ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พี่ thanaku ว่างๆมีอะไร หรือมีความคืบหน้า แวะมาแชร์กันได้ตลอดนะครับ(deejai)(deejai)(deejai)
     
  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ผมเคยใช้วิธีนี้เเละได้ผลทุกครั้งครับ

    เวลามีเรื่องกลุ้มใจหรือคิดไม่ตก ผมจะเล่าหลวงปู่ทวดครับ ถ้ายิ่งตอนสวดมนต์ก็ยิ่งจะดีมากๆ หรือจะตอนไหนๆก็ได้ แต่ส่วนมากผมใช้เวลาสวดมนต์2ทุ่มครึ่ง กราบพระขอขมาพระ บูชาพระเสร็จเเล้ว ก็จะอาราธนาหลวงปู่ มองภาพหลวงปู่ แล้วเล่าปํญหาให้ท่านฟังเสมือน ท่านนั่งฟังเราอยู่จริงๆ (โดยความนอบน้อมนะครับ) แล้วขอให้ท่าน สงเคาระห์ ช่วยบอกหรือดลจิตใจให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือช่วยดลใจคนอื่น ผมก็เคยขอความเมตตาท่านนะเช่น ให้เขาใจ อ่อน เอ็นดู หรือไม่เอาโทษหรือให้เขาสงเคาระห์ แล้วแต่กรณี เอาใจสบายๆนะครับ อย่าเครียด จากนั้น มองภาพหรือนึกภาพหลวงปู่กับภาพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรี่องที่เราต้องการให้หลวงปู่สงเคราะห์พร้อมภาวนาบทจักรพรรดิ์ไปเรื่อยๆ พอสบายใจ จากนั้นก็สัพเพไปเรื่อยๆพอใจสบาย (พร้อมๆกับนึกถึงหลวงปู่เเละเรื่องที่ให้ท่านช่วยสงเคราะห์) เมื่อเสร็จก็ไม่กังวนกับเรื่องนั้นอีกต่อไป เพราะเชื่อมั่นหลวงปู่ครับ
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ
    พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้
    ก็ดี ด้วยทางกายก็ดี ด้วยทางวาจาก็ดี ด้วยทางใจ และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
    ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่
    พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  4. thanaku

    thanaku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +164
    พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    วันนั้นจิตผมตั้งมั่นว่าสามารถถวายชีวิตเพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้
    พอถึงช่วงสวดบทมหาจักรพรรดิ์ รู้สึกง่วงนอน กำลังจะหลับผงก อยู่ดีๆจิตผมก็ปริ้งขึ้นมา
    จิตผมตื่นขึ้นและสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในจิตเห็นภาพหลวงปู่ดู่กำลังยืนแล้วผมก็เข้าไปกราบ
    หลังจากครั้งนั้น เวลาผมทำสมาธิจิตเข้าที่ก็จะสงบ ตัวนิ่งแข็งแต่ได้ยินเสียงรอบข้างครับแต่ใจสวดบทสวดอยู่
    ขอบคุณครับ
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    จากคู่มือพระกรรมฐานครับ


    ๑. อัชฌาศัยสุกขวิปัสสโก

    บางคนชอบแบบสุกเอาเผากิน เรื่องความละเอียดเรียบร้อย การรู้เล็กรู้น้อยแสดงฤทธิ์ อวดเดช เดชาอะไรนั้น ไม่มีความต้องการ หวังอย่างเดียวคือความบรรลุผล ท่านประเภทนี้พระพุทธเจ้ามีแบบปฏิบัติไว้ให้เรียกว่า สุกขวิปัสสโก คือปฏิบัติแบบสบายเริ่มด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เรื่องศีลนี้นักปฏิบัติต้องสนใจเป็นพิเศษ ถ้าหวังผลในการปฏิบัติแล้ว อย่าให้ศีลบกพร่องเป็นอันขาด แม้แต่ด่างพร้อยก็อย่าให้มี ถ้าท่านเห็นว่าศีลเป็นของเล็กน้อย ปฏิบัติยังขาด ๆ เกิน ๆ แล้ว ท่านไม่มีหวังในมรรคผลแน่นอน เมื่อมีศีลครบถ้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องดีแล้วท่านก็ให้เจริญสมาธิ ตอนสมาธินี้ ท่านฝ่ายสุกขวิปัสสโกท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติพอมีสมาธิเล็กน้อยก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง พอสมาธิที่รวบรวมได้ทีละเล็กละน้อยเมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็มีกำลังตัดกิเลสได้จะได้มรรคผล ก็ตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌานหากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌานเพียงใด จะได้มรรคผลไม่ได้ นี้เป็นกฎตายตัวเพราะมรรคผลต้องมีฌานเป็นเครื่องรู้ ฌานนี้
    จะบังเกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ คือเกือบถึงปฐมฌาน ห่างกันระหว่างปฐมฌานกับอุปจารฌานนั้น เพียงเส้นผมเดียวเท่านั้น จิตเมื่อตั้งมั่นในอุปจารสมาธิแล้ว ก็จะเกิดทิพยจักษุฌาน คือเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ และได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เพราะตามธรรมดาจิตนั้นเป็นทิพย์อยู่แล้วที่ต้องมาชำระกันใหม่ด้วยการฝึกสมาธิ ก็เพราะจิตถูกนิวรณ์ คืออกุศลหุ้มห่อไว้ได้แก่ความโลภอยากได้ไม่มีขอบเขต ความผูกโกรธคือพยาบาทจองล้างจองผลาญ ความง่วง เมื่อขณะปฏิบัติทำสมาธิ ความฟุ้งซ่านของอารมณ์ในขณะฝึกสมาธิ ความสงสัยในผลปฏิบัติ โดยคิดว่าจะได้หรือจะสำเร็จหรือ ทำอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไรความสงสัยไม่แน่ใจ

    อย่างนี้ เป็นนิวรณ์กั้นฌานไม่ให้เกิดรวมความแล้ว ทั้งห้าอย่างนี้นั่นแหละแม้เพียงอย่างเดียวถ้าอารมณ์ของจิตยังข้องอยู่ฌานจะไม่เกิดจะคอยกีดกันไม่ให้จิตผ่องใส มีอารมณ์เป็นทิพย์ตามสภาพปกติได้ จิตเมื่อถูกอกุศลห้าอย่างนี้หุ้มห่อก็มีอารมณ์มืดมนท์รู้สิ่งที่เป็นทิพย์ไม่ได้เพราะอำนาจอกุศลคือนิวรณ์ห้านี้จะพ้นจากจิตไปได้ก็ต่อเมื่อจิตทรงอารมณ์ของฌานไว้ได้เท่านั้น ถ้าจิตทรงอารมณ์ปฐมญานไม่ได้ จิตก็ต้องตกเป็นทาสของนิวรณ์ อารมณ์ปฐมฌานนั้นมี ๕ เหมือนกันคือ

    ๑. วิตก คำนึงถึงองค์กรรมฐานที่ฝึกตลอดเวลา
    ๒. วิจาร ใคร่ครวญกำหนดรู้ตามในองค์กรรมฐานนั้น ๆ ไม่ให้บกพร่องตรวจตรา
    พิจารณาให้ครบถ้วนอยู่เสมอๆ
    ๓. ปีติ มีความเอิบอิ่มรื่นเริงหรรษา ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ๔. สุข เกิดความ สุขสันต์หรรษาทางกายอย่างไม่เคยปรากฏมาในกาลก่อนมีความสุขสดชื่นบอกไม่ถูก
    ๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์มั่นคงในองค์กรรมฐาน จิตกำหนดตั้งมั่นไม่คลาดจากองค์กรรมฐานนั้นๆ

    ทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เมื่อเข้าถึงตอนนี้จิตก็เป็นทิพย์มาก สามารถกำหนดจิตรู้ในสิ่งที่เป็นทิพย์ได ้ก็ผลของวิปัสสนา คือมรรคผลนั้น การที่จะบรรลุถึงได้ต้องอาศัยทิพยจักษุญาณเป็นเครื่องชี้ ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่าเมื่อภิกษุบรรลุแล้วก็มีญาณบอกว่ารู้แล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็ทรงหมายเอาญาณที่เป็นทิพยจักษุญาณนี้ถ้าบรรลุอรหัตตผลแล้วท่านเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนวิสุทธิ วิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น ญาณ แปลว่า รู้ ทัสสนะ แปลว่า เห็น วิสุทธิ แปลว่า หมดจดอย่างวิเศษ คือ หมดไม่เหลือ หรือสะอาดที่สุด ไม่มีอะไรสกปรก (บอกไว้เพื่อรู้)
    ฉะนั้น ท่านสุกขวิปัสสโก ถึงแม้ท่านจะรีบปฏิบัติแบบรวบรัดอย่างไรก็ตาม ท่าน
    ก็ต้องอาศัยฌานในสมถะจนได้ แต่ได้เพียงฌานเด็กๆ คือปฐมฌาน เป็นฌานกระจุ๋มกระจิ๋มเอาดีเอาเด่นในเรื่องฌานไม่แน่นอนนัก กล่าวโดยย่อ ก็คือ

    ๑. ท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ ชนิดไม่ทำเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีในเมื่อคนอื่นทำบาป
    ๒. ท่านเจริญสมาธิควบกับวิปัสสนา จนสมาธิรวมตัวถึงปฐมฌานแล้ว ท่านจึงจะได้สำเร็จมรรคผล

    ท่านสุกขวิปัสสโก มีกฏปฏิบัติเพียงเท่านี้ ท่านจึงเรียกว่า สุกขวิปัสสโกแปลว่า บรรลุแบบง่ายๆ ท่านไม่มีฌานสูง ท่านไม่มีญาณพิเศษอย่างท่านวิชชาสาม ท่านไม่มีฤทธิ์ ท่านไม่มีความรู้พิเศษอะไรทั้งสิ้น เป็นพระอรหันต์ประเภทรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่มีคุณพิเศษอื่นนอกจากบรรลุมรรคผล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %CB%C5~1.JPG
      %CB%C5~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      25.8 KB
      เปิดดู:
      52
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อฤาษีฯ สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
    ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ
    อานาปานุสสติกรรมฐานนี่ เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเจริญพระกรรมฐานกองใด ถ้าหากว่าไม่ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นบาทแล้ว ผลแห่งการเจริญพระกรรมฐานกองนั้นจะไม่มีผลสำหรับท่าน





    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
    ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑
    ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ


    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และท่านสหธรรมิกทั้งหลาย เวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานแล้วซึ่งพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ ก็จะขอนำอานาปานุสสติกรรมฐานมาพูดกับบรรดาท่านทั้งหลายอีก

    เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเจริญพระกรรมฐานกองใด ถ้าหากว่าไม่ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นบาทแล้ว ผลแห่งการเจริญพระกรรมฐานกองนั้นจะไม่มีผลสำหรับท่าน

    วันนี้ก็จะขอพูดต่อไปจากอาการของขณิกสมาธิ เมื่อวันก่อนได้พูดไปในรูปของขณิกสมาธิ แต่ทว่าสำหรับวันนี้ จะพูดไปถึงอุปจารสมาธิ แต่ก่อนที่จะนำเรื่องนั้นขึ้นมาพูด ก็จะขอนำเอาอุปสรรคของอานาปานุสสติกรรมฐานมาพูดเสียก่อน

    คือว่าอุปสรรคของอานาปานุสสติกรรมฐานนี่มีมาก เนื่องว่าเป็นกรรมฐานที่มีความละเอียด ฉะนั้นจะต้องต่อสู้กันหนัก ถ้าเราสามารถต่อสู้กับอานาปานุสสติกรรมฐานได้ กรรมฐานกองอื่นๆ ก็ไม่มีความสำคัญ เราสามารถจะทำกรรมฐานอีก ๓๙ กองได้ภายในกองละ ๗ วัน เป็นอย่างช้า

    อุปสรรคอันดับแรก ก็คือว่า การทรงอารมณ์ไม่ละเอียดพอ นั่นก็คือลมหยาบ

    อานาปานุสสติกรรมฐานนี่อาศัยลมเป็นสำคัญ ถ้าวันใดปรากฏว่าลมหายใจของท่านหยาบ วันนั้นจะปรากฏว่าการคุมสติสัมปชัญญะ คือการทรงสมาธิไม่ดีตามสมควร จะมีอาการอึดอัด บางครั้งจะรู้สึกว่าแน่นที่หน้าอก หรือว่าบางคราวจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กับหายใจไม่ทั่วท้อง จะมีอาการเหนื่อย หรือว่ามีอาการอึดอัดเกิดขึ้น

    ถ้าอาการอย่างนี้มีแก่ท่านทั้งหลาย หรือว่าเกรงว่าอาการอย่างนี้จะมี เมื่อเวลาเริ่มต้นที่จะเจริญพระกรรมฐานคือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้ท่านทั้งหลายชักลมหายใจยาวๆ สัก ๓-๔ ครั้ง คือหายใจยาวๆ หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ สัก ๓-๔ ครั้ง เพื่อเป็นการระบายลมหยาบให้หมดไป จากนั้นก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก

    แต่ว่าอย่าลืม การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนี่ อย่าบังคับให้หายใจเข้าออกหนักๆ หรือว่าเบาๆ อย่าบังคับให้ยาวหรือสั้นด้วยอาการที่ตั้งใจทำอย่างนั้น ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ไม่ถูก เพราะว่าการเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานต้องการสติสัมปชัญญะเป็นใหญ่

    ฉะนั้นลมหายใจของเราจะหนักก็ดี จะเบาก็ดี จะสั้นก็ตาม จะยาวก็ตาม ปล่อยไปตามสภาพของร่างกายที่ต้องการ แต่ทว่าเราเอาจิตเข้าไปรู้ไว้เท่านั้น หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ นี่เป็นแบบหนึ่ง

    และอีกแบบหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ท่านให้กำหนดฐาน ๓ ฐาน คือเวลาหายใจเข้า ลมกระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ เวลาหายใจออก ลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบจมูกหรือว่าริมฝีปาก ถ้าคนริมฝีปากเชิดจะกระทบริมฝีปาก ถ้าริมฝีปากงุ้มจะกระทบจมูก เป็นความรู้สึก

    แต่ว่าเพื่อความรู้สึกอย่างนี้ ขอท่านทั้งหลายจงอย่าบังคับลมหายใจให้แรง ปล่อยไปตามปรกติ แต่เอาจิตติดตามนึกถึงเท่านั้น ขอให้ทำอย่างนี้จะมีผล

    ข้อสังเกต ถ้าเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก ความรู้สึกมีแต่เพียงว่ากระทบจมูกอย่างเดียวและสามารถจะจับความรู้สึกอย่างนี้ได้นานๆ สักหน่อย อาการอย่างนี้ปรากฏพึงทราบว่า นั่นจิตของท่านทรงได้แค่อุปจารสมาธิ

    ถ้าสามารถรู้การสัมผัสสองฐาน คือหายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก และหายใจออกรู้กระทบหน้าอก กระทบจมูกสองจุดนี่ อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่าน เข้าถึงอุปจารสมาธิ

    ถ้ารู้ทั้ง ๓ ฐาน หายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ และก็เวลาหายใจออก กระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือจมูก รู้ได้ชัดเจน อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌาน นี่เป็นอาการสังเกต

    ถ้าหากว่าอารมณ์จิตของท่านละเอียดยิ่งไปกว่านั้น หรือว่าเป็นปฐมฌานละเอียด หรือว่าเป็นฌานที่สอง ฌานที่สาม อย่างนี้ท่านจะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก มันไหลไปเหมือนกับกระแสน้ำไหลกระทบไปตลอดสาย ทั้งลมหายใจเข้าและหายใจออก อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌานละเอียด หรือว่าฌานที่สอง หรือว่าฌานที่สาม

