ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    ประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์นี้ละดีที่สุดแล้ว (ผมไม่ขออธิบายในเชิงพิศดารแล้วกัน)
    แต่ดีแน่ๆ

    แต่ที่ดีไปกว่าคือ การยกสถาบันกษัตริย์ไว้เหนือการบริหารนั้น ถูกจุดที่สุดแล้ว
    อย่าขว้างกระแสโลก แต่ให้ขี่กระแสโลกแทน
     
  2. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    ระบอบทหารล้วนๆ มันเหมือนดีช่วงแรกนะ

    พอผ่านไปเรื่อยๆ ฝักฝ่ายมันเริ่มเยอะ รู้ไหมมันจะเกิดอะไรขึ้น?
    มันไม่มีการโกงเลือกตั้งหรอก เผลอๆ มันรอบฆ่ากันเลยจบเร็วดี

    ลองดูประวัติศาสตร์โลกดูก็ได้ ประเทศที่ขึ้นปกครองโดยทหาร
    แม้จะพาประเทศสงบร่มเย็นไปได้สิบๆปี แต่จบสวยไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2016
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    ดูแล้วเขาไม่ได้อยากลากยาวนะ (ถ้าไม่จำเป็น)
    เพราะรู้ดีว่าประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างไร

    เขาเองก็อยากลง ถ้ามีที่ให้ลงอย่างปลอดภัยนะ
     
  4. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    คนไทยระดับนายพลเยอะ คงจะแย่งกันใหญ่ไปก่อนแหละ ให้เขาอิ่มกันถ้วนหน้าไปก่อน
    เราก็ยังมีน้ำพริกปลาทู ขอจนแบบมีความสุขละกัน อย่าให้เรื่องถึงระดับเหนือกว่านี้เลย
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ฟื้นคืนจิตญาณเดิมแท้ กลับสู่ความเป็นมนุษย์กันเถิด!


    หลายคนได้สร้างบุญบารมีมามากในอดีตชาติ ก่อนจะมาเกิดในชาตินี้ ชาตินี้เป็นชาติที่พิเศษนะ พิเศษอย่างไร? เป็นชาติที่มีสิ่งต่างๆ ที่สมบูรณ์พร้อมเหมือนยุคพระศรีอาร์ฯ เช่น เทคโนโลยี, การสื่อสาร, อินเตอร์เน็ต, มือถือ, ทีวี, รถยนต์, เครื่องบิน ฯลฯ จึงเป็นชาติที่คนมีบุญมากเท่านั้นจะได้มาเกิด คนมีบุญน้อยไม่ได้เกิดเป็นคนในยุคนี้ ทีนี้ถามว่าทำบุญอะไรมา ทำมาเท่าไรจึงได้มาเกิดเป็นคนยุคนี้? ก็ตอบได้ว่า "พลีชีพเพื่อชาติในสงคราม" มาก่อน คนยุคพ่อแม่เราก็เป็นทหารของเจงกิสข่านมาก่อน เป็นชาวมองโกล รบไปจิตก็คิดที่จะยึดแผ่นดินคนอื่นไป แต่ทำนาทำไร่ไม่เป็น ผลบุญเลยได้เกิดมามีที่ดินเยอะเป็นของตัวเอง มาทำนาเป็นชาวนากัน เปลี่ยนจากจับมีดฆ่าคนมาจับจอบเสียมแทน, คนยุคลูกหลาน วัยรุ่นก็มาจากบริวารที่เป็นทหารของพระนเรศวร พวกนี้รักอิสระไม่ชอบให้ใครมาสอน มาชี้นำ ชอบทำอะไรแหกคอกแบบเด็กแนว เพราะปลดเอกให้อิสรภาพแก่ชาติบ้านเมืองมาก่อน เกิดมาก็ได้อยู่ในแผ่นดินที่มีประชาธิปไตยเลย สรุป สร้างบุญบารมีด้วยการพลีชีพเพื่อชาติ นับบารมีได้ 30 ทัศ มากกว่าพระเวสสันดรนะ พระเวสสันดรได้แค่ 10 ทัศ เพราะไม่ได้สละเลือดเนื้อหรือชีวิตให้แผ่นดิน สละแค่บัลลังก์และลูกเมียเท่านั้น

    ทว่า พวกเรากำลังหลงตัวเอง หลงลืมตัวลืมตนว่าเราเคยได้สร้างบุญบารมีมามากขนาดนั้นกันมาก่อน เราจึงมัวไปหลงความดีเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้ข้าวหมากิน ก็คิดว่าเป็นการทำดี เป็นคนดีนักหนาแล้ว สื่อก็ชอบเสนอภาพความดีเล็กน้อยเหล่านี้ ให้คนหลงตัวเองว่าเป็นคนดี "โรคคนบ้าดี" มันจึงระบาดหนัก หนักจนคนหลงทำดี แต่ลืมตัวไปว่าตนเองได้เคยทำอะไรมามากกว่านี้นัก สุดท้าย มันเสื่อม จากที่มีจิตใจเข้มแข็งเป็นทหารกล้า กลายเป็นคนขี้ขลาด เป็นลูกแหง่ เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่ตลอดแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ เขาเรียกว่า หลงลืมตัวจนเสื่อมในธรรม ตอนนี้ สงครามทะเลจีนใต้ใกล้เข้ามาแล้ว ประเทศไทยซื้อเครื่องบิน, เรือเพิ่มอีก ฯลฯ เพื่ออะไร? ก็เพื่อฟื้นคืนจิตญาณเดิมแท้ของเราที่เคยเป็นทหาร ที่ยอมพลีชีพเพื่อชาติ ให้กลับมาเข้มแข็ง, กล้าหาญ, สละชีพเพื่อชาติ และไม่ทำร้ายกันเองในชาติ แต่ต้องสามัคคีกันต่อสู้กับอริราชศัตรู ไม่ใช่มาตีกันเองเพราะเรื่องสีเสื้อ ดังนั้น บรรยากาศของสงครามและการรบก็ต้องมีบ้าง เพื่ออุ่นเครื่อง เพื่อให้เราทั้งหลายตื่นตัวพร้อมที่จะสู้ จะได้ฟื้นคืนจิตญาณให้เรา จึงไม่ต้องแปลกใจนะที่ประเทศนี้ปกครองโดยทหาร มันจะเกิดขึ้นสักช่วงหนึ่งเพื่อกระตุ้นเตือนใจเราเท่านั้นละ

    หลายคนสูญเสียจิตญาณเดิมแท้ไปแล้ว จิตญาณเดิมแท้ที่เป็นทหารกล้าพลีชีพเพื่อชาติ สูญเสียไป ปัจจุบันถูก "หัวโขนอาชีพ" ครอบงำกลายเป็นเกษตรกร เป็นอะไรกัน ไม่ใช่นะ คนเราเกิดมาเพื่อเป็นคน เป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" คำว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ ทำอะไรเราก็ต้องทำได้ ทำการเกษตรเราทำได้แล้ว เราก็ต้องค้าขายได้ด้วย ไม่ใช่ว่าทำเกษตรได้อย่างเดียว ค้าขายไม่ได้ แบบนั้น ความเป็นเกษตรกรก็เข้ามาลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว อย่าให้มีแบบนั้น มันคือความเสื่อมของจิตญาณ เราเป็นมนุษย์ ต้องทำได้ทุกอย่าง สมัยก่อนชายเห็นชาวนาค้าขายข้าวเป็นปกติ หาบข้าวมาแลกเกลือ, ปลาเค็ม, ปลาย่าง, ฟักแฟง ฯลฯ เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะอะไร? เพราะเขาไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ ไม่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ เขาจึงทำได้ ชายเองก็ทำได้ ปลูกพืช, เลี้ยงสัตว์, ค้าขาย, ทำครัว, รักษาโรค ฯลฯ ได้เท่าที่จำเป็นต้องทำ ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย นี่แหละ มนุษย์ต้องทำได้แบบนี้ อย่าให้หัวโขนอาชีพใดๆ มาครอบงำแล้วลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราลงไปจนทำสิ่งอื่นๆ ไม่ได้ ไม่เป็นเลย หมดยุคพระรามเจ้าโพธิสัตว์ที่จะมาสอนคนทำการเกษตรแล้ว ยุคของไปพระศรีอาร์ฯ จะมาสอนให้ค้าขายครับ

    คนเราเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพื่อเป็นอาชีพใดๆ
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    กระบวนการ "ลดทอนความเป็นมนุษย์" ด้วยหน้ากาก "คนดี"​



    ผู้กดขี่ต้องการกดขี่ให้ประชาชนถูกปกครองได้ง่ายๆ พวกเขาจึงได้ "ทำลายและลดทอน" ความเป็นมนุษย์ของ ปชช. ทั้งหลาย เช่น ให้กราบหมา, ให้หมอบคลานอย่างกับสัตว์, ให้ก้มหน้าทำนาอย่างเดียวจนทำอย่างอื่นไม่เป็น คิดอย่างอื่นไม่เป็น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นไปเพื่อลดทอนและทำลายความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ทว่า เพื่อไม่ให้ ปชช. รู้ตัว จึงต้องหลอกลวง ลวงโลกว่าเป็นคนดี ดั่งเทพเจ้ามาช่วย ปชช. ด้วยการสวมหน้ากากเป็นคนดี ทำดีสารพัดประการ ให้อะไรมากมาย (ที่ไม่จำเป็นเพราะเราก็หาเองได้) เพื่อปิดบังอำพรางความชั่วร้ายของตนเอง ทำให้ ปชช. คิดว่าเขาเป็นคนดี ทว่า มันคือความดีที่ "ซ่อนพิษร้าย" ไว้ครับ โดยกระบวนการดังตัวอย่างต่อไปนี้

    1 สร้างละครลวงโลก
    สร้างเรื่องราวเหมือน "รามเกียริต์" ขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองเป็นพระเอก เป็นคนดี เหมือนพระราม
    ใครมาต่อต้านหรือขัดขืนจะต้องเป็นคนเลว คนผิดเสมอ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลย เป็น "ดราม่าล้วนๆ"

    2 ใช้สื่อครอบงำคน
    ควบคุมสื่อไว้ในมือ ทำงานโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องให้คนไทยเสพติด มอมเมา
    จนงมงายเหมือนเมายา เสพติดจนขาดไม่ได้ ทำให้คล้อยเคลิ้มเชื่อสื่อ ไม่ว่าจะชี้นำไปทางใด ก็ได้ทั้งหมด

    3 ใช้การให้เพื่อผูกขาด
    ใช้การให้, การทำความดี, การทำผลงานต่างๆ เพื่อผูกขาดมัดใจคนว่าตนเองเป็นคนดีเพียงคนเดียว
    ประเทศนี้จะขาดตนเองไม่ได้ด้วยไม่มีคนดีคนไหนอีกแล้ว ใครไม่รักตัวเองถือว่าเนรคุณ, อกตัญญู

    4 กำจัดคนที่คิดต่าง
    โดยใส่ร้ายว่าเป็น "คนโกง" เหมือนพระรามปราบยักษ์ แท้แล้วพระนารายณ์ไม่ได้ลงมาปราบเผ่า
    ยักษ์ครับ ท่านมาปราบแค่ทศกัณฐ์ตนเดียว แต่นี่ใครมาโดดเด่นกว่าตนเอง จะต้องทำลายให้หมดสิ้นไป

    5 ทำให้ ปชช. อ่อนแอ
    นี่คือ สิ่งสำคัญครับที่จะทำให้พวกเขากดขี่และปกครอง ปชช. ง่ายๆ เพราะหาก ปชช. เข้มแข็ง
    ยืนหยัดได้เอง มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ก็จะปกครองยาก เขาจึงทำลายความเป็นมนุษย์ของ ปชช. ลงไป

    เขาไม่ได้ทำเพื่อแผ่นดิน, เพื่อประเทศชาติ หรือเพื่อประชาชนใดๆ เลย แต่เขาทำเพื่อ "องค์กร" ของตนเองที่ตนเองดำรงอยู่เท่านั้น เพื่อให้สถาบันที่ตนเองดำรงอยู่ ยังคงอยู่ได้ เขาถึงขนาดทำลายความเป็นมนุษย์ของประชาชน กดขี่ให้ประชาชนต้องอยู่อย่างคนที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาทำเป็นรักชาวนาเพื่อให้เราอยากเป็นชาวนาตลอดไป เขาทำเป็นช่วยเหลือชาวนาแต่กลับไม่เคยสอนให้ชาวนาคิดได้ คิดเป็น หรือคิดเชิงค้าขายอะไรเลย เพราะอะไร? เพราะคนที่คิดเชิงค้าขายได้ จะรู้ว่าได้เท่าไร? เสียไปเท่าไร? คุ้มหรือเปล่า? ดังนั้น ที่เขาไม่ให้เราคิดได้ ก็เพื่อที่จะโกงเราต่อไป กดเราต่อไป ทำให้เราไม่มีทางทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา ทำให้เราโง่ตลอดไปเท่านั้นเอง

    ตื่นได้แล้วพี่น้อง ปชช. ทั้งหลาย ทวงความเป็นมนุษย์ของเราคืนมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤศจิกายน 2016
  7. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๒.๔๕

    จะมั่วไปถึงไหนกัน
    อย่ารับจ๊อบนอกนักสิ
    สายงานตัวเองแค่ไหน
    ..........................

    คนไทยพร้อมกับระบอบการปกครองใดที่สุด?

    ขาใหญ่หลวงก็เคยบอกไว้แล้ว อย่าทำเป็นลืมสิ
    ระบอบที่เปิดโอกาสให้คนดีขึ้นมามีอำนาจ
    และไม่ให้คนไม่ดีขึ้นมามีโอกาสไง
    เรื่องง่ายๆ สั้นๆ ก็แค่นั้นเอง
    .......................

    การต่อสู้เพื่อ ปชต. จึงต้องมุ่งเน้นไปที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นั่นเอง


    นี่ก็ไม่ใช่ ทำไมจะต้องต่อสู้เพื่อ ปชต. ไม่เข้าท่า
    ศัตรูคือความทุกข์ยากของประชาชนตะหาก
    ต้องสู้เพื่อความอยู่ดีกินดี ชีวีเป็นสุข
    พี่น้องในชาติ ต้องการสิ่งนี้



    สายฟ้าฝากงาน / กระต่ายป่า แห่งประเทศไทย

    .
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    คนศาสนาพุทธยอมรับเรื่องพุทธวิสัย ก็จะไม่เคลือบสงสัย
    อะไรในพระบรมศาสดา.....การปรามาสในพระรัตนตรัยก็จะ
    ไม่บังเกิดกับบุคคลนั้นๆ

    ชนชาติที่ดำรงชีวิตอยู่ในราชอาณาจักรที่มีกษัตริย์ปกครอง
    และมีความเชื่อว่าวิสัยของกษัตริย์ย่อมเหนือกว่าตนเอง
    ทั้งในด้านสติ ศีลสมาและปัญญา ความเมตา
    และวิริยะอุตสาหะ....และเชื่อเช่นนี้โดย
    มีหลักฐานบ่งชี้เป็นรูปธรรม
    บุคคลนั้นๆ จะไม่มีการกระทำที่ล่วงละเมิดกษัตริย์
    แต่อย่างใด.....
    วิสัยกษัตริย์คนที่จะวิจารณ์หรือพยากรณ์ได้ถูกตรงแม่นยำ
    ต้องทำโดยบุคคลที่มีวิสัยกษัตริย์ด้วยกัน
    ยากที่คนสามัญจะพยากรณ์ได้เที่ยงตรงแม่นยำมีแต่ด้นๆเดาๆ
    เอาด้วยอคติและปัญญาที่ไม่บริสุทธิ์
     
  9. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    อดใจรอครับ เมืองไทยยังมีพระเกจิเหนือโลกอยู่
    เมื่อเข้าสู่ยุคที่ 10 อย่างเต็มที่แล้ว
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ คงทราบหน้าที่ของท่าน
    ผมแอบเชื่ออย่างนั้นว่า 3 สถาบันของไทยจะไปได้เจริญเหมือนดั่งยุค ร9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2016
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขอโชว์ต่ออีกนิด...



