ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เมื่อเราเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
    เมื่อนั้นเราจะเข้าใจคนทั้งโลก
    อันนี้เรื่องจริง...
    ปล.ให้กำลังใจจขกท.
    ที่เข้ามาทำหน้าที่ของตัวเอง
    ทุกคนเกิดมามีหน้าที่
    จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม...
    ผิดถูกไม่มีใครตัดสินใครได้
    ทุกคนเกิดมาตามวิถีแห่งตน
    (ตามนี้ที่อยากจะพูด)
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การบรรลุทั้ง 4 แบบ แตกต่างกันไฉน?


    การบรรลุทั้ง 4 แบบในที่นี้ ไม่ได้กล่าวถึงการบรรลุ 4 ขั้นอันมีการบรรลุโสดาบันเป็นขั้นแรก ทว่า จะกล่าวถึงในอีกนัยหนึ่งที่ไม่มีกล่าวในตำราใดๆ แต่จำเป็นต้องกล่าวไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน ดังนี้

    บรรลุเทวสภาวะ คือ การบรรลุโดยจิตวิญญาณเก่าดับสลายตายลง แล้วกำเนิดใหม่เป็น "เทพ" หรือ "มนุสสเทโว" จิตวิญญาณข้างในก็เป็นเทพ เป็นพรหม ส่งผลให้ได้ "โคตรภูญาณ" เป็นอย่างต่ำ ผลคือ ความเบื่อหน่ายในเรื่องปุถุชน เพราะจิตก้าวข้ามพ้นความเป็นปุถุชนแล้ว แม้มีกิเลสก็เป็นกิเลสแบบเทพ คือ ไม่ได้อยากได้อะไรอย่างที่มนุษย์โลกต้องการกัน เช่น อยากได้ญาณ, ฌาน หรืออริยทรัพย์

    บรรลุโพธิจิต คือ การบรรลุโดยจิตวิญญาณดวงเก่าดับสลายตายลง แล้วกำเนิดใหม่เป็น "โพธิสัตว์" หรือ "มนุษยโพธิสัตว์" จิตวิญญาณข้างในก็คือ โพธิสัตว์ แต่มีสังขารเป็นมนุษย์ เป็นพระโพธิสัตว์ในร่างมนุษย์ ส่งผลให้ได้ "โพธิยาน" เป็นอย่างต่ำ ผลคือ จิตตรงต่อพระพุทธเจ้าพระรัตนตรัยทั้งหลาย ตรงต่อการโปรดสัตว์และบำเพ็ญธรรม เห็นแจ้งในนิพพานว่าไม่ได้แยกจากสังสารวัฎ แต่อย่างใด

    บรรลุพุทธภาวะ คือ การบรรลุโดยจิตวิญญาณเก่าดับสลายตายลง แล้วกำเนิดใหม่เป็น "พุทธะ" เฉกเช่น การตายลงของเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วกำเนิดใหม่เป็น "พระสมณโคดม" จิตวิญญาณดวงเก่าก็ดับสิ้นลงไปแล้ว ไม่ใช่คนเดิม ไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป แต่สังขารที่มีก็เป็นของเดิม ส่งผลให้ได้ "สัพพัญญูญาณ" เป็นอย่างต่ำ คือ ความรู้แจ้งในสัจธรรมแก่นแท้อันเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่งทั้งหลาย

    บรรลุอรหันตผล คือ การบรรลุโดยจิตวิญญาณเก่าไม่ต้องดับสลายลง แต่เป็นเพราะได้ "เชื่อมต่อสายธรรม" สำเร็จ ก็จะไม่เป็นปัจเจกฯ อีกต่อไป เพราะสายธรมได้รับการเชื่อมต่อกันแล้ว ซึ่งในการเชื่อมต่อสายธรรมนี้ ต้องต่อให้ตรงสาย เช่น ผู้บรรลุเทวสภาวะก็ต้องต่อสายธรรมกับเทพ, บรรลุโพธิจิตก็ต้องต่อสายธรรมจากพระโพธิสัตว์, บรรลุพุทธะก็ต้องต่อสายธรรมกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านั้นๆ

    การบรรลุอรหันตผลนั้นจะเป็นการบรรลุครั้งที่สอง (ครั้งสุดท้าย) แต่การบรรลุถึงจิตวิญญาณแบบต่างๆ จะเกิดขึ้นก่อน เช่น การบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมต้องบรรลุถึงความเป็นพุทธะก่อน แล้วจึงต่อเชื่อมสายธรรมกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนให้ได้ ก็จะสำเร็จผลเป็น "อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ได้ แต่หากพระพุทธะหรือผู้สำเร็จพุทธะไม่เชื่อมต่อสายธรรมแล้ว "แหกคอก" หรือหลุดออกไปเดี่ยวๆ ก็จะกลายเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" การเชื่อมต่อสายธรรมจึงมีความสำคัญดังนี้

    การเชื่อมต่อสายธรรมนั้น ไม่ใช่การสอนอะไร ทุกคนต้องบรรลุเอง!
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อย่าเป็นศัตรูกับคนที่คิดต่าง แม้เขาจะเป็นศักดินาหรือสังคมนิยม!


    นักปกครองทั้งหลายเขาเรียนรู้ที่จะใช้ "ทุกอย่าง-ทุกคน" ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักปกครองแนวไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย หลักการปกครองเหมือนกันหมด ดังนั้น หากคุณจะเข้าถึงความเป็นนักการเมืองการปกครองให้ได้อย่างแท้จริง ก็ต้องเห็น "ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร" ให้ได้ก่อน เอาละ ทีนี้ ถ้านักปกครองสาย ปชต. คิดได้อย่างนี้ ต่อไป ก็จะต้องคิดต่อว่าแล้วคุณจะใช้พวกอื่นๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อชาติในมุมของ ปชต. ได้อย่างไร? เช่น จะใช้สถาบันกษัตริย์, ฝ่ายศักดินา, ฝ่ายสังคมนิยมเสื้อแดง ฯลฯ ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติได้อย่างไร? คิดแบบนี้ บางคนอาจมองว่าเราไม่ใช่ ปชต. แท้ ที่คิดจะใช้ฝ่ายที่คิดต่างให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ทว่า คุณคิดผิด! ความคิดแบบนี้ละ จึงเป็นนักการเมืองการปกครองที่แท้จริงได้ ทว่า คุณก็ต้องคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรจึงจะใช้พวกเขาในรูปแบบของ ปชต. ให้ได้ เช่น การคอรัปชั่น ย่อมไม่ดีต่อทุกระบอบการปกครองแต่ถ้าเราใช้ ปชต. อาจช้าหน่อย ทีนี้ พอการปกครองแบบเผด็จการทหารเกิดขึ้น เราก็คิดสิว่าจะใช้ประโยชน์เขาได้ยังไง? จะมาโวยอยู่ว่ามันใช้ไม่ได้ เผด็จการทหารใช้แก้คอรัปชั่นไม่ได้ แล้วก็ทะเลาะกันไป ไม่มีที่สิ้นสุด ประเทศก็ไม่เดินหน้าแล้ว เพราะมัวแต่เถียงกันเรื่องระบอบการปกครอง อะไรก็ช่างเถอะ ระบอบไหนก็ช่างเถอะ ถ้าเราเลือกไม่ได้ เราไม่ได้เลือกเอง นักปกครองต้องหัดใช้ให้ได้ทั้งหมด!

    ดังนั้น "จงอย่าเป็นศัตรูกับคนคิดต่าง" อย่าเป็นศัตรูกับฝ่ายศักดินาหรือแม้แต่ฝ่ายสังคมนิยมเสื้อแดง และจงอย่าคิดว่าใครจะมาเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนถาวรของคุณ แม้แต่คนที่ร่วมอุดมการณ์มาด้วยกัน ก็อาจเปลี่ยนแปลงไปเพราะผลประโยชน์ทางการเมืองก็ได้ หากยังยึดติดอยู่ใน "มิตร-ศัตรู" คุณจะต้องชอกช้ำเมื่อเข้ามาเล่นการเมือง จงมองทุกคนอย่างเป็นกลาง ที่พร้อมจะเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรูทุกเมื่อ และคุณต้องพร้อมจะทำใจยอมรับ หากใครสักคนกลับเป็นมิตรหรือศัตรู คุณต้องพร้อมที่จะแสดงบทบาททางการเมืองการปกครองได้ทันที ทุกวันนี้ เยาวชนจำนวนมาก กำลังถูกหลอกให้ตกอยู่ในบ่วงความคิด, วังวนทางความคิด, กับดักทางความคิดว่า "รัฐบาลคือตัวร้าย" และเขาจะต้องเป็น "ฮีโร่" ไปทำลายตัวชั่วร้ายเหล่านั้นลงไป เมื่อทำได้ ก็จะมีเพื่อนๆ แสดงความชื่นชมยินดี มีนักข่าวจับจ้องกันเต็มไปหมด จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการหลอกใช้เยาวชนที่หัวอ่อน เชื่อง่าย และหวั่นไหวไปด้วยความเปราะบางทางภาวะอารมณ์ (EQ) เพื่อให้เขาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้นเอง พวกเขาน่าชื่นชมที่เสียสละและมีความตื่นตัวทางการเมือง ทว่าพื้นฐานในด้านการเมืองการปกครองยังน้อย เวทีทางการเมืองการปกครองนั้นมีแต่เสือสิงห์กระทิงแรด พวกเขาเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กล้าหาญ ทว่า อาจตกเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าได้มากมาย และสมัยนี้ นักล่าอาจมาจากที่ใดก็ได้ในโลกนี้ เพราะโลกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว นั่นเอง

    คนเราอาจเก่ง-ให้ได้ไม่เท่ากัน แต่เขาทำให้ชาติบ้างก็ดีแล้วครับ
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระธรรมวินัยเดิมกับพระธรรมวินัยใหม่


