ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    บทบาทของบุคคลสำคัญต่อ "สงครามมหาเอเชียบูรพา"​


    ปธ. โอบาม่า
    ท่านนี้มีแนวคิด "สันติภาพ" ค่อนข้างชัดเจนแถมยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วย เขาพยายามต่อต้านแผนสงคราม set zero ของกลุ่ม NWO ครับ แต่ชายมองว่าความพยายามของเขากำลังจะถึงที่สุดแล้ว โอบาม่าพยายามจะไม่ก่อสงครามขึ้นในเอเชียบูรพาครับ เขาพยายามจำกัดกรอบของสงครามในอยู่แต่ในโลกมุสลิมแต่สภาพเศรษฐกิจไปต่อไม่ได้ ดังนั้น จึงมี set zero ของกลุ่ม NWO เป็นแนวทางในการแก้ไข ซึ่งจะเป็นการทำสงครามเพื่อเริ่มต้นใหม่

    ปธ. ปูติน
    ท่านนี้มีแนวคิด "สงคราม" ชัดเจน คือ เขาอาจจะมองถูกตรงที่ว่าสันติภาพมันไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการอยู่เงียบๆ และโลกของเราจะมีสงครามเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้น หน้าที่ของเราคือต้องเผชิญหน้ากับมัน กับความจริง ไม่อาจหันหลังหนีมันได้ เขาจึงวางแผนที่จะทำสงครามอย่างแน่นอน เขาอยู่เบื้องหลังการเหยียดหยาม ปธ. โอบาม่าในการประชุม G 20 เพื่อบีบให้โอบาม่าโมโหและเป็นฝ่ายเริ่มทำสงครามก่อน เพื่อจะให้ฝ่ายของตนมีความชอบธรรมนั่นเอง

    ปธ. สีเจี้ยนผิง
    ท่านนี้มีแนวคิด "ชนะโดยไม่ต้องรบ" เขาทำสงครามแน่นอนครับ แต่เขาขยายอิทธิพลโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารโดยตรง เรียกว่าการ "กลืบเงียบ" เช่น ทิเบต, ลาว และล่าสุดคือ "ไทย" เขาทำได้ดีมาก ก้าวหน้ามาก ทว่า หลายประเทศไม่ยอมเป็นเช่นนั้น เช่น ฟิลิปปินส์ ก็ออกมาโวยวายชัดเจน ทำให้การกลืนเงียบเริ่มจะใช้ไม่ได้ผลครับ เขาจึงร่วมมือกับรัสเซีย แล้วหนุนให้ตู่ขึ้นเป็นประธานของกลุ่ม G 77 เพราะตู่เป็นเผด็จการทหาร เป็นหุ่นเชิดของเขานั่นเอง

    ปธ. คิมจองอึน
    ท่านนี้มีแนวคิด "รวมประเทศ" เพราะเกาหลีใต้และเหนือนั้นแท้แล้วคือประเทศเดียวกัน การจะรวมประเทศได้คงมีทางเดียวคือสงครามครับ เขาเป็นคนอายุน้อย แต่มีภาวะผู้นำสูง รับผิดชอบสูง ไม่ยอมให้งานใหญ่นี้ต้องเหนื่อยยากแก่ผู้ใด เขาจึงจะทำเองในยุคของเขา เขากล้าหาญ ไม่กลัวสงคราม และพร้อมเสมอ 100% เรียกว่าพร้อมที่จะเปิดศึกได้ทุกเวลาครับ อนึ่ง เกาหลีเหนือและใต้นี้ยังอยู่ในภาวะสงครามนะครับ อย่าลืม เขาแค่เจรจายุติการรบชั่วคราวเท่านั้น

    ท่านอื่นๆ
    เช่น ปธ. ฟิลิปปินส์ ค่อนข้างชัดเจนว่าพร้อมในการทำสงครามครับ แต่ที่น่าแปลกใจคือ เขากำลังกลับลำไปอยู่ฝ่ายสังคมนิยมอย่างเห็นได้ชัด, ปธ. เกาหลีใต้ ปาร์ก กึน เฮ คนนี้ค่อนข้างดีมาก เขามีวิธีการรบแบบสมัยใหม่ เช่น การรบด้วยการสื่อสาร เพราะอะไร? เพราะว่าเกาหลีเหนือและใต้คือประเทศเดียวกัน การใช้อาวุธยิงกันก็คือการฆ่ากันเองของคนในชาติไงครับ, นายก ตู่ คนนี้เป็นหุ่นเชิดของจีนในการควบคุมประเทศ G 77 คิดดูว่า G 77 มีทั้งประเทศที่ปกครองด้วยสังคมนิยมและ ปชต. ทว่า ถ้าตู่ขึ้น เท่ากับเผด็จการทหารปกครอง ใช่ไหมครับ? อิทธิพลของฝ่ายสังคมนิยมก็ย่อมมีมากในเวทีนี้ด้วย

    เห็นได้ชัดว่าฝ่ายสังคมนิยมมีความพร้อมในการทำสงครามสูงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2016
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การปฏิบัติสำคัญที่ใจ แต่ไม่ใช่ "การติดสุข" และไม่ใช่ "หนีทุกข์"


    การติดสุข เป็นอย่างไร? การติดสุขคือ การที่จิตอยู่กับสภาวะสุข อารมณ์สุข หรืออยู่แต่เชิงบวกด้านเดียวมากไป เกิดได้ในคนที่เริ่มปฏิบัติได้มรรคผลบางอย่าง เช่น ได้ฌาน ก็เริ่มมีสุข แล้วติดสุขได้ แท้แล้ว สุขและทุกข์นั้นเป็นแค่สภาวธรรม สภาวะหนึ่งที่ไม่เที่ยง ก็เท่านั้น เกิดดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีสาระอะไรจะต้องไปติดสุขหรือทุกข์ จะสุขก็ได้ จะทุกข์ก็ได้ ไม่มีสาระให้ยึดถืออะไร แต่ในคนที่ติดสุข จะคิดว่า "การปฏิบัติสำคัญที่ใจ ทำใจเราเป็นสุขเป็นสำคัญ ก็พอ" อันนี้ ทำให้ติดสุขได้ การปฏิบัติสำคัญที่ใจจริงอยู่ การดูแลใจให้ผ่องใสก็ถูกต้อง แต่ไม่ใช่การติดสุขนะครับ การติดสุขมากไป ทำให้รักสบาย ไม่ชอบความทุกข์ยากลำบาก ทำให้เห็นโลกด้านเดียวได้ ยิ่งกว่านั้นทำให้ขาดความทุกข์มาเป็นตัวกระตุ้น ทำให้ขาดความเพียรได้ คนเราเพราะทุกข์จึงต้องดิ้นรน ต้องขยัน ความทุกข์ก็มีหน้าที่ของมัน

    พระโพธิสัตว์ยอมสละความสุขเพื่อสัตว์ได้ ในขณะที่พรหมและผู้ที่ได้ฌาน เขาจะทำไม่ได้ นี่คือ ข้อแตกต่างของพระโพธิสัตว์กับผู้ที่ได้ฌาน เช่น พระพรหม พระโพธิสัตว์บางองค์ยอมทุกข์แทนสัตว์ก็มี เพื่อโปรดสัตว์ เช่น ในบางองค์ฝึกวิชาทองเลน สามารถดูดซับเอาพลังความทุกข์ของปวงสัตว์มาไว้แทนได้ ท่านก็จะเข้าใจความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายได้ เพราะท่านผ่านมาแล้ว และท่านรับรู้หรือเข้าใจผ่านการทุกข์ด้วยตัวของท่านเอง นี่เพราะท่านไม่ติดสุข หลายท่านปฏิบัติถึงขั้นได้ฌานแล้ว จะมีอาการติดสุข แล้วคิดว่าบรรลุธรรมได้ อันนี้ยังไม่ใช่นะครับ ต้องระวังด้วย บางท่านไปจับผิดคนอื่นที่เขาทุกข์ เขาเครียด ว่าพวกเขาไม่ได้บรรลุธรรมอย่างตน ทำตัวร่าเริงก็มี หัวเราะก็มี แต่ไม่ได้ช่วยใครให้พ้นทุกข์ได้เลย เพราะเอาแต่ตัวเองมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว คนอื่นทุกข์ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่พูดว่าอย่าทุกข์สิ อย่าเครียดสิ อันนี้ เพราะไม่เข้าใจความทุกข์ของสัตว์อื่น เพราะติดสุขมากไป

    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ฌานก็ทำให้เป็นสุขเหมือนกัน แต่ผู้ที่บรรลุธรรมจะไม่ติดสุขนะ ต่อให้ได้นิพพาน บรมสุขก็ไม่ยึดติดนิพพาน ไม่ยึดติดความสุข แต่ไม่ใช่ว่าพอไม่ยึดติดความสุขแล้วต้องทุกข์ไปเลยนะ ไม่ใช่ สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะแจ้งแล้วว่ามันเป็นอนิจจัง เป็นธรรมะ ธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีสาระอะไร คำว่าการปฏิบัติสำคัญที่ใจ ไม่ได้แปลว่าให้ใจเราสุขตลอด ไม่เครียดตลอด หรือว่าใจผ่องใสตลอด ไม่ใช่นะ หลายคนไปฝึกพลังเชิงบวกคิดสร้างสรรค์ หรือทำให้จิตใจมีความสุขอยู่ตลอด นั่นไม่ใช่แล้ว เป็นการติดสุขนะ การปฏิบัติสำคัญที่ใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่ติดสุข ใจไม่ได้ยึดติดสุข ใจรับรู้ได้ทั้งความสุขและความทุกข์ ไม่หนี ไม่กลัวทั้งความสุขและความทุกข์ รับรู้ได้ตามธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดาๆ คือ ไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ทำหน้าที่ของมันไป เวลาไหนควรสุขก็สุขได้ เวลาไหนควรทุกข์ก็ทุกข์ได้ ไม่มีสาระ

    อรหันต์ที่ดูดุ ดูเครียดหรือดูเศร้าๆ ก็มี ของแบบนี้ยึดถือกันไม่ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2016
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491

    โดนอีกแล้วครับ โดนจริตผมได้ทุกวันกระทู้ท่านนี้:boo:
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มนุษย์จะถูกสร้างใหม่?


    คนเราทุกคนเกิดมาจะมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เมื่อเราทำกรรมจนเสื่อมหรือเจริญขึ้นไปแล้ว จิตวิญญาณมนุษย์ก็จะดับสลายไป จิตวิญญาณจะกำเนิดใหม่เป็นสิ่งอื่น เช่น เทพ, มาร, ปีศาจ ฯลฯ คนบางคนเสียผู้เสียคน ทำตัวสำมะเลเทเมาไปวันๆ บางคนทำตัวต่ำเหมือนสัตว์เดรัจฉาน บางคนฆ่าพ่อแม่ตัวเองได้ หรือฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอ สิ่งเหล่านี้ ล้วนแสดงถึงความไม่ใช่มนุษย์ คนส่วนใหญ่จะสูญเสียจิตวิญญาณมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ หลายช่วงด้วยกัน เช่น ช่วงที่เสียใจเพราะความรักอย่างรุนแรง, ช่วงที่อยากจะมีอาชีพเป็นอะไรสักอย่าง, ช่วงที่ชีวิตตกต่ำจนประคองความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้, ช่วงที่ป่วยจนเกือบตาย, ช่วงที่ตกใจจากอุบัติเหตุอย่างรุนแรง ฯลฯ บางคนเมื่อไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้ว ก็จะไม่เข้าใจมนุษย์ปกติอีก เช่น คนที่มีจิตวิญญาณเป็นเทพ ก็จะไม่เข้าใจมนุษย์ว่าทำไมมนุษย์จึงอ่อนแอ ทำไมมนุษย์ไม่มีอาชีพ ไม่มีงานที่มีรายได้ประจำทำ (มนุษย์ปกติไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ประจำแต่มีหน้าที่ของมนุษย์ สามารถทำงานได้ทุกอย่าง แต่ไม่อาจดีได้เทียบเท่ากับเทพในร่างมนุษย์หรือพวก professional) มนุษย์จริงๆ ไม่ได้เก่งอะไร แต่ทำได้ทุกอย่าง แต่เทพในร่างมนุษย์จะเก่งในบางอย่างแบบสุดๆ เรียกว่าเก่งขั้นเทพเลย และจะทำแต่สิ่งที่ตนเองเก่ง ไม่สนใจสิ่งอื่นๆ (และมักใช้เงินจ้างให้คนอื่นทำให้ เช่น จ้างซักผ้า)

    ผู้ที่พร้อมรับธรรมแล้วบรรลุธรรมได้ จะต้องมีจิตวิญญาณระดับสูงตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป ทว่า หลังกึ่งกลางพุทธกาลไปแล้ว มนุษย์ไม่อาจมองเห็นพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าต้องโปรดเทพเทวดาแทน ซึ่งท่านจะโปรดเป็นรายบุคคลไปเรื่อยๆ จนเมื่อสิ้นอายุพุทธกาลก็จะรวมธาตุแล้วแสดงพระองค์ให้เห็นอีกครั้งเมื่อนั้นจะโปรดเทพเทวดาทั้งหลายพร้อมๆ กันในคราวเดียว ดังนั้น โลกนี้จึงถูกสร้างใหม่ให้มีเทพเทวดาไปรอฟังธรรมในวันนั้น ช่วงกึ่งกลางพุทธกาลจะมีการเปลี่ยนชุดเทพทั้งหมด เทพชุดเก่าจะหลุดพ้นจากตำแหน่ง จะเกิดเทพชุดใหม่ไปประจำตำแหน่งแทนแล้วประจำการณ์อยู่ 2,500 ปีจนสิ้นพุทธกาล ส่วนคนจะมีบางส่วนเสื่อมลงไปจากความเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนที่มีจิตวิญญาณตกต่ำ เสื่อมต่ำ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน, อสูรร้าย, ปีศาจ, ซาตาน ฯลฯ ไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนจะมีจิตวิญญาณเจริญขึ้นไปสู่เทวสภาวะ กลายเป็นเทพในร่างคน พวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาจะต้องผ่าน "สงครามศักดิสิทธิ์" เพื่อทำลายสังขารเปลือกนอกของกันและกันออกไป แล้วกลับคืนสู่สภาวะธรรมแท้ดังเดิมคือ ใครมีจิตวิญญาณเป็นเทพ ก็จะไปจุติเป็นเทพ ใครมีจิตวิญญาณเป็นมารร้าย, ปีศาจอะไร ก็จะจุติไปเป็นอย่างนั้น หลังสงครามศักดิสิทธิ์ ซึ่งเป็นสงครามมหาเทพสิ้นสุดลง มนุษย์ก็จะถูกสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้ง และโลกใบนี้ก็จะกลายเป็น "โลกใหม่"

    โลกจะถูกสร้างใหม่ทั้งสามภพ จิตวิญญาณจะถูกจัดสรรใหม่หมดครับ
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=nxTPcKqxT-A"]http://www.youtube.com/watch?v=nxTPcKqxT-A[/ame]
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    บทบาทของกลุ่มต่างๆ ในการเมืองอเมริกากับการ set zero


    อย่างที่เราทราบกันดีว่าโลกของเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติจนถึงขั้นจะต้อง "สร้างกันใหม่" แถมมีแผนการณ์ set zero ที่รอเวลาดำเนินการณ์มานานแล้ว ทีนี้ ชายอยากจะแนะนำให้รู้จักแต่ละท่านที่ทำกิจอยู่ในสภาคองเกรส เป็นกลุ่มๆ ก็แล้วกัน ท่านเหล่านี้ ส่งผลต่อการตัดสินใจในการทำสงคราม set zero ทั้งสิ้น ซึ่งมีหลายกลุ่ม ดังนี้

    1 มนุษย์
    ในสภาคองเกรสเหลือมนุษย์อยู่น้อยมาก โอบาม่าเป็นมนุษย์คนสุดท้ายในสภาฯ ครับ เมื่อสิ้นยุคของเขา จะไม่มีมนุษย์คนไหนมาต้านทาน "สงครามมหาเอเชียบูรพา" อีกต่อไป โอบาม่าคิดอย่างมนุษย์ คือ อยากอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขเหมือนคนธรรมดาก็เท่านั้นเอง เขาไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่เทพ เขาจึงไม่มีแนวคิดในการ "สร้างโลกใหม่" เหมือนพวก NWO ที่อยู่ในสภาคองเกรส

    2 มนุษย์ต่างดาวฝ่ายมืด
    ในสภาคองเกรสมีคนที่เป็นร่างของมนุษย์ต่างดาวฝ่ายมืดอยู่มาก พวกนี้ ต้องการเพียงการดำรงอยู่ในโลกโดยดูดซับเอาทุกอย่างจากโลกและมนุษย์ให้มากที่สุด เช่น การกอบโกยเอาทรัพยากรจากต่างประเทศ เข้ามาหนุนการดำรงอยู่ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จนเกิด "ภาวะโลกร้อน" ขึ้นในที่สุด พวกนี้เองทำให้โลกจะต้องถูกสร้างใหม่ และทำให้มนุษย์ต่างดาวฝ่ายสว่างเข้ามา

    3 มนุษย์ต่างดาวฝ่ายสว่าง
    ในสภาคองเกรสมีคนที่เป็นร่างของมนุษย์ต่างดาวฝ่ายสว่างอยู่ด้วย พวกเขามายังโลกเพื่อภารกิจ "สร้างโลกใหม่" (New world) แต่ด้วยพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาจึงไม่ได้สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ เช่น การทำสงคราม set zero เพื่อจัดระเบียบโลกใหม่นั้น อาจเกิดผลกระทบต่อโลกมากมายแต่พวกเขาก็จะต้องเดินตามแผนต่อไปให้ได้ แม้มนุษย์อย่างโอบาม่าจะพยายามต้านทานอยู่ก็ตาม