    จะหาปัญญาบริสุทธิ์จากแถวไหน ก็หาจากพระอริยเจ้าใน
    ราชอาณาจักรนี่ล่ะ ที่มีจริยาวัตรประพฤติตนอยู่ในกรอบ
    ของพระธรรมวินัย
    และไม่ได้ให้ความสำคัญกับพัดยศ
    หรือสมณศักดิ์ต่างๆ นานา
    อริยะสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นล่ะมีปัญญาบริสุทธิ์
    วาจาศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ต้องมีใครรับรองให้
    ถ้าพยากรณ์กษัตริย์วิสัยเมื่อใดย่อมไม่มีลำเอียงด้วย
    รักหรือชังหรือหวัง takeside

    แต่หากผู้ใดยังเห็นว่าปัญญาบริสุทธิ์จากพระอริยะเจ้า
    ทั้งหลายยังไม่น่าเชื่อถือ ก็คงต้องต้องเชื่อปัญญาทู่ๆ ของตนเองต่อไป ไม่มีใครว่าอะไรต้องตามใจและเอวัง
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    เท่าที่เห็นปัจจุบันนี้ สามเสาผุแทบไม่เหลือสภาพนะครับ
    บางที เกือบเกิดสังฆเภทไม่รู้กี่รอบ ถ้าไม่มีใครห้ามไว้
    ก็เกิดไปนานแล้วครับ


    ทั้งหมดนี้ มีขบวนการทำอยู่เบื้องหลังแน่นอน
    และขบวนการเหล่านั้น ก็ใส่หน้ากากเป็นคนดี
    โยนความผิดบาปให้คนอื่นโดยอาศัยม. 112


    ถ้าพวกศักดินายังหลงใช้คนพวกนั้นอยู่ก็ปล่อยไปตามกรรมละครับ ชายจะไม่ยุ่ง
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อนัตตาไม่ใช่ภาวะสูญเสียตัวตน


    หลายคนเข้าใจว่าอนัตตา คือ การไม่ยึดตัวกูของกู ทว่า จริงๆ แล้วคำนี้เป็นสัจธรรม ไม่อาจอธิบายได้หรอกครับ เราต้องเข้าถึงด้วยตัวเราเอง แต่พอเราพยายามอธิบายด้วยคำว่าการไม่ยึดตัวกูของกูแล้ว ดูเผินๆ ก็น่าจะใช่ ทว่า มันกลายเป็นผิดพลาดได้เหมือนกัน มันเกิดความคลาดเคลื่อนไปเพราะสัจธรรมไม่อาจอธิบายได้นั่นเอง พอเราพยายามจะอธิบาย มันก็อธิบายได้ ดูเหมือนถูกแล้ว ทว่า มันก็ยังเกิดปัญหาจนได้ครับเพราะหลายคนไปปฏิบัติโดยเอา "ความเข้าใจ" เป็นที่ตั้ง ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมจริงๆ คือ เราก็ยังเป็นอัตตาหนึ่ง ความเข้าใจในธรรมของเราก็เป็นอีกอัตตาหนึ่ง เราพยายามไปปฏิบัติ ไปทำ ไปเป็นอัตตานั้น ที่เราเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ทว่า มันกลายเป็น "ธรรมะตัวกูของกู" เสีย นึกออกไหมครับ? คำว่าตัวกูคือ ตัวเราเองก็เป็นอัตตาหนึ่ง คำว่าของกูคือ ธรรมที่เราเข้าใจก็เป็นอีกอัตตาหนึ่ง มันไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน เราไม่ได้เข้าถึงธรรมนั้นจริงๆ เราก็แค่ "ไปเข้าใจมัน" เข้าใจอย่างนั้นบ้าง เข้าใจอย่างนี้บ้าง แล้วแต่ใครจะมอง "ต่างจิตต่างใจกันไป" ตามความเข้าใจของเรา ยิ่งเราพยายามปฏิบัติอนัตตานั้น เราก็ยิ่งขาดสติ ยิ่งหลุดหลงออกไปจากธรรมะ ธรรมชาติดั้งเดิมของเรา เพื่อให้ได้เป็นอนัตตา มีอนัตตา นั้น จนเราหลงลืมและสูญเสียตัวตนดั้งเดิมแท้ไป

    ภาวะ "สูญเสียตัวตนดั้งเดิมแท้" ไม่ใช่สภาวะอนัตตานะครับ อาจใช้คำเรียกได้ว่า "อวอาตมัน" มากกว่า มันเป็นคนละสภาวะกัน กล่าวคือ ในสภาวะอนัตตานั้น ไม่ใช่ให้เราไปปฏิเสธตัวตน หรือธรรมะใดที่เป็นอยู่ หรือแม้แต่สิ่งที่เราเป็นอยู่ เพราะอนัตตาเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว พอเราไม่เข้าใจว่าอนัตตาเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว เราไปพยายามทำให้เกิด ให้มี "ตามความคิด ความเข้าใจของเรา" มันก็เลยกลายเป็น "ปรุงแต่ง" ไม่ใช่ธรรมแท้ ไม่ใช่ธรรมดั้งเดิม กลายเป็นอนัตตาที่ไม่ใช่อนัตตาแบบพระพุทธเจ้าสอน เป็นอนัตตาในแบบที่เราคิดไปเอง ทำไปเองคนเดียว ที่อันตรายอย่างยิ่งกลายเป็นการปฏิเสธตัวตน ปฏิเสธธรรมะ ธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ ปฏิเสธทุกอย่างเพื่อจะให้ได้สภาวะอนัตตา ทั้งที่จริงไม่ต้องไปทำกรรมอะไรเลย สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว เพราะจับงูข้างหาง ศึกษาธรรมะด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จึงพลาดไป ประมาทในธรรม สุดท้าย จึงเป็นการปฏิเสธธรรมะ ธรรมชาติ ปฏิเสธตัวตน ที่เรียกว่า อวอาตมัน เป็นสภาวะที่สูญเสียตัวตนดั้งเดิมแท้อย่างหนึ่ง คนเหล่านี้ จะลืมตัว ลืมตนว่าตนเองคือใครกันแน่ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไรบนโลก แต่จะเหมือนมีตัวตนใหม่ ยิ่งใหญ่มาก ทำความดีเว่อร์ๆ ไม่ใช่มนุษย์ที่ปกติ เหมือนคนทรงที่กลายเป็น "คนอื่น" ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความสุขในแบบที่ตัวเองควรจะมีจริงๆ เรียกว่าเสียตัวตน เสีย self ก็ได้ครับ ซึ่งต้องกลับไป "ฟื้นฟูจิตญาณเดิมแท้" ศึกษาเรื่องอาตมันใหม่ เพราะปฏิบัติผิดพลาด แก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินไป

    ชาวพุทธจำนวนมาก กำลังปฏิบัติผิด ปฏิเสธและสูญเสียตัวตนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2016
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สงครามเศรษฐกิจและการทำลายการแข่งขันเสรี​



    "แผนการณ์ของจีน" คือ ทำลายระบบเศรษฐกิจเดิมของไทย แล้วแทนที่ด้วยระบบของจีน ซึ่งเป็นระบบผูกขาดครับ จีนรุกก้าวเข้ามาแล้ว แต่ไทยยังมึนๆ อยู่กับเรื่องจำนำข้าว แผนการณ์ของจีนซึ่งมีลักษณะเชิงรุก และเน้น "ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ" ในขณะที่ไทยยังยึดถือว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ยังคงเดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ที่ไหนได้ เขาไปถึงไหนกันแล้ว เหมือนเรื่องการสวรรคตฯ ตอนแรกคิดจะปิดข่าวกันไว้ก่อน ที่ไหนได้ มีคนลงมือปล่อยข่าวไปทั่ว จนปิดไม่อยู่ สุดท้ายต้องออกมาแถลงการณ์จนได้ นี่ละครับ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม พอเจอกับสุภาษิตจีน "ชิงลงมือก่อน" ผลเป็นอย่างไร เอาละ กลับมาที่กลยุทธ์ของจีนที่จะใช้เศรษฐกิจเป็นสงครามเงียบก่อนแล้วกัน ชายขอสรุปแผนการณ์เป็นขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

