ฯลฯ อยู่ได้ทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอะไร ไปดูประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์บ้าง บรูไน อยู่ได้ไหม? ก็ได้ ภูฏานก่อนหน้านี้ก็ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ อยู่ได้ไหม? ก็ได้ สรุปได้เลยว่า มันไม่ได้มีปัญหาที่ตัวระบอบการปกครองครับ มันอยู่ได้ทั้งหมดนั่นละ แต่มันจะอยู่ยังไง ประชาชนได้รับการดูแลอย่างไร? ได้อะไรบ้าง? ได้ความรวยไหม? หรือได้ความจนเท่าเทียมกัน? หรือได้อิสรภาพ? หรือได้ความเห็นแก่ตัว กอบโกยผลประโยชน์ของใครของมัน? โอเค ถือว่าเขาอยู่กันได้ก็แล้วกัน รายละเอียดนอกนั้น เป็นเรื่องของการบริหารประเทศแล้ว แต่โดยภาพรวมเขาอยู่กันได้ทั้งนั้น ไม่มีปัญหาอะไร ก็แสดงว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ระบอบการปกครองอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกระบอบ "ใช้ได้หมด" อะไรก็ได้ อย่าเลือกมาก ได้ทั้งนั้น ทีนี้ ถามว่าแล้วประเทศไทยละ? มีคนเอาเผด็จการทหารมาใช้ มันใช้ได้ไหม? ก็ตอบว่า "ไม่ได้เรื่อง" ทำไมไม่ได้เรื่อง? เพราะคนไม่เก่งเหรอ? ไม่ใช่ คนเก่ง คนใช้ระบอบนี้ได้ แต่เพราะทุกระบอบต้องใช้เวลาในการ set up ตัวมันเอง กว่าจะมั่นคงใช้เวลา 50 ปี กว่าจะเบ่งบานใช้เวลาอีก 50 ปี กว่าจะเก็บเกี่ยวดอกผลได้ ใช้เวลาอีก 50 ปี ประมาณนี้ ดังนั้น ระยะสั้นๆ นี่อย่าหวังเลยว่ามันจะดีขึ้นได้ครับ

    แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน? แหม ตอบได้ไม่ต้องคิดเลย ทีเราแย่กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะเศรษฐกิจไง ระบบเศรษฐกิจมันก็มีของฝ่าย แบบทุนนิยม กับแบบสังคมนิยม ฝั่งสังคมนิยมเขาไม่มีปัญหากันแต่ฝั่งทุนนิยมนี่ ปัญหาเยอะ ซุกไว้ใต้พรม รอเวลาระเบิด เห็นไหม? ไม่ต้องคิดมาก ใครๆ ก็รู้กันหมดแล้ว แล้วเรายังจะมาเรียกร้องระบอบการปกครองอะไร? ไร้สาระ อะไรก็ช่างมันเหอะ ระบอบการปกครองไหนก็ได้ ใช้ไปซะ ถ้าเราอยากได้มาก เรียกร้องมาก เราก็ต้อง "จ่าย" เพราะของฟรีไม่มีในโลก ทุกความต้องการต้องมีการจ่ายเสมอ เราต้องแลกด้วยชีวิต เลือดเนื้อ ประชาชน ต้องมาตายกันเป็นเบือ นั่นละ เราจึงจะได้ระบอบการปกครองที่เราต้องการ ดีไหม? ตายแล้วก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรละ พวกที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ยังรอดอยู่ต่อไป ก็ใช้ระบอบการปกครองที่เราไปสังเวยชีวิตนี้ต่อไป อ้าว คนรู้ตายหมด คนไม่รู้รอด แล้วคนไม่รู้มันจะใช้ยังไง? ฮ่าๆๆ เห็นไหม? ไม่มีประโยชน์ อย่าไปเรียกร้องเลยระบอบการปกครองน่ะ มันไม่ใช่เหตุของปัญหา ปัญหาของโลกทุกวันนี้อยู่ที่ "ระบบเศรษฐกิจ" ต่างหาก นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมใกล้จะล่มแล้ว เราจะต้องเอาระบบใหม่มาใช้ ปัจจุบันนี้ระบบที่ใช้ได้อยู่ก็คือ "ระบบสังคมนิยม" แต่มันไม่ค่อยเข้ากับระบอบการปกครองแบบ ปชต. ของเราก็เท่านั้นเอง ทว่า ไอ้ระบบทุนนิยมนี่มันก็ไม่ได้หนุนระบอบ ปชต. นะ มันหนุนระบอบศักดินา สอนคนให้เป็นเจ้า เป็นนาย กระทำกับลูกน้องในธุรกิจเหมือนขี้ข้า มนุษย์เงินเดินอะไรนี่ เห็นมั้ย มันมีปัญหาเหมือนกัน ไม่ว่าจะระบบทุนนิยม หรือระบบสังคมนิยม ถ้าใช้ระบบ NEWS ที่ชายเสนอ ไม่มีปัญหาหรอก แต่เวลานี้ยังไม่มีใครกล้าใช้ ยังไม่มีประเทศไหนในโลกใช้ งั้นก็ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมไปก่อนแล้วกัน คนไทยไม่เก่งธุรกิจ เอาคนจีนเข้ามาเป็นพลเมืองเลย ไม่งั้นไม่ทันการณ์ จะมานั่งสอนกัน ก็เป็นไปไม่ได้

