ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    Wow หลุมยุบขนาด กลืนต้นไม้ใน Harper รัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา

    24/01/2019

    IMG_8241.JPG IMG_8242.JPG IMG_8243.JPG IMG_8244.JPG IMG_8245.JPG IMG_8246.JPG

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    น้ำท่วมกระทันหันใน sao paulo บราซิล


    24.01.2019
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ces%2Fimg%2Feditorial%2F2018%2F12%2F20%2F105640543-1545338684658gettyimages-1030649332.1910x1000.jpg

    (Jan 24) GDP สหรัฐในไตรมาส 1 มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำหรือเข้าใกล้ศูนย์ หาก government shutdown ยังคงดำเนินต่อไป: นาย Kevin Hassett, the Chairman of the White House Council of Economic Advisers ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN โดยมองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประจำไตรมาสหนึ่ง มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำหรือเข้าใกล้ศูนย์ หาก government shutdown ยังคงดำเนินต่อไปจนครบหนึ่งไตรมาส โดยประมาณการผลกระทบต่อ output ที่ร้อยละ 0.13 ต่อสัปดาห์

    ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประจำไตรมาสหนึ่ง ปรับลดลงร้อยละ 0.8 สู่ร้อยละ 1.5 ทั้งนี้ นาย Hassett คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวอย่างก้าวกระโดดที่ร้อยละ 4–5 ในไตรมาสสอง เมื่อ government reopen

    ขณะที่นาย Bernard Baumohl, Chief Global Economist at the Economic Outlook Group LLC ให้ความเห็นว่านาย Hassett มีมุมมองเชิงบวกเกินไป โดยคาดว่าหนี้สินจากการใช้บัตรเครดิตในไตรมาสแรก จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและการออมอย่างมีนัยสำคัญ อนึ่ง นาย Hassett ไม่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2020

    Source: BOTSS

    - White House chief economist: We could see ‘zero’ growth in first quarter because of shutdown: https://www.cnbc.com/…/white-house-chief-economist-we-could…

    ความคืบหน้า
    - ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐเตรียมปิดดำเนินการชั่วคราววันที่ 1 ก.พ. ขณะปัญหาชัตดาวน์ยังยืดเยื้อ: https://www.ryt9.com/s/iq37/2944670
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    biznews.com%2Fimage%2Fmedia%2Fimage%2Fnews%2F2019%2F01%2F24%2F825064%2F750x422_825064_1548302052.jpg
    (Jan 24) ธปท.คาดใช้จ่ายตรุษจีนสะพัด6.2 หมื่นล้าน เพิ่ม35%จากปีก่อน : ธปท.คาดช่วงเทศกาลตรุษจีนยอดการใช้จ่ายสะพัด คาดแบงก์พาณิชย์เบิกจ่ายธนบัตรสูงถึง6.2หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น35% หากเทียบกับตรุษจีนปีก่อน

    นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประชาชนมีความต้องการใช้ธนบัตรสูงกว่าปกติ ธปท. คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะเบิกจ่ายธนบัตรสุทธิประมาณ 62,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีการเบิกจ่ายธนบัตร 46,000ล้านบาทครับ

    ทั้งนี้ ธปท. ได้กำชับให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมสำรองธนบัตรใหม่อย่างพอเพียง เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนในช่วงเทศกาล

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/825064
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ichef.bbci.co.uk%2Fnews%2F1024%2Fbranded_news%2F3515%2Fproduction%2F_105298531_huawei.chairman.g.jpg
    (Jan 24) หัวเว่ยพร้อมถอนความร่วมมือประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ หลังหลายชาติกังวลความปลอดภัยเทคโนโลยี 5G : สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัท หัวเว่ย บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากประเทศจีน ออกมาประกาศจะถอนความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ที่ลุกขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์กับหัวเว่ย หลังจากชาติตะวันตกพากันแสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5จี ของหัวเว่ยว่าอาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศได้

    นายเหลียง หัว ประธานฝ่ายบริการด้านอุปกรณ์โทรคมนาคม ของหัวเว่ย กล่าวในที่ประชุมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 มกราคมว่า หัวเว่ยยินดีที่จะให้รัฐบาลของชาติตะวันตกเข้าไปดูสถานที่ประกอบการของหัวเว่ย หากมีความเป็นห่วงกังวลว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจจะถูกนำไปใช้เพื่อการจารกรรมข้อมูล