    1 ให้กู้โดย "แจ๊ก หม่า" ผ่านร้านเซเว่น
    เพื่อให้คนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่รากหญ้า ทีนี้ทั้งรัฐบาลก็เป็นหนี้จีนและประชาชนก็เป็นหนี้จีนอีก เท่ากับเป็นการผูกขาดตั้งแต่รากหญ้าเลย ซึ่งหมากนี้ เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ให้ "ทักษิณ" เข้ามาปลดหนี้ IMF แล้วครับ กล่าวคือ เราไม่ได้รวยหรือมีรายได้สูงขึ้นมาเลย แต่เราแค่ปลดหนี้เก่าของฝรั่งออกไป เพื่อเป็นหนี้ใหม่ โดยเจ้าหนี้คือ "จีน"

    2 โจมตีตลาดสินค้าทางการเกษตร
    เพื่อให้เกิดการเจ๊ง ล้มละลายกันถ้วนหน้า เมื่อเกษตรกรไทยขาดทุน ก็จะต้องไป "กู้หนี้ยืมสิน" ทีนี้ก็เข้าทางละ เกษตรกรไทยจะถูกต้อนไปเหมือนลูกแกะเชื่องๆ สุดท้าย ก็ต้องเป็นหนี้ "แจ๊ก หม่า" ซึ่งมีช่องทางในการปล่อยกู้ผ่านร้านเซเว่นแล้ว การโจมตีตลาดสินค้าเกษตรของไทยนั้น สำหรับจีนเป็นเรื่องง่ายมากทุกตลาดและทุกเวลาครับ

    3 สร้างระบบผูกขาดขึ้นมาแทนที่
    ระบบการค้าขายของ "แจ๊ก หม่า" เป็นระบบการค้าแบบผูกขาดด้วยไม่มีคู่แข่งรายได้จะสามารถทำได้ รัฐบาลไทยจะตอบโต้ด้วยการปฏิเสธการค้าของเขาไม่ได้เพราะจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรงด้วย รบ. จีนทันที รบ. จีนอยู่เบื้องหลัง แจ๊ก หม่า ดังนั้น อย่าทำอะไรบ้าๆ ครับ

    4 ทำลายระบบการแข่งขันเสรี
    ขั้นตอนนี้ ระบบการค้าขายแบบผูกขาดของ "แจ๊ก หม่า" จะทำลายระบบการค้าขายแบบเสรีให้หมดสิ้นไป โดยการทุ่มตลาดก็ดี การให้สิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้าในช่วงแรกก็ดี ทว่า เมื่อผูกขาดตลาดได้หมดแล้ว ก็จะ "เอาคืน" ทีหลัง ตอนนี้ละครับ เราจะขัดขืนอะไรไม่ได้เลย

    5 ขยายไปสู่การเมืองการปกครอง
    เมื่อทำลายระบบเศรษฐกิจด้วยการแทนที่และยึดครองด้วยระบบจีนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การขยายอิทธิพลไปสู่ระบอบการเมืองการปกครอง เรียกว่า "ทัพเศรษฐกิจ" เป็นทัพหน้า ไม่ต้องใช้ทัพทางการทหารเลย ตามมาด้วยทัพการเมืองการปกครองหนุนหลัง

    ซึ่ง ไทยจะต้องหามาตรการแก้ไขวิกฤตินี้ ก่อนที่จะสายเกินไปครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    หลง "รูปพุทธะ" ติดพุทธะจอมปลอม เป็นไฉน?


    ความรักแบบ "สุดจิตสุดใจ" เท่านั้น จึงจะนำพาคุณไปสู่ "พุทธะ" ที่อยู่ในจิตใจของคุณเองได้ คุณไม่อาจเข้าถึงพุทธะได้ด้วยแค่การอาศัยความเข้าใจ จากการอ่าน, การฟัง ใครสักคนมาบอกว่าทุกคนเป็นพุทธะอยู่แล้ว ถ้าคุณได้ยินเช่นนั้น จงรู้ว่า "คุณแค่ได้ยิน" มันก็แค่ "รูป" ของพุทธะมากระทบผัสสะทางหูของคุณเท่านั้น นั่นไม่ใช่พุทธะที่แท้จริง เพราะตราบใดที่คุณยังไม่มีความรักแท้แบบสุดจิตสุดใจ คุณจะไม่มีทางเข้าถึงพุทธะที่แท้จริงที่อยู่ภายในของคุณได้เลย คุณจะมีแค่ "รูปของพุทธะ" ที่คุณได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมาจากตำรา ซึ่งเป็นเพียงรูป มิใช่สัจธรรม เป็นเพียงเงามายา ดุจเงาจันทร์ในน้ำ เป็นเพียงภาพผิวเปลือกที่ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ทว่า หลายคนก็หลงรูปพุทธะเหล่านั้น พวกเขาจึงได้พบแค่ "ความว่าง" ดังคำกล่าวที่ว่า "รูปคือความว่าง" นั่นเอง เมื่อนั้นพวกเขาก็เริ่มนับถือเอา "ความว่าง" เป็นพระธรรม เป็นพระเจ้าสูงสุด พวกเขาเริ่มแพร่ธรรมะความว่างออกไปอย่างบ้าคลั่ง ราวกับความว่างเป็นทุกสิ่ง เป็นความจริงแท้ ทว่า มันไม่ใช่เช่นนั้น สัจธรรมความจริงแท้ ไม่ได้ตายตัว มิได้เป็นความว่างเช่นนั้นแบบตายตัว ความว่างเปล่าที่ตายตัวนั้นมันเป็นแค่ "ความตาย" มิใช่ชีวิต มิใช่สัจธรรม ดังนั้น พวกเขาจึงอยู่อย่างคนไร้ชีวิตชีวา เพราะยึดถือความว่างเปล่าอย่างตายตัวนั้น

    เมื่อพุทธะที่ซ่อนอยู่ในจิตเบื้องลึก สุดจิตสุดใจของเรา "ตื่นแจ้ง" ขึ้นมานั้น เราจะเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ความมีชีวิตชีวานี้มิใช่ความสุขทางโลก มิใช่ต้องหัวเราะร่าเริง นั่นไม่ใช่ความมีชีวิตชีวาที่แท้จริง เพราะความมีชีวิตชีวาที่แท้จริงนั้น คือ "ความไม่ตาย" ความไม่ตายตัว ชีวิตไม่ใช่ความตาย มันจึงผันแปรไปเสมอ ไม่คงที่ ไม่แน่นอน ไม่เที่ยง ชีวิตจึงผันแปร จึงมีขึ้นมีลง มีสุข มีทุกข์ เป็นธรรมดา นั่นแหละ ชีวิตที่มีรสชาติ มีชีวิตชีวา ทั้งหมดคือ รสชาติของชีวิตที่แท้จริง มันไม่ใช่ความสุขที่ตายตัว ไม่ใช่ความร่ำรวยที่ตายตัว ไม่ใช่ความมีอำนาจที่ตายตัว แต่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยโลกธรรมแปด ได้ลาภ, เสื่อมลาภ, ได้ยศ, เสื่อมยศ, มีสรรเสริญ, มีนินทา, มีสุข, มีทุกข์ ฯลฯ นี่แหละ ชีวิตที่แท้จริง ผันแปรไม่แน่ไม่นอนเช่นนี้ เมื่อใดที่เราหลงไปสู่ "ความตาย" เราหลุดออกจากพุทธะที่มีชีวิต ไปสู่รูปแห่งพุทธะที่ไม่มีชีวิต เมื่อนั้น เราจึงมีสุขแบบตายตัว มีลาภแบบตายตัว มียศศักดิ์แบบตายตัว และมีคนสรรเสริญเราแบบตายตัว เราจะไม่ยอมให้มันผันแปรไป จะไม่ยอมให้ใครมาตำหนิด่าว่าเราได้ เราจะพยายามให้คนมาสรรเสริญเราอย่างเดียวแบบตายตัว นั่นละ "รูปแห่งพุทธะที่ไร้ชีวิต" ซึ่งหลายคนหลงติดอยู่ แลมันจะเป็นได้แค่เพียง "ความว่างเปล่า" มายาการหลอกหลอนให้หลงเพลินเท่านั้น