    ดังนั้น เราควรเรียกร้องเรื่อง "เศรษฐกิจ" ครับ มันตรงกว่า จริงไหม?
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=jOSkHqME-xI"]http://www.youtube.com/watch?v=jOSkHqME-xI[/ame]​
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปัญหาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม


    ปัญหาของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ถูกขับลงไปกองที่ "แพะรับบาป" ถามว่าคืออะไร? เหมือนเราโดนพิษ แล้วเราขับพิษให้ไปกองที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้ที่อื่นรอดจากพิษไงครับ ทีนี้ ตอนแรก จอร์จ โซรอส มาเล่นงานตลาดหุ้นไทยให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งไครซิส นั่นคือ วิชาแพะรับบาปของพวกยิวที่ชอบบูชาซาตาน เขาวางแผนให้ไทยรับบาปแทนระบบทุนนิยมทั้งโลก ทีนี้ เรารอดมาได้ พิษมันกลับย้อนไปลง EU แทน เก็จมั้ยฮะ? ทุกวันนี้ อเมริกาอยู่ได้เพราะมี EU เป็นแพะรับบาปแทน นั่นเอง ทีนี้ ถ้าใช้วิธีแก้แบบ เบน เบอนันกี้ คือ ใช้ดอกเบี้ยติดลบ ผลคือ พิษจะไหลย้อนกลับเข้าหัวใจ หัวใจคืออะไร? หัวใจก็คือ ธนาคารไงครับ แหล่งรวมเงินที่ไหลเวียนไปทั่วทั้งระบบ ก็คือ หัวใจ จริงอยู่ว่า ธนาคารสามารถอยู่ได้ด้วยการเก็บค่าบริการและดอกเบี้ยติดลบ อาจไม่กระทบอะไรกับธนาคารมาก อีกทั้งดอกเบี้ยติดลบจะช่วยสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงได้มากขึ้น ทว่า กรณีของอเมริกาอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะพิษเศรษฐกิจอาจไหลย้อนกลับเข้าหัวใจดังกล่าว ทีนี้ อเมริกาก็จะโดนพิษเข้าเต็มๆ คือ ตอนนี้ มันไม่มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ตัวใดจะแก้ไขปัญหาของเศรษฐกิจโลกได้เลย เพราะมันรุนแรงและบิดเบือนมานาน มากเกินไป และสายเกินแก้แล้วครับ