    พระธรรมวินัยเดิม คือ พระธรรมวินัยที่มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น พระสาวกรูปใดก็แล้วแต่อยากหลุดพ้นไปขอธรรม ก็จะรับธรรมโดยตรงจากพระสมณโคดม ธรรมที่ท่านแสดงจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับจริตของคน อย่าง "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" ก็แสดงให้ปัญจวัคีทั้งห้าเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้นำมาใช้อีก ไม่ใช่แสดงแล้วบันทึกลงตำรา จากนั้นทำเป็น "แบบเรียน" ให้สาวกทุกรูปที่เข้ามาใหม่ต้องมาเรียนตัวนี้เหมือนกันอีก ไม่ใช่นะ เพราะอะไร? เพราะธรรมที่มีผู้บรรลุแล้ว เหมือนปริศนาธรรมมีผู้คลี่คลายได้แล้ว ย่อมไม่มีสาระอันใดที่จะแสดงซ้ำอีก แต่ละธรรมจะมีผู้บรรลุได้เพียงครั้งเดียว เพราะเหตุนี้ เมื่อพระอานนท์ทูลขอให้ทรงนำมาแสดงให้ตนทราบ ท่านจึงไม่เคยบรรลุจากธรรมเหล่านั้นเลย เรียกว่า พระธรรมจะต้องปรุงสด เหมือนอาหารตามสั่ง เฉพาะคน เฉพาะกาลนั้นๆ หากมีผู้บรรลุแล้วก็จบเลย เอามาแสดงอีกไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อันใด เหมือนธรรมใน "ปรัชญาปารมิตสูตร" ที่กล่าวถึง "มหาสุญตา" ถ้ามีใครสักคนสำเร็จแล้ว คนอื่นจะไม่มีใครได้อีกเลย หากไปฟังผู้บรรลุในธรรมนี้แสดงธรรม เราก็จะได้แค่ "ความเข้าใจ" หรือสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ไม่ถึงขั้นบรรลุธรรม ใบไม้ในกำมือนั้น ของใครของมัน ไปเอาของเขาไม่ได้ อุปมาเหมือนโอสถรักษาโรคของใครของมันฉะนั้น

    พระธรรมวินัยใหม่ คือ รูปแบบปฏิบัติที่เปลี่ยนไปหลังพระสมณโคดมละสังขารลง อุปมาเหมือน กษัตริย์ตายลง ยังมิได้แต่งตั้งใครแทน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งอุปโลกน์ "บางสิ่ง" ขึ้นมาแทนที่กษัตริย์องค์นั้นแล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า "ท่านจงถือสิ่งที่ข้าพเจ้าสร้างไว้นี้ เป็นสิ่งแทนองค์ศาสดาเถิด" จากนั้น การปฏิบัติที่ตรงต่อพระพุทธเจ้า และรับธรรมเฉพาะของใครของมัน เหมือนการรับโอสถเฉพาะโรคใครโรคมัน ก็สิ้นสุดลงไป กลายเป็นการเรียนที่มี "แบบเรียน" ตายตัว มีตำราเรียนเดียวกัน กลายเป็นสำนักใหม่ ที่มี "ตำราเป็นศาสดา" ไป อนึ่ง คนเรานั้น เจริญรอยตามผู้นำที่ดีก็ไม่แปลก แต่ถ้าสร้างตำราขึ้นมา แล้วบอกให้มนุษย์เดินตามตำรานั้นๆ อันนี้ก็เหมือนดูถูกความเป็นมนุษย์ "ตำราคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น จะมาเป็นศาสดา เป็นผู้นำแทนพระพุทธเจ้า ได้อย่างไร?" ลองไตร่ตรองให้ดี ว่าการปฏิบัติเช่นนี้ จะได้ประโยชน์อันใด? จะเป็นเหมือนพระอานนท์ที่ได้ฟังธรรมทุกอย่าง ทุกข้อ แล้วไม่บรรลุอะไรเลย แบบนั้นหรือเปล่า? ธรรมะที่เขาได้บรรลุกันหมดไปแล้ว เราเอามานั่งทำใหม่ มันจะได้อะไรเช่นนั้นรึ อุปมาเหมือนไปกินข้าว ต่อจากคนที่เขากินหมดไปแล้ว แล้วเราจะได้อะไรเล่า? ในเมื่อปริศนาธรรมมันก็คลี่คลายหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใด เหลือที่จะช่วยให้เราเกิดสติปัญญาขึ้นได้อีกแล้ว? ทำไม หลวงปู่มั่นได้รับการโปรดโดยพระพุทธเจ้าได้? แม้แต่ชายเอง พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์เป็น "ดวงจันทร์" ให้เห็นต่อหน้าครับ

    พระธรรมวินัยเดิมคือ ปฏิบัติยิ่งยวดจนท่านมาให้ธรรมเราเองครับ!
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    Butterfly effect : พลังแห่งการสั่นสะเทือนเพื่อ ปชต.


    ดังที่หลายท่านทราบดีถึงทฤษฎี Butterfly effect ที่กล่าวถึงสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน และส่งผลกระทบถึงกันทั้งหมด อุปมาเช่น ผีเสื้อกระพือปีก สะเทือนไปถึงดวงดาวได้ ดังนี้ การเคลื่อนไหวของเหล่า Activist ทั้งหลาย ก็สามารถใช้หลักการนี้สร้างพลังในการสั่นสะเทือนได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณ โรส ลอนดอน มักจะใช้สื่อเพื่อทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เกิดเรื่องราวลงข่าวได้บ่อยๆ บางคน ใช้วิธี "อดข้าว ทรมานตัวเอง" อันนี้ ชายไม่แนะนำครับ เพราะมันดูเป็นปัจเจกฯ มากเกินไป ดูเป็นเผด็จการทางความคิดมากไป เหมือนบีบให้คนอื่นต้องทำตามที่เราต้องการ ไม่เช่นนั้น ก็จะทรมานตัวเอง หรือเรียกร้องความสนใจให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะกลายเป็นแค่ "ละครดราม่า-ปาหี่" ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริง ไม่ใสซื่อ ไม่จริงใจแต่เต็มไปด้วยมารยาสาไถ ที่มีเป้าประสงค์ชัดเจนให้ใครทำอะไรตามใจเรา เท่านั้นเองครับ เอาละ กลับมาที่ Butterfly effect กันต่อ เช่นนั้น เราจะใช้หลักการนี้ในการปฏิบัติการ "สั่นสะเทือน" ให้ถึง "ดวงดาว" ที่เราหมายปองต้องการได้อย่างไร? อย่างชาย ก็ใช้ Butterfly effect สั่นสะเทือนไปให้ถึงสถาบันฯ ครับ อันนี้บอกตามตรง และได้ผลด้วย พวกเขาหลอกชายว่าสิ่งที่ชายทำ ไม่ได้ผลหรอก ไม่มีใครสนใจแต่ชายไม่สน ชายก็ทำต่อไป เพราะการสั่นสะเทือนนั้น เราต้องทำต่อไปจนกว่าจะเกิดผลครับ อย่าละความพยายามลงไปเสียก่อนครับ

    ชายไม่ได้ใช้ Butterfly effect แบบทรมานตัวเอง หรือเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ แบบนอนดิ้นจะทำร้ายตัวเองแล้วนะ รีบมาดูฉันนะ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่นะครับ ชายใช้วิธีเหมือน "พิณทลายภูผา" ชายรู้ว่าสถาบันฯ นั้น เขาไม่ค่อยฟังอะไรเราหรอก เพราะเขามีข้อมูลเยอะจากทีมงาน บริวารของเขาหลอกอยู่ ยัดเยียดให้อยู่แล้ว นี่จึงเหมือนภูผาซูซันที่ยิ่งใหญ่ยากแก่การทลายลง พิณทลายภูผาของชายก็คือ การค่อยๆ ดีด ทีละน้อย ค่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนทีละน้อย จากภายนอกค่อยๆ เข้าไปสู่ภายใน ทำไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งมันก็จะระเบิด "ภูผาซูซัน" ได้สำเร็จครับ นี่คือ หลักการ Butterfly effect ในแบบของชายที่เอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์ลองนำไปใช้ดูกัน ชายไม่เหมือนโรส ลอนดอน ที่เขาเป็น "สาธารณชน" เป็นผู้ที่คนรู้จักในวงกว้างอยู่แล้ว เพราะชายทำงานเบื้องหลัง เหมือนพวกตากล้องอะไรแบบนั้น ดังนั้น หากจะทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนให้ได้ ชายก็ต้องหาวิธีซึ่งยากกว่า คนดัง พูดอะไรก็เป็นข่าวได้ เพราะมีคนรู้จักอยู่แล้ว เหมือนตัวละครในหนังที่ออกโรงแล้ว เวลาแสดงบทใด ก็ต้องมีกล้องมาตามจับ จริงไหมครับ? แต่ชายอยู่หลังเวที จึงต้องมีวิธีของชายเองจะสั่นสะเทือนให้ได้เช่นกัน และการสั่นสะเทือนของชายจะ "เจาะกลุ่มเป้าหมาย" อย่างชัดเจนว่าจะสะเทือนคนกลุ่มไหน จึงไม่จำเป็นต้องทำสื่อให้ดังให้มวลชนรู้กันไปทั่วหรือลง นสพ. ครับ

    หวังว่าเพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์คงใช้ Butterfly effect ได้ดีขึ้นนะครับ!
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "อุบายธรรม" ไม่ใช่ อภิธรรม ไม่ใช่สัจธรรม อย่าได้หลง!