    เพราะพุทธะที่แท้จริงนั้นเต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาผันแปรสุดอัศจรรย์
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ก้าวสู่ ปชต. ด้วยการศึกษา ไม่ใช่ "การปฏิวัติ"​



    ก่อนอื่นชายขออนุญาติกล่าวถึง "การปฏิวัติฝรั่งเศส" เป็นกรณีศึกษาก่อน เนื่องจากเป็นกรณีศึกษาที่ให้คำตอบว่าการปฏิวัติกับการศึกษาต่างกันอย่างไร? อย่างนี้ครับ ในการปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น ได้เกิดสองสิ่งควบคู่กันไป แล้วจบลงที่ระบอบ ปชต. และทุนนิยม ดังนี้

    1 กลุ่มที่ผ่านการศึกษาของผู้ถูกกดขี่
    กลุ่มนี้ เกิดจากผู้ที่ถูกกดขี่ และได้ผ่านการศึกษาของผู้ถูกกดขี่มาแล้ว พวกเขาจึงกลายเป็นเสรีชน เป็นบุปผาชนที่เบ่งบานได้ในเวลาต่อมา พวกเขากลายเป็นนักคิด, นักเขียน, นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่มีอิทธิพลต่อสังคมในยุคต่อมา เหมือน จีรนันท์ พิตรปรีชา ของไทยเรา คนเหล่านี้เป็นคนที่มี ปชต. ที่แท้จริงครับ และกลายเป็นต้นแบบของ ปชต. ที่ขยายวงไปทั่วโลก คนกลุ่มนี้เองที่ทำให้เกิดระบอบการปกครองแบบปชต. เป็นพลังขับเคลื่อนเป็นนักคิดที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก และไม่ได้สนใจเรื่องการยึดอำนาจจากฝ่ายศักดินา แต่พวกเขาสนใจ "ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง" มากกว่า

    2 กลุ่มชนชั้นกลางที่ปฏิวัติยึดอำนาจ
    กลุ่มนี้ เกิดจาก "ชนชั้นกลาง" ที่ต้องการต่อรองผลประโยชน์กับพวกศักดินา พวกเขาไม่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ แต่เข้าสู่กระบวนการปฏิวัติแทน พวกเขาเข้าไปเจรจาเพื่อขอแบ่งส่วนผลประโยชน์จากชนชั้นกลาง พวกเขาแค่ "ย้ายข้าง" ไปเท่านั้นเอง จากนั้น พวกเขาจึงได้อำนาจ และได้ระบบทุนนิยม ซึ่งก็คือระบบที่แปรรูปมาจากศักดินานั่นเอง ต่อมา พวกเขาจึงกลายเป็นนายทุน มีลูกน้องมากมาย จะเห็นได้ว่าพวกเขาก็กระทำไม่ต่างจากศักดินาคือ ตัวเองเป็นเจ้า เป็นนายเหนือคนอื่น คนอื่นมาเป็นลูกน้องของตน การกระทำของเขาจึงไม่ได้มีความเป็น ปชต. ที่แท้จริงขึ้นมาได้เลย

    กลับมาที่ประเทศไทยกันบ้าง ชายพยายามเสนอ "การศึกษา" แทนการปฏิวัติ แต่มันไม่ใช่การศึกษาในระบบ ที่เรียกว่าการศึกษาแบบธนาคารแน่นอน เราไม่อาจเป็น ปชต. ได้ด้วยการเข้าไปฟังใครมาบรรยายเรื่อง ปชต. ให้เราฟัง แต่เราต้องผ่านกระบวนการศึกษาของผู้ถูกกดขี่โดยตรง พูดง่ายๆ ก็คือ เราจะต้องถูกกดขี่ก่อน เราจึงจะมีการศึกษา และเข้าถึงความเป็น ปชต. ที่แท้จริงได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มันไม่ใช่การปฏิวัติ เพราะการปฏิวัติคือการยึดอำนาจเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องการศึกษา ทำให้เกิดผลเชิงการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงเชิงอำนาจ แต่ไม่ได้ทำให้ใครหรือนักปฏิวัติเหล่านั้น เข้าถึงความเป็น ปชต. ได้อย่างแท้จริง คนเราจะเข้าถึงความเป็น ปชต. เป็นนัก ปชต. ที่แท้จริงได้ ต้องมาจากการศึกษาเท่านั้น และต้องไม่ใช่การศึกษาแบบธนาคารในห้องเรียนครับ

    ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ ปชต. ได้ด้วยการศึกษา มิใช่การปฏิวัติครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2016
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การกระทำชั้นสูง คือ การกระทำที่ว่างเปล่าจากความดีและบุญคุณ


    กระแสความคิดบางอย่างเป็น "พลังงานแทรกซ้อน" ให้เราอยากทำบางสิ่งบางอย่าง พลังงานแทรกซ้อนเหล่านี้ มีลักษณะที่ชัดเจนและทำนายได้ว่าเป็นพลังงานชนิดใด ซึ่งมักมาในรูป "กระแสความคิด" ทำให้เราอยากทำอะไรต่อมิอะไร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังงานชั้นต่ำที่เต็มไปด้วยกิเลสความต้องการ เช่น เปรต เป็นผู้ไม่มีบุญ จึงต้องการบุญ พวกเขาจึงอยากทำบุญ เมื่ออยากทำบุญแต่ไม่ใช่มนุษย์ จึงมาอยู่กับมนุษย์ แล้วครอบงำให้มนุษย์ทำบุญอย่างคาดหวังผลบุญ คนผู้นั้นจึงทำบุญด้วยเจตนาคาดหวัง ผลคือยิ่งทำยิ่งจน เพราะมีเปรตมาอยู่ด้วย จึงยากจน ทั้งนี้ กระแสพลังงานต่างๆ จำแนกได้ ดังนี้

    1 เปรตอยากทำบุญ
    กระแสความคิดอยากทำบุญนั้น ไม่ใช่กระแสความคิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีปกติเอื้อเฟื้อเผื่อให้กันอยู่แล้ว พวกเขาจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ และยังคงมีความเป็นมนุษย์ได้ แต่เมื่อใดที่คนเสื่อมจากความเป็นมนุษย์ และเริ่มมีความเป็นเปรตเข้ามา ความอยากได้บุญจะเกิดขึ้นเพราะเปรตเป็นผู้หิวบุญ เมื่อนั้นจึงอยากทำบุญเพื่อเอาบุญ

    2 สัมภเวสีอยากเกิดใหม่
    สัมภเวสีคือจิตวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปเกิดในสามภพ ไม่ได้อยู่ในภพภูมิที่ถูกต้อง ต้องเร่ร่อนอยู่กินกับมนุษย์ เช่น องค์ครูู, จิตวิญญาณที่ไปสิงสู่ตามเทวรูป ฯลฯ กลุ่มนี้ มักเป็นพวกมีฤทธิ์ มีวิชาติดตัว แต่ไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ถูกต้อง จึงอยากเกิดใหม่ให้ถูกต้อง เพื่อไปสู่ภพภูมิที่ถูกต้อง ความอยากเกิดใหม่ไม่ใช่ความคิดของมนุษย์

    3 ปีศาจอยากเป็นคนดี
    ปีศาจเป็นที่รังเกียจของมนุษย์และเทพ พวกเขามีปมด้อยทั้งสิ้นจึงต้องการ "การยอมรับจากสังคม" มนุษย์ปกติได้รับการยอมรับจากสังคมอยู่แล้ว เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทว่า คนที่เสื่อมจากความเป็นมนุษย์ลงไปแล้ว จะกลายเป็นร่างของปีศาจ เหมือนนางงูขาวที่อยากทำความดี ปีศาจทำความดีเพื่อบำเพ็ญธรรมและให้คนยอมรับ