    สำหรับปฐมฌาน ลมยังหยาบอยู่ แต่ทว่าลมรู้สึกว่าจะเบากว่าอุปจารสมาธิ พอไปถึงฌานที่สองจะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงอีก ไปถึงฌานที่สาม ลมหายใจที่กระทบรู้สึกว่าจะเบามาก เกือบไม่มีความรู้สึก ถ้าเข้าถึงฌานที่สี่ ท่านจะมีความรู้สึกว่าไม่หายใจเลย แต่ความจริงร่างกายหายใจเป็นปรกติ

    ที่ความรู้สึกน้อยลงไปก็เพราะว่า จิตกับประสาทห่างกันออกมา ตั้งแต่ปฐมฌาน จิตก็ห่างจากประสาทไปนิดหนึ่ง มาถึงฌานที่สอง จิตก็ห่างจากประสาทมากไปหน่อยหนึ่ง พอถึงฌานที่สาม ห่างไปมากเกือบจะไม่มีการสัมผัสกันเลย ถึงฌานที่สี่ จิตปล่อยประสาท ไม่รับรู้การกระทบกระทั่งทางประสาททั้งหมด จึงไม่รู้สึกว่าเราหายใจ ข้อนี้เป็นข้อสังเกต

    ทีนี้ต่อมาก็จะพูดถึงอาการที่จะเข้าถึงอุปจารสมาธิ เมื่อท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตจะมีความสงบสงัดดีขึ้นดีกว่า อุปจารสมาธิจะมีความชุ่มชื่นมีความสบาย แต่ทว่าจะทรงอยู่นานก็หาไม่ อาจจะทรงอยู่ได้สักหนึ่งนาที สองนาที สามนาที ในระยะต้นๆ แต่บางวันมันก็ทรงอยู่ได้ตั้งครึ่งชั่วโมง ตั้งชั่วโมงเหมือนกัน เอาแน่นอนอะไรไม่ได้

    เป็นอันว่าเมื่อจิตของท่านเริ่มมีความสุข มีความรื่นเริง จิตชุ่มชื่นหรรษา อาการของปีติมี ๕ อย่าง ที่จะเรียกว่าอุปจารสมาธิ จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิก็คือจิตมีปีติ และก็จิตเข้าถึงสุข ถ้าเข้าถึงสุขเรียกว่าเต็มอุปจารสมาธิ

    อาการของปีติที่ควรแก่การพิจารณา ควรจะทราบนั่นก็คือ หนึ่ง มีขนลุกซู่ซ่า ที่เรียกว่าขนพองสยองเกล้า ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ก็จงอย่าสนใจกับร่างกาย ขนมันจะลุก ขนมันจะพอง ขนมันจะตั้งขึ้นสูงขึ้นมา ขนมันจะต่ำก็ช่างมัน ไม่สนใจกับอาการทางร่างกายทั้งหมด พยายามสนใจกับอารมณ์ที่เราทรงไว้

    ความจริงอาการอย่างนี้ ผมพูดก็พูด เขียนก็เขียนมาแล้ว แต่ก็ยังมีนักปฏิบัติมากท่าน เมื่อกระทบกระทั่งกับเรื่องทางกายเกิดขึ้น มักจะมาถามกันบ่อยๆ แต่ว่าไม่ใช่คนในสำนัก เป็นคนนอกสำนัก เป็นเหตุให้รู้สึกว่ารำคาญ เพราะว่าสันดานของพวกคนที่จะเอาดีเนี่ยเขาฟังกันครั้งเดียว หรือว่าดูครั้งเดียว อ่านครั้งเดียวเท่านี้พอ ไม่ต้องมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชอะไรกัน

    เมื่อมีอาการขนลุกขนพองเกิดขึ้น จิตจะเป็นสุข ตอนนี้ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจว่า จิตเราเริ่มเข้าอุปจารสมาธิคือ ปีติ

    บางท่านอาการอย่างนี้ไม่ปรากฏ จะปรากฏอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำตาไหล เวลาเริ่มทำสมาธิน้ำตาไหล บางทีใครเขาพูดอะไรเป็นที่ชอบใจ ชื่นใจ ปลื้มใจ น้ำตาก็ไหล มันไหลจนกระทั่งบังคับไม่อยู่ นี่เป็นอาการของปีติที่สอง

    อาการของปีติที่สาม เวลาจิตเริ่มเป็นสมาธิ คำว่าเริ่มเป็นสมาธินี่เอาแน่นอนไม่ได้ ถ้าคนที่มีอารมณ์คล่อง บางทีทำทำงานอยู่ นึกขึ้นมาอาการมันก็เกิดทันที เรียกว่าจิตเข้าถึงสมาธิเร็ว อาการที่สามของปีติก็คือร่างกายโยกไปโยกมา โยกข้างหน้าโยกข้างหลัง อย่างนี้เป็นอาการของปีติที่สาม

    ปีติที่สี่ มีอาการตัวสั่นเทิ้มคล้ายกับปลุกพระ หรือมีอาการบางครั้งตัวลอยขึ้นพ้นพื้นที่ ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏก็อย่าพึงนึกว่า นั่นอาการของการเหาะมันจะมีขึ้น ยังไม่ใช่เหาะ เป็นเรื่องของปีติ

    อาการที่ห้าจะมีอาการซาบซ่านซู่ซ่าทางกาย คล้ายๆ กับของในกายมันไหลออกไปหมด ตัวกายเบาโปร่ง จะมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวใหญ่ขึ้น หน้าใหญ่ขึ้น ตัวสูงขึ้น รู้สึกว่ามันซู่ซ่าแต่อารมณ์จิตสบาย อาการอย่างนี้เป็นอาการของปีติที่ห้า

    เมื่ออาการของปีติที่ห้าเกิดขึ้น ตอนนั้นอารมณ์จิตจะเป็นสุข ความสุขที่มีขึ้นเราจะบอกไม่ถูก ว่าความสุขนั้นมันจะมียังไง อธิบายไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าความสุขประเภทนี้ในชีวิตของเราจะไม่ปรากฏมีมาเลย มันเป็นความสุขสดชื่น ปราศจากอามิสที่คิดถึง หมายความว่าไม่ใช่มีความชื่นใจเพราะได้ของมา

    อย่างนี้เขาเรียกความสุขที่เกิดขึ้นจาก นิรามิสสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส มันเป็นความสุขผ่องใสสดชื่น มีความสบาย เปรียบเทียบกับอะไรก็เปรียบเทียบไม่ได้ ถ้าอาการอย่างนี้มีขึ้น แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงอุปจารสมาธิอันถึงอันดับที่สุด เป็นการเต็มในขั้นกามาวจรสวรรค์

    อย่าลืมว่า ขณิกสมาธิ เป็นปัจจัยให้เกิดในกามาวจรสวรรค์ แล้วก็ถึงอุปจารสมาธิเต็ม เป็นการเต็มที่จะขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ได้ทุกชั้นตามอัธยาศัย เรียกว่าเต็มกามาวจรสวรรค์ ถ้าเลยไปจากนี้ก็เป็นอาการของพรหม

    ขอถอยหลังมาอีกนิดหนึ่ง ขณะที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ อาจจะเป็นอุปจาระต้น อุปจาระกลางหรืออุปจาระปลายก็ตาม อุปจาระต้นที่เรียกว่า ขนพองสยองเกล้า หรือว่าน้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง นี่เป็นอุปจารสมาธิขั้นต้น

    อุปจารสมาธิขั้นกลางก็ได้แก่กายสั่นเทิ้มคล้ายๆกับปลุกพระ เริ่มรู้ว่ามีร่างกายลอยขึ้น มีอาการซาบซ่าซู่ซ่า ตัวเบา ร่างกายใหญ่ หน้าตาโต มีจิตสบาย อย่างนี้เรียกว่าอุปจาระขั้นกลาง

    ถ้ามีถึงขั้นอารมณ์ใจเป็นสุขบอกไม่ถูก นี่เป็นอุปจารสมาธิขั้นสูงสุด

    จะเป็นอุปจารสมาธิอันดับใดก็ตาม ในขณะนี้จะมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น นั่นก็คือบางครั้งเราจะเห็นแสงหรือสีต่างๆ ปรากฏ บางครั้งก็เห็นสีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือง บางครั้งก็มีอาการคล้ายๆ ใครเขาฉายไฟเข้ามาที่หน้า บางคราจะรู้สึกว่ามีแสงสว่างทั่วไปทั้งวรกาย มีทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

    ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นขอให้ท่านทั้งหลายพึงทราบว่า นั่นเป็นนิมิตของอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าบางทีก็อาจจะมีภาพคน ภาพอาคารสถานที่ และภาพอะไรก็ตามเกิดขึ้น แต่อาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นชั่วขณะเดียวแล้วก็หายไป

    มาในตอนนี้ขอท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า จงอย่าสนใจกับแสงสีใดๆ ทั้งหมด อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราเจริญกรรมฐานต้องการอารมณ์จิตเป็นสุข ต้องการอารมณ์เป็นสมาธิคือจับอารมณ์เดิมเข้าไว้

    แต่ทว่าเรื่องภาพแสงสีนี่ก็รู้สึกว่าเป็นที่น่าหนักใจอยู่นิดหนึ่ง เนื่องว่าเป็นของแปลก เป็นของใหม่สำหรับผู้ปฏิบัติ เมื่อเห็นเข้าอดจะตกใจไม่ได้ พอจิตไปจับภาพและแสงสีนั้นจิตก็เคลื่อน ภาพก็หาย ฉะนั้นการเห็นภาพหรือแสงสีในอันดับนี้ ตามเกณฑ์แห่งการปฏิบัติท่านยังไม่ถือว่าเป็นของดี

    แต่ก็มีหลายท่าน อาจจะเป็นหลายสำนักก็ได้ เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาท่านทั้งหลายเคยมาถามเสมอๆ ว่าขอท่านได้โปรดพิจารณากรรมฐานที่ฉันได้ ว่ามันเสื่อมไปแล้วหรือยัง ก็ได้ถามว่าทำไมจึงถามอย่างนั้น ท่านบอกว่าขณะที่ท่านเจริญกับอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านบอกว่าจบกิจในการปฏิบัติแล้ว

    ได้ถามว่าการจบกิจในการปฏิบัติ มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ท่านก็บอกว่าเห็นภาพแสงสีต่างๆ เห็นเหมือนภาพคนบ้าง แสงสว่างบ้าง สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง อย่างนี้ อาจารย์บอกว่าจบแล้ว กรรมฐานมีเท่านี้ อันนี่ท่านทั้งหลายผมเสียดายความดีของท่านผู้ปฏิบัติ

    ความจริงภาพแสงสีต่างๆ ที่เห็น บางคนก็เข้าใจว่า อาการอย่างนั้น เป็นเรื่องของทิพจักขุญาณ ถ้าความรู้สึกมีอย่างนี้ ก็น่าเสียดายอีก เพราะภาพที่ปรากฎ แสงสีที่ปรากฎ ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ เป็นเรื่องของอารมณ์จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตมีสภาพเป็นทิพย์เล็กน้อยเท่านั้น ยังใช้อะไรไม่ได้

    ฉะนั้นขอท่านทั้งหลาย จงอย่าสนใจกับภาพและแสงสีต่างๆ ถ้าหากว่าอาการอย่างนี้ปรากฏ จงทำความรู้สึกว่าเรายังดีไม่พอ อารมณ์จิตของเรายังเข้าไม่ถึงปฐมฌาน ขอท่านทั้งหลายโปรดจำ

    และอีกอาการหนึ่งเท่าที่พูดมา ถ้าหากว่าอาการของจิตของท่าน เข้าถึงปีติส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม เช่น ขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง กายสั่นหรือกายลอย มีอาการซาบซ่าน มีจิตเป็นสุข อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏกับท่าน

    ขอท่านทั้งหลาย เวลาทำงานทำการก็ดี เดินไปไหนทำกิจธุระใดๆ ก็ดี ขณะเมื่อมันเหนื่อย เวลาที่เหนื่อยรู้สึกว่าใจสั่น มันเหนื่อยหนัก นั่งพัก พอนั่งพักเริ่มจับลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกทันที ทำแบบสบาย จิตจะมีความเป็นสุข แล้วก็อาการเหนื่อยจะหายได้รวดเร็ว เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นการระงับทุกขเวทนาทางกาย นี้จุดหนึ่ง

    และอีกจุดหนึ่งขณะที่เราเหนื่อยๆ สมมติว่าวันนี้ผมไปเห็นพระดายหญ้า ทำงานกันหลายอย่าง ขณะที่ท่านทำงานกันแบบนั้นท่านก็เหนื่อย หาแท่นที่นั่งพัก ที่นั่งพักจะมีเสียงเอะอะโวยวายอะไรก็ช่าง

    พอนั่งพักลงมาแล้วจับลมหายใจเข้าออกทันที พอจับปับ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอาการของปีติมันจะเกิดขึ้น อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าสมาธิได้รวดเร็ว

    อาการอย่างนี้ควรจะฝึกไว้เสมอๆ เพราะมันเป็นประโยชน์มาก ทำให้เราคล่องในการทรงสมาธิ เวลาที่จิตถึงฌานสมาบัติ เราสามารถจะเข้าฌานได้ตามอัธยาศัย

    อาการเข้าฌานนี่ ถ้าท่านที่เข้าฌานยังต้องการเวลา หมายความว่าต้องการจะรู้อะไรต้องการจะสงบจิต เราก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง หน่อยหนึ่งหรือนานหน่อย หลับตาภาวนาอยู่นาน แล้วฌานจึงจะเกิด อย่างนี้ต้องถือว่ายังใช้ไม่ได้

    การทรงสมาธิต้องคล่อง ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า จิตเข้าถึงวสี คำว่า วสี คือการคล่องในการเข้าฌานและออกฌาน

    ฉะนั้นการฝึกสมาธิของท่าน ผมจึงบอกว่าจงอย่าหาเวลาแน่นอน หมายความว่าเดินไปก็ดี ทำงานอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ตาม หรือแม้ว่าจะดูหนังสือ จะฟังเทปก็ตาม จิตจับลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว

    เวลาเดินบิณฑบาตกว่าจะกลับ มีโอกาสสำหรับเรามาก ขณะที่ไปบิณฑบาต ก้าวออกไปบิณฑบาตตั้งแต่ก้าวแรก หรือก่อนจะไปจนกระทั่งกว่าจะถึงเวลากลับ จงอย่าปล่อยจิตของท่านให้ว่างจากสมาธิ ให้จิตของท่านทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา

    และก็จงอย่าเข้าใจผิดว่าถ้าจิตเป็นสมาธิจะยืนแข็งโด่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น จิตเป็นสมาธิ ก็ใช้การกำหนดการก้าวของเท้า ก้าวเท้าซ้ายหรือก้าวเท้าขวาก็รู้อยู่ หายใจเข้าก้าวเท้าซ้าย หายใจออกก้าวเท้าขวา หรือก้าวเท้าไปรู้ด้วย รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย

    ถ้าจะใช้พุทธานุสสติควบก็ดี เวลาก้าวเท้าไปหนึ่งก็พุท ก้าวไปอีกทีก็โธ ก้าวไปอีกทีก็พุธ ก้าวไปอีกทีก็โธ ทำอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้ไม่ว่างจากอารมณ์ของสมาธิ

    เวลาจะกลับมาฉันอาหาร จะทำอะไรก็ตามอย่าวางสมาธิ เวลาจะกินข้าว จะฉันข้าว เวลานี้เราตักข้าว เวลานี้ตักกับข้าว เวลานี้เอาข้าวเข้าปาก เวลานี้เราเคี้ยว มีความรู้สึกไปด้วย เวลานี้เราอาจจะไม่รู้ลมหายใจเข้าออก แต่รู้อาการที่ทำ อย่างนี้ก็ใช้ได้ เป็นการทรงอารมณ์สมาธิ

    หรือว่าเวลาที่กำลังฉันข้าว เรารู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย จะช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่าย และก็เป็นการทรงฌานได้ดี