    4 เทพ
    ในสภาคองเกรสมีคนที่เป็นร่างเทพอยู่ด้วย พวกเขาจะทำตัวต่างไปจากมนุษย์ปกติ ทำตัวเหมือนเทพ คอยวางแผนบงการให้โลกเป็นไปตามแผน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยิวและเชื่อคำสอนของศาสนามาก ทำให้โอบาม่าพยายามล้างบางความเชื่อของคนในสภาคองเกรสโดยเอาพุทธศาสนาเข้าไป จัดงานวิสาขบูชาโลกในไวท์เฮาส์ ทว่า คนเหล่านี้มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดาจริงๆ ครับ

    5 อื่นๆ
    แน่นอนว่าทุกที่ย่อมมีคนดีและคนไม่ดี ในสภาคองเกรสนอกจากกลุ่มที่ชายได้กล่าวถึงแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ไม่ดีอยู่ด้วย พวกนี้ มีร่างเป็นคนแต่มีจิตวิญญาณเสื่อมต่ำ บางคนก็อาศัยเข้ามาหาผลประโยชน์เข้าตัวเท่านั้นเอง ถามว่าเป็นอะไรกันบ้าง? ก็มีทั้งปีศาจ, ซาตาน, อสูร ฯลฯ คนพวกนี้คิดแค่อยากได้เงินเยอะๆ ขายอาวุธให้ได้มากๆ อะไรแค่นั้นเอง พวกเขาไม่สนใจผลกระทบอะไรเลย

    ปัจจุบัน พวกเขาแตกแยกทางความคิดกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์ต่างดาวฝ่ายมืด ซึ่งเริ่มเข้ากันไม่ได้ บางพวกเลิกสนับสนุนอเมริกาไปแล้ว แล้วหันไปสนับสนุนประเทศจีน กลายเป็นสายให้พวกคนจีนก็มี ความขัดแย้งทางความคิดนั้นนำไปสู่การขยายวงกว้างออกไป แตกกลุ่มออกไป สุดท้าย อำนาจของอเมริกาก็ลดลง อำนาจได้กระจายออกไปทั่วโลก ปัจจุบัน กลุ่มต่างๆ เริ่มแสวงหาที่ใหม่ และส่งผลให้โลกเราใกล้ถึงจุดที่จะเกิดสงครามเต็มที่แล้วครับ
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนเราล้วนปฏิบัติผิดกันมาก่อนทั้งนั้น?


    ไม่มีใครปฏิบัติถูกมาก่อนแต่ต้นหรอก ทุกคนปฏิบัติผิดกันมาก่อนทั้งนั้นหละ เพราะคนเราไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นพระอรหันต์นะ เริ่มต้นจากความไม่รู้มาก่อนทั้งนั้น แต่เราก็ต้องปฏิบัติไปตามบุญตามกรรมของเราน่ะละจนกว่าจะสะเทือนถึงท่านที่บรรลุธรรมแล้ว พระอรหันต์ท่านก็จะมา "ต่อสายธรรม" ให้เราได้ ไม่ใช่มาบอกธรรมะเรานะ ด้วยสัจธรรมนั้นบอกกันไม่ได้ อธิบายไม่ได้ ท่านจะมาบอกว่าเราปฏิบัติผิด ผิดยังไง แต่ถูกยังไงไม่บอก เราต้องเข้าถึงเอง เป็นปัจจัตตังนะ (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ) ไม่มีใครทำได้ถูกด้วยตัวเองหรอก ถ้าทำได้ถูกด้วยตัวเองได้ก็จะเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" มันผิดยุคนะ ยุคนี้ยังไม่ใช่ยุคพระปัจเจกฯ คำว่ารู้ได้เองเป็นปัจจัตตัง มันไม่ได้หมา่ยถึงว่ารู้ได้เองว่าผิดตรงไหน ถูกอย่างไร? แต่เราต้องต่อสายธรรม จะมีพระอรหันต์ท่านมาต่อสายธรรมให้เรา ชี้แนะเราว่าเราผิดตรงไหน? ที่เหลือสัจธรรมคืออะไร ถูกอยู่ตรงนั้น อันนั้นเราไปต่อเอง อันนี้เรียกว่าสายธารธรรม ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด แบบนี้เรียกว่าพระอรหันต์ในพุทธศาสนา ไม่ใช่พระปัจเจกฯ ดังนั้น การที่มีผู้มาตำหนิเรา มาบอกจุดผิดพลาดให้ นั่นก็เป็นบุญวาสนาของเรา เราปฏิบัติยิ่งยวดจนสะเทือนไปถึงท่าน เหมือนพระสมณโคดมบำเพ็ญทุกขกริยาจนสะเทือนถึงพระอินทร์

    ทีนี้ ถ้าเราไปบอกใครเขาว่าเขาปฏิบัติผิดนะ เขาไม่รับ ไม่เชื่อ อันนี้ก็ไม่แปลก เพราะอะไร? เพราะเขาไม่ใช่ "สายธรรม" ของเราน่ะเอง ถ้าเขาเป็นสายธรรมของเรา เขาก็เชื่อ ก็ฟังเราไปแล้ว ถ้าเขาไม่ใช่สายธรรมของเรา เขาเป็นสายธรรมของใคร? อันนี้เยอะแยะเลย ในโลกนี้มีสายธรรมเยอะแยะ หลายคนในยุคนี้มีจิตเป็นปัจเจกยานนะ แบบปัจเจกยานนี่ใครไปบอก ไปสอนไม่ได้หรอก เขาไม่ยอมรับนะ เขาต้องรู้ของเขาเอง (แต่มันยังไม่ถึงเวลา) พวกไหนเป็นปัจเจกยานก็ปล่อยเขาไป เขาไม่เชื่อ ไม่ฟังใครหรอก เขาจะหาธรรมะของเขาเองน่ะละ ถ้าเขาหยุดได้ หลงทางอยู่กับธรรมะปลอมๆ ที่ไม่ทำให้เขาบรรลุได้ ก็ถือว่าใช่แล้ว จบแล้ว ปัจเจกยานยังไม่ถึงเวลาบรรลุก็ต้องอยู่แบบนั้น เป็นอย่างนั้นไปก่อน เราอย่าไปบอกว่าเขาผิด ต้องปล่อยให้เขาผิดไป หลงไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเขารู้ตัวว่าเขาผิดแล้วปฏิบัติให้ถูกได้เอง เดี๋ยวจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจก ผิดเวลาเท่านั้นเอง ผลคือ ภัยพิบัติจะเกิดในโลกนะ ดังนั้น ปล่อยเขาไป ใครที่เขาบอกแล้วเขาไม่รับ ไม่ฟังก็แสดงว่าเขามาทาง "ปัจเจกยาน" ไม่ต้องไปเหนื่อย ไม่ต้องไปพยายามอะไร ปล่อยเขาเลย ยังไม่ถึงเวลาของเขาอยู่แล้ว ยุคนี้คนที่มีจิตเป็นปัจเจกยานมาเกิดเยอะมาก ดังนั้น จึงเผยแพร่ธรรมะในวงกว้างได้ยาก ธรรมชาติเขากันไว้ไม่ให้คนที่เป็นปัจเจกยานบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกฯ ผิดยุคสมัย

    ดังนั้น ธรรมะที่ใช่ ถึงแสดงออกมากในระดับสาธารณะไม่ได้ไงครับ
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นโยบายชาตินิยม นำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ!


    อย่ากลัวว่าชนชาติไหนจะมาแย่งคนไทยหากิน เพราะคนทุกคนไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ก็เสียภาษีให้ประเทศไทยได้ทั้งนั้น ชายอยากให้ดูสิงคโปร์และอีกหลายประเทศที่มีหลายเชื้อชาติอยู่ด้วยกัน เป็นตัวอย่าง ที่สิงคโปร์ มีทั้งเชื้อชาติจีน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ฯลฯ อยู่รวมกัน เขาไม่มาคิดหรอกว่าชนชาติไหนมาแย่งชนชาติไหน เขาคิดแต่ว่าตัวเองทำได้ดีแล้วแค่ไหน? มันไม่เกี่ยวกับชนชาติอะไรมาแย่งชนชาติอะไรหรอกครับ มันเกี่ยวกับว่าเราทำได้ดีแค่ไหนแล้วต่างหาก หากเราเป็นคนจีนแต่ขี้เกียจ เราก็ไม่ได้อะไรกับเขาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนจีนจะมาแย่งอะไรคนไทย คนไทยเรารักสบายเกินไป ทำตัวแบบสบายๆ คนชาติอื่นเขามีความขยันหมั่นเพียรมากกว่าเขาก็ได้อะไรมากกว่า เราจะไปอิจฉาเขาได้อย่างไร? อีกประการคำว่า "คนไท" มันก็มีแค่ชนกลุ่มน้อยไม่ถึง 1% ของคนไทยทั้งหมด พวกเขาอพยพมาจากจีนตอนใต้ มารวมกับคนท้องถิ่นในประเทศไทยเรา ที่มีอยู่แล้วหลายชนชาติ เช่น ชนล้านนา, ชนสุพรรณภูมิ, ชนอีสาน, ชนอู่ทอง, ชนศรีวิชัย ฯลฯ หลายชนชาติรวมเป็นอาณาจักรไทยในยุคสุโขทัยแบบหลวมๆ แบบรัฐแต่ละรัฐปกครองตัวเองอย่างอิสระ มาจนถึงยุคนี้ คำว่า "คนไทย" มันหมายรวมถึงหลายชนชาติไปตั้งนานแล้วครับ คนไทยในกรุงเทพ มีเชื้อจีนตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นจะผิดตรงไหน? บางยุคดาราลูกครึ่งก็เป็นที่นิยมในไทย ไม่เห็นใครจะมองว่าเขาไม่ใช่คนไทยเสียหน่อย ดังนั้น นโยบายอนุรักษนิยมที่เห็นว่าชนชาตินั้นมาแย่งอะไรคนไทยนั้น ชายมองว่าในโลกนี้ไม่มีใครนิยม เขาไม่เอามาใช้แล้ว อีกหน่อยโลกจะไม่มีคำว่าชนชาติ เชื้อชาติละ มันจะมีแต่ "ชาวโลก" ที่มีหลากหลายชนชาติผสมผสานกันไปครับ