    ปัญหาเศรษฐกิจทุนนิยมตอนนี้ไม่มีเครื่องมือหรือยาใดจะแก้ได้อีก นอกจากเปลี่ยนระบบใหม่เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กันยายน 2016
  12. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    วันนี้ผมไม่ได้เข้าพลังจิตเลยอ่ะคับ
    (ปกติตื่นเช้าต้องแวะเวปนี้ก่อน)[Embarrass
    ปล.วันนี้มีประชุมโปรเจคใหญ่ ท่าจะเริ่มมีแววแหล่ะ:d
    (พี่ดอกไม้สู้ๆนะคับผม)chearr
     
  13. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
  14. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ถ้าผมมีอำนาจรับรอง รวยทั่วไทย:rabbit_eating
     
  15. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ขอตัวไปทำสมาธิิิก่อนนะครับ
    ช่วงนี้จริงจังมากเลย:VO
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อินทรีย์เสื่อม อินทรีย์บกพร่อง เป็นไฉน?


    ศรัทธา
    ศรัทธาอินทรีย์เสื่อม ทำให้ไม่อาจมีศรัทธาที่ตรงทาง ตรงธรรมได้ ปกติแล้ว ศรัทธาอินทรีย์ทำให้เราเกิดความเชื่อ แม้ยังไม่เกิดปัญญาก็ตาม แต่มันเป็นความเชื่อตามสัญชาติญาณปกติของเรา ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ถูกต้อง ตรงทางได้ แต่ปัญญายังไม่เกิดนะ เช่น เราเชื่อว่าคนๆ นั้นมีธรรมะจริง เราเชื่อในตัวเขาว่าเขาไม่ได้หลอกอะไรเรา แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เราอาจยังไม่แจ้งในธรรมก็ได้ ในคนที่มีศรัทธาอินทรีย์เสื่อม จะไม่เป็นเช่นนั้น จะเคว้างคว้างแล้วหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ บ้างไปงมงายกับอะไรก็ไม่รู้ ไม่เกิดปัญญาได้

    วิริยะ
    วิริยะอินทรีย์เสื่อม ทำให้ขาดความเพียร ไปอุปทาน ไปทึกทักเอาเองว่าเราขยันมากแล้ว สิ่งที่เราทำดีที่สุดแล้ว เราทำพอดีแล้ว ใครอย่ามาว่าเรา อย่ามาทักท้วงเรา เป็นต้น บ้างมีความเพียรจม คือไปเพียรในสิ่งที่ไม่ควรเพียร จมปลักอยู่อย่างนั้นเอง วิริยะอินทรีย์ปกติแล้วทำให้เรามีความเพียรแบบสม่ำเสมอ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไปแต่ต้องถึงที่สุดแห่งธรรมได้ เราได้พยายามถึงที่สุดแล้ว ในการที่จะไม่ก่อกรรมอะไรใหม่ ในการที่จะเข้าถึงธรรมะอย่างใสๆ ไม่เจือกรรมซึ่งจะเป็นความเพียรที่มีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ขัดขวางด้วย

    สติ
    สติอินทรีย์เสื่อม ทำให้ขาดสติที่แท้จริง บ้างหลงเพลิน บ้างไปยึดเอาสิ่งที่ไม่ใช่สติแท้ มาเป็นสติ เช่น ไปยึดเอาการกำหนดควบคุมจิตให้มีภาวะรู้ แล้วบอกว่านี่คือสติ จริงๆ ไม่ใช่ การไปกำหนดรู้นั้น ไม่ใช่สติ สติที่แท้จะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะเราไปกำหนดเอาได้แต่จะเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น เมื่อถูกคนมาเตือนสติเรา เราได้สติ คล้ายๆ กระต่ายที่ต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะมีสัตว์นักล่าคอยเอาชีวิต จึงต้องตื่นตัว ระวังตัวอยู่ตลอด เรียกว่ามีสติอยู่ตลอด แต่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่การกำหนดเอา หรือตั้งเจตนาเอา