    โดยนายเหลียง ยังได้ย้ำถึงคำกล่าวของนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย ที่มีความเชื่อมั่นอย่างมากต่อระบบกฎหมายของแคนาดา ที่จับกุมตัวนางเมิ่ง หวั่นโจว ประธานฝ่ายการเงินของหัวเว่ย และบุตรสาวของนายเหรินไป ตามคำขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของสหรัฐอเมริกา และบอกด้วยว่า การจับกุมตัวชาวแคนาดา 2 คนของทางการจีนหลังจากที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการแก้แค้นของรัฐบาลจีนนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหัวเว่ยแต่อย่างใด

    ขณะที่หลายประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก และในยุโรปหลายชาติต่างพากันแบนอุปกรณ์เครือข่ายของหัวเว่ย เนื่องจากกังวลเรื่องความมั่นคง แต่ก็ไม่ใช่ในทุกประเทศ เพราะอย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี 5จี ของหัวเว่ยก็ยังถือเป็นผู้นำในตลาดและมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งนายเหลียงกล่าวยืนยันว่า หัวเว่ยไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสังคมดิจิทัลในอนาคต และว่าสหรัฐอเมริกาเองก็ไม่ได้มีหลักฐานใดๆที่จะมายืนยันคำกล่าวอ้างที่สหรัฐระบุว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยมีไวรัสม้าโทรจันฝังอยู่ เพื่อเป็นตัวช่วยในการจารกรรมให้แก่รัฐบาลปักกิ่ง

    อย่างไรก็ตาม นายเหลียงกล่าวว่า หากหัวเว่ยถูกกีดกันจากตลาดและลูกค้าเริ่มเบี่ยงเบนไปเจ้าอื่น หัวเว่ยก็จะถอนความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ไปให้ประเทศที่ยินดีต้อนรับ ที่สามารถร่วมมือด้วยกันได้

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    - Huawei warns it may pull out of some countries : https://www.bbc.com/news/business-46963971

    ************************
    ทูตแคนาดาประจำจีนยอมรับ ทายาทหัวเว่ย "มีโอกาสรอด"

    เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำกรุงปักกิ่งยอมรับว่า น.ส.เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารระดับสูงและทายาทคนโตผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย มีโอกาส "โต้แย้งอย่างมีน้ำหนัก" ต่อการเนรเทศ ที่รวมถึงท่าทีของสหรัฐเอง ซึ่งอาจทำให้ศาลมองว่าเรื่องนี้เป็น "คดีการเมือง"

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ว่านายจอห์น แมคคัลลัม เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำกรุงปักกิ่ง กล่าวเมื่อวันพุธ เกี่ยวกับการต่อสู้คดีของน.ส.เมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารระดับสูงและบุตรคนโตของผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เมืองแวนคูเวอร์ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ปีที่แล้ว ตามหมายจับของสหรัฐในคดีคว่ำบาตรอิหร่าน และมีกำหนดขึ้นศาลในวันที่ 6 ก.พ. นี้เพื่อต่อสู้กับคำร้องของรัฐบาลวอชิงตัน ซึ่งต้องการให้แคนาดาส่งตัวเธอในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ยอมรับว่าน.ส.เมิ่งมีโอกาสแสดง "ข้อโต้แย้งมีน้ำหนัก" ในหลายประเด็น ที่รวมถึงท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องนี้ ซึ่งมีแนวโน้มทำให้ศาลจะมองว่า เรื่องนี้เป็น "คดีการเมือง"