    คือการที่จะเจริญพระกรรมฐานให้ดีนี่เขาไม่ยอมให้เวลาว่าง

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอนก่อนจะหลับ ใช้จับอานาปานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว ท่านจะหลับง่าย และให้หลับไปกับอานาปานุสสติกรรมฐาน เวลาหลับจะมีความสุข ขณะที่หลับจะถือว่าเป็นผู้ทรงฌานอยู่

    การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนหลับ ขณะที่จะหลับจิตจะต้องเข้าถึงปฐมฌานหรือฌานสูงกว่านั้น จึงจะหลับ และแม้ขณะที่หลับอยู่ก็ถือว่าหลับอยู่ในฌาน ถ้าตายระหว่างนั้นท่านเป็นพรหม

    เวลาที่ตื่นมาใหม่ๆ ท่านจะลุกจากที่นอนก็ตาม หรือไม่ลุกก็ได้ จะนอนอยู่อย่างนั้น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าอยากจะนั่งก็ได้ แต่ระวังให้ดี การลุกขึ้นมานั่งต้องคุมสติสัมปชัญญะให้ดี

    เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้วต้องจับลมหายใจเข้าออกทันทีเพื่อทรงสมาธิจิตให้ทรงตัว ตอนเช้ามืดพยายามทำให้สงบสงัดให้มากที่สุด เป็นการรวบรวมกำลังใจสูงสุด เพื่อประโยชน์แก่การบิณฑบาต

    เมื่อเวลาไปบิณฑบาตอย่าคุยกัน แล้วเวลาเดินไปบิณฑบาตเว้นระยะห่างกันพอคนรอดได้ สำหรับพระองค์หน้า เคยเดินไปยืนตรงไหนยืนตรงนั้น เมื่อเวลาเขาใส่บาตร ถ้าองค์ท้ายยังรับบาตรไม่เสร็จ องค์หน้าอย่าพึ่งก้าวไป มิฉะนั้นจะทำให้องค์ท้ายลำบาก ต้องเดินตามเร็วเดี๋ยวก็เหนื่อย มันเป็นการดูไม่งามสำหรับชาวบ้าน

    เรื่องนี้ก็เป็นสติสัมปชัญญะหรือว่าเป็นสมาธิเหมือนกันที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ไว้ และจำเข้าไว้เพื่อความดีของท่าน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจิตทรงสมาธิไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วก็ตอนเช้ามืดในเวลาที่เดินไปบิณฑบาต ถ้าจิตของท่านทั้งหลายทรงสมาธิอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสว่าคนที่เขาใส่บาตรท่านเขาจะมีบุญมาก ได้บุญมาก มีความสุขในปัจจุบัน

    ดีกว่าท่านที่ปล่อยให้ใจลอยให้จิตน้อมไปในกามารมณ์หรือโลกียวิสัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจิตน้อมไปในโลกีย์ เป็นจิตที่เต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อจิตของเราสกปรก ท่านผู้ให้ก็ได้ของสกปรกไป ถ้าจิตของเราทรงสมาธิเข้าไว้ แสดงว่าจิตของเราสะอาดจากบาปอกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่สงเคราะห์ก็ได้ดี

    เอาล่ะบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว สำหรับวันนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้.

    — จบ ตอนที่ ๓ อุปจารสมาธิ —
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %CB%C5~1.JPG
      %CB%C5~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      25.8 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2012
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน
    ในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑
    ตอนที่ ๕ วิปัสสนาญาณ


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย เวลานี้เป็นเวลาที่ถึงการเจริญพระกรรมฐาน สำหรับวันนี้ ก็จะขอพูดในด้านของวิปัสสนาญาณ

    เพราะว่าในอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ พูดกันมาถึงด้านสมถภาวนาพอสมควร ถ้าจะถามว่าพูดจบแล้วหรือยัง ก็ต้องตอบว่าพูดมันไม่จบ ถ้าจะให้จบในอานาปานุสสติกรรมฐาน เราก็ต้องพูดกันถึงยันตายมันก็ไม่จบ

    เป็นอันว่าขออธิบายเฉพาะหลักใหญ่ๆ เข้าไว้ นอกจากนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายใชัปัญญาพิจารณาเอาเองด้วย เพราะว่าการปฏิบัติไม่ว่ากรรมฐานกองใดทั้งหมด อุปสรรคทางจิตย่อมปรากฎมีขึ้นเสมอ สำหรับอุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ก็ดี หรือว่าจากทางกายก็ดี ถ้าเราไม่ยอมแพ้เสียอย่างเดียว เราก็ชนะ

    อุปสรรคต่างๆ มันจะมีขึ้นได้ มันก็ต้องสลายตัวได้เหมือนกัน ต้องถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างถ้าเราเอาจิตเข้าไปจับธรรมดาเสียอย่างเดียว จิตมันก็มีความสุข การเจริญพระกรรมฐาน ความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือต้องการให้มีความสุข

    ต่อนี้ไป ก็จะขอนำเอาด้านของวิปัสสนาญาณ มาแนะนำกับบรรดาท่านทั้งหลายพอสมควรแก่อัธยาศัยและตามเวลา เนื่องในด้านวิปัสสนาญาณนี้เราจะพูดกันไปหลายชีวิตมันก็ไม่จบ

    หมายความว่าพูดแล้ว แล้วก็ตายไปพูด ตายแล้วก็เกิดใหม่ เกิดใหม่แล้วก็พูดใหม่ พูดใหม่ตายไปใหม่ มันก็ไม่จบ ถ้าจะพูดให้จบได้เมื่อไหร่ ต่อเมื่อท่านทั้งหลายถึงอรหัตตผล ถ้าทุกคนถึงอรหัตตผลเสียหมด ตอนนั้นวิปัสสนาญาณจบ จบเพราะอะไร จบเพราะท่านถึงแล้ว ท่านมีความเข้าใจ

    สำหรับด้านวิปัสสนาญาณนี่ มีวิธีปฏิบัติถึง ๔ แบบด้วยกัน นั่นก็คือ
    หนึ่ง สุกขวิปัสสโก
    สอง เตวิชโช
    สาม ฉฬภิญโญ
    สี่ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    การอธิบายในการเจริญสมาธิเป็นพื้นฐานของวิปัสสนาญาณ ที่พูดมาแล้วนั้นเป็นความมุ่งหมายให้เข้าถึงวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และก็ปฏิสัมภิทาญานเป็นสำคัญ ฉะนั้นเวลาเมื่อท่านทั้งหลายรับฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันหนักมาก รู้สึกว่าหนักใจจริงๆ จะทำได้หรือไม่ได้…

    สำหรับในตอนต้นในด้านวิปัสสนาญาณนี่ ผมจะขอพูดด้านสุกขวิปัสสโกก่อน ความจริงสุกขวิปัสสโกแปลว่าเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยอำนาจของความสุขแบบสบาย สุขนั้นแปลว่าสบาย เราเรียกว่าทำแบบสบายๆ การทำแบบสบายๆ นี่เขาทำแบบนี้ คือว่า เราใช้อารมณ์สมาธิควบคู่กันไปกับการพิจารณาวิปัสสนา

    คำว่าใช้สมาธิคู่กันไป มีบางท่านบอกว่าสุกขวิปัสสโกไม่ต้องใช้สมถะเลย ใช้แต่วิปัสสนาญาณตัวเดียว อันนี้ผิด ถ้าพูดอย่างนั้นก็แสดงว่าท่านผู้พูดไม่ได้อะไรเลย

    ความจริงศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ๓ ประการนี้จะแยกกันไม่ได้
    นักเจริญพระกรรมฐานนับตั้งแต่เริ่มเข้าขณิกสมาธิเป็นต้นมา จะต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าจะต้องมานั่งสมาทานให้พระนำกัน คนที่ยังติดพระนำแล้วจึงมีศีล ก็แสดงว่าบุคคลนั้นไม่มีศีลเลย

    ศีลนั้นอยู่ที่ใจ คือความงดเว้นเท่านั้น ถ้าเราสามารถงดเว้นปัญจเวร ๕ ประการหรือว่าสิกขาบท ๘ ประการที่เรียกว่าศีล ๕ หรือศีล ๘ เราไม่ละเมิดเสียแล้วก็ชื่อว่าเราเป็นผู้มีศีล ไม่ต้องรอให้พระให้ แต่ความจริงพระท่านไม่ได้ให้ ท่านให้การศึกษาเท่านั้น

    เป็นอันว่านักเจริญพระกรรมฐานจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นผู้ทรงฌานก็ดี จะเป็นพระอริยเจ้าก็ดี ท่านจะบกพร่องในศีลไม่ได้ ในขณะใดชื่อว่าท่านเป็นผู้บกพร่องในศีล ก็แสดงว่าท่านเอาดีไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร

    เพราะว่าถ้าศีลบกพร่องก็แสดงว่าเราตายแล้วต้องไปเกิดในอบายภูมิ แล้วก็จะเป็นผู้ทรงฌานเกิดเป็นพรหม หรือว่าเป็นผู้ทรงอุปจารสมาธิขณิกสมาธิเกิดเป็นเทวดา หรือตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานไปนิพพานจะไปได้ยังไง ในเมื่อศีลของเราบกพร่อง เราต้องเป็นสัตว์ในอบายภูมิ

    ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงสังวรเรื่องศีลให้มาก
    คำว่าสังวรนี่แปลว่าระวัง อันดับแรกต้องมีศีลบริสุทธิ์เสียก่อน ไม่ใช่บริสุทธิ์เฉพาะเวลาที่สมาทานพระกรรมฐาน ให้ศีลมันบริสุทธิ์ทุกลมหายใจเข้าออก

    ถ้าศีลของท่านบริสุทธิ์ทุกลมหายใจเข้าออก การเจริญสมาธิก็เป็นของง่าย เพราะศีลจะมีขึ้นได้เพราะอาศัยเมตตาความรักซึ่งกันและกัน กรุณาความสงสารซึ่งกันและกัน คนที่มีจิตเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร อารมณ์เย็น จิตมีความเยือกเย็น ความฟุ้งซ่านของจิตไม่มี ความเร่าร้อนของจิตไม่มี อารมณ์ก็สบาย ในเมื่ออารมณ์สบาย มีความเยือกเย็น จิตก็ทรงสมาธิได้ดี

    คือการจองล้างจองผลาญคิดประหัตประหารซึ่งกันและกัน หรือความโลภโมโหโทสัน อยากได้ทรัพย์ของคนอื่น การที่จะละเมิดความรัก หรือการจะมุสาวาทดื่มสุราเมรัยไม่มี ในเมื่ออาการ ๕ อย่างนี้ไม่มีแล้ว จิตก็มีความสบาย มีอารมณ์เป็นสุข

    อันดับแรกปรับปรุงศีลให้ดี เมื่อปรับปรุงศีลดีแล้วสมาธิก็ทรงตัว เมื่อสมาธิทรงตัวปัญญามันก็เกิด นี่เป็นพื้นฐานของการเจริญฌานและวิปัสสนาญาณ

    สำหรับวิปัสสนาญาณในด้านสุกขวิปัสสโก ยังไงๆ ท่านก็อย่าลืมทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐาน จำไว้ให้ดีว่าจะทำกรรมฐานกองต่อๆไปก็ดี หรือว่าจะเจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ท่านจะทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐานไม่ได้ ถ้าท่านทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐานเมื่อไหร่กรรมฐานกองอื่น วิปัสสนาญานที่จะทำก็พังหมด

    อานาปานุสสติกรรมฐานมีอุปมาเหมือนกับพื้นแผ่นดิน อารมณ์จิตที่จะทรงเป็นสมาธิหรือปัญญาที่จะเกิดเหมือนกับเรา ตัวเราซึ่งยืนอยู่บนแผ่นดิน ถ้าเราไม่มีแผ่นดิน เราจะยืนที่ไหน จะก้าวไปข้างหน้าจะถอยไปข้างหลัง จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินไม่มีที่ เพราะมันไม่มีแผ่นดิน จำไว้ให้ดีว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ทิ้งไม่ได้

    นี้การทรงอานาปานุสสติกรรมฐานในด้านสุกขวิปัสสโกเขาทำกันไม่ยาก ทำง่ายๆ คือโดยไม่ต้องไปคิดถึงอานาปานุสสติกรรมฐานก็ได้ พยายามทรงจิตทำจิตให้ทรงตัว ควบคุมกำลังจิตของท่านให้อยู่ในขอบเขตของวิปัสสนาญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ผมอยากจะพูดกับท่าน วันนี้จะเอาวิปัสสนาญาณ ๙ มาพูด แต่ขอพูดสองอย่าง เพราะว่าวิปัสสนาญาณ ๙ นี่ผมทำสองอย่างเท่านั้น อีก ๗ อย่างไม่มีความหมาย อีก ๗ อย่างก็เดินเข้ามาหา ๒ อย่าง

    สองอย่างก็คือ นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕
    และ สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยในอารมณ์ต่างๆ ที่จะพึงเกิดขึ้นหรือว่าอาการต่างๆ ที่จะพึงเกิดขึ้นกับใจก็ดี กับขันธ์ ๕ ก็ดี

    ถ้าได้อย่างตัวนี้ก็ชื่อว่าจบวิปัสสนาญาณ ๙ ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยนับบันไดมีกี่ขั้นให้มันยุ่งไปเปล่าๆ จะไปทำตนอย่างนักวิชาการน่ะ แหม ศัพท์แสงเก่งกันจริงๆ ไล่อย่างโน้น ออกอย่างนี้ ไปอย่างนี้ ไปอย่างโน้น ไล่เบี้ย ผลที่สุดไม่ได้อะไรเลย ก็ทำไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง จะได้ประโยชน์อะไร

    เขาทำอย่างนี้ คือว่า ควบคุมกำลังใจของเรา ในด้านนิพพิทาญาณ
    พิจารณาดูร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี และก็วัตถุธาตุทั้งหลายในโลกก็ดี ทั้งหมด ว่ามันไม่มีดีตามความเป็นจริง

    วิปัสสนานี่เขาเอาจิตเข้าไปจับหาความเป็นจริงกัน ไม่ใช่ฝืนความจริง
    ความเป็นจริงมันเป็นยังไง ร่างกายของเรามันไม่มีการทรงตัว เกิดขึ้นมาแล้วมันก็เสื่อมไปทุกวันๆ เป็นเด็กมันก็คลานเข้ามาหาความเป็นหนุ่มเป็นสาว พอเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็คลานไปหาความเป็นคนแก่ ถึงความเป็นคนแก่มันก็คลานไปหาความตาย น่ารักมั้ย

    เราจะรักสาวสักคน เราจะรักหนุ่มสักคน เราก็ดูอีตอนที่เขาเป็นหนุ่มเป็นสาว เราไม่เคยจะนึกถึงว่าคนที่เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวมาก่อน แต่ว่าเวลานี้แก่แล้ว สมัยที่เขาเป็นหนุ่มเป็นสาว เขาก็สวยสดงดงาม ที่นี้ตอนแก่แล้วเราไม่มอง ทำไมจึงไม่มองเพราะเราถือว่าไม่สวย ไม่ดี ไม่เป็นที่ถูกใจ

    เราก็ไปนั่งคิดว่าร่างกายของใครล่ะ มันจะทรงความงามเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดเวลา เราก็เหมือนกัน เขาก็เหมือนกัน วัตถุธาตุต่างๆ ก็เหมือนกัน บ้านเรือนโรงต่างๆ อาคารสถานที่

    อย่างที่วัดของเรานี้ ใครมาเขาก็บอกว่าสวยอร่ามไปหมด ที่นี้ท่านคิดหรือว่ามันจะสวยไปตลอดกาลตลอดสมัย อีกไม่นาน สองสามปี ความเศร้าหมองมันก็จะปรากฎชัด นี่สภาพของวัตถุธาตุมันก็เป็นอย่างนี้ คนก็เป็นอย่างนี้

    แม้กระทั่งสำหรับร่างกายของคนนอกจากมันจะโทรมแล้วมันก็สร้างความยุ่ง ต้องกินต้องรักษาโรค ต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ยุ่งไปหมด คิดเอาเอง อย่ามาให้นั่งพรรณนาอยู่เลย มันเสียเวลา