    สมาธิ
    สมาธิอินทรีย์เสื่อม ทำให้สมาธิ, ฌาน, ญาณ อะไรที่ฝึกมาเสื่อมได้หมดเลย เอาง่ายๆ เวลาป่วย เรานอนสมาธิ เข้าฌานนะ ความเจ็บปวดทรมานหายเป็นปลิดทิ้งเลย เราเหมือนอยู่ในภาวะสงัดจากทุกๆ สิ่ง แม้แต่ความเจ็บปวดก็เข้าถึงไม่ได้นะ แต่ถ้าใครสมาธิเสื่อม ฌานเสื่อมแล้วนะ เวลาป่วย เจ็บปวด ทรมานทุกราย พระหลายรูป สมาธิเสื่อมไม่รู้ตัว ตอนใกล้ละสังขาร ป่วยอยู่ นอนทรมานกันทั้งนั้น คนที่สมาธิไม่เสื่อม ฌานไม่เสื่อม เขาไม่เจ็บปวดทรมาน เข้าฌานแล้วก็ลดความเจ็บปวดทรมานได้หมดเลย แล้วก็ละสังขารไปอย่างสงบ

    ปัญญา
    ปัญญาอินทรีย์เสื่อม ทำให้คิดว่าความรู้คือปัญญาบ้าง, ความคิด, ความจำได้หมายรู้, ความเข้าใจ, ความเก่ง, ความฉลาดคือปัญญาบ้าง แท้แล้วไม่ใช่นะ ปัญญาเกิดขึ้นจากความว่างดับของทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เลย เหมือนเราคิดอะไรไม่ออก ในหัวไม่มีอะไรเลย จากนั้นเกิดสติ เอะใจขึ้นมาได้แว่บ เหมือนฟ้าแลบหรือใครจุดประกายอะไรสักอย่าง แล้วก็รู้สึกสว่างจ้า แต่ไม่รู้จะอธิบายอะไรดี? มันพูดไม่ถูก อะไรก็ไม่ใช่ จะใช้คำอธิบาย คำศัพท์อะไรก็ไม่ใช่ นี่ละ ลักษณะของปัญญา มันจะรู้ชัดเลยว่าอะไรก็ไม่ใช่คำที่จะอธิบายได้

    ลองกลับไปทบทวนดูนะครับว่าอินทรีย์ห้าของท่านเสื่อมบ้างหรือไม่
     
  17. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ตื่นมางงมากครับ หาห้องวิทย์ไม่เจอ.:':)':)'(
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ระบอบการปกครองแบบปชต. แต่ระบบเศรษฐกิจแบบจีน ?​



    บางคนอาจจะคิดว่าชายเป็นฝ่ายสลิ่ม, ฝ่ายทหาร, ฝ่ายคอมมิวนิสต์ เพียงเพราะชายบอกว่าไม่มีระบอบการเมืองใดผิด ใดถูก เท่านั้นเอง ที่ชายพูดนี่มันคือหลักการปกครองที่แท้จริงและถูกต้อง ใครๆ เขาก็เรียนกันแบบนี้ หลายคนไม่ได้เรียนของที่ถูกต้องแท้จริงแต่ถูกหลอก หลอกยังไง? เขาก็หลอกให้เลือกข้างเลือกฝ่ายไงฮะ ข้าง ปชต. ก็หลอกให้เราอยู่กับปชต. แล้วบอกว่าคอมมิวนิสต์ผิด เลวร้ายไปหมด ข้างคอมมิวนิสต์ก็หลอกให้เราอยู่กับคอมมิวนิสต์ แล้วบอกว่า ปชต. เลวร้าย ผิด มีแต่ข้อเสีย ฯลฯ นี่ละ ควายก็ถูกหลอก ถูกสนทะพายให้ไปตายเกลื่อนกันแบบนี้ หากเราไม่ได้มีความรู้ที่แท้จริง ที่จะเท่าทันเกมของนักการเมืองได้ เราก็เป็นได้แค่หมากเบี้ย ไปตายเพื่อให้ใครไม่รู้ได้อำนาจไปครอง ชายกำลังให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นกลางอย่างแท้จริงด้านรัฐศาสตร์แก่ประชาชนครับ ชายจึงบอกว่าโลกนี้ไม่มีระบอบใดถูกหรือผิดหรอก ซึ่งนักรัฐศาสตร์ก็ใช้หลักการนี้ครับ