    ขณะเดียวกัน แมคคัลลัมกล่าวเป็นนัยด้วยว่า แม้รัฐบาลวอชิงตันยืนยันว่าจะส่งคำร้องอย่างเป็นทางการให้ทันตามกำหนดคือภายในวันที่ 30 ม.ค. นี้ ซึ่งถือว่าครบ 60 วันตามกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของรัฐบาลออตตาวา แต่โดยส่วนตัวเขามอง "ทางออก" ในคดีของทายาทหัวเว่ยไว้ 3 ทาง ประการแรกคือแคนาดาเนรเทศน.ส.เมิ่งไปยังสหรัฐตามคำร้อง และทุกฝ่ายต้องยอมรับกับ "สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา" ซึ่ง "อาจไม่ใช่เรื่องดี" และการที่น.ส.เมิ่งยังมีโอกาสนานอีก 1 ปีในการอุทธรณ์การเนรเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดทางออกที่สองตามมา นั่นคือการที่สหรัฐและจีน "บรรลุข้อตกลงร่วมกันเอง" เพื่อยุติคดีนี้ หรือประการสุดท้ายคือการส่งคำร้องของรัฐบาลวอชิงตันที่ "ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ"

    ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคำกล่าวของแมคคัลลัม หลังยืนยันมาตลอดว่าฝ่ายบริหารไม่สามารถแทรกแซงอำนาจของฝ่ายตุลาการได้ ขณะที่รัฐบาลวอชิงตัน และรัฐบาลปักกิ่ง ตลอดจนบริษัทหัวเว่ยยังสงวนท่าทีต่อคำกล่าวของเอกอัครราชทูตแคนาดาในครั้งนี้.

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
    https://www.dailynews.co.th/foreign/689464
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    %3A%2F%2Fcdn.cnn.com%2Fcnnnext%2Fdam%2Fassets%2F190123160658-trump-pelosi-split-0123-super-tease.jpg
    (Jan 24) ทรัมป์ทวีต ยอมแถลงนโยบายประจำปีหลังชัตดาวน์สิ้นสุด : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เผยผ่านทางทวิตเตอร์ในช่วงดึกวันพุธตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐว่า ตนเองจะกล่าวแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสภายหลังจากที่หน่วยงานของรัฐบาลกลับมาเปิดทำการแล้ว

    สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทรัมป์ทวีตว่า "ผมจะไม่กล่าวแถลงนโยบายจนกว่าชัตดาวน์จะสิ้นสุดลง และผมไม่ได้มองหาสถานที่สำรองที่จะจัดการแถลง เพราะขณะนี้ไม่มีสถานที่ใดที่จะมาเทียบกับประวัติศาสตร์ ประเพณี และความสำคัญของสภาคองเกรส"

    การทวีตดังกล่าวถือเป็นการปิดฉากวันแห่งดรามาระหว่างทรัมป์ และนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ตอบโต้กันไปมาเกี่ยวกับช่วงเวลาและสถานที่สำหรับการจัดการแถลงนโยบาย

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/ปนัยดา

    - Trump says he won't give State of the Union during shutdown after being disinvited by Pelosi

    https://edition.cnn.com/2019/01/23/...6_k5dc4F-9Yc8bqwoXeZKKUMlaCc5YvTe9M4KgRsFJSzY
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    PsmAbZMJ_09wRSzNhAnx3LkfcWdAAYoPl47q_qNpvCEEpgzaAdUPnxfFqCsoRNu-rEmU7hLA&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png
    (Jan 24) แบงก์เน้นแกร่ง กำไรโตน้อย : งบการเงินกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ในปี 2561 ได้ออกมาครบทั้ง 11 ธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งภาพรวมกำไรสุทธิยังเติบโตอยู่กว่า 8% มาอยู่ที่ 2.02 แสนล้านบาท แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรจะถูกกดดันจากหลายทาง ทั้งค่าธรรมเนียมที่ลดลง และค่าใช้จ่ายตั้งสำรอง รวมทั้งงบลงทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

    ทั้งนี้ ในบรรดาธนาคารพาณิชย์ พบว่า มี 2 ธนาคารมีแสดงผลประกอบการกำไรสุทธิน้อยลง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย

    ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารใหญ่แห่งเดียวที่กำไรสุทธิหดตัว 7.14% หรือจากปี 2560 กำไรสุทธิ 4.3 หมื่นล้านบาท เป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2561 ซึ่งมีเหตุผลเฉพาะตัว จากการเร่งตั้งสำรองหนี้สงสัยจะ สูญเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายถึง 8,900 ล้านบาท และทั้งปี ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งสำรองทั้งสิ้น 2.4 หมื่น ล้านบาท จนอัตราสำรองต่อหนี้เสียเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 147%