    มองดูให้ดีว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มันสกปรกหรือสะอาด มันมีสุขหรือว่ามันมีทุกข์ ความหิวเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การปวดอุจจาระเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หนาวเกินไป ร้อนเกินไป เป็นสุขหรือเป็นทุกข์

    ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การต้องแสวงหาอาชีพทำมาหากินเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การกระทบกระทั่งกับวาจาที่เป็นที่ไม่ถูกใจ อาการที่เขาทำขึ้นมาเป็นที่ไม่ถูกใจเรา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์

    ถ้าเราไม่บ้าเสียอย่างเดียว เราต้องตอบว่ามันทุกข์ทุกอย่าง และในเมื่อมันทุกข์ทุกอย่าง เราจะเมามันเพื่อประโยชน์อะไร น่ารักตรงไหนล่ะ

    มองดูแล้วร่างกายมันเป็นศัตรูตัวสำคัญ ถ้าไปเกาะติดมันเข้า เราก็จะมีอาการแต่ความทุกข์ นี่อารมณ์นิพพิทาญาณเขามองกันอย่างนี้ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋หรอก เดินไปเดินมา ทำงานทำการก็มองดูหาความจริง ว่าโอหนอนั่นเป็นปัจจัยของความทุกข์ อาการเหน็ดเหนื่อยที่มันเกิดขึ้นมันเป็นปัจจัยของความทุกข์

    ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ แล้วเราไปติดพันร่างกายของบุคคลอื่นเขาเข้า แล้วเราไปดึงเอาสุขมาหรือเราไปดึงเอาทุกข์มา เราทุกข์เขาก็ทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์แต่เพียงแบกภาระเลี้ยงกันเท่านั้น ยังทุกข์ในขณะที่อารมณ์ไม่ตรงกันอีกด้วย

    ในเมื่อรู้ว่าสภาพของร่างกายหรือวัตถุธาตุทั้งหมดในโลกมันเป็นของไม่ดี เราก็สร้างอารมณ์ความเบื่อ เบื่อที่ไม่ต้องการจะมีร่างกายอย่างนี้อีก

    วิธีปฏิบัติในสมัยก่อน ผมเจริญนิพพิทาญาณ นี่ต้องขออภัยนะ อย่าคิดว่าผมอวด เอาเป็นเพียงว่าผมทำมาก่อน ผมทำแบบนี้ เห็นคนทุกคนเมื่อคุยกัน ผมถามว่าเขาสุขหรือเขาทุกข์ ถามว่าเคยป่วยไข้ไม่สบายมั้ย เขาบอก แย่เจ้าค่ะ แย่ขอรับ ป่วยโน่น ป่วยนี่ เราก็อื้ม เป็นทุกข์แล้ว

    เห็นคนแต่งตัวสวยๆ ยิ่งเป็นสาวเป็นหนุ่มก็ตาม ผมจะถามทันทีว่าอาการไข้อย่างนั้นอย่างนี้มันมีกับคุณบ้างมั้ย เขาตอบว่ามี ถามว่าอารมณ์ต่างๆ ที่มันกระทบกระทั่งคุณให้เกิดความกลุ้มมีบ้างมั้ย

    ถามทั้งร้อยทั้งพัน กี่หมื่นกี่แสนคน ตอบว่ามีทุกคน ในเมื่อเขารู้ว่าโรคต่างๆ ของเขามี อาการความเป็นทุกข์ของเขามี อารมณ์ที่ไม่มีการทรงตัว คือไม่ประกอบไปด้วยธรรม ไม่มีความสุขก็มี เราปรารถนาเขาเพื่ออะไร

    เป็นอันว่าเราก็วางเฉยไปเสีย ตอนวางเฉยเป็นไง คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ร่างกายของเขาก็ดี ร่างกายของเราก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายอื่นก็ดี มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ความสุขมันอยู่ที่ไหน ความสุขมันอยู่ที่เราจะเข้าพระนิพพาน

    นี้ผมขอพูดย่อๆ อารมณ์ที่ทำนี่ไม่ใช่ต้องหลับตา ท่านเดินไปเดินมา นั่งทำอะไรอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ แล้วก็เดินอยู่ ทำอะไรก็ตาม มองดูสภาพของความจริง

    เห็นต้นหญ้าที่มันร่วงโรยลงไป ก็คิดว่าโอหนอ ชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ก็คิดมันวนไปวนมาน่ะถอนกำลังใจให้มันติด เมื่ออาการอย่างนั้นเกิดขึ้น เห็นอะไรอย่างนั้นมันเกิดขึ้น เห็นอาการของความทุกข์เกิดขึ้น ความขัดข้องเกิดขึ้น เราก็เฉย ที่เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ

    มันอะไรจะมาก็ช่างมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ ใจสบายๆ ถือว่าหนีความแก่ไม่ได้ ถ้าความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ทุกขเวทนามันมีเราก็ต้องรักษา ใจเราก็เฉย รักษาหายก็หาย ไม่หายก็ช่างมัน อยากจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญ เกิดมาเพื่อตาย

    ใครเขาด่า ใครเขานินทาเราก็เฉย เขามีปากสำหรับด่า เขามีปากสำหรับนินทา มันเรื่องของเขา ใครเขาจะชม ใครเขาจะสรรเสริญเราก็เฉย ไอ้การชมการสรรเสริญก็ดี การด่าการนินทาก็ดี เราไม่ได้เป็นไปตามปากของเขา เราจะดีหรือเราจะชั่วอยู่ที่กำลังใจของเราเท่านั้น

    รวบรวมกำลังใจไว้อย่างนี้ เราก็เฉยต่ออาการทั้งหมด หนุ่มก็เฉย ไม่ดีใจในความเป็นหนุ่ม แก่ก็เฉย ไม่เสียใจในความเป็นคนแก่ มันจะตายก็เฉยเพราะว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วไปไหน เราภูมิใจได้ว่าตายแล้วเราไปนิพพาน

    ทีนี้การเจริญวิปัสสนาญาณน่ะอย่าคิดกันส่งเดช ไอ้คิดกันแบบนี้น่ะคิดดี แต่คิดไม่มีจุดหมายปลายทางนี้มันแย่ เหมือนกับเครื่องบินที่ร่อนอยู่ในอากาศ แต่หาจุดลงไม่ได้ ถ้ามันลงไม่ได้มันเสร็จ บินไปบินมา น้ำมันหมดร่วงลงมาตายทั้งคนทั้งเครื่อง ข้อนี้มีอุปมาฉันใด นักเจริญพระกรรมฐานก็เหมือนกัน

    นักเจริญพระกรรมฐานที่เอาดีไม่ได้เพราะไม่มีจุดลง จุดลงในอันดับแรกก่อนที่เราจะเริ่มจับวิปัสสนาญาณ อย่าลืมนะขั้นสุกขวิปัสสโกนี่ จะนั่งสมาธิหลับตาปี๋หรือไม่นั่ง ไม่สำคัญ คุมอารมณ์พิจารณาอย่างนี้ไปแบบสบายๆ

    จุดที่เราจะจับเป็นหัวหาดอันดับแรก ก็คือพระโสดาบัน นี่ การเจริญสมาธิวิปัสสนานี่เขาทำกันแบบนี้ มันถึงจะถึงเร็ว อย่าทำเปะปะๆๆ ส่งเดชไป มันไม่ได้อะไรหรอก ดีไม่ดีเดินไปไม่รู้ว่าถนนนี่อยู่ที่ไหน หล่นโครมครามลงมาแข็งขาหักหมด

    เขาก็ต้องจับจุด ถ้าเจริญสมถะต้องจับอารมณ์ฌาน เจริญวิปัสสนาญาณต้องจับอารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน เราก็นั่งดูพระโสดาบันมีอะไร

    พระโสดาบัน
    มีหนึ่ง สักกายทิฐิ การพิจารณารู้สภาพว่าร่างกายของเรามันต้องตายแน่ มันไม่อยู่ตลอดกาลตลอดสมัย มันพัง

    วิจิกิจฉา มั่นใจในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สงสัย แต่ทว่าการที่ไม่สงสัยนี่ต้องใช้ปัญญา

    สีลัพตปรามาส เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ สำหรับฆราวาสต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ เณรมีศีล ๑๐ บริสุทธิ์ พระมีศีล ๒๒๗ บริสุทธิ์ ก็เท่านี้ไม่เห็นจะมีอะไร

    เป็นอันว่าเราใช้กำลังใจอยู่ในขอบเขตสั้นๆ ว่า
    หนึ่ง เราคิดถึงความตายเป็นอารมณ์ อารมณ์ของจิตเรานี่ เราเกาะติดอะไรหนอ เกาะติดกาย ติดกาย กายมันไม่ทรงตัว ติดทำไม เราก็เกาะติดสักกายทิฐิ เอาจิตพิจารณาดูว่าเราก็ดี คนอื่นก็ดี ในโลกนี้ สัตว์ทั้งหมดตายหมด วัตถุธาตุบ้านเรือนโรงมันก็พังไปในที่สุด เราจะเมามันในชีวิตเพื่อประโยชน์อะไร

    ประการที่สอง องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงแนะนำเราให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ การที่มีศีลบริสุทธิ์นี่เป็นการกำจัดความเดือดร้อนของจิตและของกาย จะไปที่ไหนก็ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้ประสพพบเห็น

    ศีล ท่านกล่าวว่าหนึ่ง กิตติสัทโธ คนที่มีศีลบริสุทธิ์นี่ มีชื่อเสียงฟุ้งขจรไป ชื่อดี เสียงงาม แม้แต่คนเขาไม่เคยเห็นตัว เขาได้ยินแต่ชื่อเขายังรัก ยังชอบ กลิ่นของศีลลอยทวนลมได้ ไม่เหมือนกลิ่นของน้ำหอม คนที่มีศีลบริสุทธิ์ หอมทั้งใต้ลม หอมทั้งเหนือลม ที่ว่าหอมเพราะหอมในความดี ไม่ใช่หอมตัว ตัวน่ะไม่หอมแน่

    นี้ในเมื่อเราเห็นว่าศีลดี ก็ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ระมัดระวังอยู่ในศีล ถ้าหากเราคิดไว้เสมอว่าไม่ลืมชีวิตว่าเราจะตาย เราจะตายก็ตายสิ ฉันขอเกาะติดศีล

    อย่างกับพวกอะไรหนอ ที่เขาสอนกัน หนึ่งเกาะติดประชาชน สองเกาะติดพื้นที่ สามเกาะติดแนวรบ ถ้าเกาะติดสามติดเราจะชนะ เราก็เหมือนกัน

    หนึ่ง เกาะติดสักกายทิฐิ ไม่ลืมว่าร่างกายนี้มันจะตาย มีความรู้สึกว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุก็ดี พังแน่ เราไม่ขอถือเอาร่างกายของเรา ร่างกายของเขา วัตถุธาตุทั้งหมดเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง เราจะขอเอาพระนิพพานเป็นที่พึ่ง

    ประการที่สอง เกาะติดคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว เห็นว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว สอนถูก สอนตรง เรามีความประสงค์ที่จะทรงอารมณ์ไว้ในคำสอนขององ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ประการที่สาม เราเกาะติดศีล รักษาอารมณ์ศีลให้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ใจเราไม่ว่างจากศีล

    ประการที่สี่ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตของเรามีการรักพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ ไม่ว่าจะยังไงๆ ใจเราก็ตั้งไว้ที่พระนิพพาน

    ไม่ลืมความตาย
    ไม่เมาในชีวิต
    ไม่มีจิตสงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มีศีลบริสุทธิ์
    มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
    อย่างนี้เขาเรียกว่า โคตรภูญาณ เป็นจุดที่อยู่ช่วงระหว่างพระโสดากับโลกียะ โลกียฌานกับโลกุตตรฌาน

    แต่ว่าใจของเราก้าวไปนึกถึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมานี้เป็นเรื่องของธรรมดา ความหวั่นไหวในคำนินทาน้อยไป ความดีใจในคำสรรเสริญน้อยไป ความสุขใจเกิดขึ้น คิดว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่ อย่างนี้ท่านเรียกกันว่า พระโสดาบัน ไม่ยากเลย

    ถ้าจะพูดกันให้สั้น
    จิตของเรามีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    มีความเคารพในพระธรรม
    มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
    ทรงศีลบริสุทธิ์
    และก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์เป็นปรกติ
    อย่างนี้เรียกกันว่า พระโสดาบัน

    ไม่ต้องไปนั่งหลับตาเข้าฌานให้มันลำบาก เท่านี้สบายใจแล้วหรือยัง ถ้าทุกท่านทำได้อย่างนี้ ท่านเรียกกันว่าเป็นพระอริยเจ้าพระโสดาบันขั้นสุกขวิปัสสโก

    เอาละสำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้.

    — จบ ตอนที่ ๕ วิปัสสนาญาณ —
     
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การสร้างพระ - หลวงปู่ดู่

    หลวงปู่เคยเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอว่า การสร้างพระพุทธรูปนั้น จะมีอานิสงส์มาก แม้จะองค์เล็กเท่าต้นหญ้าคา ก็จะมีอานิสงส์ถึง 5 กัป หลวงปู่ยกตัวอย่างเช่น คนที่สร้างหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง ตอนนี้เขาเหล่านั้นยังเป็นเทพบุตรเทพธิดา และพรหมในชั้นต่าง ๆ เสวยความสุขอย่างไม่มีจบสิ้น เพราะผลบุญที่ได้นี้มันต่อเนื่อง เมื่อมีคนไปกราบไปไหว้หลวงพ่อที่หนึ่ง สายบุญเหล่านั้นก็จะไหลไปยังเทพบุตรเทพธิดาอย่างต่อเนื่องเหมือนสายน้ำตก แกก็ลองนึกดูเถิดว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนไปกราบหลวงพ่อเหล่านั้นมากเพียงไร ลูกศิษย์หลวงปู่เป็นส่วนมากจึงชอบสร้างพระเพราะหลวงปู่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่ง ผูกขาดในการสร้างของท่าน คณะใดกลุ่มใดมีศรัทธาจะสร้างเพื่อเป็นกุศลต่อตนเองและส่วนรวม หลวงปู่ก็จะอนุญาตอยู่เสมอและหลวงปู่จะอนุโมทนาต่อเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ให้คณะศิษย์ไปกราบหลวงปู่ดู่


    หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ
    ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ


    หลวงปู่่ดู่.....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ)...อ๋อเด็กฝาก

    คณะมโนมยิทธิ...หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะ
    หลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่่ดู่...รู้จัก

    คณะมโนมยิทธิ....หลวงปู่่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบ
    พระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

    หลวงปู่่ดู่.....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี
    ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน
    ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ
    เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้ว ไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
    หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ
    โลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง
    คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก
    ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ
    มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ
    เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้
    ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน
    คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์
    ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)
    มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
    ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ
    ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

    คณะมโนมยิทธิ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะ
    ว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

    หลวงปู่่ดู่....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็น
    แต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อน
    ที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้น
    ไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...

    คณะมโนมยิทธิ....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่่ดู่....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบ

    แกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา

    แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ

    คณะมโนมยิทธิ...ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

    หลวงปู่่ดู่... ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้ว
    ค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่
    ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่า
    อะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
    พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า
    เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไร
    ใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

    คณะมโนมยิทธิ....หลวงปู่่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

    หลวงปู่่ดู่...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..
    พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
    (เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า)ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ
    อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี
    รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้
    ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน
    ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ
    หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก
    นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ
    ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง

    ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

    คณะมโนมยิทธิ...สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่่

    หลวงปู่่ดู่ ...(ให้พร)......
     