    ถามว่า เช่นนั้นที่ คสช. รัฐประหารเอาระบอบเผด็จการทหารมาใช้ก็ดีแล้วใช่ไหม? ชายเห็นด้วยใช่ไหม? ชายก็ตอบว่ามันใช้จริงนานๆ ไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ใช้ได้จริงนานๆ มันต้องใช้เวลา 100 กว่าปี ในการตั้งหลักให้มั่นคง กว่าจะเติบโตเบ่งบาน และกว่าจะออกดอกผลให้เห็น ไม่ใช่ปีสองปีเหมือนนโยบายบางอย่าง ดังนั้น เราจะไปหวังเอาระบอบใหม่ ไม่ได้ เพราะเราไม่มีเวลาพอขนาดนั้น แต่ที่เขาเอาระบอบเผด็จการทหารมาใช้ ต้องรู้ด้วยว่าไม่ได้เอามาใช้ตลอดไป เอามาใช้แค่ "ชั่วระยะหนึ่ง" ซึ่งทาง คสช. เขาก็บอกชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ตลอดไป เขามาแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างเท่านั้น โอเคมั้ยครับ ทีนี้ ในเมื่อพวกเขาเอามาแล้ว เราไม่ได้อยากจะได้ เราก็ไม่ใช่ลูกค้า เราไม่ต้องจ่ายอะไร เราแค่อดทนรอให้เขาได้บริโภคไป เดี๋ยวพวกเขาก็ต้องจ่ายเอง (ของฟรีไม่มีในโลก ผู้บริโภคต้องเป็นผู้จ่าย) เราไม่ต้องไปจ่าย ไม่ต้องไปสังเวยชีวิตอะไร เพราะเดิมทีประเทศเราเป็นปชต. อยู่แล้ว โดยระบอบนะ โดยเปลือก แต่เราในฐานะปัจเจกเป็น ปชต. กันจริงๆ หรือยัง? อันนั้น คือสิ่งที่เราควรตั้งคำถาม แล้วทำให้มันสำเร็จ ไม่ใช่การมายื้อแย่งอำนาจอะไรกับคสช. ที่มาชั่วคราวแล้วก็จะลงไปในวันหนึ่งข้างหน้าอยู่แล้ว

    สิ่งที่ คสช. ควรทำก็คือ การเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากทุนนิยม ซึ่งใกล้จะล่มสลายอยู่รอมร่อ ไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ เราจะใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครเขาใช้กัน เราจะไปติดต่อค้าขายกับใครเขาไม่ได้เลย เราต้องใช้ระบบเศรษฐกิจของจีนไปก่อน เพราะตอนนี้ เราต้องค้าขายกับจีน เราต้องดูว่าประเทศที่เราจะค้าขายด้วยเขาใช้ระบบไหน? เราก็ต้องใช้ระบบให้เข้ากันให้ได้ ถามว่าเราต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองด้วยไหม? ชายอยากบอกว่า "ไม่ต้อง" เราเป็น ปชต. ของเรานี่แหละ หลัง คสช. ออกไป กลับไปเป็น ปชต. เหมือนเดิม แต่ระบบเศรษฐกิจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบจีน ก่อนที่ระบบทุนนิยมจะล่มสลายแล้วพังกันทั้งหมดทั้งโลก เราต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อน สรุปง่ายๆ คือ คสช. เข้ามาแก้ระบบทุนนิยมออกไป เอาระบบจีนเข้ามาแทน ส่วนระบอบ ปชต. นั้น ยังคงเดิม ลองใช้ระบอบปชต. กับระบบเศรษฐกิจจีนดู มันก็จะคล้าย "ฮ่องกง" หรือ "ไต้หวัน" ไง นึกออกไหม? ไต้หวันใช้ระบอบ ปชต. แต่ก็มีระบบเศรษฐกิจแบบจีนปนอยู่บ้างไม่เต็มร้อย คือ เป็นทุนนิยมนี่ละ แต่ก็เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจจีนเหมือนกัน แต่เราจะเปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่นี้แบบ 100% เลย (ซึ่งจะมากกว่าไต้หวัน) ซึ่งระบบนี้จะมาสู่ไทยได้ ต้องเอาคนจีนเข้ามา ไม่ใช่เอาสินค้ามา แบบที่ไปซื้อรถไฟ, เรือดำน้ำ ฯลฯ อะไรนั่น ไม่ทำให้ได้ระบบนี้ครับ