    อารักษ์ สุธีวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านการเงินและด้านกลยุทธ์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในปี 2562 จะเป็นไปด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มเศรษฐกิจและการปรับพอร์ตไปมุ่งเน้นธุรกิจสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและดิจิทัลเลนดิ้ง ซึ่งปี 2562 การกำหนดต้นทุนการปล่อยสินเชื่อ (เครดิตคอสต์) ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเป็น 1.15-1.35%

    อีกธนาคารหนึ่งที่มีกำไรสุทธิติดลบ คือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อเห็นตัวเลขกำไรสุทธิอาจแปลกใจว่าทำไมมีเพียง 6.9 ล้านบาท เท่านั้น ติดลบถึง 98.2% แต่หากไปดูไส้ในพบว่ามีการนำกำไรเข้าไปใส่ในเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญ เพื่อให้อัตราสำรองต่อหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นมาเกิน 100% ตามเป้าหมายจาก 93.2% ไตรมาส 3

    "ในไตรมาสสุดท้ายธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเป็นพิเศษอีก 300 ล้านบาท เพื่อให้อัตราสำรองต่อหนี้เสีย (Coverage Ratio) เพิ่มขึ้นให้ถึงมาตรฐานตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็น" กิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวก่อนหน้านี้

    การทยอยตั้งสำรองอยู่ในระดับสูง เป็นทิศทางที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญ เพื่อรองรับความไม่แน่นอน ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งหากพิจารณาระดับอัตราสำรองต่อหนี้เสีย ณ สิ้นปี 2561 พบว่า แต่ละธนาคาร เสริมความแข็งแกร่งของเงินสำรอง กันอย่างหนาแน่น

    พิจารณาจากธนาคารขนาดใหญ่ที่มีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจทั้ง 5 แห่ง มีอัตราสำรองต่อหนี้เสียเปรียบเทียบสิ้นปี 2561 กับปี 2560 พบว่า ธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้น 190.9% จาก 160.6% ธนาคารไทยพาณิชย์ อยู่ที่ 146.7% จาก 137.3% ธนาคารกรุงไทย อยู่ที่ 125.8% เพิ่มจาก 121.7% ธนาคารกสิกรไทย อยู่ที่ 160.6% จาก 148.4% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา อยู่ที่ 160.8% จาก 148.4%

    ที่ธนาคารพาณิชย์ต้องตุนสำรองมากขึ้น มาจากสัญญาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ยังน่าเป็นห่วง แม้อัตราการเพิ่มขึ้นจะลดลงจนทรงตัวเฉลี่ยระดับ 2.8-2.9% แล้ว แต่ชะล่าใจไม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 4% นั้น ยังมีความเสี่ยงทั้งภายนอกประเทศจากสงครามการค้า และภายในประเทศ ที่กำลังซื้อซบเซาย้อนให้เห็นอัตราเอ็นพีแอลสิ้นปี 2561 ของแต่ละธนาคาร มีทั้งเพิ่มขึ้น ทรงตัว และลดลง ขึ้นอยู่กับแนวทางและนโยบายการบริหารจัดการเอ็นพีแอล

    ธนาคารที่เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 2.85% จาก 2.83% ธนาคารกรุงไทย เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 4.52% จาก 4.19% ธนาคารกสิกรไทย เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 3.34% จาก 3.3% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 2.08% จาก 2.05% ธนาคารทหารไทย เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 2.76% จาก 2.35% ธนาคารทิสโก้ เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 2.86% จาก 2.32% ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เอ็นพีแอลเพิ่มเป็น 1.93% จาก 1.88%

    ธนาคารที่เอ็นพีแอลลดลง ธนาคารกรุงเทพ เอ็นพีแอลลดลงเหลือ 3.4% จาก 3.9% ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เอ็นพีแอลลดลงเหลือ 4.3% จาก 4.8% ธนาคารเกียรตินาคิน เอ็นพีแอลลดลงเหลือ 4.1% จาก 5% ธนาคารที่เอ็นพีแอลเท่าเดิม คือ ธนาคารธนชาต เอ็นพีแอลทรง ตัวที่ระดับ 2.3%

    สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดีส่งผลกระทบต่อรายได้ผู้กู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายย่อยหรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างแน่นอน เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ที่ธนาคารต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    เหตุผลที่ 2 มาจากมาตรฐานรายงานทางบัญชี (IFRS9) ซึ่งการใช้ในไทยเรียกว่า มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS9) จะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปี 2563 ก็จริง แต่ในมติของคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี ระบุว่า หากองค์กรใดพร้อมก็สามารถปฏิบัติได้ก่อนมีผลบังคับใช้

    ธนาคารพาณิชย์เป็นองค์กรหลัก ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามมาตรฐาน TFRS9 ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการคำนวณความเสี่ยงของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระดับสูง แม้จะไม่ได้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการ แต่จำเป็นต้องเตรียมตุนสำรองไว้ควบคู่ไปกับการปรับปรุงวิธีการคำนวณให้เป็นไปตามมาตรฐาน

    และเหตุผลที่ 3 ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการสำรองขึ้น อาจเป็นเหตุผลเฉพาะบางธนาคาร ที่กำลังมุ่งเน้นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง (Hi-Yield Loan) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยง เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเอสเอ็มอี ทดแทนการปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งแข่งขันจนดอกเบี้ยบางมาก และมีความเสี่ยงจน ธปท.ต้องออกมาตรการกำกับดูแล สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2562 นี้

    ปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปี 2562 คาดว่าจะตั้งสำรองน้อยลง หลังจากได้ตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูแลความเสี่ยง แต่ก็ยังเป็นไปด้วยความระมัดระวัง โดยปีนี้ ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าสินเชื่อรวมเติบโต 5-7% มุ่งเน้นสินเชื่อรายย่อยและเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่ให้ผลตอบแทนสูง เพิ่มรายได้ชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายไป

    กล่าวถึงรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย หรือค่าธรรมเนียม เป็นแรงกดดันที่ยังอยู่ต่อไปในปี 2562 ทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนดิจิทัลที่หายไป และรายได้ค่าธรรมเนียมการขายผลิตภัณฑ์ ที่ต้องติดตามว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถปรับปรุงกระบวนการขายให้ถูกต้องตามมาตรฐานมาร์เก็ตคอนดักต์ได้หรือไม่

    หากยังปรับตัวไม่ได้ ธนาคารพาณิชย์อาจจะต้องเหนื่อยในการเร่งขยายสินเชื่อเพื่อหารายได้ดอกเบี้ยมาทดแทนมากขึ้น เพราะเห็นมาจากปีที่แล้ว ที่รายได้ค่าธรรมเนียมหายไปมีผลต่ออัตรากำไรเติบโตลดลงพอสมควร

    ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ธนาคารไทยพาณิชย์ รายงานว่า ในไตรมาส 4 รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 8,983 ล้านบาท ลดลง 13.1% เทียบกับไตรมาส 3 และลดลง 15.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ธนาคารกสิกรไทย รายงานว่า ในไตรมาส 4 รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 12,545 ล้านบาท ลดลง 3.87% เทียบกับไตรมาส 3 และลดลง 15.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ในไตรมาส 4 รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 10,651 ล้านบาท ลดลง 5.9% เทียบกับไตรมาส 3 และลดลง 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    ธนาคารกรุงไทย รายงานว่า ในไตรมาส 4 รายได้ค่าธรรมเนียมและการบริการอยู่ที่ 7,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% เทียบกับไตรมาส 3 แต่ลดลง 5.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    "ผลประกอบการธนาคารกสิกรไทยสิ้นไตรมาส 4 ที่เปิดเผยออกมากำไรลดลง ยอมรับว่าแม้เศรษฐกิจดีแต่มีปัญหาบางเรื่องที่ต้องแก้ไข โดยรายได้ธนาคารพาณิชย์ที่หายไปมากที่สุด คือ ค่าธรรมเนียม จากการยกเลิกค่าธรรมเนียมบนดิจิทัล ทำให้รายได้ พลาดเป้า ประกอบกับค่าธรรมเนียมจากการขายประกันลดลง เพราะปรับปรุงกระบวนการให้เป็นไปตามมาตรฐานมาร์เก็ตคอนดักต์" ปรีดี กล่าว

