ทานบารมีเต็มได้ยังไง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 11 พฤษภาคม 2024.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,787
    กระทู้เรื่องเด่น:
    77
    ค่าพลัง:
    +225,488
    428146620_808667674626305_1001546307699667199_n.jpg
    ทานบารมีเต็มได้ยังไง


    "ฆราวาสนี่มีทางทำให้ทานบารมีเต็มไหมครับ"

    มี ก็พระพุทธเจ้าท่านเคยเป็นฆราวาสมาก่อน ฆราวาสที่เขาฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์น่ะ เขาเต็มทุกอย่างทั้ง 10 อย่างเต็มหมดแล้ว

    แต่ว่าคำว่าสาวก เขาแปลว่า ผู้รับฟัง ถ้าไม่รับฟังคำสอนนี่บรรลุอรหันต์ไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่เต็มตุ่มแล้วแต่เจ้าของไม่รู้จักเปิดฝา

    "ฉะนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุได้อยู่ที่ว่าไม่ได้เปิด"

    ยังไม่ได้ฟัง สาวกภูมิ สาวกะ แปลว่า ฟัง ยังไงล่ะ

    "ทีนี้ว่าจะทำบุญแบบไหนถึงจะไปเจอพระที่เปิดฝาถูกใจและได้ผลเร็ว"

    ก็ทำบุญกับฉันชิ (หัวเราะ) เอาย่ามเปิดไว้เสมอ

    อย่างถามเมื่อกี้น่ะมันเหตุมีผล การรับฟังนี่ต้องเฉพาะบุคคลที่เคยเนื่องกันมา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่จะโปรดคนได้ทุกคน สังเกตุไหมว่าเวลาที่จะตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตอนหัวค่ำน่ะตรวจไกลเข้ามาหาใกล้ ถ้าตอนเช้ามืดตรวจใกล้ไปหาไกล หมายความถึงว่าตรวจตั้งแต่ใกล้ที่กุฏิยาวไปทั่วจักรวาล ถ้าไกลเข้าหาใกล้หมายถึงว่าจากจักรวาลไปหากุฏิว่า วันนี้ใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ใครตกในข่ายพระญาณบ้าง ใช่ไหม

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยทุกวัน ต้องพบว่าคนนั้นคนนี้ต้องบรรลุมรรคผลอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร บุญเก่าทำอะไรไว้ จะไปพูดว่ายังไงจึงบรรลุมรรคผลนี่ รู้หมด

    แต่ทว่าถ้าตรวจอีกครั้งอีกจุดว่าเราจะไปก่อนเองดีหรือให้ใครไปก่อน คนนี้เคยเนื่องกับเราหรือเปล่า ถ้าเคยเนื่องกับพระองค์ก็โปรดเอง ถ้าไม่เคยเนื่องกับพระองค์พระองค์ก็ทรงดูก่อนว่าพระอยู่กับท่าน มีใครบ้างไหมที่เคยทำบุญร่วมกับคนนี้มาก่อน ถ้ารู้ว่าองค์นั้นเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน ใช้องค์นั้นไปก่อน เขาจะพูดกันรู้เรื่องง่าย

    ในเมื่อองค์นั้นไปแล้ว เรียกว่าทะเลาะกันก่อน ไม่ใช่ดีกันนะ โต้กันไปเถียงกันมา เถียงไปเถียงมา แพ้ แพ้พระใช่ไหม ทีนี้พระพุทธจ้าก็เสด็จเหาะไปเลย เหาะไปเดี๋ยวนั้นเลย เหาะไปแล้วก็ลงไปนั่งข้างๆ พระองค์นั้นก็เข้าไปกราบ ว่านี่คืออาจารย์ของเรา พราหมณ์นั้นเลยนึกว่าลูกศิษย์เก่งขนาดนี้ อาจารย์จะเก่งมากกว่านี้เลยรับฟังเทศน์ พอเทศน์จบก็เป็นพระอรหันต์

    ฉะนั้นการรับฟังการแนะนำก็เหมือนกัน เวลานี้เวลานั้นก็เหมือนกัน คนต้องเนื่องกันมาในชาติก่อน ถ้าไม่เนื่องกันมาไม่มีทางรู้เรื่อง

    "ยังงั้นก็แสดงว่าลูกหลานทั้งหมดที่นั่งกันประจ๋อประแจ๋นี่ ก็ทั้งเนื่องทั้งเกี่ยวกันมานะครับ"

    ก็ไม่แน่ประเภทลองมาดูก็มี รู้ทุกวันแหละ ใครนั่งตรงไหนก็รู้หมด

    "อยากจะขอคำแนะนำในการวางกำลังใจเวลาทำบุญทุกครั้งครับ"

    ก็ตั้งใจไว้ อั้ว...จะทำบุญๆ

    "นี่หลวงพ่อพูดพระไตรปิฏกฉบับจีน"

    ใช่ๆๆ มันใกล้ประเทศไทยประเทศจีนมันติดกัน

    "อ๋อ..ตั้งใจล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะทำๆๆ"

    ทำด้วยจิตบริสุทธิ์อานิสงส์มันสูง ทำ ทำด้วยความจำใจได้เหมือนกันแต่ผลมันต่างกัน บุญเท่ากันเป็นเทวดาได้เหมือนกัน เป็นนางฟ้าได้เหมือนกัน แต่หน้ายู่ ความเป็นทิพย์เศร้าหมอง ไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่จิตนะ