    ดังนั้น เราจึงต้องเอาคนจีนเข้ามาเป็นคนไทย อีกครั้งหนึ่งไงครับ!
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นิพพานกับวิมุติธรรม ต่างกันอย่างไร?


    วิมุติธรรม คือ สัจธรรมแท้ ไม่ใช่สมมุติธรรม จึงไม่เกิด ไม่ดับ คล้ายกับนิพพานที่ไม่เกิด ไม่ดับเหมือนกัน แต่ต่างกันอยู่ อย่างนี้ นิพพานกับวิมุติธรรมเป็นธรรมที่พ้นสมมุติ ไม่เกิด ไม่ดับ ทั้งคู่ก็จริง แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เลยต้องใช้สมมุติบัญญัติเป็นคำศัพท์เรียกคนละตัวกัน มีสภาวะไม่เกิด ไม่ดับเหมือนกัน แต่วิมุติธรรมนี่มันไม่เกี่ยวกับสมมุติธรรม ไม่เนื่องด้วยสมมุติธรรม เหมือนแก่น ไม่ใช่เปลือก มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องไปปฏิบัติอะไร ส่วนนิพพานนี่ มันคือ อาการของสมมุติธรรมที่ "ถึงที่สุดแห่งธรรม" พอถึงที่สุดแห่งธรรมจึงเกิดการดับสนิท ไม่ดับอีกแล้ว เพราะดับสนิทจริงๆ และไม่เกิดอีกด้วย เรียกว่า สมมุติธรรมใดไปถึงที่สุดแห่งธรรม จนไม่เกิด ไม่ดับอีก ก็เรียกว่าถึงนิพพาน แต่วิมุติธรรมนี่ มันไม่ต้องไป ไม่ต้องทำ มันเป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว นิพพานเหมือนของสมมุติที่ต้องไป ต้องทำ จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่วิมุติธรรมคือปลายทาง คือ เป้าหมาย ดังนั้น จึงไม่ต้องทำ ไม่ต้องไป วิมุติธรรมก็ไม่ใช่ธรรมที่เกิดดับอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเราจะปฏิบัติให้ถึงนิพพาน ต้องมี "มรรค" นะ ไม่มี ไม่ได้ วิมุติธรรมไม่ต้องมีมรรค มันก็ไม่เกิด ไม่ดับของมันเช่นนั้นเองอยู่แล้ว แต่นิพพานต้องมีมรรค ดำเนินไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมก่อน