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเคยกล่าวถึงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำและหลวงปู่่ดู่ไว้ว่า

    "พวกเราหลายท่านรวมทั้งดิฉันด้วย เคยเกิดเป็นลูกหลาน หรือเกี่ยวพันกับท่าน เช่น เป็นทหารเคยร่วมรบกันหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตั้งแต่ท่านเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช หรือก่อนนั้นและหลังจากนั้น ตอนนี้หลวงพ่อฤาษีละพุทธภูมิแล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านจึงฝากพวกเรา ไว้กับหลวงปู่ดู่ ซึ่งท่านต้องมาเกิดอีกเป็นพระศรีอาริย์(บางท่านโปรดอย่าปรามาสนะค่ะ) คือท่านจะเก็บพวกเราให้สำเร็จหมด ลูกหลานที่ตกหล่นเวียนว่ายใน วัฏฏสงสาร เวียนว่ายไปอีกหลายภพ หลายชาติ เพราะกรรม"
     
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงพี่ท่านหนึ่งจากวัดพระราม 9 ได้โพสท์ความประทับจิตประทับใจ กับหลวงปู่ดู่ ดังเนื้อหาต่อไปนี้ :

    เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา อาตมามีความศรัทธาที่จะทำผอบทองคำ เพื่อที่จะบรรจุอัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่แต่มีปัญหาว่าจะหาอัฐิธาตุของหลวงปู่ได้ที่ไหน แล้วก็ไม่ทราบด้วยว่า ใครมีอัฐิธาตุของหลวงปู่ ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวจะขอจากรูปเหมือนของหลวงปู่ หล่อด้วยปูนซีเมนต์ ขนาด ๕ นิ้ว ซึ่งได้มาจากวัดสะแก

    ครั้งแรกที่ได้ไปกราบหลวงปู่ โดยโยมเป็นผู้ถวายให้มา เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ต่อมาเมื่อวัน อาทิตย์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๕๐ อาตมารู้สึกอยากไปวัดสะแก ไปกราบหลวงปู่ และตั้งใจจะไปถวายผ้าไตรจีวร และยารักษาโรคกับหลวงน้าสายหยุด อยากไปกราบท่านเพราะครั้งแรกที่ไป ไม่ได้ไปกราบท่าน อีกใจหนึ่งก็อยากไปขออัฐฐิธาตุหลวงปู่ที่วัด

    แต่ผอบทองคำที่สั่งทำก็ยังไม่เสร็จ ก็เลยคิดว่าจะเอาผอบพลาสติก (ทำจากเรซิน) ไปใส่อัฐฐิธาตุหลวงปู่ก่อน จำได้ว่าออกจากวัดพระราม ๙ ประมาณ ๑๐โมงเช้าโดยมีโยมพี่ชายเป็นคนขับรถให้ มีโยมแม่ พี่สาวและน้องสาวไปด้วย ระหว่างทางได้คุยกับโยมในรถ ว่าได้มีศรัทธาทำผอบทองคำแต่ยังทำไม่เสร็จ ตั้งใจว่าจะเอาผอบทองคำไปบรรจุในเจดีย์ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในอนาคต โดยอยากได้อัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่บรรจุลงในผอบทองคำ แล้วนำไปบรรจุในเจดีย์สืบต่อไป
    ก่อนถึงวัดสะแกแวะฉันภัตหารเพลที่ปั๊มน้ำมันใกล้วัดก่อนเพราะพระที่วัดท่านฉันเพลพอดี ถึงวัดสะแกประมาณ ๑๒.๑๐ นาที แวะกราบหลวงปู่ที่พิพิธภัณฑ์ และถ่ายรูปกับโยมเป็นที่ระลึกแล้วจึงไปที่ศาลา ที่มีพระศรีอริยเมตไตร รูปหล่อหลวงปู่ รูปหล่อหลวงปู่ทวด และเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ อาตมาเดินขึ้นไปบนศาลาเป็นคนแรก ผลักประตูกระจกเข้าไปในศาลา โดยมีโยมแม่ พี่และน้อง ตามหลังเข้ามาห่างๆ

    ในศาลา อาตมากวาดสายตาดูไปรอบๆศาลา มองไปข้างหน้าเป็นรูปพระศรีอริยเมตไตร ทางซ้ายและขวาเป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ ทางด้านขวามือสุดเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ มีพระสงฆ์ ๑ รูปกับโยมผู้ชาย ๓-๔ คนคอยให้ความสะดวกกับผู้ที่ต้องการบูชาวัตถุมงคล ส่วนทางด้านซ้ายมือสุดมีญาติโยมนั่งอยู่ ๓-๔ คนเช่นกัน แต่ในขณะที่อาตมาก้าวเดินเข้าไปในศาลาได้ ๓-๔ ก้าว สายตาของอาตมาก็ไปเห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อลายดอกไม้นุ่งผ้าถุงอายุ ประมาณ ๔๕ปี ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย มองมาที่อาตมา แล้วยิ้มให้เหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง พร้อมกับรีบคลานเข้ามาหาอาตมา

    อาตมารู้สึกว่าโยมผู้หญิงมีอะไรจะคุยด้วย เพราะอากัปกิริยาของโยมผู้หญิงที่กำลังคลานเข้ามาบอกเป็นนัยๆ อาตมาจึงคุกเข่าลงแล้วถามว่า โยมน้ามีอะไรกับอาตมารึเปล่า โยมกราบ ๓ ครั้ง แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้อาตมาต้องตกตะลึงว่า จะเอาพระธาตุมาถวายเจ้าค่ะ พระธาตุๆของใครอาตมาถาม เงียบ โยมน้าไม่ตอบ แต่กับพูดออกมาอีกประโยคหนึ่งซึ่งทำให้อาตมาต้องขนลุกด้วยความปิติว่า พระท่านบอกว่า ถ้ามีพระมาให้เอาพระธาตุถวายท่าน อาตมานิ่งไปชั่วขณะ มือล้วงลงในย่ามหยิบผ้ารับประเคน ออกมารับประเคนพระอัฐฐิธาตุจากโยมน้า
    อัฐิธาตุบรรจุอยู่ในผอบพลาสติก(เรซิน)ขนาดประมาณผลองุ่น อะไรกันนี่ หลวงปู่เมตตามอบให้ทันที่ทันใด โดยยังไม่ได้เอ่ยปากขอใครเลย ส่วนโยมน้าผู้หญิงถวายเสร็จกราบ ๓ ครั้งแล้วออกไปจากศาลาไม่กลับมาอีกเลย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากไม่เกิน ๑ นาทีด้วยซ้ำไป ทีแรกอาตมาคิดว่าสงสัยทางวัดคงจะแจกให้บุคคลทั่วไป อาตมาจึงเดินไปดูบริเวณ ที่โยมน้าผู้หญิงนั่งซึ่งอยู่ใกล้ๆประตูกระจกทางซ้ายมือ ที่จะออกไปเป็นกุ ฎิหลวงปู่ ไม่เห็นมีผอบที่บรรจุพระธาตุ เตรียมแจกบริเวณนั้นอยู่เลย และอีกอย่างหลวงปู่ท่านมรณภาพปี ๒๕๓๓ ถ้าจะแจกก็น่าจะแจกในปี ๒๕๓๔ เพราะพระราชทานเพลิงในปีนี้

    นี่ก็ปี ๒๕๕๐ แล้ว ไม่น่าจะมีการแจกในปีนี้ อีกประการหนึ่งเมื่อพระราชทานเพลิงแล้ว อัฐฐิธาตุก็จะเก็บที่วัดอาจจะมีการ แจกถวายพระเถระผู้ใหญ่ น่าเสียดายที่อาตมาไม่ได้ทันถามโยมน้าที่ว่า พระท่านให้มาถวาย คำว่า พระท่าน คือใคร หลวงปู่ หรือ พระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่อยู่ในวัดก็เป็นได้ ซึ่งท่านอาจทราบความประสงศ์ของ อาตมาแล้วไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวท่านจึงให้โยมน้าผู้หญิงมาถวายแทนท่าน หรือประการสุดท้ายหลวงปู่อาจจะบอกพระสงฆ์ให้นำมาให้ก็เป็นได้ ท่านผู้อ่านล่ะคิดว่าอย่างไร.

    (ลักษณะอาการโยมน้า แต่งตัวแบบคนโบราณ และดวงตาก็เป็นประกายพิเศษ ออกจะไม่ใช่มนุษย์เดินดิน และมาจากทางกุฏิหลวงปู่อีกด้วย ทำภารกิจ ที่พระสั่งมาเสร็จ ก็รีบหลบหายตัวไป ท่านนึกออกหรือยังว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เทวดาประจำวัดนี้นั่นเอง ที่หลวงปู่มอบหมายภารกิจสำคัญมา หากหลวงพี่จะสังเกตที่ดวงตาของโยมน้า น่าจะไม่กระพริบตา เหมือนเช่นคนทั่วไป...ขอโมทนาด้วยกับท่าน เทพธิดานะ ระหว่างพิมพ์ข้อความนี้ ยังส่งกลิ่นหอมมาแต๊ะจมูกอีกด้วย)

    อาตมาใช้เวลาอยู่ในวัดสะแกประมาณ๔ชั่วโมง ไม่พบโยมน้าผู้หญิงอีกเลยจนกระทั่งกลับเข้ากรุงเทพก็ได้เล่าเรื่องที่ได้อัฐ ฐิธาตุให้โยมแม่ พี่และน้องฟังขณะอยู่ในรถพร้อมหยิบผอบเรซิน ออกจากย่ามให้ดู น้องสาวยังบอกอาตมาว่าแปลกมากนึกว่ารู้จักกับโยมน้าเพราะเห็นคุยกัน

    มาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของหลวงปู่ พระกรุณาของพระท่านที่เมตตาให้ในสิ่งที่คิดว่าหาได้ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้และเกิดขึ้นแล้ว ทำให้หวลคิดถึง เถระอมตะวาจาที่ว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้ ต่อให้ร้อยภาษา ล้านตัวอักษร ก็ไม่อาจแทนใจของอาตมาที่มีต่อหลวงปู่ดู่ได้.

    เรื่องราวทั้งหมดของอาตมาก็มีด้วยประการฉะนี้.....

    (หลวงตาม้าตอบปัญหา ให้ลูกศิษย์ ที่หลวงตาลงมาที่ กทม. ว่าภาพของหลวงปู่ดู่ มีชีวิต ให้ทำใจสบายๆ
    เราก็จะพูดคุยกับหลวงปู่ได้ทุกเรื่อง พลังงาน แสง สี เสียง ของหลวงปู่ดู่ ไม่ได้หายไปที่ไหน
    คงอยู่ใกล้ๆ ตัวของผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงปู่ อย่างแท้จริง)
     
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975

    หลวงปู่ดู่ช่วยชีวิต...



    เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ (หลวงปู่ดู่ มรณภาพล่วงไปแล้ว ๑๕ ปี) เป็นเรื่องที่ช่วยให้เห็นถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์ รวมทั้งยืนยันว่าท่านสามารถช่วยเหลือลูกศิษย์ได้แม้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ ตาม น่าเสียดายที่ไม่อาจติดตามสอบถามชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากจะนำมาเรียบเรียงบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง

    เหตุการณ์ นี้เริ่มต้นที่ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ขับรถยนต์ไปชนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง จนบาดเจ็บอาการสาหัสมาก เป็นตายเท่ากัน ลูกศิษย์ผู้นี้ก็กลุ้มใจมาก เพราะเกิดมาไม่ประสงค์จะทำบาปทำกรรมกับใคร อีกทั้งไม่อยากมีบาปกรรมอันเกิดจากปาณาติบาต เขาจึงมาบนหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่าให้ถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลย

    เด็ก หนุ่มนั้น ครั้งแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU โรงพยาบาลในอยุธยา แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายหลังจู่ ๆ อาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ แล้วก็ได้มีโอกาสตามเพื่อนมาทำบุญที่วัดสะแก โดยที่ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน

    เด็ก หนุ่มผู้นี้ มาทำบุญถวายสังฆทานที่กุฏิพระสายหยุด ครั้นเมื่อท่านได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้แล้ว จึงสามารถปะติดปะต่อและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เพราะท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทางฝั่งลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถยนต์ ชนเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

    เด็กหนุ่มผู้นี้ เมื่อถวายสังฆทานเสร็จก็เหลือบเห็นรูปหลวงปู่ดู่ ที่ผนังกุฏิของพระสายหยุด เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่าหลวงปู่องค์นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง

    เขาเล่าว่าภาย หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต แต่ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา ก็มีผู้ชายนุ่งจูงกระเบนด้วยผ้าสีแดง จะมาเอาตัวเขาไป ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้ หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งจูงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วย ๆ หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็หายไป

    หลวงปู่ถามเขาอีกว่า ไหนล่ะร่างแก เขาพยายามมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียงๆ หนึ่ง แล้วถามว่า นั่นใช่แกไหมล่ะ เขาเห็นแล้วก็จำได้ กราบเรียนท่านว่า ใช่ครับ จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก จึงได้มารู้ว่าที่แท้หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือหลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง

    พระสายหยุดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เสียดายที่ไม่รู้รายละเอียดของเด็กหนุ่มผู้นั้น ทราบเพียงคร่าว ๆ ว่าเขาเป็นคนอำเภอภาชี ประกอบกับท่านก็ยังไม่ได้พบกับลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถชนเด็กหนุ่ม นั้นอีก แต่ก็แปลกที่เรื่องราวของทั้ง ๒ ฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อเป็นเรื่องเดียวกันที่กุฏิของท่าน

    พระสายหยุด เล่าเรื่องนี้ด้วยความปลื้มปีติในพลังเมตตาบารมีของหลวงปู่ที่แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังคงรับทราบและช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์และสัตว์โลกที่ ประสบทุกข์ทั้งหลาย
     
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    บารมีแห่งพระอรหันต์



    หลวงปู่ท่านหันไปชี้พระที่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ฝากข้าพเจ้าให้มาถวายหลวงปู่ ท่านบอกว่าฝากพระทองไปถวายท่านด้วย แล้วหลวงปู่ท่านพูดว่า

    หลวงปู่ "ที่ท่านถวายพระมาให้ข้านี้ก็คิดไม่ตกว่า ท่านมีจุดประสงค์อะไร เพราะเป็นของลึกซึ้ง เกินกว่าที่ปัญญาอย่างเราจะคิดตามได้ทัน"

    ผู้เขียน "หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไร เอาแบบไม่ลึกก็ได้ ผมอยากฟังครับ"

    หลวงปู่ "ข้าคิดว่าสักวันหนึ่ง ข้าคงได้กลับมาเป็นอย่างพระองค์นี้" หลวงปู่ชี้ไปที่พระพุทธรูปนาคปรกของหลวงปู่บุดดา ผู้เขียนยกมือสาธุ โดยไม่ทันจะตอบอะไร

    หลวงปู่ (ท่านตัดบทว่า) "แต่ตอนนี้ข้าไม่เปิด ยังไม่สว่างเลย ไม่รู้จะบอกอย่างไร"
     
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    .ลาวลองตะกรุดและมอบวิชาปอบ

    สมัยที่หลวงปู่ยังทำตะกรุดอยู่นั้น ท่านเล่าว่าทำยากมาก เพราะต้องว่าอักขระให้ครบทุกตัว ขาดไม่ได้ จึงเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย ถึงกับมาขอให้ท่านทำให้ ท่านจึงถามความประสงค์ว่า "จะให้ทำแบบไหน แบบชาวบ้านธรรมดา ขุนนาง ท้าวพระยา หรือแบบพระมหากษัตริย์ หมายถึง ตะกรุดพระมหาจักรพรรดิ" เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า อยากได้อย่างที่พระมหากษัตริย์ใช้ หลวงปู่เล่าว่า "ไม่นานก็เอากลับมาคืนหมด ข้าเลยโยนใส่สระน้ำมนต์หน้าวัด" เมื่อผู้เขียนเรียนถามถึงเหตุผลการนำกลับมาคืน ท่านจึงเล่าต่อว่า "ก็ได้ไปแล้วเอาไปกินเหล้า ก็จะฟันแต่คนเขา พระเจ้าแผ่นดินฆ่าคนได้หรือ" ท่านพูดแล้วหัวเราะ และบอกว่า "ของที่ดีที่สูง คนนำไปใช้ ก็ต้องทำจิตของตนให้สูงตามไปด้วย ต้องมีศีลจึงจะได้ผล"