    ในประเทศลาว มีการโจมตีว่าการเกษตรแบบจีนเข้ามาทำลายสิ่งเดิม ทรัพยากรธรรมชาติ จริงๆ คุณต้องดูคนลาวทำการเกษตรก่อน เขาทำไม่เหมือนคนไทยนะ เขาทำแบบไม่ทำลายธรรมชาติจริงๆ เช่น เลี้ยงกุ้งในนาข้าว เขาเลี้ยงได้เพราะไม่ใช่สารเคมีมากแบบไทย ดังนั้น พอเขาเห็นคนจีนทำการเกษตรเพื่อการค้าขาย และใช้สารเคมีมาก เขาก็จะต่อต้านได้ เพราะเขาไม่ทำแบบนั้น แต่ไทยเราไม่ใช่ เราใช้ไม่น้อยกว่าคนจีนเลย ใช้จน EU ไม่กล้าซื้อสินค้าของเราแล้ว กระแสชาตินิยมและการต่อต้านคนจีน เป็นแนวคิดที่ผิดมาก เพราะมันเท่ากับผลักภาระการต่อสู้ของรัฐบาลต่อรัฐบาลไปลงที่คนธรรมดาแทน มันทำให้เกิดความแตกแยกในชาติ เหมือนยุให้คนในชาติทะเลาะแตกแยกกัน สิ่งที่ควรทำคือ อย่าทำให้ประชาชนเกิดเรื่องกัน ให้เขาอยู่แบบสงบๆ แล้วปัญหาระหว่างประเทศ ต้องให้รัฐเป็นผู้แก้ไขเอง ไม่ใช่รัฐแม่งไม่ทำอะไรเลย ยอมจีนหมดทุกอย่าง พอคนจีนเข้าประเทศ ก็ไปยุให้ประชาชนออกมาทะเลาะ มารับหน้าแทน อย่างนี้มันไม่ใช่แล้ว รัฐบาลไม่ทำงาน ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติให้ดี กลับผลักภาระมาที่ประชาชน แล้วให้เขาทะเลาะกัน ตีกันเอง ประเทศจะอยู่อย่างไร? ไม่แตกแยกวุ่นวายหรอกหรือ? ไม่ได้ ประชาชนคนไทยไม่ผิด คนจีนก็ไม่ผิด เราต้องปกครองให้เขาอยู่ได้ ร่วมกันอย่างสงบ แล้วถ้าเรามีปัญหาอะไรกับประเทศจีน รัฐบาลต้องเป็นผู้รับหน้า และแก้ไขปัญหาแทนประชาชน กินเงินเดือน ภาษีจากประชาชนแล้วผลักภาระให้ประชาชนรับแทนได้อย่างไร? นโยบายชาตินิยมก็คือการหลอกให้ประชาชนไปรับหน้าแทน ส่วนตัวเองก็ทำเป็นมิตรแบบไม่จริงใจกับชาวโลกเขาไปทั่ว อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ครับ

    อย่าทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ให้มากไปกว่านี้ครับ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มนุษย์ในมิติที่สาม, สี่ และห้า เป็นอย่างไร?


    มนุษย์ในมิติที่สาม
    คือ มนุษย์ทุกคน ตั้งแต่เกิดมา ธรรมชาติสร้างมาให้อยู่ในระดับมิติที่สามก่อน แต่สภาวะนี้จะไม่เที่ยง มนุษย์อาจพัฒนาตัวเองไปได้สูงกว่านี้เมื่อโตขึ้น หรือเสื่อมลงต่ำกว่านี้ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะต่ำลง มนุษย์ในมิติที่สามจะเข้าใจโลกและสัจธรรมแบบรูปธรรมเป็นหลัก จะเห็นสิ่งต่างๆ เป็นรูปธรรม กว้าง, ยาว, สูง จะไม่เข้าใจธรรมะในมุมที่ลึกซึ้งไปกว่านี้ พวกเขาจึงกลายเป็นพวกวัตถุนิยม, บริโภคนิยมไปได้ไม่ยาก ทว่า พวกเขาก็มีความสุขอย่างมนุษย์ เรียบๆ ง่ายๆ พื้นๆ ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายแค่ปัจจัยพื้นฐาน

    มนุษย์ในมิติที่สี่
    คือ มนุษย์ที่ผ่านการ "กำเนิดใหม่" แล้วยกระดับจิตวิญญาณตัวเองจากมิติที่สามขึ้นมาได้หนึ่งขั้น ขั้นนี้ พวกเขาจะเข้าใจถึงมิติของกาลเวลาที่กว้างขึ้น เข้าใจตัวตนของตัวเองในมิติที่หลากหลายขึ้น เช่น ตัวตนในอดีต, ตัวตนในอนาคต เข้าใจว่าตัวเองมีอดีตมาก่อนที่จะเกิดชาตินี้ และตัวเองมีอนาคตชาติที่จะต้องเกิดต่อไป ดังนั้น การจะทำอะไรในชาตินี้ จึงต้องระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่ออนาคตให้มากขึ้น ไม่ได้คิดแต่ว่าจะเอาให้ได้ในปัจจุบันนี้ สนองกิเลสตัวเองให้ได้ ณ ปัจจุบันนี้ แล้วไม่สนใจอนาคตอะไรอีก ก็ไม่ใช่

    มนุษย์ในมิติที่ห้า
    คือ มนุษย์ที่ผ่านการ "กำเนิดใหม่" แล้วยกระดับจิตวิญญาณตัวเองจากมิติที่สี่ขึ้นมาได้หนึ่งขั้น หรือจากมิติที่สามมาได้สองขั้น ขั้นนี้ พวกเขาจะเข้าใจถึงมิติของตัวตนหลากมิติที่อยู่เบื้องสูงและเบื้องต่ำลงไปมากขึ้น เข้าใจถึงการเชื่อมโยงของตัวตนแบบหลากมิติ ไม่ใช่ตัวตนแบบเป็นสังขารร่างเดียว สิ่งที่เราเห็นเป็นตัวตนๆ หนึ่งนั้นก็เป็นเพียง "รูป" ในการสำแดงออกอย่างเหมาะสมในภารกิจหนึ่งเท่านั้นเอง ทว่า รูปทั้งหลายเหล่านี้ก็สำแดงออกเพียงเพื่อทำกิจเท่านั้น ไม่เที่ยงและไม่อาจยึดมั่นเป็นตัวตนของตนที่แท้ได้

    ตามมาตรฐานของ "สากลจักรวาล" นั้นมนุษย์จะมีระดับจิตวิญญาณอยู่ในระดับมิติที่ห้า แต่มนุษย์ในโลกนี้ จะถูกสร้างมาให้อยู่ในระดับมิติที่สามก่อน ดังนั้น เราจึงต้องผ่านการกำเนิดใหม่เพื่อเลื่อนระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นไปสู่มิติที่สี่และห้าตามลำดับ ยิ่งเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้ เราก็พร้อมที่จะ "บรรลุธรรม" ได้ง่ายยิ่งขึ้น

    การเลื่อนระดับจิตวิญญาณกับการบรรลุธรรมเป็นคนละสิ่งกันนะครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ศาสนายิว, พุทธ และสงคราม set zero ในทำเนียบขาว