    ทีนี้มาดูนิพพานทีละอย่าง อาทิเช่น กิเลสนิพพาน ก็คือ กิเลสที่เป็นสมมุติธรรม ที่เกิดดับๆ อยู่นี่ เราดำเนินไปตามมรรค จนถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะถึงอาการดับสนิท ไม่เกิด ไม่ดับอีก ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า กิเลสนิพพาน เห็นไหม? ต้องมีมรรค ดำเนินไป ถึงจะถึงที่สุดแห่งธรรม ถ้าไม่ต้องมีมรรคดำเนินไป มันก็ไม่เกิด ไม่ดับอยู่แล้ว อันนั้นเรียกว่า "วิมุติธรรม" คือ ปลายทาง เก็จมั้ย? ทีนี้มาดู ขันธปรินิพพานบ้าง ขันธปรินิพพาน ก็เริ่มต้นจาก "ขันธ์" ที่เป็นสมมุติธรรมนี่แหละ พอดำเนินไปตามมรรค จนถึงที่สุดแห่งมรรค ก็ดับสนิท ไม่เกิด ไม่ดับอีกแล้ว เรียกว่า "ขันธปรินิพพาน" ขันธ์ที่เรามีอยู่ ไม่มีแล้ว เคยเกิดอยู่ไม่เกิดแล้ว เคยดับอยู่ ไม่ดับแล้ว จบสนิท เมื่อขันธ์บางขันธ์นิพพานเสียแล้ว (สอุปาทิเสสนิพพาน) เราจะทรงขันธ์ยากแล้ว จิตของเราพร้อมจะจุติแล้วภายใน 7 วัน ทีนี้ พอแยกแยะออกได้หรือยังว่านิพพานกับวิมุติธรรม เป็นคนละอย่างกัน หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ จะเอานิพพานไปเป็นวิมุติธรรม เลยไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย เลยไม่มีแม้แต่มรรคเลย พระสมณโคดมท่านแสดงธรรมไว้เรื่อง "มรรค" ก็ไปทิ้งมรรคหมด นิพพานนี่มันต้องมีมรรคเรียกว่า "มรรค, ผล, นิพพาน" อยู่ๆ จะไม่เกิด ไม่ดับเลย ไม่ได้ ไอ้ที่ไม่เกิด ไม่ดับเลย เขาเรียกว่า "วิมุติธรรม" ไม่ใช่นิพพาน แต่ไอ้สมมุติธรรมใดที่ยังไม่นิพพานแล้วเราดำเนินไปตามมรรค จนเกิดผลถึงที่สุดแห่งธรรม ก็คือ "นิพพาน" เรียกว่า "จากสมมุติไปสู่วิมุติ" ต้องผ่านมรรค เข้าประตูนิพพานครับ

    อย่าเอาวิมุติธรรมไปแทนนิพพานเดี๋ยวธรรมะจะสับสนผิดเพี้ยนเอา!
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไม่ใช่ระบอบการปกครองใหม่ แต่ต้องเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่!


    บุคคลสามารถเข้าถึงความเป็น ปชต. ได้ในฐานะปัจเจก เช่น ในจีนสมัยห้องสิน เราพบบุคคลจำนวนมากเข้าถึงความเป็น ปชต. และได้ออกมาทำเพื่อส่วนรวม มาร่วมรบ แล้วกลับไปบำเพ็ญธรรมต่อ เช่น นาจา เป็นต้น สิ่งนี้หมายถึงอะไร? หมายความว่าแม้โดยภาพรวม ปชต. ไม่อาจเกิดในแบบระบอบการปกครองได้ แต่ในระดับปัจเจก ก็สามารถเกิดขึ้นได้ บุคคลสามารถดำรงอยู่ในโลกอย่างมีอิสระเสรี มีความเท่าเทียมกับผู้อื่นได้แต่อาจเป็นรายบุคคลไป ไม่ใช่ทั้งประเทศ หากประเทศนั้นๆ ประชาชนยังไม่มีความเป็น ปชต. แต่ถ้า ปชช. เกิด ปชต. ขึ้นแล้ว ประเทศก็ปกครองด้วยระบอบอื่นใดไม่ได้ นอกจาก ปชต. จริงไหมครับ? อย่างประเทศไทย บอกตรงๆ เลย ประชาชนของเรายังไม่มีความเป็น ปชต. แต่เราเอาระบอบ ปชต. มาใช้ก่อน ซึ่งผลก็ออกมาอย่างที่เห็น เราเจริญทางโลก ทางวัตถุ แต่จิตใจเราย่ำแย่ลง หลายคนเห็นแก่ตัว เป็นปัจเจกชนที่ไม่สนใจส่วนรวม ซึ่งต่างจากประเทศต้นแบบ เช่น อเมริกา, ยุโรป, อังกฤษ ฯลฯ ปชช. ของเขารู้จักคำว่าหน้าที่, การทำเพื่อส่วนรวม, ความรับผิดชอบ ฯลฯ ทีนี้ หลายคนบอกว่าเราต้องใช้ ปชต. เพื่อจะได้ความเจริญ ไม่จริงนะ จีนไม่ใช่ ปชต. ก็เจริญได้ เห็นไหม? ไม่เกี่ยวกัน เอาละ เขียนมาถึงตรงนี้ คงมีคนหาว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์อีกแล้ว ชายยังรักอิสระเสรีและ ปชต. เหมือนเดิม เป็น ปชต. เหมือนเดิมครับ แต่ ปชช. ชาวไทยเป็นเหมือนชายหรือเปล่า? ไม่ใช่เลย นี่คือความจริงครับ