    เกี่ยวกับตะกรุดนี้เคยมีคนนำไปลอง ซึ่งหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า "เป็นพวกลาว แถววัดตะโหนด พวกนี้เขามีวิชาทำลายของขลัง ของขลังใครก็ตาม ถ้าเขาจับแล้วแตกทุกราย รายของข้านี่เขาได้ไปแล้ว ก็เอาไปจับแต่ไม่แตก กลับขึ้นทิ่มหน้าทิ่มตาเสียหน้าแหกไปหมด" แสดงถึงอำนาจคุณพระกับอำนาจใฝ่ต่ำ ธรรมย่อมชนะอธรรม ผู้เขียนจึงเรียนถามต่อว่า แล้วเขาไม่โกรธเอาหรือครับ ท่านตอบว่า "โกรธ ซิ วันนั้นข้านั่งกรรมฐานรู้สึกว่าจิตใจเป็นอย่างไรไม่รู้ จึงเดินออกมาหน้ากุฏิ มองไปที่หลังคากุฏิ ตักน้ำมนต์สาดขึ้นไปได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ แสดงว่าเขาคงทำมา กะเอาเราให้ตาย" ท่านพูดเสร็จแล้วก็หัวเราะ แถมยังเสริมอีกว่า "พวก ที่เรียนของเหล่านี้น่ะ เขาปรารถนาอเวจีเป็นที่พึ่งทั้งนั้น ต้องฆ่าพระหรือเณร ไม่ก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่จึงจะขลัง ส่วนใหญ่มักจะฆ่าพระหรือเณร ข้าเองยังเกือบได้เรียนกับเขาเลย เขาเรียกว่า วิชาปอบ"
    เมื่อท่านพูดจบผู้เขียนก็ซักว่า วิชาปอบเป็นอย่างไร เรียนได้หรือ ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า "มี ลาวคนหนึ่ง เขามาที่วัดสะแก เขามาบอกข้าว่า ผมมีวิชาบิดไส้ บังฟันต้องการจะมอบให้ ผมมองยังไม่เห็นคนไหน จะเรียนได้นอกจากท่าน แน่ะ...ยอเราเสียด้วย ข้าก็รับเอาไว้ยังไม่ได้เรียน วางไว้บนหิ้งบูชาพร้อมเงิน ๑ สลึงเป็นค่าครู คืนแรก...ก็ฝันว่าออกไปจะกินควายกับเขา คืนที่สอง...ฝันว่าออกไปกินไส้ควาย ตอนเช้าเขามาบอกว่าควายบ้านที่ฝันนั้นตาย เลยนึกว่าวิชานี้ไม่ดีแน่ เดี๋ยวจะไปฆ่าคน ต้องเป็นวิชาปอบแน่ๆ ก็เลยเอาลงมาจากหิ้งไปเผาไฟ ลาวคนนั้นนอนอยู่หลังวัด เขารู้ตอนเดินผ่านกุฏิ ไม่ยอมมองหน้า ค้อนให้เสียด้วย เออ...เกือบไป เกือบได้เรียนวิชาปอบเสียแล้วเรา"

    แสดงว่าวิทยาการทางไสยดำนั้นมีจริง แต่เป็นไปในด้านของการทำลายล้างบุคคล ซึ่งจัดเป็นบาปอย่างยิ่ง พระอาจารย์ทางไสยดำนี้ ส่วนใหญ่เมื่อตายไปจะเป็นมหิทธิกาเปรต ซึ่งเป็นผลเศษกรรมจากบุคคลที่ เมื่อคราวเป็นมนุษย์ชอบเล่นของคุณไสยฝ่ายต่ำ
     
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่คง



    หลวงปู่เคยเล่าถึงหลวงปู่คงว่า "ท่านอยู่ วัดกุฎีดาวมีอภินิหารมาก สามารถนั่งบนผ้าอาบน้ำฝน ลอยไปบนน้ำ เข้าไปในเขตพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดิน พวกสนมกำลังอาบน้ำอยู่ตกใจกัน พระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ตามจับ ไปถึงวัดหาไม่พบ จึงบอกอุบายให้นิมนต์พระสงฆ์ในวัดทั้งหมดให้เข้าไปฉันในวัง แต่หลวงพ่อคงไม่ยอมไป จึงสั่งให้ทหารตามไปถึงวัด ซึ่งท่านปิดกุฏิไม่ยอมออกมา เลยให้ทหารเอาไฟเผากุฏิ หลวงพ่อคงถอนกุฏิลอยหนีสูงเทียมดาว เลยชื่อวัดกุฎีดาวตั้งแต่นั้นมา ก่อนจะไปท่านบอกว่า อยู่ไม่ได้ เพราะราชาไม่อยู่ในธรรม แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แล้วท่านก็ไปอยู่ที่พิมายทางโคราช เดี๋ยวนี้ยังมีสระน้ำที่ท่านทำไว้ คนไหนอยากได้น้ำมนต์ก็ไปตักเอา"

    ผู้เขียนเคยนั่งสมาธิพบหลวงปู่คง ได้กราบเรียนถึงหลวงปู่ดู่ หลวงปู่คงท่านบอกว่า "อาจารย์แกนั้น ท่านมีบารมีสูงมากบารมีเต็มแล้ว แต่ยังมีเมตตาต่อลูกศิษย์ ตัวข้าเองสามารถเดินบนน้ำได้แต่อาจารย์แกสามารถเดินบนอากาศได้ไม่เชื่อลองไปถามดูก็ได้" เมื่อผู้เขียนกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ ท่านไม่ได้ปฏิเสธ แต่ได้พูดว่า "ข้าขอโมทนาด้วย ที่แกสามารถรู้ถึงความลับของข้าได้"

    หลวงปู่คงเคยให้คาถาผู้เขียนไว้ เกี่ยวกับการแก้อาการปวดเมื่อย ใครจะนำไปใช้ก็ได้ มีดังนี้

    "พุทธังหาย ธัมมังหาย สังฆังหาย
    นวดด้วย พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง
    จะลุกขึ้น เดินนอนนั่ง ให้มีกำลังวังชา
    หายจากพยาธิโรคา จงมีแก่ข้า ประสิทธิเม"

    ถ้าจะให้คนอื่นให้ว่า "จงมีแก่เจ้า ประสิทธิเต"

    ผู้เขียนนี่หมายถึงลูกศิษย์หลวงปู่ที่เขียนหนังสือนี้นะครับ..(ผมค๊อปปี้มา เป็นธรรมทาน)
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    น้ำใจหลวงปู่ ที่มีต่อในหลวง

    มีอยู่ปีหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยทุกหย่อมหญ้า มีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยในพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เพราะจากข่าวคราวที่ออกมานั้น พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนชาวไทยทั้งหลายไม่ว่า บรรพชิต ข้าราชการ ประชาชน ต่างบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระราชกุศลให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรในครั้ง นั้น ตั้งแต่การบำเพ็ญภาวนา สร้างพระ ทำบุญตักบาตร ผู้เขียนคิดว่าเราก็ภาวนาแล้ว น่าจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อให้หลวงปู่ช่วยพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งๆ ที่รู้ว่า นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา ไม่มีวันใดเลยที่หลวงปู่จะว่างเว้นจากการถวายพระราชกุศลให้กับในหลวง...
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ทั้งหมดนี้เอามาจากวัดถ้ำเมืองนะ


    ผู้เขียน (ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ดู่)ฝันไปว่า หลวงปู่ทวดท่านบอกว่า "ให้ เขียนชื่อพระเจ้าอยู่หัว วันเดือนปีเกิดของพระองค์ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งเขียนตีตารางเป็นร้อยแปดตา เอาไปให้อาจารย์ของเธอทำ ท่านรู้เองแหละว่าจะทำอย่างไร" เมื่อผู้เขียนทำเสร็จแล้วฝากคนไปถวายหลวงปู่ ตารางทั้งร้อยแปดนั้น ท่าน เขียนอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณร้อยแปดลงทุกช่อง เมื่อเขียนเสร็จแล้วท่านอธิษฐานจิต เพื่อให้นำไปบรรจุในองค์พระที่ท่านสร้างขึ้น แต่ที่สำคัญคือ แทนที่จะให้คนอื่นไปทำ หลวงปู่กลับเป็นผู้ทำและเทเอง บรรจุเองทั้งหมด ด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่น ถวายความจงรักภักดีแด่พระเจ้าแผ่นดิน เมื่อเทเสร็จเป็นองค์พระแล้ว ท่านก็นำมาอธิษฐานให้กับพระเจ้าอยู่หัว ท่านกล่าวว่า "องค์อื่นๆ ตั้งแต่ที่มีมารัชกาลที่ ๑ ถึง ๘ ขอให้ขึ้นไปสถิตที่วิมานของแต่ละท่าน ส่วนรัชกาลที่ ๙ นี่ขอให้อยู่ก่อน เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ ให้รอกพ้นภยันตรายเสียก่อน" แล้วท่านก็พูดว่า "ไม่เป็นไรหรอก" สิ่งที่น่าปิติยินดีของปวงชนชาวไทยก็คือ พระอาการของพระเจ้าอยู่หัวซึ่งอยู่ในขั้นที่วิกฤต แม้แต่พระองค์เองยังกล่าวว่า ได้ไปอยู่ในแดนสนธยา ก็กลับคืนดีเหมือนเก่า

    ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เกิดจากหลวงปู่องค์เดียว แต่ผู้เขียนต้องการเน้นถึงจุดที่ท่านรับเอาเป็นธุระ ในการทำพระครั้งนี้ต่างหาก ที่ทำให้รู้ซึ้งในน้ำใจของหลวงปู่ที่มีต้อพระเจ้าอยู่หัว เพราะท่านจะสั่งเสมอว่า เมื่อทำบุญหรือทำสมาธิครั้งใด อย่า ลืมอุทิศกุศลให้กับ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นการแสดงความกตัญญูต่อแผ่นดินที่อาศัย ต่อพระพุทธศาสนา และต่อองค์พระเจ้าอยู่หัวของเรา
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    .พระเถระ

    หลวงพ่อเม็ด วัดบึงกระจับ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ผู้คนเคารพนับถือมาก มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ ได้นำรูปเหมือนของท่านไปถวายหลวงพ่อเม็ด ท่านยกมือไหว้แล้วพูดว่า "วันนี้ดีใจจริงๆ พระผู้ใหญ่มาเยี่ยม" หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์และเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อนอ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลานชายของท่านนำพระไปให้ตรวจ จนมาถึงแหวนของหลวงปู่ดู่ ท่านบอกว่า "เป็นของพระเถระ" พระผู้ใหญ่หรือพระเถระมีความหมายเดียวกัน ตามพระวินัยหมายถึง ผู้ที่บวชเกิน ๕ พรรษาไปแล้ว ถ้าหมายถึงการปฏิบัติของจิต จะหมายถึงพระผู้ทรงคุณธรรม เช่น พระอรหันต์ หลวงปู่เคยเล่าเรื่องพระเถระในพุทธกาลให้ฟังว่า "มี เณรน้อยองค์หนึ่ง หน้าตาน่ารัก พระภิกษุเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นรูปร่างเกิดความเอ็นดู ก็หยอกเย้า จับหัว จับแก้ม เมื่อเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงถามว่า เมื่อเธอจะเข้ามาหาตถาคต เธอเห็นพระมหาเถระอยู่ที่ไหน พระภิกษุตอบว่าไม่เห็นใครที่ไหนเลยพระพุทธเจ้าขา เห็นแต่เณรน้อยองค์หนึ่งเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นั่นแหละพระมหาเถระ พระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนต้องไปขอขมา กลัวเป็นเวรเป็นภัยต่อไป"

    หลวงปู่ดู่ท่านสอนไม่ให้ประมาท เหมือนกับพระพุทธภาษิตที่ว่า ไม่ควรประมาทในสิ่งต่อไปนี้

    ๑.ยุวกษัตริย์
    ๒.งูพิษตัวน้อย
    ๓.ไฟกองเล็ก
    ๔.ภิกษุหนุ่ม หรือฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม

    เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นภัยกับผู้ประมาททั้งสิ้น ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงพ่อเป้า เขมกาโม วัดถ้ำพรสวรรค์ เมื่อทราบว่าท่านมากราบหลวงปู่ หลวงพ่อเป้าท่านพูดว่า "จิตของท่านเป็นจิตมาตรฐานแล้ว คิดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็เป็น จิตเรายังไม่ได้เสี้ยวของท่านเลย" สำหรับหลวงปู่ ท่านพูดถึงหลวงพ่อเป้าว่า "เรานึกว่าท่านแก่กว่าเรา เมื่อท่านกราบเลยต้องกราบตอบ ต่างคนต่างกราบ" นับเป็นภาพที่งดงามมาก ในการอ่อนน้อมถ่อมตนของนักปราชญ์ที่แสดงออกเพื่อให้โลกชื่นชม

    ครูบาบุญชุ่ม เป็นภิกษุหนุ่มองค์หนึ่งที่ทรงคุณธรรมสัมมาปฏิบัติ เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ ท่านมีความเคารพเลื่อมใสหลวงปู่มาก มีวันหนึ่งหลวงปู่กล่าวกับผู้เขียนว่า "เมื่อวานนี้ ครูบาบุญชุ่มมากราบข้า" ผู้เขียนจึงเรียนถามว่า "มากราบนมัสการขอบารมีหลวงปู่หรือครับ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "ต่างคนต่างขอซึ่งกันและกัน"
    มีพระหลายองค์มาหาหลวงปู่เช่น อาจารย์วิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาเงา ครูบาธรรมชัย อาจารย์จำเนียร วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ เป็นต้น ซึ่งท่านได้กล่าวถึงหลวงปู่ด้วยความเคารพนับถือ แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มาหาท่าน แต่สัมผัสด้วยจิต หรือบารมีจากพระที่ท่านอธิษฐาน เช่น หลวงพ่อเม็ด หลวงพ่อตาบ เป็นต้น

    หลวงพ่อองค์หนึ่งอยู่วัดทางจังหวัดราชบุรี เป็นพระที่มีผู้ไปกราบนมัสการมากมาย ครั้งหนึ่งพนักงานธนาคารกสิกรไทยไปหา เพื่อขอให้ท่านทำนายโชคชะตา เมื่อท่านสงเคราะห์เรียบร้อยแล้ว เธอได้ขอให้ท่านแผ่เมตตาพระที่เธอสวมอยู่ ท่านรับไปเพื่ออธิษฐาน และบอกว่า มีพระองค์หนึ่งในสายสร้อยนี้แรงมาก ท่านถามว่าพระองค์ไหนเป็นผู้อธิษฐาน แล้วท่านชี้ให้ดูพระ ซึ่งเป็นเหรียญรูปหลวงปู่ทวดรุ่นเปิดโลก เมื่อพนักงานกสิกรฯ เรียนว่า ผู้อธิษฐานคือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านจึงบอกกับผู้นั้นว่า ท่านเสกดีจริงๆ แรงจริงๆ เก็บไว้ให้ดี

    ผู้หญิงเชื้อสายจีน นับถือเจ้าแม่กวนอิม เธอไม่ได้นั่งสมาธิ แต่นับลูกประคำ ไม่ได้เรียนหนังสือ ความรู้ทางศาสนามีน้อย วันหนึ่งเธอเดินผ่านหลานชาย ซึ่งกำลังเลือกพระในถาดอยู่ เธอเดินเข้ามาที่หลานชายแล้วบอกว่า "ทำไมไม่ใช้พระองค์นี้ อี (ท่าน) เป็นผ่อสัก (พระโพธิสัตว์) เหมือนอาเนี้ย (เจ้าแม่กวนอิม)" หลานชายแย้งว่า พระองค์นี้ได้มาจากการแจกทำบุญผ้าป่า ทำไมพระที่เขาเช่ามาเป็นราคาเรือนแสน อาม้าจึงไม่เลือกให้ อาม้าตอบหลานชายว่า "องค์ที่แพงเหมือนกับสายน้ำไหลมาเอื่อยๆ ไม่ขาดสาย ส่วนองค์นี้เหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรง และไม่ขาดสาย ลื้อเลือกเอาเองแล้วกัน จะเอาองค์ไหน"