    4 เทพแค่ทำตามหน้าที่
    มนุษย์ที่มีใจสูงเป็นเทพในร่างมนุษย์เรียกว่า "มนุสสเทโว" พวกเขาจะรู้จักหน้าที่และทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา หน้าที่นี้ อาจไม่มีใคร ไม่มีมนุษย์คนไหนมาสั่งใช้ แต่เขาจะทำเองด้วยสำนึกของความเป็นเทพของเขา และเขาจะไม่ถือว่าเป็นการทำบุญหรือทำความดีอะไร เขาคิดว่าเขาแค่ทำหน้าที่ของเขาไป ก็เท่านั้นเอง

    5 โพธิสัตว์กระทำอย่างเสียมิได้
    คนที่ทำกิจช่วยคนอย่างเสียมิได้ แถมไม่ได้บุญคุณ ไม่ได้อะไรตอบกลับมา คุณความดีก็ไม่ได้ ไม่มีแม้แต่คำชม ไม่ใช่แม้แต่หน้าที่ แต่ก็ทำไปเสียแล้ว แบบนี้แหละ เป็นการกระทำของพระโพธิสัตว์ คนที่ทำเช่นนี้ ย่อมมี "โพธิจิต" โดยแท้ มิใช่กระทำเพราะสงสารเขาหรือเพราะเราอยากทำความดี หรืออยากทำบุญ แต่ก็ทำไปเสียแล้ว

    เมื่อเราเจตนาอยากทำดี มันมักไม่ใช่ความดีที่แท้จริง (เป็นความดีแบบปีศาจ) เมื่อเราอยากทำบุญ มันก็ไม่ใช่บุญแท้ (เป็นบุญแบบเปรต) การกระทำที่ "ว่างเปล่า" จากความมุ่งหวัง ที่จะให้เป็นอะไร ไม่ใช่แม้จะให้เป็นความดี หรือเป็นบุญนั้น เป็นการกระทำชั้นสูงของผู้ที่มีใจสูง เช่น กระทำอย่างเสียมิได้ ไม่ได้อยากจะกระทำ แต่ก็ทำไปเสียแล้ว (เพราะฝืนโพธิจิตของตัวเองไม่ได้ เลยอดไม่ได้ที่จะทำ หรือจะช่วยเหลือคนๆ นั้น) แบบนี้จึงว่างเปล่าจากความคาดหวัง, ความดี, หรือบุญคุณใดๆ นั่นแหละ จึงเป็นการกระทำชั้นสูง

    หลายคนเข้าใจผิดจึงชอบไป "ตั้งเจตนา" ทำบุญ ทำความดีกันครับ
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การสื่อสารที่ผิดพลาดในการสร้าง ปชต.


    ในการขับเคลื่อนเพื่อ ปชต. ในประเทศไทยที่ผ่านมา ปชต. ก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะเกิดความผิดพลาดในการสื่อสารขึ้นครับ ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนและแก้ไขกันใหม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    1 การสื่อสารทางเดียว
    ตลอดการเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ที่ผ่านมาของคนเสื้อแดง เป็นการสื่อสารทางเดียวแทบทั้งสิ้น ทุกอย่างถูกสื่อออกมาจากข้างบนเพื่อให้คนรากหญ้า "รับแล้วเชื่อ" อย่างนั้น ไม่ใช่การสื่อสารสองทางที่แท้จริง ดังนั้น ในภาวะการสื่อสารแบบนี้ ปชต. จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นการสื่อสารแบบเดียวกับเผด็จการนั่นเอง เมื่อพวกเขาเคยชินกับการสื่อสารทางเดียวแบบนี้ ก็กลายเป็นการปลูกฝังความคิดแบบเผด็จการไปเสียแล้ว การสื่อสารแบบธรรมชาติจึงไม่เกิดขึ้น

    2 การมีผู้รู้กับผู้ที่ยังไม่รู้
    ในการเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ที่ผ่านมา เราจะเห็นภาพคนสองกลุ่มชัดเจน คือ "นักวิชาการ" ที่อยู่ในฐานะ "ผู้รู้" และประชาชนรากหญ้าที่อยู่ในฐานะ "ผู้ที่ยังไม่รู้" และเราจะยังเห็นสถานภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น ความแตกต่างก็เกิด การแบ่งแยกก็ยังมี ผู้ถูกกดข่ี่ยังคงถูกกดขี่ต่อไป แต่คราวนี้เป็นการกดขี่ด้วยความรู้ ด้วยนักวิชาการแทน ผู้ถูกกดขี่ไม่ได้มีปากเสียงอะไรเหมือนเดิม พวกเขาต้องอยู่ในฐานะที่ต้องมาฟัง เพราะเป็นผู้ที่ยังไม่รู้ และยังคงเป็นอยู่เช่นนั้นเสมอมา

    3 การมี "แบบ" ตายตัว
    แบบตายตัว หรือรูปแบบที่ถูกต้อง สูตรสำเร็จ ฯลฯ จะถูกวางเอาไว้เหมือนเป็น "หลักสูตร" ที่ทุกคนต้องคิดแบบนั้น และต้องเชื่ออย่างนั้น ห้ามสงสัย ห้ามถาม ห้ามคิดอย่างอื่น และมันจะเป็นเช่นนี้เสมอ ในทุกๆ เวทีการปราศัย หรือเวทีการสัมนา ทุกอย่างถูกวางแบบไว้แล้ว และถูกวางแผนไว้ก่อนทั้งสิ้น ในขณะที่เปาโล พยายามเลี่ยง "ความตายตัว" เพราะมันไม่ใช่ความจริง การที่ใครคนหนึ่งมีแบบตายตัวของ ปชต. มันก็คือการกดขี่ให้คนอื่นต้องมายอมรับ นั่นเอง

    4 การมี คำสั่ง-แกนนำ
    ในการต่อสู้ที่ผ่านมา เราจะเห็น "แกนนำ" และ "คำสั่งของแกนนำ" อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ "ผู้กดขี่รายใหม่" ที่เข้ามาแทนรายเก่า เข้ามาแทนกลุ่มศักดินา ทว่า มันก็คือการกดขี่เหมือนเดิม ในเมื่อประชาชนที่มีอิสระ เมื่อเข้าไปฟังการปราศัยในเวทีใดๆ แล้ว พวกเขาต้อง "ฟังคำสั่ง" เหมือนเดิม การมีคำสั่งและมีแกนนำนี้เอง ที่ไม่ช่วยให้เกิด ปชต. ตรงข้ามกลับกลายเป็นการส่งเสริมให้เกิดการกดขี่ แกนนำพวกนี้จึงไม่ต่างอะไรกับพวกศักดินาเลย

    5 การไม่มีคำถามอื่นๆ
    ในทุกๆ เวทีการปราศัยที่ผ่านมา และการเสวนาทั้งหลาย ล้วนเปิดโอกาสให้มี "การสงสัยและการถาม" น้อยมากๆ ในเวทีปราศัยจะไม่มีการสงสัยใดๆ และการถามใดๆ เลย ส่วนในเวทีเสวนาอาจจะมีการสงสัยและการถามบ้าง แต่ก็น้อยมากๆ เพราะรูปแบบของการเสวนาเป็นไปในรูปการ "บรรยายให้ฟัง" มากกว่าจะอยู่ในรูป "การล้อมวงคุยกันอย่างเสมอภาค" การมีคำถาม, การสงสัย และการสนทนาตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์ จึงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้

    ชายหวังว่าการขับเคลื่อนต่อไป จะแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้นครับ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อาสวักขยญาณ มีลักษณะอย่างไร?


    อาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้บรรลุธรรม หรือญาณที่ระลึกได้ว่ากิเลสสิ้นไปแล้ว ไม่มีกิเลสบดบังสัจธรรมแล้ว จึงเข้าถึงสัจธรรมได้ บรรลุธรรมได้ มีลักษณะอย่างไร? อธิบายได้ไหม? กระทู้นี้จะขออธิบายตามความเข้าใจจากประสบการณ์จริงนะครับ ไม่ได้อ้างอิงตามตำราใดๆ แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากนะครับ ดังต่อไปนี้

    1 เหมือนกับการระลึกได้
    เหมือนเราลืมแล้วเรานึกได้ว่า "อ๋อ" มันอยู่ตรงนั้น ของอยู่ตรงนี้ สิ่งที่ลืมคืออย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นลักษณะของสติที่ตื่นขึ้น แจ้งขึ้น สว่างขึ้น ระลึกขึ้นมาได้เอง จะไม่เหมือนการ "รู้" การรู้นี่ไม่ใช่การระลึกนะ ไม่ใช่การนึกคิด คิดว่าอย่างนั้น คิดว่าอย่างนี้ ไม่ใช่นะ มันจะปิ๊งแว่บขึ้นมาเองไม่ได้คิด ไม่ใช่การจินตนาการ และไม่ใช่การถูกดลใจ การถูกดลใจเหมือนไปเองไม่มีสติ เราจะไม่ได้สติระลึกเอง

    2 เหมือนใบไม้กำมือเดียว
    จะไม่มาก น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับความรู้, การเรียนรู้ ฯลฯ แล้ว มันเหมือนไม่มีอะไรเลย มีนิดเดียว นึกว่าจะมีอะไรมากมาย ไม่ใช่เลย แต่เป็นสิ่งที่เรารู้ได้เองจริงๆ ด้วยตัวเราเองจริงๆ เหมือนคิดสูตรได้เอง มันก็มีแค่นิดเดียว แต่การเรียนในห้องเรียนนี่ เราเอาสูตรคนอื่นมาเยอะแยะ เอามารวมไว้ในตำราๆ เดียว มันเลยเยอะ ทว่า คนที่ได้ด้วยตัวเอง เกิดปัญญาขึ้นมาได้นั้น มันไม่มาก แค่กำมือเดียว

    3 อธิบายไม่ถูก บอกไม่ถูก
    จริงๆ แล้วอาสวักขยญาณนั้น ทำให้เราบอกไม่ถูก อธิบายไม่ถูกและเมื่อพยายามจะใช้คำใดอธิบาย เราก็จะรู้ว่า "มันผิดทั้งหมด" บอกไปมันก็ไม่ใช่อีก พูดไปแบบนั้นก็ไม่ใช่ อธิบายอย่างนี้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้จะพูดอย่างไร จะบอกอย่างไรดี แต่ไม่ใช่ความไม่รู้ (อวิชชา) นะ มันมีความตื่นรู้ถึง "ความไม่ใช่" เต็มเปี่ยมไปหมดเลย มันถึงรู้ว่าอธิบายไปมันก็ไม่ใช่ ไม่ตรงอย่างไรละครับ ถ้าคิดว่าใช่ มันก็ไม่ใช่แล้ว

    4 เท่าทันสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งหมด
    มันเหมือนเราสว่างไปทั่ว รู้ทันสิ่งที่ไม่ใช่ไปหมดเลยในทันที รู้ทันว่าอะไรก็ไม่ใช่นะ ที่อธิบายแบบนั้นก็ไม่ใช่นะ มันเป็นแค่มายาการอะไรแบบนั้น แต่จะบอกไปว่าอะไรก็ไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่อีก เพราะรู้ว่ามันยังต้องพูดแบบนั้นเป็นธรรมดาของปุถุชน จะไปปฏิเสธมัน ก็ไม่ถูกอีก จะสรุปให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด มันก็ไม่ได้เลย เพราะมันไม่อาจจะสรุปตายตัว ให้เป็นสูตรตายตัวอะไรได้เลยสักอย่าง มันดิ้นได้หมด

    5 เหมือนกันโดยไม่นัดหมาย
    ผู้ที่บรรลุธรรม จะเข้าถึงสัจธรรมเดียวกัน และทุกท่านจะเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย ทำไมค้นพบสิ่งเดียวกัน เข้าถึงเหมือนกัน ดังนั้น จึงสามารถตรวจสอบกันและกันได้ว่าเข้าถึงจริงไหม? บรรลุธรรมจริงหรือเปล่า? บางครั้งเราอาจไม่แน่ใจว่ามันใช่จริงไหม? เราคิดไปเองหรือเปล่า? จนต้องมีคนที่บรรลุธรรมก่อนเรา มาบอกเราว่าได้ ผ่านแล้ว เราจึงหยุดปฏิบัติได้ ซึ่งจะได้ผลเหมือนกันโดยอัศจรรย์

    อาสวักขยญาณ ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" และไม่ใช่ "ความคิดเห็น" ใครที่ยังมีความคิดเห็นและความเข้าใจ "ถูกต้องตรงทาง" อยู่ เขาก็อาจมีแค่ "สัมมาทิฏฐิ" เท่านั้นเองไม่เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" มันไม่ใช่ญาณ มันคือ "ความคิดเห็น" หรือ "ความเข้าใจ" คนละอย่างกัน อันนี้ผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุธรรมเหมือนกันจะดูกันออกได้ ใครที่พูดธรรมเก่ง ถูกหมด ตรงหมด แต่เป็นแค่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่อาสวักขยญาณ ก็ดูออก ดังนั้น ท่านจึงรับรองธรรมให้กันได้ว่าใครบรรลุแล้วหรือไม่?

    ซึ่งหลายท่านคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว แต่อาจไม่ใช่ก็ได้นะครับ
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ชนชั้นกลางไทย ไม่เอา ปชต. ?​



    เป็นความคิดเห็นของอาจารย์ท่านหนึ่งในจุฬาฯ นะครับ ซึ่งชายก็เห็นด้วยครับ แต่ชายคิดว่าเป็นปกตินะ ที่ชนชั้นกลางไม่เอา ปชต. เพราะอะไร? เพราะเขาอาจกำลัง "ไต่เต้า" ในระบอบศักดินาอยู่ก็ได้ เขาอาจคิดว่าระบอบนั้นดีอยู่แล้ว เขามาถึงชั้นกลางแล้ว ไต่ไปอีกก็จะได้เป็นชนชั้นสูงแล้ว เหมือนการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็มีคนวิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้ว ชนชั้นกลางไม่ได้เป็นผู้สร้าง ปชต. ขึ้นมานัก แต่พวกเขาก็แค่ "เจรจาต่อรอง" กับพวกศักดินาเพื่อแบ่งส่วนผลประโยชน์กันก็เท่านั้นเอง ผลจึงออกมาเป็น "ระบบทุนนิยม" ที่แฝงตัวอยู่ในระบอบ ปชต. จนถึงทุกวันนี้ กลับมาที่ไทยบ้าง ชนชั้นกลางไทยทั้งหลายไม่เอา ปชต. เพราะมัวแต่ "ก้มกราบ" เพื่อไต่เต้าเป็นชนชั้นสูง ก็จริงนะครับ ชายไม่เชื่อในชนชั้นเท่าไร ว่าชนชั้นนั้นหรือชนชั้นนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ ปชต. แต่ชายแบ่งกลุ่มคนโดยมองไปยัง "เจนเนอเรชั่น" มากกว่าครับ ชายมองว่า Generation X ไม่ใช่ผู้ที่จะมาสร้าง ปชต. พวกเขาแค่สร้าง "โครงสร้างเชิงวัตถุพื้นฐาน" เพื่อให้เกิดความเจริญทางวัตถุในประเทศนี้เท่านั้น แต่ผู้ที่จะมาสร้าง ปชต. จริงๆ กลับกลายเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ คือ Generation Y ต่างหาก