    ชายไม่ได้บอกให้คุณเปลี่ยนระบอบการปกครองอะไร ไม่ใช่ครับ ถ้าเราเปลี่ยนระบอบการปกครองตอนนี้ เราต้องใช้เวลาประมาณ 100 ปี จึงจะเห็นความสำเร็จของมัน ไม่มีระบอบการปกครองใดจะให้ผลเร็วครับ ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้เวลาเลย ดังนั้น เราเป็น ปชต. มาแล้ว มานาน เราก็ควรเป็นต่อไป เพราะหากเอาระบอบอื่นมาใช้ แม้ว่าจะใช้ได้ และดีแค่ไหนก็ตาม แต่อย่างที่ชายบอก กว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีนะครับ นี่คือ จุดที่ชายอยากให้คุณเข้าใจว่าทำไมเรายังต้องใช้ ปชต. ต่อไป ชายขอย้ำ ไม่มีระบอบการปกครองใดผิดถูก ทุกอย่างใช้ได้ทั้งนั้น ปชช. เป็นอย่างไรก็ควรใช้ระบอบนั้น ทว่า นั่นคือ กรณีที่เราเลือกได้ เริ่มใหม่จาก 0 แต่ในกรณีนี้ เรามีอยู่แล้ว คือ ปชต. ดังนั้น เราไม่ต้องไปเอาระบอบอะไรใหม่แล้วครับ ส่วนการเข้ามายึดอำนาจของคสช. เขาก็มาแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง เดี๋ยวเขาก็ไป ถ้าเขาไม่ไปจริง เราค่อยว่ากันอีกที ประเด็นจึงไม่ใช่การมาเรียกร้องระบอบการปกครองอะไรอย่างนักศึกษายุคพฤษภาทมิฬอะไรนี่ เราอย่าไปเอาตามอย่างประวัติศาสตร์ที่ไม่ดีครับ สิ่งที่เราต้องการเพียงแค่เอาเผด็จการเข้ามาแก้ไขอะไรบางอย่าง แล้วก็ออกไป กลับเป็น ปชต. ดังเดิมเท่านั้นเอง ถามว่าแก้ไขอะไร? สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขก็คือ "ระบบเศรษฐกิจ" อย่างไรละครับ หากเราไม่แก้ตอนนี้ จะรอให้ระบบทุนนิยมล่มสลายทั้งโลกก่อนหรืออย่างไร? เราต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อนสิจริงไหม ดังนั้น เราจึงต้องเป็น ปชต. ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบจีน ซึ่งไม่ผิด ไม่แปลกอะไร ก็เหมือนๆ ไต้หวันอย่างไรละครับ

    ดังนั้น เราควรเรียกร้องอะไร? จุดนี้ควรทบทวนตัวเองให้ดีๆ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...