    อย่างไรก็ตาม หากจะให้ทำนายผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในปี 2562 เชื่อว่า เติบโตกว่าปีที่แล้ว ทั้งสินเชื่อโต รายได้รวมโต ค่าใช้จ่ายโต และเอ็นพีแอลโต

    สินเชื่อจะเติบโตมากขึ้น จากการที่ธนาคารพาณิชย์กลับมามุ่งเน้นรายได้ดอกเบี้ยอีกครั้ง ในฐานะช่องทางรายได้หลักของธุรกิจ หลังจากที่เบนเข็ม ไปรุกรายได้ค่าธรรมเนียมมานานจนกระทั่งถูกการแข่งขันจากระหว่างธนาคารและฟินเทคเบียด

    แนวทางการปล่อยสินเชื่อก็ เปลี่ยนไป จากก่อนหน้านี้เศรษฐกิจลุ่มๆ ดอนๆ การปล่อยสินเชื่อไปกระจุกที่กลุ่มปลอดภัยอย่างรายใหญ่และสินเชื่อบ้านจนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยต่ำ จากนี้ไปจะเห็นการแข่งขันสินเชื่อรายย่อยและเอสเอ็มอีที่มีความเสี่ยงขึ้น เพื่อโอกาสในการเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ลงทุนไปแล้ว นำฐานข้อมูลมาคำนวณเพื่อช่วยลดความเสี่ยงได้

    รายได้รวมเติบโตมากขึ้นประเมินจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในปีนี้ เมื่อดอกเบี้ยนโยบายขึ้นรวม 2 ครั้ง อีก 0.5% เป็น 2% จะต้องเห็นธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้พื้นฐานอย่างดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) ดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (เอ็มอาร์อาร์) ดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าเบิกเกินบัญชี (เอ็มโออาร์) แน่นอนในรอบนี้ โดยน่าจะเห็นคู่กับการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวก ต่อธุรกิจธนาคาร

    ขณะเดียวกัน ประเมินว่าธนาคารจะมีการปรับตัวในกระบวนการขายที่ถูกต้องมาร์เก็ตคอนดักต์ ทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยน่าจะติดลบน้อยลง ส่วนผลของการยกเลิกค่าธรรมเนียมติดลบจะมีเพียง 3 เดือนแรก ส่วน 9 เดือน ที่เหลือจากฐานเมื่อปีที่แล้ว อาจเกิดผลกระทบลดลงก็เป็นได้

    ค่าใช้จ่ายเติบโตมากขึ้น การลงทุนของธนาคารพาณิชย์ยังไม่จบ ยังต้องพัฒนาด้านระบบไอที และเทคโนโลยี รวมทั้งบริการดิจิทัลอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยธนาคารใดที่ก่อนหน้านี้ลงทุนน้อย อาจจะต้องเร่งเครื่องลงทุนให้ทันคู่แข่ง ส่วนธนาคารใดที่เร่งลงทุนไปมากแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะหยุดลงทุน เพียงแต่กลุ่มนี้จะได้เปรียบ สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการลงทุนได้ชัดเจนตั้งแต่ปีนี้

    ส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ อาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเหมือนปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าธนาคารยังมีความระมัดระวัง และทยอยตั้งสำรองให้เพียงพออย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขึ้นอยู่กับนโยบายของบางธนาคารที่อยากให้อัตราสำรองปรับขึ้นไปอย่างน้อยก็เท่ากับค่าเฉลี่ยของระบบที่ 140%

    เอ็นพีแอลเติบโตมากขึ้น ส่วนนี้ประเมินจากการรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของธนาคาร เพื่อรุกฐานลูกค้ารายย่อยหายิลด์ที่สูงขึ้น ผ่านดิจิทัลเลนดิ้ง หรือการรุกปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีด้วย อินฟอร์เมชั่นเบสเลนดิ้ง ซึ่งช่วงทดสอบลองผิดลองถูกหาโมเดลที่เหมาะสม จึงจะมีหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นบ้างในกลุ่มนี้