    อุบายธรรม หมายถึง ธรรมะอันเป็นอุบาย ทำให้คนได้สติเกิดปัญญา พึ่งพาตัวเองได้ มิใช่หมายถึง อุบายหลอกล่อที่ทำให้เขามาหลงเรา เห็นเราเป็นศาสดา หรือผู้วิเศษ จนต้องมอบลาภสักการะให้แก่เรา ให้เงินทองเรา รับรองเราด้วยอาหารและที่พัก ฯลฯ ไม่ใช่นะ คนละอย่างกันแล้ว อุบายธรรม เป็นธรรมะที่เหมือนอุบายทำให้คนตื่นแจ้งเท่านั้นเอง แล้วอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจัง เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาอยู่แล้ว โดยเฉพาะ "กรรมฐานทั้งหลาย" นี่ไม่ใช่สัจธรรมนะ ไม่ใช่อภิธรรมด้วย อย่าเอามาปนกัน จะเพี้ยนทันทีเช่น บางคนไปทำกรรมฐาน เป็นอุบายคลายความยึดติดของจิต ระลึกว่าทุกอย่างเป็น "รูป" ไปหมด อะไรที่รับรู้ได้ เห็นได้คือ รูปทั้งหมด ทว่า ในอภิธรรมจะบอกว่ามี "รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ" อยู่นะ เราปฏิบัติกรรมฐานเพื่อเป็นอุบายคลายความยึด ติดชินของจิตก็พอ แต่อย่าเอาไปยึดเป็นอภิธรรม ถึงเวลาจะกล่าวธรรมะ ต้องเทียบดูกับอภิธรรมกล่าวให้ตรงอภิธรรมหากกล่าวผิดออกไปจากอภิธรรม จะกลายเป็น "ธรรมวินัยใหม่" หากเป็นพระ ก็จะกลายเป็นนิกายใหม่ หรือก็คือ "สังฆเภท" เอาได้ ถ้าเรากล่าวตรงกับอภิธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ในอภิธรรม ก็ง่ายๆ บอกไปตรงๆ เลยว่า "ไม่ทราบ" แค่นี้เอง จบแล้ว ง่ายๆ คนไม่รู้ ก็ไม่ผิดอะไร

    ดังนั้น อุบายธรรมย่อมไม่ตรงกับสัจธรรม และอภิธรรม ก็ได้ แต่อาจดูคล้ายสัจธรรมหรืออภิธรรมมากตรงนี้อย่าเผลอ อย่าไปยึด ไปหลง ไม่งั้นจะไม่เข้าใจว่าอะไรคือ อุบายธรรม, สัจธรรม, อภิธรรม ฯลฯ จะเอามาปนมั่ว โยงมั่วกันไปหมด ทีนี้ก็จะกลายเป็นศาสดาใหม่ ก่อตั้งศาสนาใหม่แล้ว ไม่ใช่นะ เราให้อุบายคนอื่นเพื่อให้เขาคลายความยึดมั่น ติดชินของจิตได้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันคืออุบาย อย่าไปยึดมัน กรรมฐานคืออุบายธรรมเท่านั้นเอง จะมายึดเป็นอภิธรรมไม่ได้ ทว่า มีหลายคนไปฝึกกรรมฐานกันมา แล้วยึดเป็นอภิธรรม พออธิบายจึงเกิดความยุ่งเหยิง ปนกันมั่วไปหมด เช่น เวลาฝึกสติรู้เท่าทันอารมณ์ เรามีอุบายว่าจิตเกิดตรงไหนดับตรงนั้น มีชื่อเรียกจิตเป็นร้อยดวงแต่อันนี้ไม่ใช่อภิธรรมนะ จิตเป็นร้อยดวงนี่ เป็น "จิตสังขาร" ไม่มีอยู่ในอภิธรรม เป็นอุบายฝึกจิต เป็นกรรมฐานสายหนึ่งเท่านั้น ในอภิธรรมจริงๆ มีแต่เรื่อง "จิตประภัสสร" อย่างเดียว ตัวเดียวไม่มีเป็นร้อยดวง และไม่มีการเกิดดับตามสังขาร จิตไม่เกิด ไม่ดับตามสังขารไปด้วย อันนี้ หลายคนสับสนกันมาก และไม่เข้าใจเรื่องจิตจริงๆ ไม่เข้าใจในจิตประภัสสร ไม่เข้าใจจิตตามนัยของอภิธรรม แต่ไปยึดถือเอาจิตที่กล่าวไว้ใน "คัมภีร์วิสุทธิมรรค" แทน ซึ่งในคัมภีร์นี้ ไม่ตรงอภิธรรมนะ เป็นแค่อุบายธรรม ฝึกกรรมฐาน เจริญสติปัญญาเท่านั้นเอง อย่าไปยึดเป็นอภิธรรม ในอภิธรรม จิตมีลักษณะเดียวคือ "จิตประภัสสร" แต่การกล่าวอภิธรรมตรงไปตรงมานั้น ไม่ช่วยให้ใครหลุดพ้นได้แม้จะถูกต้องก็ตามเพราะจิตของคนเราติดชิน ติดยึดกันมานาน จึงต้องใช้ "อุบายธรรม" มาช่วยคลายความยึดติดของคนเรา ก็เท่านั้นเอง

    หากธรรมนั้นทำให้เกิดปัญญา พึ่งพาตนเองได้ ก็เป็นอุบายธรรมได้
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปริศนาธรรมและยุคแห่งการค้นหาสัจธรรม!


    คนที่จะบรรลุธรรมได้จะต้องได้รับ "ปริศนาธรรม" ก่อน เมื่อนำเอาปริศนาธรรมไปขบคิดพิจารณาแล้วจึง "ตื่นแจ้ง" บรรลุธรรม ไม่ใช่ว่าไปนั่งอ่าน นั่งฟังธรรมะที่คนอื่นเฉลยเอาไว้หมดแล้ว อธิบายบอกไว้หมดแล้ว ทุกอย่างถูกเปิดเผยแบบคลี่กระจ่างแล้ว อย่างนั้น ไม่ใช่ แบบนั้น ทำได้แค่เข้าใจ (สุตตมยปัญญา) เท่านั้นเอง การบรรลุธรรมนั้น เป็นภาวนามยปัญญา ไม่ได้แปลว่าเราต้องไปนั่งภาวนานะ ทว่า หมายถึง "ภาวะจิตตื่นแจ้งด้วยตนเองจากข้างใน" ส่วนปริศนาธรรมนั้นเข้าไปช่วยกระตุ้น ปลุกให้ตื่นแจ้งเท่านั้นเอง ธรรมะที่ไม่มีคำถาม ไม่มีปริศนาใดๆ จึงเป็นธรรมะที่ไม่ช่วยให้ใครบรรลุธรรมได้ เป็นได้แค่ "งานประชาสัมพันธ์" สร้างความเข้าใจ, ความน่าเชื่อถือศรัทธาให้กับศาสนานั้นๆ เพียงเท่านั้นเอง หลายคนไปนั่งฟังเพื่อเอาความเข้าใจ เพื่อจะได้ไปพูดอวดคนอื่นต่อ แบบนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับไพร่ทาสที่ดูละครหลังข่าว แล้วเอาไปพูดต่อในวงนินทา ก็แค่นั้นเอง การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องอะไรเช่นนั้น มันเป็นเรื่องการ "เอาตัวรอด" อย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวกับใคร จะมารู้มาเข้าใจ หรือมาฟังเราพูด มายอมรับสิ่งที่เราพูดหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย คนทั้งโลกอาจไม่ยอมรับเรา ไม่เชื่อถือเรา แต่ถ้าเราหลุดพ้นทุกข์ได้จริง เราก็รู้ของเราเอง ตัวเราเองก็ไม่ต้องทุกข์ ตัวเราก็ได้ผลของเราเองอยู่แล้ว จริงไหม? ดังนั้น สมัยโบราณเขาจึงเอาธรรมะไว้ให้เฉพาะแต่ "วรรณะพรหามณ์" วรรณะไพร่, ทาส นี่เขาไม่ได้แตะเลย ไม่ให้เรียนเลย เพราะอะไร? เพราะไพร่ทาสมีวิสัยต่างจากพราหมณ์ที่เขาทำจริง เพื่อเอาตัวรอดจริงๆ แต่ไพร่ทาสไม่ใช่ แค่เอาไปพูดต่อให้คนมายอมรับตัวเองเท่านั้นเอง (ไพร่ทาสยังวนติดอยู่ใน "การยอมรับ")

    คนที่จะพบปริศนาธรรมได้ ย่อมเป็นผู้ที่นิยมสิ่งที่ลึกลับ สิ่งที่มีปม ไม่ใช่สิ่งที่ชัดเจนแล้ว คลี่คลายแล้ว เฉลยหมดแล้ว เป็นคนชอบเข้าหาปัญหา ที่ไหนมีปัญหาชอบเข้าไปแก้ไข เหมือนอิกคิวซังนั้น ธรรมะที่ดีอยู่แล้ว ถูกต้องอยู่แล้ว พวกนี้ ไม่ใช่ปริศนาธรรม ไม่มีสิ่งใดเป็นปริศนาธรรมอีกแล้ว เพราะมีแต่บอกให้ทำดี ทำสิ่งถูกต้องแค่นั้นเอง ไม่มีปริศนาอะไรให้ขบคิด ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เรื่องเดิมๆ ซึ่งเป็นธรรมะพื้นๆ ที่มีอยู่ก่อนศาสนาและการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ เช่น คุณธรรม, ความดี, ความกตัญญู, การเสียสละ, ความอ่อนน้อมถ่อมตน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยให้ใครบรรลุธรรมได้ เพราะไม่มีปริศนาธรรมอยู่เลย เรียกว่าเป็น "จริยธรรม-คุณธรรม" พื้นฐานเท่านั้นเอง ดังนั้น เราจะเห็น "เยาวชนรุ่นใหม่" ไม่ชอบสิ่งเหล่านี้แต่กลับชอบแหกคอก ชอบสิ่งที่ผิด ชอบทำผิด ชอบลองสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นี่เพราะในจิตสำนึกของเขาอาจฝังมาว่าจะมาหาปริศนาธรรมของตัวเองก็ได้ พวกเขาต้องการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาชี้นำ ไม่ต้องมีใครมาบอกอะไรทั้งสิ้น ทว่า ในการหาของเขานั้น อาจกลายเป็น "ปัจเจกวิถี" และหากพวกเขาค้นพบ เขาก็จะบรรลุเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ไป เหตุนี้ "ภาคมืด" จึงได้เข้ามาทำกิจครอบงำให้พวกเขามืดมน ทำให้ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ได้ (หากตรัสรู้ตอนนี้ ผิดยุคสมัย ภัยพิบัติจะเกิดแก่โลกครับ) ด้วยการ "สร้างยาเสพติด" บ้าง, "เกม" บ้าง, "มือถือ" บ้าง ฯลฯ มาหลอกล่อ ให้พวกเขาลุ่มหลงอยู่ ดังที่ท่านเห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน นี่คือคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ท่านสามารถพิสูจน์ได้เลยครับ

    คนเราจะบรรลุธรรมได้ จะต้องค้นหา "ปริศนาธรรม" ให้ได้ก่อนครับ
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ยุค "แม่หยัวศรีสุดาจันทร์" กำลังซ้ำรอยประเทศไทย!