    หากคุณต้องการทำความเข้าใจเรื่องสงคราม set zero ในมุมของสภาคองเกรส นอกจากคุณจะต้องเข้าใจเศรษฐกิจของอเมริกาแล้ว ชายอยากให้คุณทำความเข้าใจเรื่อง "ความเชื่อทางศาสนา" ด้วย เพราะเกี่ยวข้องกันอย่างมากครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ ในทำเนียบขาวนั้น มีชาวยิวอยู่เต็มไปหมด พวกเขาเชื่อในศาสนายิว ซึ่งยังไม่ได้รับการยอมรับเป็นศาสนาอย่างถูกต้อง แต่โดยเนื้อหานั้น มีเรื่องของการทำสงครามศักดิสิทธิ์, การยกดินแดนของพระเจ้าให้แก่ชาวยิว และการสร้างโลกใหม่ด้วย สรุปคือ จากแนวความเชื่อในศาสนายิวนี่ละ นำไปสู่แนวคิดและนโยบาย "สงคราม set zero" ซึ่งก็ตอบโจทย์ในการล้างบางระบบเศรษฐกิจเพื่อเริ่มศูนย์ใหม่ เนื่องจากระบบทุนนิยมไม่สามารถเดินหน้าไปต่อไปได้แล้วนั่นเอง ดังนั้น กลุ่ม NWO ซึ่งก็คือ กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการเมืองโลกและการเมืองอเมริกาจึงขับดันให้ทำสงคราม set zero แต่ก็มีผู้ที่คัดค้านอยู่เช่น "โอบาม่า" ซึ่งเขาคิดเหมือนมนุษย์ธรรมดาๆ ว่าทำไมต้องทำสงครามด้วย ใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ก็พอแล้ว ทว่า แนวคิดแบบโอบาม่านั้น ไม่อาจแก้ปัญหาของอเมริกาและโลกได้จริง ทำได้เพียงซื้อเวลาไปเท่านั้น วันหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้ก็ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อให้ไปต่อได้ จึงต้องทำสงครามล้างระบบเพื่อเริ่มต้นใหม่ครับ

    ศาสนาพุทธนิกายนิชิเร็น ถูกดึงเข้ามาเพื่อต้านทานกับศาสนายิวในทำเนียบขาวอย่างชัดเจนเมื่อ โอบาม่าได้จัดงานวิสาขบูชาโลกในทำเนียบขาว โดยได้ให้ "สมาคมโซคา งักไก" ซึ่งเป็นสมาคมที่อยู่ในนิกายนิชิเร็น เป็นผู้นำในการจัดทำพิธีกรรมนั้นๆ อนึ่ง นิกายนิชิเร็นนี้ จะถือ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" เป็นพระสูตรหลัก ในพระสูตรนี้ได้กล่าวถึง "ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน ที่จะบรรลุพุทธะ" ดังนั้น พระสูตรนี้จึงเป็นพระสูตรเดียวที่สนับสนุน ปชต. อย่างชัดเจนก็ว่าได้ ในขณะที่นิกายอื่นๆ ในพุทธศาสนา เช่น นิกายเถรวาท จะไม่สอนเรื่องความเท่าเทียมกันขนาดนี้ แต่จะเน้นการดำรงอยู่แบบการมี "ศาสดา-สาวก" มีผู้ที่เป็นเจ้า และผู้ที่เป็นสาวกอยู่ จึงไม่สนับสนุน ปชต. เดิมทีชายคิดว่าโอบาม่าได้แอบซ่องสุมกำลังเอาไว้เหมือนดังเช่น ISIS แต่ไม่เน้นใช้อาวุธฆ่าคนแต่จะใช้การเอาชนะทางความคิดแทน เรียกว่ากลุ่ม "อศาสนิก" คือ พวกที่ไม่เอาศาสนาอะไรเลย ปฏิเสธศาสนาต่างๆ ยึดถือตรรกะและเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์แทน ซึ่งคนกลุ่มนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับพวกยิวที่นับถือศาสนายิว เป็นกลุ่มแรก ทว่า ไม่เวิร์กเพราะคนกลุ่มนี้กลายเป็นพวกนักเลงธรรม ที่ออกไปตะเวนหาเรื่องและสร้างความขัดแย้งกับศาสนาต่างๆ ไปทั่ว จนในที่สุด โอบาม่าต้อง "ตัดหางปล่อยวัด" เพราะคุมไม่ได้แล้ว หากปล่อยอย่างนี้ต่อไป จะกลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามเสียเอง แทนที่จะมายับยั้งสงคราม set zero สุดท้าย โอบาม่าจึงหันไปหนุนพุทธศาสนานิกายนิชิเร็นผ่านทางสมาคมโซคา งักไก นั่นเองครับ

    เรื่องราวของศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสงคราม set zero จึงเป็นเช่นนี้
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนเราอาจไม่ใช่มนุษย์ก็ได้ ดูอย่างไร?


    พิจารณา "กายในกาย" ตามหลักสติปัฏฐานสี่นี่ละครับ เมื่อสติตื่นแจ้ง ปัญญาจะสว่างออกมาเองเลยว่ากายนั้นกายอะไร คนๆ นั้นมีจิตวิญญาณเป็นอะไร? คนเราไม่จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์เสมอไป จริงอยู่ว่าเมื่อเราเกิดใหม่ๆ เราจะมีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก่อกรรมมากมายทำให้เสื่อมลงก็ได้ เจริญขึ้นก็ได้ เราจึงมีจิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงไป กายในกายของเราจึงเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนที่มีจิตวิญญาณเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งกายทิพย์แบบต่างๆ จำแนกเป็นตัวอย่างได้ดังนี้

    1 กายชั้นต่ำ
    เช่น กายเปรต, กายอสุรกาย, กายปีศาจ ฯลฯ กายทิพย์เหล่านี้มีกรรม ทำให้ชีวิตเสื่อมต่ำ หากเรามีกายเปรต เราต้องอยู่อย่างเปรตคือ เป็นคนอนาถา มนุษย์ปกติอยู่อย่างเรียบง่ายแต่ไม่ใช่คนอนาถา มนุษย์มีบุญของตัวเอง ไม่ต้องขอใครกิน แต่ไม่ได้แปลว่าให้กันกินไม่ได้ จะมีพ่อแม่เลี้ยงดูก็ได้ ญาติดูแลกันอยู่ก็ได้ แต่ไม่ใช่เร่ร่อนขอไปทั่ว

    2 กายเดรัจฉาน
    เช่น กายวัว, กายเสือ, กายสุนัข ฯลฯ กายทิพย์เหล่านี้เป็นกายชั้นต่ำ ทำให้ชีวิตเสื่อมต่ำ ต้องอยู่อย่างสัตว์เดรัจฉาน คือ อยู่เหมือนคนที่ก้มหน้าหากินไปวันๆ ไม่มีความเป็นปกติสุข เรียบง่าย อยู่ไปด้วยมีแรงกระตุ้นจากความเป็นสัตว์ขับดัน วนเวียนอยู่กับเรื่องการกิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ ไม่อาจคิดอะไรได้มากกว่านี้ ง่ายต่อการถูกจูงจมูก

    3 กายมนุษย์
    เป็นกายทิพย์ปกติแรกเริ่มของมนุษย์ทุกคน ก่อนที่จะเสื่อมไปหรือเจริญขึ้น กายทิพย์มนุษย์ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่าง "ปกติมนุษย์" คือ มีความสุขแบบเรียบๆ ง่ายๆ อยู่ในโลกนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ไม่เป็นคนขาดตกบกพร่อง, คนไม่เต็มบาตร, คนขาดความอบอุ่น, คนมีปมด้อย, คนขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง-เรียกร้องความสนใจ

    4 กายเทพ
    เป็นกายทิพย์ที่เจริญขึ้น พัฒนามากขึ้น ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานเฉพาะตัว ดำรงชีวิตอยู่แบบเทพ คือ หรูหรา, มีระดับ, มีข้าวของเครื่องใช้ที่มีคุณภาพสูงมากมาย, มีเครื่องมือเครื่องใช้เยอะ เช่น รถยนต์, ทีวี, มือถือ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ของเหล่านี้เป็นของใช้ระดับเทพ หาใช่ของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่

    5 กายพรหม
    เป็นกายทิพย์ที่เจริญขึ้น พัฒนามากขึ้น ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากมีตำแหน่งหน้าที่การงานเฉพาะตัวแล้ว กายพรหมยังทำให้มีความสุขตลอดเวลา อิ่มในฌาน ผ่องใสอยู่ตลอด ทำให้ "ติดสุข" ได้ เมื่อติดสุขมากๆ จะไม่เข้าใจมนุษย์ว่าทำไมพวกเขาจึงทำตัวให้เป็นทุกข์กันละ ทำไมไม่ทำใจให้ร่างเริงผ่องใสอย่างเรา?