    พระที่อาม้าพูดถึง คือ เหรียญหลวงปู่ทวดรุ่นเปิดโลกเช่นกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องเหรียญ แต่เมื่อหลานชายนำพระหลายๆ องค์มาผสมปนเปกัน เธอสามารถแยกพระที่หลวงปู่อธิษฐานออกมาได้ แสดงว่าเธอสัมผัสได้กับนามธรรม (บารมี) ของหลวงปู่ได้
    .ฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรมที่ประมาทไม่ได้ เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ปัจจุบัน หลวงปู่จะเทอดทูนมาก เพราะท่านเป็นผู้มีบุญญาธิการ ซึ่งมาจากคำว่า บุญอธิการ (ผู้เป็นใหญ่) ในทางโลก พระองค์มีเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ส่วนทางธรรม พระองค์มีอริยยศ อริยศักดิ์ ซึ่งมาจากการประพฤติ ปฏิบัติธรรมของพระองค์ท่าน ประเทศไทย มีเหตุการณ์ร้ายแรงหลายครั้ง ด้วยพระบารมี กลับเรียบร้อยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เมืองไทยอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์วันมหาวิปโยค (๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ (วันพฤษภาทมิฬ) ผู้เขียนจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เรียกพระองค์ท่านว่า เป็นพระเถระอีกองค์หนึ่ง ซึ่งประชาชนชาวไทยเคารพเทอดทูนไว้เหนือเศียร เหนือเกล้า สมดังที่หลวงปู่ท่านพูดว่า "บารมีท่านสูง แกรู้ไหมว่า ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ"
    หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่หลวงปู่ดู่ให้ความเคารพมาก กล่าวกับลูกศิษย์ว่า "อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก"

    ประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เพราะตั้งใจไว้นานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส พอหลวงปู่ท่านทราบ ท่านจึงบอกว่า "อยากได้ดินที่วัดช้างไห้" ซึ่งเป็นที่เผาสรีระหลวงปู่ทวด ผู้เขียนกับผู้ที่ไปด้วย ปรึกษากันว่า สงสัยหลวงปู่คงอยู่ไม่นาน เราไปนำดินที่เกิดของท่านคือ สำนักสงฆ์ต้นเลียบ ซึ่งเป็นที่ฝังรกของท่านด้วยดีกว่า เผื่อจะแก้เคล็ดได้ เมื่อนำไปถวายท่าน หลวงปู่ท่านถามว่า "ดินถุงไหนเป็นที่เกิด ดินถุงไหนเป็นที่ดับ" เมื่อเรียนให้ท่านทราบ หลวงปู่ท่านบอกว่า "เออ มีเกิดแล้วก็ดับ หมดเรื่องกัน ไม่มีอะไรแล้ว"

    หลังจากนั้นเจ็ดวัน หลวงปู่จึงมรณภาพ เป็นเรื่องที่ชวนคิดว่า ทำไมท่านถึงให้ไปนำดินมา เพราะเหตุผลอะไร (คำตอบมีในหนังสือพระผู้จุดประทีปในดวงใจ เรื่องการแบ่งภาค หน่อพุทธภูมิ)

    เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๖ ผู้เขียนฝันไปว่า หลวงปู่ให้ไปกราบนมัสการ พระบาทสี่รอย ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ประทับรอยพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ครูบาศรีวิชัย เป็นผู้ไปสร้างวิหารไปครอบไว้ ทางไปกันดารมาก เป็นที่ซึ่งพระธุดงค์และผู้คนมักจะหาโอกาสไปกราบสักการะ ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า เพราะเหตุใดหลวงปู่จึงประสงค์ให้ไป ท่านตอบในความฝันว่า "ไปไหว้ได้บุญ ถือโอกาสขอขมาพระรัตนตรัยด้วย เพราะกรรมในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจทำ จะได้เบาบาง" ที่ตรงนี้พระพุทธเจ้ามาเหยียบไว้ทั้ง ๔ พระองค์ ผู้เขียนจึงได้พาหมู่คณะไปกราบ ก่อนจะขึ้นไปพระบาท ๔ รอย ได้แวะกราบครูบาเทือง วัดบ้านเด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเรียนท่านว่ามาจากอยุธยา ท่านพูดว่า "อยุธยาเป็นเมืองนักรบ เมืองหอก เมืองดาบ พระมีพลังจิตอยู่หลายองค์ อย่างเช่น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่อเทียม วัดกษัตรา สำหรับ หลวงพ่อดู่ ท่านเป็นพระอริยเจ้านะ"

    พวกเรานึกอัศจรรย์ เพราะไม่มีใครกราบเรียนท่านมาก่อน และในขณะที่สนทนากับท่าน มีเรื่องที่แสดงถึงความลึกลับซับซ้อนอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่รับรองเกี่ยวกับศาสนาได้เป็นอย่างดีว่า เป็นของมีจริง พิสูจน์ได้ ทุกกาลสมัย....
     
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975

    พระเหนือพรหม และ มหาบารมีหลวงปู่



    เขาเล่าให้ฟังว่าเขาแต่งงานอยู่กินกับภรรยามา12ปีไม่มีบุตร เลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าจึงหมดหวัง และวันหนึ่งภรรยาได้ไปหาหมอเพราะระยะหลังเธอเมารถ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้4เดือน ผมดีใจมากภรรยาผมแพ้ท้องมากกว่าคนอื่นในที่สุดก็คลอดลูกเป็นผู้ชายโดยเธอ ต้องแบกท้องอยูสิบเดือนกว่า ผมรับลูกชายและภรรยากลับมาอยู่บ้าน ในวันหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่าดูหมอไหมครับนาย ผมรีบตอบทันทีว่าไม่ดูครับลุง แต่ไหนๆก็มาแล้วกินน้ำให้หายเหนื่อยก่อน ผมถามลุงมาจากไหน ชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นคนจรหมอนหมิ่นค่ำไหนนอนนั่น ผมนึกสงสารจึงดูหมอกับแกเลยหันไปถามภรรยาว่าดูอะไรดี ภรรยาว่าดูดวงลูกเราสิ แกบวกเลขอยู่พักใหญ่แล้วพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า ลูกของนายคงอยู่กับนายได้ไม่นานไม่ถึง2ฝนจะต้องตกน้ำเป็นตายร้ายดียังบอกไม่ ได้ แต่ถ้ารอดไปได้ฝนที่5จะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ตายหรือเป็นฟ้าดินกำหนดแต่ถ้ายังไม่วายชีวา ฝน7จะต้องอาวุธร้ายเป็นตายกำหนดยาก ถ้ารอดไปได้ถึงฝนเก้าเทวดาก็ช่วยยาก

    ชายชราพูดต่อว่าที่ผมบอกนายเป็นแต่ตอนร้ายหน่อย แต่ยังมีอีกมากถ้าบอกไปกลัวนายจะใจเสียผมจึงไม่กล้าบอกนายครับ ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจลุงเอาอะไรมาพูดตำราของลุงเดาเอาหรือเปล่า ท่าทางแกโมโหเหมือนกันแกพูดว่าถ้านายด่าหรือดูถูกผมไม่ว่ากัน นี่นายดูถูกตำราผม มันเกินไปผมทนไม่ได้ผมจะบอกให้เอาบุญตำราของผมตระกูลเราหลายชั่วอายุคนไม่ สอนคนนอกตระกูลคนที่จะเรียนได้ต้องเป็นลูกชายเท่านั้น ถ้าดูว่าร้ายก็ต้องร้ายถ้าดูว่าดีก็ต้องดี ดูตายไม่เคยมีใครรอดสักคนเลย แกพูดด้วยท่าทางดุดันและเอาจริง
    ผมมองดูแววตาแกมีอำนาจอะไรบางอย่างทำให้ผมขนลุกทั้งตัว ผมรู้สึกเกรงใจในความเอาจริงเอาจังของแกจึงพูดด้วยวาจาที่สุภาพว่า ลุงครับแล้วผมจะทำอย่างไรดีลุงช่วยผมหน่อยน่ะครับ แกมองผมอย่างเห็นใจ"พูดน่าฟังอย่างนี้พอคุยกันได้" ผมจะบอกให้ตำราท่านว่าดวงตกร้ายถึงปานนี้เทวดาช่วยไม่ได้ พระอรหันต์ท่านยังต้องวางเฉย แต่ผู้มีบุญใหญ่ช่วยได้ ผมถาม"ลุงครับผู้มีบุญกว่าพระอรหันต์ ผมจะหาได้ที่ไหนหล่ะ" ชาย ชราตอบว่าเรื่องนี้ผมก็ตอบนายไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามคุยกับแกเพื่อขอคำแนะนำแต่ก็หาทางออกไม่ได้ ผมคุยกับแกอยู่หลายชั่วโมงจนเย็นแล้วแกก็ลาผมจึงส่งเงินให้แกไป100บาท แกร้องโอ้โหตั้ง100หรือครับนายไม่เคยมีใครให้ผมมากเท่านี้เลย ชายชราผู้นั้นเดินออกจากบ้านผมไปไม่ไกลมากนัก แกหันมามองผมกับภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า"บุญเป็นของพึ่งได้จริง"


    แล้วแกก็หันเดินจากไปจนลับสายตา ชายแปลกหน้าจากไปแล้ว ผมก็บอกกับภรรยา "เธออย่าไปฟังหมอดูมากนัก เดี๋ยวจะไม่สบายใจ เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนจรหมอนหมิ่น เธออย่าคิดมากนะ โบราณก็เคยบอกคนจรหมอนหมิ่นเชื่อยาก" จากวันนั้นมาลูกชายเราก็ได้สองเดือนเขาเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย ๆ ผมและภรรยาต้องพาลูกชายเข้าออกคลีนิค-โรงพยาบาลหลายสิบครั้ง

    ลูกชายผมได้สองขวบ บ้านเราอยู่ติดกับแม่น้ำป่าสัก วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมและภรรยาออกไปธุระนอกบ้าน น้องสาวผมเลี้ยงลูกของผมอยู่ตามปกติ น้องสาวบอกผมว่า วันนั้นเธอไม่ค่อยสบาย เลยกินยาแก้ไข้ไปสองเม็ดจึงง่วงนอน และหลับไป ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินคนตะโกนว่า "เด็กตกน้ำ!" เธอก็วิ่งไปดู มองเห็นหลานนอนอยู่ โดยมีคนสองคนผายปอดให้อยู่ แต่เด็กก็ไม่มีอาการดีขึ้น คนข้างบ้านช่วยกันเอารถไปส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่า เด็กขาดอากาศนานเกินไป หมอไม่แน่ใจว่าจะมีความหวังอยู่เท่าไหร่ อยากให้ญาติทำใจ ลูกผมอยู่ รพ.หลายวัน อาการก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น และอยู่ ๆ วันหนึ่งลูกชายผมก็ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ไม่นานก็กลับบ้านได้ ลูกชายผมเกิดเรื่องอีกมากมายหลายอย่าง จนน่าเป็นห่วงว่าชีวิตของเขาจะรอดไปได้หรือไม่

    ในปีที่เขาอายุครบห้าขวบ ขณะเท่ากับห้าฝนพอดี ตอนนี้เขาเข้าโรงเรียนแล้ว วันนี้ที่เขาและเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ในสนามของโรงเรียน มีหมาตัวหนึ่งวิ่งตรงมากัดลูกชายผม จนเป้นแผลลึกและใหญ่ถึงสี่เขี้ยว ทั้ง ๆ ที่มีเด็กตั้งมากมายวิ่งเล่นกันอยุ่แต่หมาตัวนั้นกลับไม่สนใจเด็กคนอื่น กัดเฉพาะลูกชายของผมเพียงคนเดียว แล้วมันก็วิ่งจากไป เรารักษาเขาตามประสาแบบชาวบ้าน ผู้เฒ่าของชาวบ้านที่คนทั่วไปนับถือวาแกมีวิชาต่าง ๆ เช่น สูณฝี กวาดยา พ่นลมพิษ งูสวัต และรักษาได้อีกหลายอย่างตามแบบอย่างหมอประจำหมู่บ้านทั่วไป ผมพาลูกชายไปหาปู่ใหญ่ แกก็นำว่านยาหลายชนิดมาบดแล้วปิดแปลให้แกบอกว่า "ไอ้หนูไม่เป็นอะไร แล้วมาหาปู่ เปลี่ยนยาสามวันก็หาย" ผมถามปู่ใหญ่ว่า "คืนนี้ลูกผมจะปวดแผลหรือครับ" แกบอกว่า "รักษามามารกไม่เคยมีคนมาบอกว่าปวดเลยสักคน ว่านยาที่ใส่ให้แก้ได้ทั้งพิษงูและพิษสัตว์ร้ายต่าง ๆ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกไอ้หนู" ผมพาลูกชายไปให้แกเปลี่ยนว่านยาทุกวัน จนครบสามวัน แต่พอถึงวันที่สี่ลูกชายผมก็มีอาการหนัก ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก สิ่งเดียวที่คิดได้คือพาลูกชายไป รพ. พอถึงมือหมอทั้งหมอและพยาบาลวิ่งวุ่นไปหมด หมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงสงสัยหมาที่กัดเขาคงเป็นหมาบ้า ผมได้ยินคำว่าหมาบ้าผมนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะโชคร้ายถึงปานนี้ วันนี้ผมเฝ้าลูกชายอยู่ที่ รพ.ทั้งคืน ประมาณตีห้าผมก็เผลอหลับไป และก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งมาปลุกผมบอกว่า "กลับบ้านไปก่อนค่ะ ทางเราต้องเอาตัวเด็กไว้ก่อน ตอนนี้เด็กอยู่ในห้องไอซียู" ผมกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความหวังอะไรมากนัก เพราะผมเห็นอาการลูกชายขนาดนั้น คนเป็นพ่อยังคิดว่าจะรอดยาก อาการของเขาน่ากลัวตอนที่เขาชักจนตาค้างแล้วแน่นิ่งไป เป็นภาพที่ติดตาผมเวลานอนภาพนั้นจะปรากฏอยู่เสมอ ทำให้ผมข่มตานอนไม่ลงผมไป รพ.ทุกวัน เฝ้าเขาจนมืดหรือบางวันก็ดึก ถึงจะกลับบ้าน ผมนอนไม่กี่ชั่วโมงก็รีบตื่นแต่เช้าไปรพ.ผมทำอยู่อย่างนี้ถึงแปดวันในวันที่ เก้าคุณหมอก็บอกว่า "เด็กพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมดีใจกับคุณด้วยปาฏิหาริย์จริง ๆ" คุณหมอพูดแล้วเดินจากไป ส่วนผมยืนน้ำตาซึมและไหลออกมาจนเปียกแก้มสองข้าง ตอนนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตครึ่งหนึ่งที่หายไปของผมได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของผม ภรรยาและผมก็หวังจะฝากผีฝากไข้กับเขา ตอนไม่มีเขาเราสองคนก็ทำใจไว้แล้ว ว่าคงต้องอยู่กันตามลำพังไปจนเฒ่า และตายอย่างไม่มีผู้สืบสกุล แต่พอมีเขาความหวังเของเราก็เปลี่ยนไปจากคนสิ้นหวัง เป็นคนมีความหวัง ภรรยาของผมเป็นคนใจอ่อน จึงไม่กล้ามา รพ.ดูอาการลูกชาย คอยแต่ฟังข่าวเล่าที่ผมกลับบ้าน ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงให้เธอไป รพ.ผมกลัวเธอเห็นลูกชายเป็นอะไรไปแล้วเธอจะช็อก ผมไม่อยากเสียทั้งลูกชายและภรรยา วันนั้นพอผมได้ข่าวดีจากคุณหมอ ผมรีบกล้บบ้านไปบอกข่าวดีกับภรรยา พอภรรยาของผมเธอรู้ว่าลูกรอดตายแล้ว เธอดีใจจนน้ำตาออกมาแล้วเธอก็กอดผม และพูดว่า “ลูกเราไม่จากเราไปแล้วพี่”
    นับจากวันนั้นหวนคิดไปถึงคำพูดของคนจรหมอนหมิ่นหมอดูชรา ที่แกบอกว่า ฝนสองจะต้องตกน้ำ พอลูกผมอายุได้สองขวบเขาก็ตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และแกบอกต่อว่าถ้ารอดไปได้ฝนห้าจะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ลูกผมครบห้าขวบก็ถูกหมาบ้ากัด พึ่งรอดมาได้ แกยังพูดอีกว่า ฝนเจ็ดจะต้องถูกอาวุธร้าย เป็นตายกำหนดยาก คำพูดของแกไม่เคยผิดเลยสักครั้งแล้วครั้งที่สามจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมและภรรยาเกิดความกลัวถึงชะตากรรมของลูกชายเราทั้งสอง ว่าต่อไปจะดีร้ายอย่างไร