    ประวัติศาสตร์ไทยยุค "แม่หยัวศรีสุดาจันทร์" กำลังซ้ำรอยครับ ยังไง? อย่างนี้ครับ ตอนนี้ อิทธิพลของฝ่าย "อิทอม" ก็ลดลงไปแล้ว เมื่อสิ้นยุคของตู่ ก็จะแทบไม่เหลืออำนาจอะไรอีก เพื่อปิดยุคของ "เผด็จการทหาร" เพื่อตัดสายอำนาจฝ่ายจีนที่เชื่อมโยงมาไทยให้หมดสิ้นไป เปิดยุคใหม่เป็นยุคที่ปลดแอกจากจีนให้ได้ อย่างไรละครับ ทีนี้ คนที่จะมามีบทบาท มีอำนาจก็จะมี "แม่หยัวศรีสุดาจันทร์" ซึ่งจะได้รับการหนุนจากพวกพราหมณ์ และจะมาหนุนพระโอรสองค์น้อยให้ได้เป็นใหญ่ จะมี "พระสุริโยทัย" (จะมีหรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะคนที่จะบำเพ็ญจะเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองชอบเอาชนะด้วยการโกง แบบศรีธนญชัย คงไม่ได้) มาหนุน "คู่บารมี" ของตนให้เป็นใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกิดพระศักติคู่บารมี กับ "มหาเทพ" องค์ใหม่ลงมาโปรดฮะ ทว่า ชายว่ามันคงเกิดได้ยาก เพราะผู้หญิงสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่าศักติคืออะไร? พวกเขาไม่ใช่พระลักษมีมาเกิด แต่เป็นนางปีศาจมาเกิดกันทั้งนั้น ฮ่าๆๆ เอาละ หวังว่าจะได้คนอย่างพระสุริโยทัยคงได้แค่ฝันนะครับ ดังนั้น โอกาสที่จะได้กัลกีขี่ม้าขาวมาช่วย คงยาก คงจะได้ "กัลกินี" ที่เป็นหญิงแต่ปลอมเป็นกัลกี สุดท้าย เลยเกิดกลียุคขึ้นมาแทนเสียมากกว่า ทีนี้ ก็คงห้ำหั่นกันไม่รู้ใครเป็นใครแล้วละครับ (ส่วนพระมหาจักรพรรดิก็อยู่แต่ในทางธรรมต่อไปนะฮะ)

    กลับมาที่จุดเริ่มต้นของเรา ทำไมชายเชื่อว่าจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย? เพราะมันมีคนวางแผนและทำอยู่ไงครับ เขาทำไปแล้ว ไม่ใช่ว่าชายมานั่งเทียนหรือนั่งฝันเม้าท์ให้คุณฟังนะ เอาง่ายๆ ระเบิดที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ก็ไม่ใช่พวกมุสลิมแต่เป็นพวกพราหมณ์บางคนทำกัน (ชายไม่ได้เหมารวมทุกคนนะครับ) เขากำลังสร้างกลียุค เขาเขียนคำทำนายล่วงหน้าเอาไว้เลย วางแผนให้ประเทศไทยไม่ใช่แค่ 20 ปีอย่างตู่ทำหรอก เขาวางแผนมานานมากเป็นร้อยๆ ปีแล้วครับ 555 ดังนั้น ของทุกอย่างจะต้องเดินตามแผนนั้น และเราสามารถจับตาดูหลักฐานได้ทั้งหมดเช่น คำทำนายก็มีคนเผยแพร่จริง การวางระเบิดก็มีคนทำจริง ความพยายามในการหนุนผู้หญิงขึ้นเป็นสมมุติเทพ "เจ้าแม่กาลี" ก็มีอยู่จริง ประเทศไทยตอนนี้กำลังถูก "ศาสนาบางศาสนา" ใช้เป็นเครื่องมืออยู่ครับ ชายอยากบอกว่าพราหมณ์ในไทยนี่ เก่งเรื่องการเมืองยิ่งกว่าพราหมณ์อินเดียนัก เขาวางแผนไม่ต่างจาก NWO กันเลย และหนึ่งในแผนนั้นก็คือ "กวาดล้างพระสงฆ์" ซึ่งพวกพระนั้นก็ทำผิดเหมือนกันนะ ชายก็ทราบ แต่บางทีอาจไม่ถึงตายไง เพราะตอนนี้มีพระสงฆ์หลายรูปถูกฆ่าแบบเนียนๆ แต่ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นโรคตาย ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจครับที่ "ธัมมชโย" แห่งธรรมกาย จึงต้องหนีการจับกุม เพราะถ้าไม่หนี ก็ต้องโดนเก็บ ตายแน่นอน อันนี้ มหาเถระสมาคมถึงหนุนสุดตีนไงครับ

    เอาละ ชายไม่ขวางใครนะ ชายเข้าใจ ทุกคนทำหน้าที่ของตนครับ!
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ผู้ปฏิบัติ "ตามธรรมวินัยเดิม" เขาปฏิบัติกันอย่างไร?


    แนวทางการปฏิบัติในพุทธศาสนาตาม "ธรรมวินัยเดิม" นั้น ท่านจะมีหลักปฏิบัติกันอย่างนี้ครับ คือ ไม่ว่าเราจะมีบุญหรือกรรมทำให้อยู่ในลัทธินิกาย หรือศาสนาใดก็แล้วแต่ นั่นไม่สำคัญ เหมือน "องคุลีมาล" อยู่ในลัทธิที่สอนให้ไปฆ่าคน แม้ถูกหลอกให้ทำชั่ว แต่ที่สุดแล้วก็ได้รับการโปรดจากพระสมณโคดมได้ ดังนั้น ลัทธินิกายที่ผิดทั้งหลาย ไม่ใช่ปัญหาก็ปฏิบัติไปอย่างยิ่งยวดหวังเพื่อบรรลุมรรคผลตามปกตินี่ละ เมื่อมากถึงจุดหนึ่งจะสะเทือนถึง "พระพุทธเจ้า" ท่านก็จะมาโปรดเราเอง เช่น หลวงปู่มั่น ปฏิบัติยิ่งยวดเอาจริงถึงจุดหนึ่งก็ได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้าผ่านทางนิมิตร, อาจารย์ของชายท่านหนึ่ง เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งได้ท้าทายให้พระพุทธเจ้ามาโปรด แล้ววันนั้นท่านก็ได้รับธรรมปาฏิหาริย์จนสำเร็จระดับหนึ่ง, ตัวชายก็ได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์เป็นดวงจันทร์ ให้เห็นด้วยตาเนื้อในยามรุ่งอรุณ นี่คือ การโปรดสัตว์ของพระพุทธองค์ซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงสิ้นพุทธกาล 5,000 ปี ท่านใดที่ได้รับธรรมจากพระพุทธองค์โดยตรง ก็จะทราบกันดีว่าท่านสามารถมาโปรดเราได้จริง และท่านก็ยังคงโปรดสัตว์อยู่ ทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นต้องมี "สิ่งแทนใดๆ" มาแทนที่ท่านเลย ตำราก็ไม่ต้อง ใครหน้าไหนจะทำตัวเป็นศาสนาเป็นผู้นำสงฆ์แทนท่านก็ไม่ต้อง ตามพระธรรมวินัยเดิมนั้น ปฏิบัติกันมาอย่างนี้ แบบที่ไปนั่งเรียนตามตำรานั้น ไม่มี

    พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้เราเห็นได้จริง พิสูจน์ได้จริง ไม่เพียงแต่หลวงปู่มั่น, อาจารย์ของชาย และชาย ทว่า "ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เท่าเทียมกัน" การมาโปรดของท่านนั้น เพียงมาเชื่อมต่อสายธรรมให้เราเท่านั้น ท่านไม่ได้มาบอก มาชี้นำอะไรเราเลย เราจะต้อง "เข้าถึงธรรมด้วยตัวเอง" (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ) ไม่มีการบอก, การอธิบาย, การสอน, การสั่ง ฯลฯ อะไรทั้งนั้น แต่สุดท้าย หากเราบรรลุธรรมแล้วจริง เราจะเข้าถึง "สัจธรรมเดียวกัน" ไม่ว่าจะหลวงปู่มั่น, อาจารย์ของชาย หรือว่าชาย ก็ไม่ได้แตกต่างกันในเรื่องสัจธรรม ที่ดูแตกต่างนั้นเป็นเพียง "เปลือกนอก" เท่านั้นเอง เป็นแค่กระพี้ ไม่ใช่แก่นสาร แลธรรมที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดบรรลุแล้วนั้น ไม่อาจเอาไปใช้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นบรรลุได้อีก อุปมาเหมือน เรากินข้าวอิ่มไปแล้ว ข้าวหมดไปแล้ว เราก็ได้แต่อธิบายว่าข้าวจานนั้นรสชาติเป็นอย่างไร แต่จะให้เขากินแล้วอิ่มเหมือนเรานั้น เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้อง "เพียรพยายามด้วยตนเอง" เมื่อเพียรไปถึงจุดสั่นสะเทือนถึงพระพุทธองค์ได้ ท่านจะทรงมาโปรดเราเอง ทรงให้ปริศนาธรรมแก่เราเอง และจะมีผู้บรรลุในปริศนาธรรมนั้นเพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้อื่นจะบรรลุได้ก็ด้วยธรรมเหล่าอื่น ปริศนาธรรมอื่น อุปมาเหมือนโอสถรักษาโรคไม่อาจใช้ของผู้อื่นได้ โรคของใครโรคของมัน โอสถของใครก็โอสถของมัน จะใช้แทนกัน กินยาของคนอื่นนั้น ไม่ได้ ดังนั้น ตำราธรรมะทั้งหลายก็เหมือนโอสถ เราจะไปหยิบมากินเองมั่วๆ ไม่ได้ ต้องให้หมอ (พระพุทธเจ้า) มาจัดยาให้ถูกโรค ถูกคนก่อน

    สมัยใหม่นี้ คนไข้คว้ายา (ธรรมะ) มากินมั่วเองแล้วบรรลุซะเองครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตวิญญาณที่ตกค้างอยู่ใน "อันตรภพ"


    อันตรภพไม่ใช่นิพพาน และไม่ใช่ภพทั้งสามของโลกนี้นะ แต่เป็นที่ๆ อยู่ระหว่างภพทั้งสามของโลก อยู่ระหว่างการไปสู่ภพใดภพหนึ่ง จิตวิญญาณของสัตว์ ปกติจะไปสู่ภพใดภพหนึ่งในสามภพของโลก แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ไปไม่ถึง แล้วตกค้างอยู่ระหว่างทางที่จะไปยังภพใดภพหนึ่ง เรียกว่า "อันตรภพ" ถามว่าเพราะอะไรจึงตกค้างอยู่? คำตอบมีหลากหลายเลย ยกตัวอย่างเช่น โฮ่วอี้ เป็นเทพที่จุติลงมาช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติโลกร้อน แต่หลังจากทำกิจแล้วได้รับคำสาปทำให้ไม่อาจกลับคืนสู่สวรรค์ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในโลกนี้ตลอดไป แบบนี้ก็ต้องอยู่ในอันตรภพเช่นกัน หรือบางคนตอนมีชีวิต เรียนวิชาอาคมเยอะ ก่อนตายไม่มีผู้รับสืบทอด เกรงว่าวิชาจะหายสาบสูญ ก็ไม่ยอมตายอย่างสมบูรณ์ ตายแต่สังขาร แต่จิตวิญญาณยังไม่ตาย จรออกมาจากร่างทำให้ไปสู่ภพภูมิใหม่ไม่ได้ (เพราะตายไม่สมบูรณ์) แล้ววนเวียนอยู่ในอันตรภพ มาปรากฏให้มนุษย์เรียกว่า "องค์ครู" ครูภาคพื้นดินที่เรากราบไหว้กันอยู่นั้น (องค์ครูมีสองแบบ เรียกว่า "ครูภาคพื้นดิน" และ "ครูบนสวรรค์" ครูบนสวรรค์คือครูเทพ เทวดาที่มีบุญวาสนามาสอนเรา แต่ครูภาคพื้นดินคือ ครูที่ตกค้างอยู่ในอันตรภพภาคพื้นดินแล้วมาถ่ายทอดวิชาให้เรา) ผู้ที่ตกค้างอยู่ในอันตรภพนั้น ได้ชื่อว่า "ไม่เกิด ไม่ดับ" ไม่อยู่ในสามภพ แต่ว่าไม่ใช่นิพพาน แม้เปลือกนอกจะคล้ายกันก็ตาม

    องค์ครูไม่ใช่ซาตาน คำว่า "ซาตาน" ก็คือ เทพที่เคยอยู่บนสวรรค์แต่ทำสิ่งที่ผิด ไม่ยอมรับความผิด ก็ลงมากบดานอยู่บนโลกมนุษย์ เรียกว่า เทพที่หนีทัณฑ์สวรรค์มาน่ะละ เทพที่ถูกลงโทษให้มาอยู่ในโลกมนุษย์ก็มี แต่ไม่ใช่ซาตาน เพราะเทพเหล่านี้ได้รับการลงโทษอยู่ เช่น "ซุนหงอคง" ถูกลงโทษให้อยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง รอจนกว่าจะมีพระถังซัมจั๋งมาอัญเชิญพระไตรปิฎกจึงจะได้รับการปลดปล่อย นี่ ถ้าไม่มีพระถังซัมจั๋งกล้าหาญเดินเท้าเปล่าจากจีนไปอินเดีย ระยะทางแสนไกล เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก เขาก็ไม่หลุดพ้น ดังนั้น ถ้าเราทำอะไรแปลกๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีงามคนอื่นเขาไม่เคยทำกันมาก่อน ก็ทำไปเถอะครับ บางครั้งจะมี "จิตวิญญาณ" ตกค้างเหล่านี้ รอเรา เพื่อช่วยเหลือเรา แล้วเขาจึงจะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นได้ เอาละ องค์ครูและจิตวิญญาณในอันตรภพทั้งหลายก็เหมือนกัน เขาไม่ใช่ซาตาน แต่รอการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากบารมีของโพธิสัตว์ บางท่านรอมานานมาก เป็นพันๆ ปี หมื่นๆ ปีด้วยซ้ำ กว่าจะมีผู้มีบุญบารมีมาเกิด และบำเพ็ญบารมีบางอย่างตามรอยทางที่เขาพอจะมาร่วมบุญบารมีกับเราได้ ลองคิดดู เขาตกค้างอยู่ในโลกมานานเป็นพันๆ ปี หมื่นๆ ปีนะ ทรมานแค่ไหน? หรือเทพบางองค์ถูกลงโทษอยู่ในภูเขาเป็นพันๆ ปี หมื่นๆ ปี ทรมานแค่ไหน? เรามนุษย์อยู่กันสบาย อย่าโวยวายมาก อย่าเรียกร้องอะไรจากโลกมาก เพราะผู้ที่ทรมานมีอยู่ ทุกข์มากกว่าเราก็มีอยู่ ยังรอรับการโปรดก็มีอยู่อีกมากมาย

    การไหว้ครู-มีองค์ครู ก็เป็นทางช่วยจิตวิญญาณในอันตรภพเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 สิงหาคม 2016
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ประชาธิปไตยแบบ "สุริยัน-จันทรา"


    ประชาธิปไตยแบบสุริยันก็คือปชต. ที่ร้อนแรงดังถูกพระอาทิตย์แผดเผา กลายเป็นปัญหา "โลกร้อน" อย่างที่เป็นอยู่นี่ไงครับ ส่วน ปชต. แบบจันทราก็คือ ปชต. แบบเย็นๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ละมุนละม่อม ซึ่งชายกำลังทำอยู่ ในประเทศไทยเรา มีหลายท่านมีไฟ กำลังทำกิจขับเคลื่อน ปชต. กันอยู่ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เราต้องสร้าง ปชต. ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ให้ได้ นี่คือ "พันธกิจของจักรวาล" ทีเดียวครับ ทว่า ชุดแรกที่ลงมาสร้างปชต. นั้น พวกเขาร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์ผลคือ เกิดปัญหาโลกร้อนน่ะสิครับ ดังนั้น ชายจึงต้องมาปรับสมดุลให้โลก คือ ต้องเสนอประชาธิปไตยแบบพระจันทร์ เย็นๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แบบละมุนละม่อม ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าชายไปอยู่ฝ่ายศักดินา รับใช้สถาบันฯ อะไรก็มี แท้แล้วไม่ใช่ ชายยังคงสะท้อนแสงจากพระอาทิตย์มาสู่โลก ทำให้ ปชต. นั้นกระจ่างในใจของผู้คนดั่งดวงจันทร์ที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์สู่โลกฉะนั้น ทว่าปชต. ที่แท้จริงนั้นจะเป็น ปชต. แบบ "บุปผาชน" คือ ปชต. แบบบัวบานครับ มันจะไม่ใช่ทั้งแบบสุริยันและแบบจันทรา ทว่า หากไม่มีแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เกิดขึ้นก่อน โลกก็จะมืดมิด ไม่มีใครเข้าใจ ปชต. จริงมั้ย? ดังนั้น พระอาทิตย์ก็ต้องทำหน้าที่ก่อนที่จะปรากฎมีดอกบัวบาน แลพระจันทร์ก็เข้ามาช่วยปรับสมดุลโลก นั่นเอง