    6 กายโพธิสัตว์
    เป็นกายทิพย์ที่เจริญขึ้น พัฒนามากขึ้น ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มักไม่มีหน้าที่การงานเฉพาะตัว ไม่มีตำแหน่ง แต่ชอบไปช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เรียกว่า "โปรดสัตว์" และยังช่วยเหลือผู้อื่นจนเกินกำลังกว่ามนุษย์ปกติเขากระทำกัน มนุษย์ปกติช่วยแค่พอไหว แต่โพธิจิตอาจช่วยจนตัวเองได้รับความเดือดร้อน

    7 กายพุทธะ
    เป็นกายทิพย์ที่เจริญขึ้น พัฒนามากขึ้น ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีตำแหน่งทั้งทางโลกและทางธรรมใดๆ และไปถึงที่สุดแห่งโพธิจิตแล้ว ถึงจุดที่ไม่มีอะไรให้โปรดอีกแล้ว โพธิจิตจบแล้ว การโปรดไม่มีแล้ว โปรดคือไม่โปรด ไม่โปรดก็คือโปรด เพราะถึงที่สุดแห่งจิตแล้วนั่นเอง จึงมักอยู่ในฐานะ "เนื้อนาบุญของโลก" ครับ

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ ไม่ใช่การสรุปแบบเหมารวมครับ
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปัจจัยสำคัญในการขับดันให้เกิด "สงครามเอเชียบูรพา"​



    มีอยู่หลายปัจจัยครับ วันนี้ชายจะแนะนำสองปัจจัยสำคัญที่เกิดจากประเทศมหาอำนาจครับ คือ ปัจจัยที่เกิดจากประเทศจีนและปัจจัยที่เกิดจากประเทศอเมริกา ซึ่งมีผลต่อสงครามสูงมาก ดังต่อไปนี้

    1 การกลืนเงียบของจีน
    จีนดำเนินนโยบายแผ่ขยายอิทธิพลแบบ "ชนะโดยไม่ต้องรบ" ได้ก้าวหน้ามาก หลังจากยึดทิเบตได้แล้ว ก็แผ่ขยายอิทธิพลลงมาทั้งลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และไทย ล่าสุดก็สามารถคุมผู้นำไทยได้ ผู้นำไทยกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดให้รัฐบาลจีนใช้เป็นผู้นำ G 77 เพื่อคุมประเทศกลุ่มนี้ด้วยระบอบเผด็จการทหาร และการกลืนเงียบนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง จีนยังคงรุกลามเข้าไปในทะเลจีนใต้จนเกิดข้อพิพาทขึ้น และศาลโลกต้องตัดสินให้ "จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้" ซึ่งจีนก็ตอบโต้ด้วยการให้ประชาชนหักไอโฟนแสดงถึงการไม่ยอมรับคำตัดสินนั้น การกลืนเงียบของจีนหากไม่มีมาตรการใดตอบโต้ก็จะกลายเป็นปัจจัยกดดันทำให้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาได้ครับ

    2 ดอลล่าร์ขยะของอเมริกา
    อเมริกาใช้นโยบายดอลล่าร์ตามใจฉันมายาวนาน การพิมพ์เงินของอเมริกาไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสินทรัพย์เหมือนประเทศอื่นๆ หากอเมริกาต้องการใช้เงินแก้ปัญหาใดๆ ก็สามารถพิมพ์แบ้งค์ออกมาได้ไม่ยากเลย เช่น กรณีให้เงินจำนวนมากช่วยเหลือประเทศลาวในการกู้ระเบิด เงินเหล่านี้เหมือนกระดาษที่เอามาหลอกล่อใช้งานคนลาวให้กู้ระเบิดในประเทศตัวเอง โดยอเมริกาก็กลายเป็นผู้มีคุณไป ทั้งยังเอากระดาษมาหลอกใช้คนลาวให้ทำงานได้อีกด้วย ปัจจุบัน สภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง กระทบต่อประเทศต่างๆ ในกลุ่ม EU มาก นั่นเหมือนกับว่าประเทศในกลุ่ม EU ต้องมารับผลกระทบแทนอเมริกาที่พิมพ์แบ้งค์ได้อย่างเสรี แรงกดดันทางเศรษฐกิจนี้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามได้ หากอเมริกายังไม่มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง ยังไม่มีระบบใดมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของระบบทุนนิยมได้อย่างระบบของจีน?

    หากไม่มีสงคราม set zero เกิดขึ้น ประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียก็จะถูกจีนกลืนเงียบหมด ไม่ก็ยอมอยู่อย่างยากลำบาก รับกรรมแทนอเมริกา ต้องทนรับพิษเศรษฐกิจแทนอเมริกาไป โดยที่อเมริกาไม่ต้องรับผลกระทบอะไรเลย เพราะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็พิมพ์แบ้งค์ แก้ไขปัญหาอย่างเดียว ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงเลย ปัจจุบัน แม้อเมริกาจะใช้การแก้ปัญหาทะเลจีนใต้โดยไม่ใช้สงคราม โดยการใช้ศาลโลก ซึ่งเป็นสันติวิธีก็จริง แม้ว่าจะดี แต่หากอเมริกายังแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกไม่ได้ ประเทศอื่นๆ ต้องมาอดทนยากลำบากรับผลกระทบแทนอย่างนี้ ชายคิดว่าสงครามก็ต้องเกิดขึ้นในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน แม้จีนจะไม่ตอบโต้ทางทหารกลับไปก็ตาม!

    จีนตอบโต้อเมริกาเพียงการกดดันโอบาม่าในที่ประชุม G 20 แค่นั้น
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ภาวะสูญเสียความเป็นมนุษย์ เกิดขึ้นได้อย่างไร?


    ดังที่เคยได้กล่าวแล้วว่าคนเราอาจมีจิตวิญญาณไม่ใช่มนุษย์ก็ได้ เพราะการก่อกรรมจนเสื่อมหรือเจริญขึ้น กระทู้นี้จะขอกล่าวถึงเหตุที่ทำให้คนสูญเสียความเป็นมนุษย์ หรือ "จิตสำนึกของมนุษย์" (Loss self consciousness) เช่น คนที่ฆ่าได้แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง, คนที่ข่มขืนลูกตัวเองได้ ฯลฯ ซึ่งมีให้เห็นอยู่มากมายในสังคมปัจจุบันนี้ ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

    1 ตกใจสุดขีด
    เรียกว่า "เสียขวัญ" คนไทยโบราณเข้าใจคำว่าเสียขวัญเพราะตกใจสุดขีด ทำให้สูญเสียจิตวิญญาณไปบางส่วน หรือทั้งหมดได้ (แต่ไม่ตายเพราะอาจมีจิตวิญญาณอื่นเข้ามาอยู่ในร่างแทน) จึงมีพิธีเรียกขวัญ ขวัญก็คือ "จิตวิญญาณ" ของเรานี่เอง คนที่เสียขวัญบางคนจะกลายเป็นคนไม่เต็มบาตร เป็นคนขาดๆ เกินๆ บ๊องๆ หรือติงต๊องก็มี

    2 เสียใจอย่างรุนแรง
    การเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียจิตวิญญาณได้ เช่น อกหัก, ถูกหลอกลวง ฯลฯ ลักษณะเดียวกับการเสียขวัญ บางคนอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ เขาก็จะไม่เป็นคนเดิม หรือไม่เหมือนคนเดิมอีก ความคิดจิตใจ, อารมณ์เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะจิตวิญญาณเดิมอาจไม่อยู่ จิตวิญญาณใหม่มาแทน

    3 การปฏิเสธตัวเอง
    การไม่ยอมรับตัวเองอย่างรุนแรง ส่งผลให้สูญเสียจิตสำนึกในความเป็นมนุษย์บางส่วนได้ เช่น ล้มละลายแล้วยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองได้ตัดสินใจผิดพลาด ทำให้ต้องล้มละลาย ปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธสิ่งที่ตนเป็น การปฏิเสธตัวเองอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน ผู้ที่ปฏิเสธตัวเองจำนวนมากมักคิดว่าตัวเองเป็นอย่างอื่น

    4 การฝึกจิตบางอย่าง
    เช่น การฝึกถอดจิตวิญญาณเข้าออกจากร่างหลายคนเมื่อทำได้แล้ว จิตวิญญาณไปสู่มิติที่ดีกว่าเดิมเช่นสวรรค์ ทำให้จิตวิญญาณดวงนั้น ไม่อยากกลับมายังร่าง ไม่อยากกลับมาเป็นมนุษย์อีกก็มี หรือเพราะความผิดพลาดบางอย่าง ทำให้จิตวิญญาณที่ออกจากร่าง ไม่ยอมกลับเข้าร่างดังเดิม หรือบางคนเจตนาที่จะไม่เอาจิตวิญญาณก็มี

    5 การเผชิญกับความตาย
    เช่น ประสบอุบัติเหตุ, ผ่าตัด, ป่วยหนัก ฯลฯ เมื่อเผชิญกับความตาย ทำให้จิตวิญญาณจรจากร่างได้ เหมือนคนตาย แต่ยังไม่ตายเพราะอาจมีจิตวิญญาณดวงอื่นเข้ามาอยู่ในร่างแทนได้ คนเหล่านี้จะไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แต่ไม่ใช่ เป็นเพราะสูญเสียจิตวิญญาณหรือสูญเสียจิตสำนึกเดิมไป

    เมื่อสูญเสียจิตสำนึกเดิมไป การฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้จะช่วยได้ครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เมื่อแม้แต่ "ฟิลิปปินส์" ยังแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายสังคมนิยม (จีน) !​