    "หลวงพ่อคะ ที่หลวงพ่อบอกว่าที่สมเด็จฯบอกว่า จะเอาของทั้งหลายทั้งโลกทำให้บารมีเต็ม แสดงว่าการทำบารมีให้เต็มนี่ขึ้นอยู่กับของที่ถวายใช่ไหมคะ"

    ไม่ใช่ แต่ว่ามันขึ้นกับของเหมือนกัน แต่ของก็เนื่องด้วยกำลังใจ ถ้าไม่มีของให้ก็ไม่ถือว่าทานบารมี แต่ของไม่เต็มโลก

    ให้กำลังใจมันเต็ม จิตพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ

    แต่จิตไม่คิดจะขโมยใคร ไม่อยากจะลักของใคร

    "คือว่าเวลาทำบุญ อย่างเราทำบุญด้วยปัญญาว่า ทำบุญให้ฉลาดให้บารมีเพิ่มพูนด้วย"

    คำว่าบุญ เขาแปลว่าดี ทำบุญคือทำความดี ใช่ไหม บาป เขาแปลว่าชั่ว ทำบาป คือทำความชั่ว

    "ทุกวันนี้คะ ศีลก็รักษา บุญก็ทำ แต่ทำไมยังไม่ก้าวหน้าเรื่องธรรมะเลย พอหลวงพ่อไม่อยู่ก็ฟุ้งซ่าน"

    ก็ก้าวหน้าทุกวันหมดเรื่องหมดราว ใครเขาถอยหลัง ไม่มีใครเขาเดินถอยหลัง บางครั้งบางคราวนานๆ จะเดินถอยหลังสักครั้งหนึ่ง มันก้าวหน้าทุกวันเรื่อยๆ มันแก่ทุกวัน

    "พอหลวงพ่อไม่อยู่ นิวรณ์ก็ครอบ เป็นคนขี้โมโห"

    ดี ไอ้นั่นดีมาก เป็นการพิสูจน์กำลังของตัว ต้องมีประสบการณ์ เขาทรายเมื่อคืนนี้ถ้าไม่ชกกันไม่รู้ว่าเก่ง เห็นไหม

    "อ้อ ถ้าไม่ขึ้นซ้อมก็ไม่รู้"

    ใช่ ขึ้นซ้อมก็ยังไม่แน่ต้องขึ้นชกจริง นี่กรรมเก่าเข้ามาสนองจริงๆ เราแพ้หรือชนะ มันก็ต้องชนะบ้างแพ้บ้างเป็นของธรรมดาเพราะยังไม่หมดกิเลส

    "แล้วประเภทแพ้ตลอดล่ะครับ"

    แพ้ตลอดน่ะดีมาก อ้าว..ไม่ต้องนับไงเล่า (หัวเราะ) พอขึ้นไปก็แพ้เลย ไม่ต้องเสียเวลาซ้อม

    "ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่าการปฏิบัติยังขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง จะได้พัฒนาขึ้นบ้างคะ"

    เอายังงี้ก็แล้วกัน ขาดตกบกพร่องทั้งหมด ต้องใช้ค่าครูแพงหน่อย (หัวเราะ)

    "การปฏิบัตินี่บางทีแพ้ บางทีก็ชนะบ้างยังไม่เป็น"

    ก็เป็นของธรรมดา ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสเพียงใด คำว่าแพ้ ยังปรากฏ ไอ้คำว่าสิ้นกิเลสนั่นหมายถึงว่า เอาสังโยชน์ 10 เข้ามาวัด ไม่ใช่เดาส่งเดชกัน

    การปฏิบัติถ้าไม่เข้าสังโยชน์ 10 ก็ไม่ไหว ทำยังไงก็ไม่ไปไหน นั่งสมาธิกันเฉื่อยไป กูเห็นนั่นกูเห็นนี่ กูเห็นนี่กูเห็นนั่น ไม่ได้เรื่อง

    "ที่เป็นอยู่ก็รักษาศีล สมาธิไม่ค่อยได้นั่ง ถ้าเกิดตายไป จะไปนิพพานได้ไหมคะ?

    ศีล สมาธิ ปัญญา แต่มันก็ไม่แน่ลูก การใช้ปัญญามันใช้ไม่มาก เราจะรู้ได้เมื่อเวลาเราจะตาย เราฟังเรื่องนิทานเป็นปกติ

    "ทำบุญทุกครั้งก็อธิษฐานว่า ขอไปนิพพานๆๆ"

    การทำบุญกับพระ การบูชาพระ ก็ขออธิษฐานว่า ไปนิพพานชาตินี้ ตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพาน ทีนี้ถ้าเวลาเราจะตายจริงๆ มันเกิดเบื่อร่างกายขึ้นมา เวลานั้นจิตหวังนิพพาน มันก็ไปนิพพานทันที

    "อ๋อ...ทุกคนเวลาป่วยจัดๆใกล้จะตาย มันก็ไม่อยากได้อะไรอีก"


    ใช่ มันไม่มี จะได้มันป่วยแล้วอยากไปโอ๊ยๆๆๆ อยากรวยใหญ่น่ะ (หัวเราะ)


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 123 เดือน พฤษภาคม 2534 หน้า 23-25)
     

แชร์หน้านี้

Loading...