    ฝ่ายศักดินาก็ทำหน้าที่ทำลายพระอาทิตย์นั้น อีกด้านหนึ่งก็เพื่อให้โลกไม่ร้อนเกินไป อุปมาเหมือน "โฮ่วอี้ที่ยิงพระอาทิตย์" น่ะละครับ ทว่า เพราะพระอาทิตย์เป็นเทพ มีคุณต่อโลก ผู้ยิงพระอาทิตย์จึงได้รับคำสาป ต้องตกอยู่ในโลกตลอดกาล ไม่อาจกลับคืนสู่สวรรค์ได้ เหมือนตำนานเทพธิดาฉางเอ๋อกับโฮ่วอี้ เมื่อโฮ่วอี้ยิงพระอาทิตย์ก็ไม่ได้กลับคืนสู่สวรรค์ ส่วนเทพธิดาฉางเอ๋อ ทำหน้าที่ต้านทานพลังของโฮ่วอี้ไว้ก็กลายเป็นเทพพระจันทร์ไป ชายเองก็ทำหน้าที่เหมือนเทพธิดาฉางเอ๋อ คือ ชายต้านทานความร้อนของพระอาทิตย์เอาไว้ เพื่อให้โลกไม่ร้อนเกินไป เช่น กรณี ไผ่ ดาวดิน ทรมานตัวเองไม่กินอาหารผลกระทบต่อโลกย่อมรุนแรงเหมือนแสงพระอาทิตย์แผดเผา ชายก็ทัดทานว่าแบบนั้นไม่เป็น ปชต. ที่แท้จริง เพราะเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้งบีบให้คนอื่นทำตามใจตน ก็เป็นเผด็จการทางความคิดเช่นกัน และบางครั้งฝ่ายศักดินาทำผิดพยายามล้มโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค ชายก็ต้านทานว่าผลประโยชน์ใดๆ ที่เป็นของ ปชช. นี้ รัฐต้องมีหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้อง จะทำลายผลประโยชน์ที่ ปชช. พึงมี พึงได้ นั้น มิได้ ทว่า พวกเขาก็ไม่ได้ฟังชายหรอกครับ จริงๆ ก็ไม่มีใครฟังชาย แต่ชายก็ยังทำหน้าที่ส่องแสงสว่างต่อไป แม้ว่ามันจะมืดมิดไปหมด เพราะพระจันทร์ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดครับ นี่ก็คือ "วิถี" ของชายที่ชายเลือกเดิน

    และ "ความมืด" (กลียุค) นั้นกำลังถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยแล้ว
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อืม..เขาเรียก อันตรภพ งั้นเหรอ..จะได้เรียกถูก ว่า เหล่าจิตวิญญาณ จิตทิพย์กายทิพย์ที่ตกค้างเหล่านี้ คือรอความช่วยเหลือ รอการปลดปล่อย ..อยู่ในอันตรภพ(เหมือน ภพที่ถูกลืม หรือ พวก หลุดออกจากระบบ แบบนี้เปล่าท่านดอกไม้)

    แล้วอย่างพญานาคที่ถูกกักขัง จิตวิญญาณห้าวเป้งที่ถูกตรึงอาคม หรือไปไหนไม่ได้ เหล่านี้ เหมือน อันตรภพมั้ยครับ
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พญานาค ไม่ใช่ผู้รอเกิด เป็นผู้เกิดใหม่สมบูรณ์แล้ว
    อยู่ในภพสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง หากถูกลงโทษจองจำ จะ
    เรียกว่าอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ไม่ใช่อันตรภพ ทว่า

    อันตรภพ, โลก และสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ก็ที่เดียวกัน!
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกนี้มีชื่อว่า "ตรีสหัสสโลกธาตุ" เพราะมีสามภพ
    สัตว์ที่เกิดสมบูรณ์ย่อมดำรงอยู่ในภพใดภพหนึ่งในสามภพนี้


    สัตว์ที่ตายไม่สมบูรณ์ เกิดไม่สมบูรณ์จะไม่อยู่ในสามภพ แต่อยู่ในโลกนี้ เรียกว่า "อันตรภพ"
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [​IMG]
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อรหันต์อุปโลกน์ อรหันต์ตั้งเอา


    คือ อรหันต์ปลอมๆ ที่เกิดจากเรา "ตั้งเอา" เราไปตั้งกฏเกณฑ์ของเราเองว่าอรหันต์ของเรา (ตัวกู ของกู) จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เช่น จะต้องดูดี ดูเรียบร้อย ดูเงียบสงบ ดูไม่มีกิเลส ฯลฯ อันนี้คือ อุปทาน แบบตั้งเอาทั้งนั้นนะ ไปตั้งกฏเกณฑ์เอาว่าอรหันต์จะต้องเป็นเช่นนี้ อะไรก็ว่ากันไป ทีนี้ แต่ละคนก็อุปทานกันไปสิ บางคนตั้งเอาว่าเป็นอย่างนั้น บางคนตั้งเอาว่าเป็นอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้น? ก็เลยเกิดการแตกแยก หมู่ชนกลุ่มหนึ่งไปศรัทธาแบบหนึ่งเพราะเชื่อว่าคืออรหันต์ กลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่งไปศรัทธาอีกแบบหนึ่งเพราะเชื่อว่านี่ต่างหากละอรหันต์ เอากันเข้าไป กลุ่มชนบางกลุ่มไปโจมตีความเชืื่อของกลุ่มอื่น กลุ่มชนบางกลุ่มมีอำนาจก็เข้าไปจัดการกลุ่มอื่นให้สิ้นซากไป นี่ กรรมมันเกิดขึ้นมากมายในพุทธศาสนา เหตุเริ่มต้นมาจาก "อรหันต์ตั้งเอา" นี่แหละ เหมือนคนไม่เคยเห็นอเมริกา ก็ไปตั้งกฏเกณฑ์เอาไว้ก่อนจะเห็นว่าอเมริกาต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นเช่นดังที่ตนเองคิด ก็จะต้องไม่ใช่อเมริกาแน่นอนอะไรแบบนั้น แทนที่จะเห็นของจริงก่อน แล้วศึกษาจากของจริงนั้นโดยไม่มีกฏเกณฑ์ตั้งเอาไว้แต่แรก กลายเป็นตั้งเอาบนอุปทานใครอุปทานมัน ก็เลยกลายเป็นอรหันต์ของใคร อรหันต์ของมัน เข้ากันไม่ได้ ของฝ่ายเสื้อแดงก็ว่านี่อรหันต์ของฉัน ของฝ่ายเสื้อเหลืองก็ว่านี่ต่างหากอรหันต์ของฉัน แล้วก็ก่อกรรมกันไป ตีกันไปวุ่นวายเปล่าๆ

    แท้แล้วอรหันต์ก็เหมือนธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่ละคนทำบุญวาสนามาไม่เหมือนกัน บางคนอรหันต์แล้วเหมือนคนบ้า (แต่ไม่ได้บ้านะ) เช่น พระจี้กง, บางคนอรหันต์แล้วเหมือนคนไม่รับผิดชอบลูกเมียบ้านเมือง เช่น พระสมณโคดม, บางคนอรหันต์แล้วก็เหมือนคนปลิ้นปล้อนหลอกลวงก็มี ฯลฯ ของแบบนี้เป็นแค่เปลือกนอก เราจะเห็นท่านแค่เปลือกนอกเท่านั้น อย่าไปตัดสินใคร เพราะหากตัดสินเขาแล้วเราจะตัดสินได้แค่จากเปลือกนอกเท่านั้น เพราะจะไม่เห็นแจ้งไปถึงข้างในเขาได้จริงๆ หรอก อีกอย่าง คนเราไม่ใช่อรหันต์ก็ไม่รู้หรอกว่าอรหันต์คืออะไร เป็นอย่างไร? ดังนั้น ก็ได้แต่อุปทานกันไปเท่านั้น อรหันต์ก็เหมือนธรรมะ ธรรมชาติ เหมือนดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, เหมือนดวงอาทิตย์, พระจันทร์ ฯลฯ แตกต่างกันไปตามแต่จะทำบุญวาสนาแต่เก่าก่อน สั่งสมมาอย่างไรก็เท่านั้นเอง ทว่า ท่านทั้งหลายที่สำเร็จอรหันต์แล้วก็เข้าถึงสัจธรรมเดียวกันทั้งนั้น ทว่า ก็อาจมีทั้งท่านที่แสดงธรรมอธิบายให้เราเข้าใจได้ และที่แสดงธรรมแบบไม่กล่าวอะไรเลย พูดอะไรไม่ออกเลย จนเราคิดว่าท่านแสดงธรรมไม่ได้ ไม่มีธรรมในตนก็มี จริงๆ แล้วสิ่งภายนอกเหล่านี้เอามาตัดสินพระอรหันต์ไม่ได้หรอก อย่าไปตัดสินใครเป็นพระอรหันต์เลย ทำไม่ได้หรอก ทำไปแล้วเป็นกรรม เชื่อว่าเขาคืออรหันต์ก็อาจหลงงมงาย หากเชื่อว่าเขาไม่ใช่อรหันต์ก็อาจก่อกรรมปรามาสท่านได้

    ขนาดศาลตัดสินคนมีข้อมูลมากมาย ยังพลาดพลั้งกันได้เลยครับ!
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปฏิบัติอะไรก็ได้ ไม่มีถูก ไม่มีผิดหรอก ทำของเราให้เต็มที่


    ปฏิบัติธรรมสายไหน, สำนักไหน, นิกายไหน, ศาสนาอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีใครผิดหรอก แต่อย่าเพิ่งไปคิดว่าของตัวเองถูก เหมือนดั่ง "องคุลีมาร" น่ะละ ถูกหลอกให้ไปฆ่าคนแล้วจะได้ความหลุดพ้นเขาก็ทำไปด้วยเจตนาจะเอาความหลุดพ้นนี่ละ สุดท้าย พระสมณโคดมก็มาโปรดจนบรรลุอรหันตผลจริงๆ จะบอกว่าสิ่งที่องคุลีมารปฏิบัติมันผิด ก็ไม่ได้ เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น ก็จะไม่ถึงจุดที่จะได้รับการโปรดจากพระสมณโคดม แต่จะบอกว่าถูกก็ไม่ได้ เพราะโจรคนอื่นทำอย่างเขาบ้าง ก็อาจไม่ได้บรรลุธรรมก็ได้ เช่นกัน การปฏิบัติที่แตกต่างกันในแต่ละสำนัก, แต่ละวัด, แต่ละสาย, แต่ละลัทธินิกายนี้ อย่าไปตัดสินถูกผิดอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราทำให้ถึงที่สุดหรือยัง? สิ่งที่ทำนั่นก็อย่าเพิ่งไปคิด ไปหลงว่ามันถูกต้องแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก ที่เรามีบุญมีกรรม จะต้องไปเสวยผลไปทำอะไรในแบบนั้นๆ ดังนั้น ไม่ใช่ความจำเป็นที่จะต้องไปตรวจกันว่าที่ไหนถูก ที่ไหนผิด? ต้องไปตามบุญกรรมของสัตว์ให้เขารับไป เราไม่มีกรรมต้องหลงอย่างองคุลีมารก็ดีแล้ว แต่ใช่ว่าเราไม่หลงแล้วเราจะบรรลุธรรมนะ เพราะหลงๆ แบบองคุลีมาร เขาก็บรรลุได้ในท้ายที่สุด ดังนั้น จึงบอกว่าไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกหรอก อย่าไปคิดว่าเขาปฏิบัติผิด และอย่าไปคิดว่าถูกต้องละ