    ฟิลิปปินส์ประกาศสั่งให้ทหารอเมริกาออกไปจากพื้นที่ หลังจาก ปธ. ได้ด่า ปธ. โอบาม่าอย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่งแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เกินความคาดหมายอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาเราเห็นประเทศนี้เป็นลูกรักที่เชื่อฟังอเมริกามาตลอด แต่เพราะเหตุใดจึงกลับลำไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามได้? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ฟิลิปินส์มีปัญหาเรื่องเกาะกับจีนอยู่แท้ๆ แล้วอเมริกาเองก็ช่วยด้วยการใช้อำนาจศาลโลกตัดสินให้จีนแพ้ไปหมาดๆ แสดงว่าแม้อเมริกาจะใช้อำนาจศาลโลกช่วยฟิลิปปินส์ แต่นั่นอาจยังไม่เพียงพอ ฟิลิปปินส์จึงเปลี่ยนใจไปเข้าข้างจีนเช่นนั้น คิดดูจะเป็นอย่างไรถ้าอเมริกาไม่ช่วยเหลือฟิลิปปินส์ ในภาวะที่จีนกำลังกลืนเงียบทะเลจีนใต้อยู่นั้น? สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ ชายคิดว่าน่าจะมาจาก "ความเชื่อมั่น" ครับ คือ ฟิลิปปินส์อาจไม่เชื่อมั่นในอเมริกาเหมือนก่อน ในขณะที่เชื่อมั่นในจีนมากกว่า เพราะอะไร? เพราะเศรษฐกิจอเมริกาไม่มีอนาคต รอวันแต่จะล่มสลายเท่านั้นเอง ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนโตเอาๆ สิ่งนี้เป็นข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน จนอาจทำให้ฟิลิปปินส์ตัดสินใจเลือกข้างจีน ละทิ้งอเมริกาไปก็ได้ นั่นหมายความว่าหากอเมริกายังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจได้ อาจมีอีกหลายประเทศที่เปลี่ยนข้างไปอยู่ฝ่ายจีน

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่อเมริกาจะเสนอ "ระบบเศรษฐกิจใหม่" ที่ดีกว่า เพราะการเสนอระบบเศรษฐกิจใหม่นั้น เป็นก้าวแรกที่ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเห็นผล หากคุณไม่เสนอสิ่งใหม่ๆ ทางออกใหม่ๆ ในวันนี้ รออีกสิบปีค่อยเสนอ แล้วรออีกสิบปีค่อยทำ รออีกสิบปีค่อยเห็นผล ชายคิดว่า คุณคงล้าหลัง เดินตามหลังประเทศจีนไปแล้วละครับ ทุกวันนี้เศรษฐกิจจีนกำลังรุ่งโตเอาๆ แถมยังมี "แจ๊ก หม่า" เป็น Model คอยนำเสนอแนวคิดของระบบเศรษฐกิจใหม่อยู่เนืองๆ จนทำให้ผู้คนทั้งหลายมีความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจของจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เริ่มเสื่อมความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอเมริกา เงินดอลล่าร์ขยะของอเมริกา และปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มีทางแก้ไขได้สักทีของโลกฝั่งทุนนิยม เช่น ปัญหาของ EU เป็นต้น หากเปรียบเทียบกับการเดินหมาก "แจ๊ก หม่า" ก็คือ หมากขุนพลที่สำคัญทางเศรษฐกิจของโลก ที่เดินบนกระดานอย่าง "ไร้คู่เปรียบ" เดินไปทางไหนก็ได้ ไม่มีใครต้านทานได้ ทั้งยังมีเศรษฐกิจที่ดีของจีนหนุนหลังอีกเป็นกองทัพใหญ่ เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้ชาวโลกเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของจีนได้อย่างไร? ในเมื่อฝั่งทุนนิยมมีแต่เสื่อมลง แย่ลง แต่กลับไม่มี "ตัวหมากใดๆ" ขึ้นมาต้านทาน หรือต่อสู้กับ "แจ๊ก หม่า" เลย เช่นนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ฟิลิปปินส์และไทยก็หันไปเลือกข้างจีน แล้วละทิ้งอเมริกาไป "เพราะความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจจีน" คุณว่าจริงไหม?

    ระบบเศรษฐกิจ NEWS เป็นทางออกที่ใช้ต่อสู้กับแจ๊ก หม่าได้ครับ
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
  16. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ทุกสิ่งเลวที่ก่อขึ้นมาบนโลกใบนี้
    มาจากอวิชชาตัวเดียว ถ้ามนุษย์ไม่หลงทาง
    โลกนี้จะน่าอภิรมย์ยินดีมากครับ
    (แต่คงเป็นไปได้ที่มนุษย์จะไม่หลง.ยากส์มากกก ขอบอก)

    พยามเป็นคนส่วนน้อยในโลกกันให้ได้นะครับผม:cool:
     
  17. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    พูดจาแบบนี้เป็นเพื่อนผมได้ครับyimm
    ปล.ผมอยากให้เพื่อนๆรักกันด้วยความบริสุทธิ์ของใจ
    อย่ามีนู้น นี่ นั่น ภายใน ไม่ดีครับ
    (พูดโดยภาพรวม):boo:
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้ด้วยการกำเนิดใหม่ในสังขารเดิม


    ในบทความก่อนๆ ได้กล่าวแล้วถึงการเสื่อมไปของจิตวิญญาณในมนุษย์ ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ กระทำตัวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานมาแล้ว ในบทความนี้จะกล่าวถึงการฟื้นฟูจิตญาณให้กลับคืนไปสู่ความเป็นมนุษย์ดังเดิม ฟื้นคืน "จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์" ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เรียกว่าการกำเนิดใหม่ในสังขารเดิม ซึ่งในการกำเนิดใหม่นี้ จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีการตายหรือการดับสลายลงของจิตวิญญาณเดิมก่อน เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะได้ตายลง แล้วจึงเกิดจิตวิญญาณใหม่ กลายเป็นพระสมณโคดมเกิดขึ้นมาแทนเจ้าชายสิทธัตถะนั้น เป็นต้น เหมือนพระเยซูซึ่งตายบนไม้กางเขนแล้ว ได้กำเนิดใหม่เป็น "พระบุตร" โดยสมบูรณ์ นั่นเอง สิ่งนี้เป็นสัจธรรมสากล ไม่จำกัดศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ, คริสตร์ หรืออื่นๆ ก็ล้วนกล่าวถึงเช่นกัน ในเต๋าได้กล่าวถึงการกำเนิดใหม่ไว้มากมาย เช่น ในตำนานสถาปนาเทพห้องสิน ได้กล่าวถึงเทพนาจาว่าได้กำเนิดใหม่จากดอกบัว, ตำนานนางงูขาว ได้กล่าวว่าปีศาจงูขาวได้กำเนิดใหม่ขณะคลอดบุตร ดังนั้น การกำเนิดใหม่จึงเป็นสัจธรรมสากล แต่มิใช่การบรรลุธรรม เป็นเพียงการมีจิตวิญญาณที่พร้อมสมบูรณ์ที่จะรับธรรมะแล้วบรรลุธรรมได้ นั่นเอง

    จิตวิญญาณของมนุษย์เมื่อเสื่อมลงเพราะทำกรรม หรือเพราะวิบากกรรมใดๆ ก็ตาม ทำให้จิตวิญญาณเดิมดับสลายแล้วเกิดจิตวิญญาณใหม่ คล้ายการเวียนว่ายตายเกิด แต่เกิดขึ้นขณะสังขารยังไม่หมดอายุขัย ทำให้จิตวิญญาณยังไม่จุติออกจากร่างหมด จิตวิญญาณนั้นเกิดดับในร่างสังขารเดิม แล้วเสื่อมลงไป จากจิตวิญญาณมนุษย์ไปเป็นจิตวิญญาณชั้นต่ำลงได้ เช่น จิตวิญญาณสัตว์เดรัจฉาน แต่ยังคงอยู่ในร่างสังขารเดิมคือมนุษย์ เมื่ออายุขัยยังไม่หมดสิ้น จึงยังมีเวลาที่จะ "ฟื้นฟูจิตญาณ" ให้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้ง โดยผ่านการ "ดับสลาย" ตายลงของจิตวิญญาณที่เสื่อมลงไปนั้น แล้วก็กำเนิดใหม่เป็นมนุษย์อีกครั้ง หรือโพธิสัตว์อีกครั้ง เมื่อกำเนิดใหม่ได้แล้วก็พร้อมที่จะรับธรรมะ และบรรลุธรรมได้โดยง่าย การรับธรรมนั้น ไม่ใช่การบอก การอธิบายธรรมะที่ถูกต้องอะไรเลย เพราะไม่มีสัจธรรมใดที่บอกด้วยวัจนภาษาได้ ไม่มีสัจธรรมใดที่อธิบายได้ จะต้องเข้าถึงสัจธรรมนั้นด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ) การรับธรรมจึงเป็นแค่อุบายเพื่อเชื่อมโยงสายธรรม ไม่ให้เขากลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุธรรมเองโดยไม่เชื่อมโยงกับสายธรรมใดก็เท่านั้น โดยปกติแล้ว บุคคลหนึ่งจะได้รับการเชื่อมต่อสายธรรมตามแบบที่ตนเองเป็น เช่น สายสาวกจะได้รับการเชื่อมต่อสายธรรมจากพระอรหันตสาวก ในขณะที่ผู้บรรลุพุทธะ จะได้รับการต่อสายธรรมกับพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านจะทรงมาต่อสายธรรมให้เราเองครับ

    การกำเนิดใหม่จึงเป็นการเจริญรอยตามพระสมณโคดมอย่างแท้จริง
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ถ้ายังมี "ตู่" ทักษิณจะไม่มีทางกลับมาสู่อำนาจได้?