    คนแก่แถวบ้านผมบอกว่าลูกของเอ็งเป็นอย่างนี้โบราณเคราะห์ ร้ายดวงตก ต้องพาไปทำสังฆทานต่ออายุถึงจะดี แกบอกว่าเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ดังนั้นวันต่อมาผมและภรรยา ก็พาลูกชายตะเวนไปทำสังฆทาน บางวัดท่านก็อาบน้ำมนต์ให้บ บางที่ก็ให้นอนแล้วเอาผ้าขาวมาคลุมแล้วบังสกุล บางวัดก็ให้ลูกผมลงไปนอนในโลงศพ แล้วสวดมนต์หลายบทเป็นการต่อชะตาต่ออายุ เมื่อผมมีเวลาว่างใครบอกว่าวัดไหนดีที่ไหนคนเขาไปทำมาแล้วดีหายเจ็บไข้ ดวงไม่ดีก็ดีในเดือน ๆ อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งแต่ถ้าเดือนไหนผมว่าง ก็เดือนละสี่ถึงห้าครั้งเป็นอย่างน้อย ผมทำอย่างนี้มาเป็นเวลาเกือบสองปี ด้วยความหวังว่า ทำบุญมาก ๆ ชะตากรรมของลูกชายผมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

    แต่พอเขาอายุได้เจ็ดขวบ วัดข้างบ้านผมจัดงานประจำปี มีการละเล่นมากมายหลายอย่าง เช่น หนัง-ลิเก-วงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน และของขายอีกมากลูกชายผมและเด็กข้างบ้านหลายคน ทั้งที่เล็กกว่าเขาบ้างก็มีอายุมากกว่าเป็นรุ่นพี่หลายคนพากันไปเที่ยวงาน วัดตามปกติ เวลาผานไปสักสองทุ่มเห้นจะได้ คนข้างบ้านก็วิ่งมาบอกว่า "พี่..ลูกพี่ถูกยิง!" ผมพูดตอบเขาไปว่า "เป็นไปได้ยังไง ลูกผมเพิ่งเจ็ดขวบจะไปมีเรื่องถึงขนาดถูกยิงมาบอกบ้านผิดหรือเปล่า" เขารีบเถียงว่า "ไม่ผิดหรอก พี่รีบไปดูลูกของพี่เถอะ เลือดท่วมตัวเลย" เมื่อเขายืนยันอย่างนั้น ผมก็รีบวิ่งไปที่งานวัด สิ่งที่ผมเห็นมีคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรบางอย่าง ผมวิ่งแหวกฝูงคนเข้าไป ก็เห็นลูกชายของผมเลือดเต็มตัวไปหมดมีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดใกล้ ๆ และมีคนตะโกนว่า "เอาเด็กขึ้นรถเร็ว" ผมไม่รอให้เขาบอกเป็นครั้งที่สอง ผมรีบอุ้มลูกขึ้นรถและก็กอดลูกชายไปตลอดทาง พอถึงโรงพยาบาล ผมอุ้มลูกลงจากรถและก็วิ่งเข้า ปากก็ร้องตะโกนว่า “หมอช่วยลูกผมด้วย” ผมร้องซ้ำ ๆ อย่างนั้นตลอดทางจนถึงห้องไอซียู มีหมอและพยาบาลสามสี่คนวิ่งออกมารับ เขานำลูกผมเข้าห้องผ่าตัด พอผมจะไปดูลูกยอ่งใกล้ชิด จะเข้าเขตประตูห้องผ่าตัด พยายาลคนหนึ่งร้องบอกว่า “คุณคะเข้าไปไม่ได้ รออยู่ข้างนอกก่อน” เป็นอันว่าผมต้องรออยู่ข้างนอก ผมเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง ตัวเองเดินวนไปมากี่รอบ นานจนผมคิดว่าผมไม่เคยรออะไรนานขนาดนี้เลย ในที่สุดคุณหมอก็ออกมาบอกว่าหมอได้ผ่าเอากระสุนออกจากตัวเด็กแล้ว เขาถูกยิงถึงสามนัด ตอนนี้ยังไม่ได้สติหมอยังบอกอะไรคุณๆไม่ได้มากกว่านี้ คืนนั้นผมอยู่ที่รพ.ถึงเช้า ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าของผมมีแต่เลือดของลูกชายแดงเต็มอกเสื้อ พอเช้าเช้าเพื่อนของผมรู้ข่าวก็พากันมาเยี่ยมกันหลายคน มีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นมีเรื่องกัน ชกต่อยกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ขณะกำลังชุลมุนกันอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด วัยรุ่นต่างแตกกระจายวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หันมาเห็นอีกทีลูกของผมก็นอนอยู่ที่พื้น ผมพูดกับเพื่อนว่า “พวกมันมีเรื่องกันต่อยกันและก็ยิงปืนใส่กันพวกมันไม่เป็นอะไร แต่ลูกกูไม่ได้มีเรื่องแต่กลับถูกลูกปืนกูไม่เข้าใจจริงๆ" ลูกของผมนอนอยู่ รพ.หลายวันคุณหมอก็บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ รพ.เดือนกับห้าวันจึงกลับบ้านได้

    เขากลับมาอยู่กันอีกครั้ง ผมและภรรยายิ่งให้ความรักและความห่วงใยเขามากกว่าเก่า ภรรยาของผมพูดกับผมว่า "ลุง หมอดูบอกว่าลูกเราเจ็ดฝนจะถูกอาวุธร้ายนี่พอเขาเจ็ดขวบลูกเราก็ถูกยิงแต่ ครั้งนี้ลูกเรารอดมาได้ ก้เพราะอาจเป็นบุญที่เราพาเขาทำมาตลอด แต่ครั้งหน้าลูกเราคงไม่รอดหรอกพี่ เพราะหมอดูเฒ่าแกบอกว่าฝนเก้าเทวดาก็ช่วยไม่ได้" ผมปลอบใจภรรยาว่า "แกอาจดูไม่ถูกก็ได้" เธอเถียงทันที "พี่ก็บอกย่างนี้ทุกทีแล้วเป็นไง ลุงหมอดูแกพูดอย่งไรไม่เคยผิดเลยสักครั้ง” ผมจนด้วยเหตุผลเลยเถียงเธอไม่ขึ้น เพราะสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงทุกอย่าง ผมเริ่มคิดหนักว่าลูกจะไม่มีชีวิตอยู่กับเราไม่นานเท่าไร แต่ไม่กล้าบอกภรรยา ได้แต่พาลูกชายไปทำบุญให้ได้มากที่สุด เพราะผมเชื่อว่า บุญเท่านั้นที่จะติดตามเหมือนเงาตามตัวเขาไปได้ นอกจากบุญคงไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย ผมยังจำได้ก่อนหมอดูชราจะจากไป แกหันมาพูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง”

    ลูกชายผมเกิด พ.ศ.2520 ตอนนี้ พ.ศ.2529 ลูกชายของผมก็จะมีอายุ 9 ขวบพอดี ปีนั้นลูกชาย อยากไปเที่ยวที่ไหน ผมและภรรยาไม่เคยขัดใจเขา ลูกอยากกินอะไร ภรรยาจะให้เขากินตลอด ในปีนั้นผมและภรรยาหยุดงานมากเป็นพิเศษ ใช้เวลาอยู่กับลูกชายเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มาบอกว่า ที่ วัดสะแกเกิดปาฏิหาริย์ คนกรุงเทพฯ จะมาเป็นเจ้าภาพกฐินเพื่อซ่อมหลังคาโบสถ์อยู่ ๆ ภาพหลวงปู่ทวด หลวงพ่อดู่ ก็ปรากฏขึ้นตามองค์พระพุทธรูปที่ฉัตรหน้ากุฏิหลวงพ่อดู่ ก็มีเทวดาอยู่ตามชั้นของยอดฉัตรเต็มไปหมด ผมถามเพื่อนว่าขนาดมีเทวดาเชียวหรือ นึกว่าเทวดามีแต่ในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ และผมก็พาลูกชายกับภรรยาไปวัดสะแก แต่ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรมากนัก ไปทำบุญเหมือนกับวัดอื่น ๆ ที่เคยไปทำบุญมา ผมไปถึงวัดหลังเพล พระท่านฉันเพลแล้ววันนั้นมีคนไปทำบุญมากพอสมควร ผมและภรรยาทำบุญ ใส่ตู้กฐินคนละหนึ่งร้อยบาท ส่วนลูกชายผมเขาล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงของเขาแต่เขามีเงินอยู่เพียงห้าบาท ผมเห็นเขาเอาเงินใส่ตู้กฐินและยกมือขึ้นไหว้ เห็นดังนั้นผมก็บอกเขาว่าเดี๋ยวพ่อให้ร้อยหนึ่ง แล้วไปใส่ตู้ใหม่นะลูก พอดีมีคนสองคนเดินผ่านมา คนหนึ่งพูดว่า "รีบไปกันเถอะหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว"

    พอผมได้ยินว่ารีบไปกันเถอหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว ผมหันมาบอกภรรยา "เรารีบไปหาหลวงพ่อก่อนเถอะ" เราทั้งสามคนก็ไปที่กุฏิหลวงพ่อดู่ มีคนอยู่ก่อนแล้วสิบกว่าคน ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปใกล้ท่าน และกราบท่านสามครั้ง ท่านเห็นเราทั้งสาม ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตา

    ผมพูดบอกท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมพาลูกชายมาให้หลวงพ่อเมตตาสะเดาะเคราะห์ให้เขาครับ" ผมทำท่าจะเล่าความเป็นมาของลูกชายผมให้ท่านฟัง ท่านก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วท่านพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แกไม่ต้องบอกหรอก” ผมนึกในใจยังไม่ได้เล่า ท่านจะรู้ได้อย่างไร ผมถามต่อ “หลวงพ่อครับผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับ” ท่านตอบ “ไม่ต้องเตรียมอะไร” ผมร้อง “อ้าว แล้วจะทำอย่างไร"

    ผมก็พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอให้ลูกชาย เอาเงินไปใส่ตู้กฐินทำบุญก่อนนะครับ” ท่านพูดว่า “ห้าบาทก็เกินพอแล้ว” ท่านเรียกลูกชายผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกเขาว่า "เดี๋ยวเวลาข้าให้พร แกก็พูดว่า พรใด ๆ ที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าตลอดไป แกเข้าใจไหม” เขาตอบท่านว่า “เข้าใจครับ” และหลวงพ่อก็เริ่มให้พร ลูกผมก็พูดตามที่ท่านสอน ไม่ถึงห้านาที ท่านลืมตาขึ้นแล้วบอกว่า "เสร็จเรียบร้อย" ผมถามท่านทันทีว่า “เสร็จแล้วหรือครับหลวงพ่อ” ท่านตอบ “ก็เสร็จนะสิ” ผมบอกท่านว่า "ไปมาหลายที่ ทุกวัดเขาทำกันตั้งนาน ให้นอนในโลงศพบ้าง อาบน้ำมนต์ก็มีสารพัดวิธี บางทีเป็นชั่วโมงก็เคย" ท่านตอบว่า “ข้าไม่ต้องตั้งท่ามาก” ท่านหันไปพูดกับลูกชายผมว่า “เอ็งมันดวงไม่เหมือนชาวบ้านเขา เอาพระเหนือพรหมของข้าไปติดตัวไว้” ผมบอกท่านอีกว่า “หลวงพ่อครับ หมอดูบอกว่ลูกชายผมจะอยู่ไม่เกินเก้าขวบ” ท่านก็ว่า “ข้าไม่ใช่หมอดู แต่ข้าบอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายหรอกแก” ผมคิดในใจว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งฟังอยู่ใกล้ๆ เขาพูดกับผมว่า "แต่ โบราณมาเชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีร้าย ยากจน หรือร่ำรวยและมีชีวิตอยู่ยืนยาวหรือสั้นก็ตามแต่ท่านจะลิขิต หลวงพ่อดู่ของพรวกเราสอนว่า “ใครจะใหญ่เกินกรรม” ท่าน ให้พวกเราทำแต่กรรมดี พี่ไม่ต้องกลัวลูกชายตายหรอก เพราะหลวงพ่อท่านให้พระเหนือพรหมเขาไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพี่กับลูกทำบุญกฐินปีนี้กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่ากฐินปีนี้เป็นบุญใหญ่ แม้แต่เทวาเทพ พรหม ยังมาร่วมอนุโมทนาด้วยเลย" ใคร ๆ เขาก็เห็นกันทั้งวัด ผมก็เห็นเหมือนกัน ผมเกิดมาไม่เคยเห็นหลวงปู่ทวด วันนี้มาวัดสะแกก็ได้เห็นเป็นบุญตา เราสามคนลาหลวงพ่อดู่กลับ ท่านก็พูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง” ผมนึกในใจเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหน นึกไม่ออก

    เขาบอกว่าเวลาใดผ่านไปนานหลายปี ทุกวันนี้เขายังคิดถึงหลวงพ่อดู่อยู่ตลอด เพราะท่านมีพระคุณกับครอบครัวของเขามากเหลือเกิน หลวงพ่อดู่ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ท่านจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

    ผู้เขียนพบกับเขาที่วัดสะแก เมื่อปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า ลูกชายทำบุญเพียงห้าบาทกับกฐินครั้งนั้น หรือเป็นเพราะหลวงพ่อดู่ท่านให้พร หรือเพราะพระหรหมของหลวงพ่อ ที่ลูกชายผมห้อยคอจนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขารอดชีวิตมาถึงปี พ.ศ.2540

    พุทธคุณและปาฏิหาริย์ของพระเหนือพรหม ของหลวงปู่ดู่ ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อดู่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าพระเหนือพรหมของหลวยงพ่อ ใครมีไว้บูชา เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี คนดวงตกก็รอดได้ ผู้ใดได้ไข้ได้เจ็บก็หายผี และปีศาจร้ายมิอาจกล้ำกราย คุณไสยมนต์ดำการกระทำย่ำยีมิอาจครอบงำ ผู้ใดเป็นศัตรูคิดร้าย จะพินาศด้วยวิบากกรรมของตนเอง บูชาติดตัวไว้ เทพ พรหม เทวดาและมนุษย์รักใคร่เมตตาปราณี ถ้าถึงเวลาหมดอายุจิตสงบพบทางสว่างมีสุขคติเป็นที่ไปผู้ที่มีพระเหนือพรหม ของหลวงพ่อองค์เดียวก็เกินพอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2_Resize.jpg
      2_Resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.2 KB
      เปิดดู:
      53
  20. Arrowhead

    Arrowhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +638
    วันนี้มีถ่ายทอดสดภาพและเสียงตอบปัญหาธรรมและสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์กับหลวงตาม้าครับ...

    วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) : สมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้า<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...