    มันก็เป็นแค่ "มายาการแห่งบุญกรรม" เท่านั้นเอง ให้เราไปเคลียร์ไปชำระให้หมดๆ ไป หมดเมื่อไรก็จะได้มีโอกาสได้รับธรรมได้ หลายคนชอบไปคิดว่าสิ่งที่ตัวเองปฏิบัตินั้น "ถูกต้อง" ดีกว่าของที่อื่น นี่ละ จุดเริ่มต้นของความแตกแยกในพุทธศาสนา และตามมาด้วยการจับผิดว่าของคนอื่น "ผิด" หรือไม่ถูกต้อง ต่อให้มันเหมือนถูกต้องแค่ไหน มันก็ยังไม่ใช่ถูกอยู่ดี อย่าไปยึด อย่าไปหลง และต่อให้มันผิดแค่ไหน จะไปว่ามันผิดก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นกรรมของสัตว์เขาที่จะต้องรับอย่างนั้น เราไม่ได้มีหน้าที่จะไปตัดสินถูกผิดอะไรใครได้ เราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ด้วยการทำหน้าที่ในส่วนของเรา เราต้องปฏิบัติในส่วนของเราให้เต็มที่ ให้ยิ่งยวดก่อน เมื่อก่อนชายเคยบวชพระ ชายก็อยากไปอยู่วัดดีๆ วัดดังๆ มีหลวงปู่ หลวงพ่อที่ดังๆ แต่แล้วชายก็ไม่มีโอกาส จึงอยู่วัดธรรมดาๆ ไป ปฏิบัติไปยิ่งยวดนี่ละ พระพุทธองค์ก็ทรงมาโปรดชายเอง เห็นไหม? มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเราอยู่ในวัดที่ดี ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องอะไร มันอยู่ที่ตัวเราเองนี่ต่างหาก ปฏิบัติให้เต็มที่ เรามีบุญมีกรรมให้ไปเสวยบุญกรรมอยู่ในที่ไหน? วัดใด? สำนักไหน? ก็ทำไปให้มันเต็มที่ในส่วนของเราก่อน ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ปฏิบัติของเราให้มันถึงที่สุด แล้วมันจะสะเทือนถึง "ผู้มีธรรม" ท่านจะมาหาเราเองเลย ชายนี่ มีหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านถอดกายทิพย์มาหาที่วัดด้วยนะ นี่แหละ เราไม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนหรอก ท่านมาหาเองเลย ทำตัวเราให้ดีเถอะ!

    อย่าไปคิดว่าตัวเองถูก เวลาท่านมาโปรด เราจะได้รับธรรมได้ง่ายๆ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การสนทนาธรรม ไม่ใช่ "ธรรมะปากตลาด" !


    วิสัยของ "ผู้ทรงธรรม" ต่างจากปุถุชนทั่วไป ปุถุชนทั่วไปได้รู้ธรรมะเหมือนได้ดูละครน้ำเน่า ดูแล้วเอาไปพูดไปในวงสนทนาเพื่อให้คนอื่นมายอมรับนับถือตน ถกเถียงธรรมกันไม่ต่างจากแม่ค้าปากตลาดที่ดูละครน้ำเน่าเรื่องเดียวกันแล้วเกิดอาการคิดไปคนละทาง ทว่า ผู้ทรงธรรมจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะได้ "โคตรภูญาณ" แล้วย่อมไม่มีวิสัยอย่างปุถุชนอีก เมื่อเห็นการถกเถียงเพื่อเอาชนะคะคานอะไรกันก็เบื่อหน่าย และนิยมความสงบวิเวกจึงไม่นิยมเข้าวงสนทนาเช่นนั้น ในอดีตจึงมีการแบ่งแยกวรรณะ ผู้ที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์เท่านั้นจึงจะรับธรรม ฟังธรรม อ่านธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ ส่วนผู้ที่อยู่ในวรรณะที่ต่ำกว่าลงไป หากได้รับธรรมแล้วก็จะเอาธรรมะไปเพียงเพื่อเถียงกันเหมือนแม่ค้าปากตลาดดังกล่าว ย่อมไม่มีประโยชน์ ทว่า จิตใจของคนเรามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด การแบ่งแยกคนด้วยวรรณะจึงไม่ใช่คำตอบ เพราะคนที่อยู่ในวรรณะต่ำๆ แต่มีใจสูงเพราะได้เข้าถึงโคตรภูญาณแล้วก็มี ส่วนคนที่อยู่ในวรรณะสูงๆ เช่น พราหมณ์ก็มีจิตใจเสื่อมต่ำลงไปได้เช่นกัน ทว่า การเลือกให้ธรรมแก่คนที่สมควรนั้นก็ยังคงมีอยู่ ดังเช่น ที่พระสมณโคดมพิจารณาบัวสี่เหล่าแล้วเห็นว่าควรให้ธรรมแก่บัวเหล่าบนก่อน คือ "เหล่าบัวบาน" จนกลายเป็นแนวคิดของ "หีนยาน" ที่จะพิจารณาผู้ฟังก่อนว่ามีความพร้อมที่จะบรรลุธรรมหรือไม่? หากไม่มี ท่านก็จะไม่แสดงธรรมให้ฟัง เช่น ชายก็พบหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านมาลองใจชาย ตอนนั้น ชายกำลังฝึกวิชาพันมือของพระโพธิสัตว์ ท่านก็ลองใจโดยบอกว่า "เณรรำไม่มันไม่เหมาะนะ" ชายเลยปิดประตูกุฏิแล้วฝึกต่อ ท่านเห็นชายแน่วแน่ใน "โพธิยาน" แล้ว ท่านจึงไม่กล่าวอะไรต่อไปอีก (ท่านเป็นสาวกยาน) ท่านก็ไป

    ผู้ทรงธรรมไม่ติดในสาระของการถกเถียง ใครจะชนะหรือแพ้ในการถกเถียงแล้วอย่างไร? เราก็เป็นเราอยู่เหมือนเดิม หากธรรมเราไม่มี ไม่ก้าวหน้า มันก็คงอยู่อย่างนั้น ไม่เกี่ยวกับชัยชนะในการถกเถียงเลย ได้รับหรือไม่ได้รับการยอมรับ มีคนเชื่อหรือไม่มีคนเชื่อแล้วไง สุดท้าย เราก็คือเราเหมือนเดิม หากเรายังมีจิตเสื่อมต่ำ มันก็เสื่อมต่ำอยู่เหมือนเดิม ไม่เกี่ยวกับการได้รับการยอมรับหรือไม่เลย ดังนั้น เรายังต้องเพียรต่อไป เพราะสิ่งยั่วยุเหล่านั้น เป็นเพียงสิ่งไร้สาระที่ไม่ช่วยให้เราพัฒนาอะไรขึ้นมาได้ หลายคนคิดว่าการถกเถียงธรรมะ จะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้ นั่นได้เฉพาะคนที่มีอินทรีย์ห้าพร้อมแล้ว คือ ต่างฝ่ายต่างศรัทธาในกันและกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีศรัทธาต่อกัน ทุกอย่างก็จบ คือ อินทรีย์อ่อนเกินไป ไม่อาจสนทนาธรรมกันได้ หากดื้อรั้นจะถกธรรมกันก็ต่อ ก็จะกลายเป็นการต่อกรรม ทะเลาะเบาะแว้งด้วยอีโก้และมานะทิฏฐิเสียมากกว่า บางท่านก่อนจะสนทนาธรรมกัน ท่านให้กราบอีกฝ่ายก่อนด้วยซ้ำไป เพราะนี่คือ การขอธรรมจากอีกฝ่าย จริงไหมครับ? เราไม่ได้มาเอาชนะกัน แต่เรากำลังมาขอคำชี้แนะจากกันและกัน จึงได้สนทนาธรรมกัน ทว่า ปัจจุบันนี้ เราเห็นคนไม่เคารพธรรม แต่ถือตัวเองเหนือกว่าใคร จึงมี "สงครามน้ำลาย" อยู่ทั่วไป กลายเป็นชนวนสร้างเวรกรรม และไม่ช่วยให้ใครบรรลุได้จากการสนทนาธรรมแบบ "ปากตลาด"

    คนที่เถียงเก่งเหมือนแม่ค้าปากตลาด อาจชนะ แต่ไม่มีธรรมะก็ได้!
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ภาวนามยปัญญา" ไม่ใช่ ปัญญาบารมี ไม่ใช่ความรู้ ความฉลาด?