    เพราะอะไรหรือครับ? เพราะ "อำนาจที่แท้จริงมาจากจีน" ถ้าจีนหนุนทักษิณ เขาก็จะมีอำนาจมาก แต่ถ้าจีนไม่หนุนทักษิณแล้ว ไปหนุนตู่แทน ตู่ก็จะมีอำนาจมากขึ้น ทักษิณก็จะหมดอำนาจไปครับ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการเคลียร์คนเสื้อแดง ให้กลับกลายเป็นคนปกติ เป็นคนไทยเหมือนเราๆ ท่านๆ ดังเดิมให้ได้ ประเทศจะได้ไม่แตกเป็นก๊กเสื้อสี คุณก็จำเป็นต้องให้ตู่มีอำนาจอยู่ต่อไป แต่เพราะว่าตู่บริหารประเทศไม่เก่ง หลายคนเบื่อหน่ายจนอยากให้มีการเลือกตั้งเสียที จะได้เห็นนายกคนใหม่มาบริหารประเทศบ้าง กรณีนี้ แก้ได้โดยปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หากตู่เปลี่ยนย้ายตำแหน่งลงไปอยู่ในตำแหน่งทางการทหาร คุมอำนาจทางการทหารไว้ หนุนหลังนายกคนใหม่ แบบนั้น ก็นับว่าพอเป็นทางออกได้อยู่ครับ แต่ถ้าจะให้ตู่หมดอำนาจลงไปเลย จีนย่อมไม่ยอมแน่นอน และจะกลับไปใช้ทักษิณและคนเสื้อแดงอีกครั้ง ตู่ดีกว่าทักษิณตรงไหน? ทำไมต้องให้ตู่มีอำนาจ ไม่ยอมให้ทักษิณมีอำนาจแทน? คำตอบก็คือ เพราะตู่ไม่ยุยงประชาชนให้แตกแยกเป็นก๊กเสื้อสีไงครับ แต่ทักษิณทำเช่นนั้น ทำให้ประชาชนแตกแยกเป็นก๊กเสื้อสี ซึ่งมันเข้าข่ายการก่อการกบฏ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ สร้างประเทศใหม่กันเลยทีเดียว

    หลายคนทนไม่ไหวแล้วกับการบริหารบ้านเมืองในยุคของตู่ แต่ว่าที่เรายังต้องให้เขามีอำนาจต่อไป เพราะเหตุนี้ หลายคนอยากได้คนอย่างทักษิณมาบริหารประเทศ เพราะประเทศเจริญดี แต่เราจะเอาแค่ความเจริญอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าเจริญทางวัตถุแล้วทำลายจิตใจ ทำลายธรรมชาติ ทำลายเอกภาพของประเทศ ทำให้ประเทศแตกแยกเป็นก๊กเสื้อสี ทำให้ประชาชนเกลียดกัน แบ่งเป็นกลุ่มก๊วนต่างๆ แบบนั้น เรายินดีหรือ? กับความเจริญที่นำไปสู่การแตกแยก? จนถึงขนาดคนเสื้อแดงจะขอตั้งประเทศใหม่กันแล้ว จะแบ่งแยกกันแล้วว่าครึ่งบนของเสื้อแดง ครึ่งล่างของเสื้อเหลือง หลายคนคิดแบบนั้นกันไปแล้วครับ ตรงนี้ อันตรายมาก ประเทศจะแตกแยกอย่างนั้นได้ยังไง? การแตกแยกแบบนี้ มีผลเสียหายยิ่งกว่าได้รับความเจริญ ได้รับความเจริญทางวัตถุก็จริง แต่ประเทศต้องแตกแยกเหมือนเกาหลีเหนือ กับเกาหลีใต้ คุณคิดว่ามันคุ้มค่าหรือ? ประเทศจะแตกแยกไม่ได้ นี่คือ สิ่งสำคัญอันดับแรก แม้เราจะยากจนหรือมีความเจริญทางวัตถุไม่มาก หากเราอยู่กันได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ย่อมดีกว่า เพราะอะไร? เพราะหากประเทศแตกแยกเมื่อไร เราก็จะถูกยุยงให้ฆ่ากันเอง เกิดสงครามระหว่างประเทศ ที่เรียกว่าการแบ่งแยกแล้วยึดครอง เหมือนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ที่เสี่ยงต่อการทำสงครามเข่นฆ่ากันเอง ทั้งๆ ที่เป็นคนชาติเดียวกัน แท้ๆ นะครับ

    เอกภาพและความมั่นคง จึงต้องมาก่อนความเจริญทางวัตถุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2016
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตวิญญาณในอันตรภพกับพระบุตรผู้ช่วยให้รอด


    จิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดตามปกติอยู่ในสามภพของโลกนี้ก็ดี หรือในภพสวรรค์ของโลกธาตุต่างๆ ในจักรวาลนี้ก็ได้ นับว่าได้เกิดใหม่อย่างถูกต้องแล้ว (ที่เรียกว่าเข้ารีต ไม่นอกรีต) ทว่า ก็ยังมีจิตวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งหลงทางออกจากภพปกติ นอกรีตออกไป ทำให้ไม่มีภพรองรับ จิตวิญญาณเหล่านี้จึงอยู่อย่างไม่มีระบบ ไม่มีผู้นำ ไม่มีเจ้าผู้ปกครองบนสวรรค์ดูแล เรียกว่า "อันตรภพ" ซึ่งเกิดขึ้นได้ ปกติแล้วหากจิตวิญญาณไม่มีความกล้าแข็งพอ ก็จะไม่อาจมีอำนาจใดๆ หนีเทพผู้ดูแลระบบสามภพไปได้ คือ เมื่อตายลงก็จะมีเทวทูตนำพาไปสวรรค์ หรือยมทูตนำพาไปนรก ทว่า ก็มีบางคนที่มีจิตวิญญาณกล้าแข็งเกินไป แข็งกร้าวเกินไป ไม่ยอมใครเลย ทำให้แม้แต่เทวทูตหรือยมทูตก็ไม่สามารถนำทางพวกเขาไปสู่ภพภูมิใหม่ที่ถูกต้องได้ พวกเขาจึงไม่ได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ถูกต้อง พวกนี้เมื่อเป็นมนุษย์มักปฏิบัติ ได้ฤทธิ์เดชมาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมจริง มีอำนาจจิตกล้าแข็งมีสักกายทิฏฐิที่ไม่มีผู้ใดทำลายลงได้ด้วยอำนาจจิตที่กล้าแข็งนั้นเอง ทำให้เทวทูตและยมทูตไม่อาจนำทางพวกเขา พวกเขาจึงมีอิสระออกไปจากระบบสามภพ ทว่า พวกเขาก็หลงทาง ไม่อาจกลับคืนสู่สวรรค์ได้

    ตัวอย่างเช่น จิตวิญญาณองค์ครู ซึ่งตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์ องค์ครูไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อะไรในสามภพเลย แต่เพราะเมื่อตายลงไม่ได้ไปเกิดในสามภพอย่างถูกต้อง ทำให้จิตวิญญาณตกค้างอยู่ในโลกและต้อง "หากินกับมนุษย์" อาศัยมนุษย์อยู่ไปเรื่อยๆ มนุษย์คนไหนรับองค์ครู ท่านก็จะไปสอนวิชาแล้วอาศัยอยู่กินกับมนุษย์คนนั้น บางจิตวิญญาณวนเวียนอยู่เป็นร้อยปี พันปี ก็มี เพราะเทพนำทาง หรือยมทูตและเทวทูต ไม่มีกำลังอำนาจพอที่จะนำทางพวกเขาไปสู่ภพใหม่ได้ จึงต้องอาศัย "ศาสนทูต" หรือ "พระบุตร" ลงมายังโลกเพื่อนำทางพวกเขาแทน พระบุตรก็คือพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาเรานี่ละ แต่ในคริสตศาสนาเรียกว่า "พระบุตร" ต่างกันอย่างไร? อย่างนี้ครับ พระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายบนสวรรค์ แต่จะมีอยู่องค์หนึ่งที่พระผู้ปกครองสวรรค์ท่านจะสั่งให้ลงมาเกิดยังโลกเพื่อทำหน้าที่นี้ ช่วยนำทางจิตวิญญาณที่ตกค้าง หลงอยู่ในโลกนี้ ในอันตรภพนี้ ซึ่งจะได้ตำแหน่งที่เรียกว่า "พระบุตร" นั่นเอง ส่วนพระโพธิสัตว์องค์อื่น หากยังไม่ได้รับตำแหน่งนี้ จะทำหน้าที่อื่นเรียกว่า "เทวทูต" ในโลกของเราผู้ที่ดำรงตำแหน่งพระบุตรตอนนี้คือ "โอบาม่า" อย่างผมคือ "เทวทูต" ทำหน้าที่สื่อสารได้อย่างเดียว แต่โอบาม่ากำลังหมดแรงแล้ว อาจทำหน้าที่พระบุตรต่อไม่ไหว ก็จะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ทำ (พระเยซูก็คือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เพียงแต่ใช้คำเรียกต่างกัน)

    ซึ่งพระโพธิสัตว์องค์อื่น สามารถเข้ามารับหน้าที่พระบุตรต่อได้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...