    เดิมทีเรามองภาพว่า "การกดขี่" เกิดขึ้นจากการมีชนชั้น และเราจึงคาดหวังว่าชนชั้นล่างลงไป จะเป็นผู้ปลดแอก ทว่า พวกเขาอาจยังไม่ตื่น และยินดีกับการมีแอกก็ได้ ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ถูกกดขี่ แต่รวมทั้งผู้กดขี่ด้วย ทุกคนล้วนมีแอก ตราบเท่าที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง ต่อมาจึงมีนักวิชาการหลายท่านคิดว่าถ้าจะปลดแอก ก็ควรจะเป็นการปลดแอกโดยชนชั้นล่างหรือกลางก็ได้ จึงนำไปสู่ความคาดหวังว่าชนชั้นกลางน่าจะเป็นผู้นำชนชั้นล่างในการปลดแอก ทว่า มันก็ไม่เป็นจริง เพราะสิ่งที่ชายค้นพบในไทยมันมีอะไรที่แตกต่างไปจากมุมมองนี้ อย่างที่บอกแล้วว่าคนในเจนเนอเรชั่นก่อน นิยมการอยู่ในคอก การมีแอก แต่คนรุ่นใหม่เป็นพวกชอบ "แหกคอก" และรักความอิสระเสรี ดังนั้น ชายจึงมีความหวังว่าพวกเขานี่แหละ ที่จะเป็น "ผู้ปลดปล่อย" ที่แท้จริง ไม่ใช่ชนชั้นกลางดังที่เราคาดหวังกันตั้งแต่แรก เช่น การแหกคอกของเยาวชนหลายๆ คน ที่ปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆ ได้แก่ เนติวิทย์, โจชัวร์ หว่อง ฯลฯ เหล่านี้ ค่อนข้างมีความชัดเจนมากกว่าการต่อสู้ของชนชั้นกลางครับ ในการต่อสู้แบบใหม่ ในยุคนี้ไปถึงยุคหน้า ชายจึงคิดว่าเราควร Focus ไปที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Hipster (เด็กแนว)ทั้งหลาย ชายเชื่อว่าเขานี่แหละ คือ ผู้นำในการปลดแอกตัวจริง ไม่ใช่ชนชั้นกลางอย่างที่เคยคาดการณ์กันมาก่อนหน้านี้ครับ ดังที่เราได้เห็นข่าวการเคลื่อนไหวของพวกเขากันมาบ้างแล้วในฮ่องกง เป็นต้น

    หากชนชั้นกลางไม่เอาปชต. คนรุ่นใหม่ จะรับช่วงปชต. ต่อเองครับ
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะ ธรรมใหม่ ไม่ต้องทำความดี ?


    ในกระทู้ก่อนๆ ได้เคยกล่าวแล้วว่าเมื่อเราเจตนาทำความดี มันจะไม่ใช่ความดีที่แท้จริง เมื่อเราเจตนาจะทำบุญ มันก็ไม่ใช่บุญที่แท้จริง เพราะเรายังไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับธรรมะ ธรรมชาติที่เราเป็น อย่างที่เราเป็นตามธรรมชาติของเราจริงๆ เลย ในกระทู้นี้จะกล่าวถึงการดำเนินธรรม ดำเนินชีวิตของคนยุคใหม่ที่จะก้าวไปสู่การบรรลุธรรมได้โดยไม่แบ่งแยกโลกธรรม และไม่มีเจตนาจะเข้าสู่ธรรม เป็นการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติอันไร้เจตนากำหนด ดังนี้

    1 ทำตามธรรมชาติ ไม่ต้องทำความดี
    คนเรายิ่งทำความดี ยิ่งหลงตัวเอง ยิ่งพอกพูนอัตตาความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ว่ากูดี กูทำความดี ความดีนี้คือของกู กูมีบุญคุณกับคนนั้นคนนี้ เพราะกูทำความดี การปฏิบัติไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ เป็นการปฏิบัติเพื่อหล่อเลี้ยงอัตตา ตัวกูของกูเท่านั้นเอง การจะหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้ เราต้อง "กล้าที่จะถูกเกลียด" ไม่ต้องบ้าดี ไม่ต้องหลงดี ไม่ต้องเป็นคนดี และไม่ใช่เป็นคนชั่ว เป็นตัวของตัวเอง

    2 ได้รับโจทย์ปัญหา ชีวิตจึงมีปัญหา
    เมื่อเราเป็นธรรมะ ธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเองแล้ว เราจะไม่หลงดี ไม่หลงว่าตัวเราเป็นคนดี เราจะเห็น "ตัวเรา" ทั้งสองด้าน คือ ด้านดี และด้านไม่ดี มันจะปรากฏออกมา "โดยไม่ถูกเก็บกดซ่อนไว้" หากเรายึดหัวโขนคนดี เราจะไม่เห็นตัวตนอีกด้านของเรา และเพราะเรามีทั้งสองด้านอย่างเปิดเผย ชีวิตเราจึงมีปัญหา นั่นคือ "โจทย์ธรรม" หรือ "ปริศนาธรรม" เป็นปัญหาชีวิต ฝึกให้เราใช้สติปัญญาแก้ไข

    3 ได้รับการสั่งสอน จากสังคมรอบตัว
    เมื่อเราไม่สวมหัวโขน "คนดี" แล้ว เราเปิดเผยตัวตนอย่างที่เป็นจริง ตามธรรมชาติ จนมีทั้งสองด้าน ด้านดีและเลวแล้ว เราจะได้รับการสั่งสอนจากธรรมะ ธรรมชาติรอบตัวได้ คนรอบตัวเราจะสั่งสอนเราได้ เพราะเขาเห็น "ด้านเสีย" ของเราได้อย่างชัดเจน เราจะได้รับการขัดเกลา หรือเจียรไนเหมือนเพชร เราจะไม่ต้องออกจากโลก เราอยู่ในโลก เราก็ได้รับการสอน เราก็ปฏิบัติธรรมได้ด้วยเหตุนี้

    4 ได้สติรู้ตัวเองว่า ตัวเรายังไม่ถูกต้อง
    และเพราะเราถูกคนในสังคมสั่งสอน ด่าว่า เราจึงมีโอกาสได้สติได้ เป็นสติตามธรรมชาติ ไม่ใช่สติที่เกิดจากการเจตนาหรือกำหนดให้เป็น เราจะไม่หลงตัวเองว่าเราเป็นคนดี เราทำความดี เป็นเทพมาเกิดอะไรแบบนั้น มารจะมารุมเล่นงานเรา แท้จริงแล้วไม่มีมาร เขาแค่มาสั่งสอน มาให้สติเรานั่นเอง เพื่อให้เรารู้ตัวว่าตัวตนที่เราเป็นนี้ ยังไม่ใช่ อย่าไปหลง และเราต้อง "กำเนิดใหม่" ไปสู่ภาวะอนัตตา

    5 สู่การกำเนิดใหม่ เข้าสู่ภาวะอนัตตา
    เมื่อเราได้สติ รู้ตัวว่าเราไม่ใช่ สิ่งที่เราเป็นอยู่คือความหลง เราต้อง "กำเนิดใหม่" แล้ว เราจึงก้าวหน้าในธรรมได้ เราจะเริ่มได้สติ จะไม่หลง ไม่ยึดถือตัวกูของกูอีก เพราะมีคนมารุมสั่งสอนเราว่าเรา บอกเราในด้านที่ไม่ดี เพื่อให้เราได้สติ ปล่อยวางความยึด ความหลงในตัวกูของกู จนเข้าถึงภาวะอนัตตา ซึ่งเป็นสัจธรรม เป็นธรรมชาติเดิมอยู่แล้ว ที่เราไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องทำ ไม่ต้องดับ ไม่ต้องลดอะไร

    ยุคนี้ มีหลายคนมีบุญบารมีมากมาเกิด อดีตชาติเคยสละชีพเพื่อชาติ ตายในสนามรบมาแล้ว จึงมีบารมี 30 ทัศ ไม่ต้องทำความดีเพิ่ม เพราะ 30 ทัศคือ "เต็มแล้ว" ไม่ต้องทำบุญอะไรเพิ่มอีก ทำแค่ "ไปตายซะ" คือ ตายทางจิตวิญญาณ เพราะเขาเคยตายในสนามรบมา จึงต้องเผชิญหน้ากับความตาย เพื่อเจริญรอยตามรอยบารมีเดิม จากนั้นจะ "กำเนิดใหม่" เหมือนพระสมณโคดมที่ตายจากความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่คือ "วิธีธรรมของยุคใหม่" คือ ธรรมภาคฆราวาส!

    ธรรมภาคฆราวาสนี้เหมาะสมกับคนยุคปัจจุบันเป็นธรรมปัจจุบันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...