    ธรรมะที่ถูกคลี่คลายแล้วไม่ทำให้ใครบรรลุธรรมได้ เหมือนปริศนาที่มีผู้คลี่คลายได้แล้ว ย่อมไม่เป็นปริศนาอีกต่อไป เมื่อแสดงธรรมะนี้ออกไป ผู้ฟังจะได้สูงสุดเพียง "สุตตมยปัญญา" เพียงเท่านั้น ไม่มีทางจะได้ "ภาวนามยปัญญา" ได้เลย และภาวนามยปัญญาจะเกิดได้เมื่อมี "วิปัสสนาญาณ" เป็นตัวเริ่มต้น มิฉะนั้น เราก็จะวนอยู่ใน "สุตตมยปัญญา" และ "จินตมยปัญญา" ไปเรื่อยๆ เมื่อใดที่ความรู้ความเข้าใจ "ดับสนิท" ลงหมด สุตตมยปัญญาก็จะจบลง จากนั้นถ้าความคิดและจินตนาการทั้งหลายของเราดับสนิทลงอีก จินตมยปัญญาก็จะดับสิ้นลงด้วย ตรงนี้ละ "ภาวนามยปัญญา" ใกล้จะเกิดแล้ว ทว่า มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดซึ่ง "ปริศนาธรรม" ถ้าเราไม่มีปริศนาให้ขบคิดพิจารณามันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร? ถ้าเอาแต่อ่านและฟังสิ่งที่คลี่คลายหมดแล้วไม่มีปมปัญหาใดๆ เลย แล้วเราจะมีสติปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร? สิ่งที่เกิดขึ้นได้ก็มีแต่ความรู้ความเข้าใจ (สุตตมยปัญญา) เท่านั้นเอง ดังนั้น ชายจึงเน้นเสมอเรื่อง "ปริศนาธรรม" และปริศนาธรรมต้องยาก, ลึกลับ จนเลยเกินที่จะคิดหรือจินตนาการได้ ไม่อาจใช้หลักการหรือตรรกะใดๆ ได้ เมื่อนั้น ความรู้, ความเข้าใจ, ความคิด, จินตนาการ จะดับหมด นั่นละ ใกล้จะเกิดวิปัสสนาญาณแล้ว ภาวนามยปัญญาใกล้จะมีแล้ว

    ดังนั้น คนที่จะบรรลุธรรมได้ ต้องมีภาวนามยปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่จินตมยปัญญาหรือสุตตมยปัญญา และใครจะมีภาวนามยปัญญาได้ก็ต้องได้ "ปริศนาธรรม" (โกอาน) มาก่อน หากไม่ได้ปริศนา ได้แต่อะไรที่คลี่คลายกระจ่างอยู่แล้ว เฉลยหมดแล้ว มันก็ได้แค่สุตตมยปัญญา และนี่คือ "สาเหตุที่พระอานนท์ไม่เคยบรรลุธรรมจากการได้ฟังธรรมะที่พระสมณโคดมแสดงแก่ผู้อื่นไปแล้ว" อาหารที่คนอื่นเขากินหมดแล้ว เราจะไปกินต่อได้หรือ? เราจะอิ่มอร่อยได้จากการกินอาหารที่ผู้อื่นกินไปหมดแล้วได้เช่นนั้นหรือ? เราต้องหาอาหารของเราเอง เราต้องหา "ปริศนาธรรม" ของเราเอง ซึ่งเราจะไม่พบเจอหรอก หรือต่อให้พบเจอก็ไม่อาจตีให้แตกได้เอง เพราะเราไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือต่อให้เป็นปัจเจกโพธิยานมาเกิด พร้อมที่จะบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เขาก็ไม่ยอมให้เราบรรลุ เพราะมันยังไม่ถึงยุคสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้กันตอนนี้ ผิดเวลา ผิดยุคมัย ไม่ได้แน่นอน ดังนั้น เราจะได้รับปริศนาธรรมนี้ ก็จากผู้อื่นเท่านั้น หากเราไม่ได้รับจากใครเลย เราก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย สิ่งที่เรามีอย่างมากก็แค่ "ปัญญาบารมี" ซึ่งเราอาจเคยได้บำเพ็ญไว้แต่หนหลังออกผล แต่นั่นไม่ใช่การบรรลุธรรม มันคือ ปัญญาบารมี เท่านั้นเองทำให้คนอื่นหรือเราเอง หลงคิดว่าเราบรรลุธรรมแล้วด้วยมีปัญญาเยอะ ทว่า ภาวนามยปัญญานั้นจะเกิดจากความว่างสูญ ดับสนิทของความรู้, ความเข้าใจ, ความคิด, จินตนาการ, ปัญญาบารมี ฯลฯ ทุกอย่าง จะดับสนิทจนเราเหมือนเป็น "คนโง่เอ๋อ" ก่อนเท่านั้น

    หากยังไม่ "โง่เอ๋อแดก" ก็ไม่มีทางเกิด "ภาวนามยปัญญา" แน่ครับ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2016
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "สัมมาสติ" ไม่ใช่การกำหนดรู้


    แต่เป็นการระลึกรู้เท่าทันตามธรรมชาติ อย่างใสซื่อ ไร้เจตนา ไม่มีการกำหนดใดๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ทีนี้ หลายท่านยังไม่ได้สติ ไม่เกิดสติ แต่ไป "ฝึกเอา" ฝึกจะเอาสติ ไปกำหนดเอาสติ อย่างนี้ไม่ใช่สตินะ เป็นลักษณะของสมาธิแบบหนึ่ง แต่เป็นสมาธิที่จดจ่ออยู่กับอะไรก็ว่ากันไป เช่น สมาธิที่จดจ่อกับลมหายใจ กำหนดให้เป็นนั่นนี่ ไม่ว่าจะเป็นยุบหนอ พองหนอ หรือว่าจะเป็นพุทธโธ อะไรก็ช่าง กำหนดกันไป แล้วเพ่งย้ำๆ เข้าไปอย่างนั้นก็มีสมาธิได้ แต่ไม่ได้เกิดการระลึกรู้เท่าทันจริงๆ อย่างเป็นธรรมชาตินะ ลองนึกถึงตอนที่เรา "ระลึก" อะไรได้เองอย่างเป็นธรรมชาติเช่น ทำของหาย เพราะเผลอขาดสติ แล้วระลึกได้ว่า "เอ๊ะ อ้อ อ๋อ อยู่ที่นั่นเอง" อารมณ์ประมาณนี้ละ เรียกว่า "สติ" คือ ระลึกรู้เท่าทันความหลงลืมของตัวเราเอง แบบนี้ไม่ได้กำหนดใช่ไหม? ไม่มีเจตนาให้รู้ใช่ไหม? สติเกิดก่อนปัญญา ก่อนญาณ ก่อนความจำได้หมายรู้นะ อาการแบบว่า "เอ๊ะ อ๊ะ ..." ก่อนที่จะนึกอะไรได้ ก่อนที่จะสว่างขึ้นมา มันจะเกิดอาการเหมือนหรือคล้ายว่า เอ๊ะ อ๊ะ เหมือนจะนึกอะไรออกได้ ตรงนี้คือ "สติ" แต่พอนึกออกมาได้ ตรงที่นึกออกมาได้ไม่ใช่สตินะ ตรงที่นึกออกมาได้คือ"ความจำได้หมายรู้" ที่ถูกตัวสติกระตุ้นให้แสดงตัวออกมา ทีนี้ สติไปกระตุ้นความจำได้หมายรู้แล้วยังกระตุ้นญาณก็ได้ กระตุ้นปัญญาก็ได้ (ก็เป็น "สติปัญญา")

    "สัมมาสติ" นั้น ไม่ใช่แค่มี "สติ" ธรรมดาเหมือนปุถุชนทั่วไป ทว่า มีอาการคล้ายๆ กันนี่ละ อย่างที่อธิบายว่า "เอ๊ะ อ๊ะ" อะไรแบบนั้นเริ่มมีสติแล้ว แต่ยังคิดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูก อธิบายอะไรไม่ได้ นี่ละ ตัวสติที่ยังไม่ได้ไปกระตุ้นอะไรเป็นพิเศษ เหมือนคนหลับ แล้วเราไปปลุกเขาให้ตื่น เจ้าสิ่งที่ปลุกให้ตื่นคือ "สติ" พอตื่นแล้วคือปัญญา ลืมตาสว่างมาเห็นความจริงแล้วคือ "ปัญญา" แต่ตอนที่กำลังปลุกนี่คือ "สติ" สติเป็นตัวปลุก ตัวกระตุ้นแต่ไม่จำเป็นต้องไปทางไหนเป็นพิเศษ สติที่เป็นกลางๆ ในธรรมทุกธรรม ไม่เพ่ง ไม่พุ่ง ไม่กำหนด ไม่มีเป้าหมาย ไม่ใช่ไปรู้อะไร ไม่ใช่การรับรู้ผ่านอาตยนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นกลางๆ เหมือน "ตื่น" ขึ้นมาเองของจิต จิตถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแบบกลางๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องตื่นไปรู้อะไร จะบอกว่าไม่รู้อะไรก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่ทั้งความไม่รู้ และความรู้อะไรทั้งนั้น มันกลาง เหมือนรัศมีของพระอาทิตย์และพระจันทร์ สว่างออกไปทั่วจากตรงกลางไม่ได้พุ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง จะว่าพุ่งมาสู่โลกอย่างเดียวก็ไม่ใช่ พุ่งมาให้เราเห็นคนเดียวก็ไม่ใช่ ไม่มีเป้าหมายว่าจะต้องส่องไปทางใดทางหนึ่งแต่สว่างออกไปอย่างเป็นกลางๆ ทั่วไป "สัมมาสติ" จะมีลักษณะเป็นกลางในธรรมทั้งหลาย และไม่ใช่ตัวรู้ หรือความไม่รู้ก็ไม่ใช่นะ มันเป็นอาการเอ๊ะอ๊ะ เหมือนจะคิดอะไรได้ แต่ไม่ใช่คิด เพราะสติไม่ใช่ความคิด แต่เป็นสิ่งที่เกิดก่อนความคิดได้

    เมื่อได้สติตามธรรมชาติแล้ว จึงจะใกล้ "สัมมาสติ" เข้ามาได้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...