    ประกอบกับสินเชื่อตามยอดคงค้างเดิมยังไว้ใจไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอียังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจด้วย หากรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลชุดใหม่ไม่สามารถกระตุ้นกำลังซื้อฐานรากได้ ผลจะตกมาอยู่ที่เอสเอ็มอี การเตรียมพร้อมทั้งตั้งสำรองและกองทุนที่แข็งแกร่งนี่เองจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ฝ่าฟันความไม่แน่นอนไปได้ในปีนี้

    โดย ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์

    Source: Posttoday
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ecasts-had-already-dropped-a-2020-date-for-achieving-its-two-percent-target-rate-1548215577237-7.jpg
    (Jan 24) บีโอเจ'ลดประมาณการเงินเฟ้อ คงนโยบายผ่อนคลายตามคาด - บีโอเจลดประมาณการเงินเฟ้อเมื่อวันพุธและยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปตามคาด เตือนดีมานด์ที่ลดลงทั่วโลกมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ความพยายามที่จะหนุนให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนถอยหลังลงไปอีก

    ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ยังคงกำหนดนโยบายเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษตามคาดในการทบทวนนโยบายเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยยังคงมองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังคงขยายตัวพอประมาณ แต่แรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่มีผลกระทบต่อการเติบโตทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ได้ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากกังวลเกี่ยวกับแนวโน้ม

    รายงานแนวโน้มประจำไตรมาสของธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวต่อไปจนถึงปีงบประมาณ 2563 และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจต่างประเทศโดยรวมจะยังคงขยายตัวอย่างมั่นคงแม้ว่ามีพัฒนาการหลาย ๆ อย่างที่มีการจับตามอง เช่น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ

    บีโอเจเตือนว่าเศรษฐกิจภายในประเทศเผชิญความเสี่ยงหลาย ๆ ด้าน เช่น ลัทธิปกป้องการค้า Brexit และนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ และความเสี่ยงในด้านลบเช่นนั้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจต่างประเทศน่าจะรุนแรงมากขึ้น และยังจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อผลกระทบของมันที่มีต่อความเชื่อมั่นของครัวเรือนและของบริษัทในญี่ปุ่น

    ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ชี้ว่า ปัจจัยภายนอกเหล่านั้นได้เพิ่มโอกาสมากขึ้นที่จะทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีงบประมาณที่เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ ซึ่งทำให้บีโอเจบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ได้ยากมากขึ้น

    นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ลดประมาณการเติบโตทั่วโลก และผลสำรวจของพีดับเบิลยูซีชี้ว่าผู้นำธุรกิจมีมุมมองในด้านลบมากขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า

    หลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเงินเมื่อวันพุธ บีโอเจคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% และสัญญาว่าจะชี้นำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุไถ่ถอน 10 ปี อยู่ที่ประมาณศูนย์เปอร์เซ็นต์

    หลังจากที่เงินเฟ้อต่ำมากจนบีบให้บีโอเจต้องคงมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่เอาไว้นานกว่าที่คาด บีโอเจได้เปลี่ยนแปลงกรอบการทำงานทางนโยบายบางส่วนในเดือนกรกฎาคม เช่น ปล่อยให้ผลตอบแทนพันธบัตรเคลื่อนไหวใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น

    ฮิโรอากิ มูโตอุ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโตไก โตเกียว รีเสิร์ช อินสติติว กล่าวว่า ยากที่บีโอเจจะหารือเรื่องปรับนโยบายเงินสู่ภาวะปกติหรือหารือกลยุทธ์ที่จะออกจากนโยบายที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษในขณะนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจทั่วโลกมากขึ้น ธนาคารกลางญี่ปุ่นน่าจะคงมาตรการผ่อนคลายไปอีก และจะตรวจสอบดูว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเคลื่อนไหวนโยบายอย่างไร และมันน่าจะกระทบต่อเงินเยนอย่างไร

    ในรายงานแนวโน้มของบีโอเจ คณะกรรมการนโยบายเงิน 9 คนได้วิเคราะห์เศรษฐกิจญี่ปุ่นว่าการเติบโตสดใส และคาดการณ์เงินเฟ้อจนถึงปลายปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2564

    ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังได้ลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีการเงินปัจจุบัน (ซึ่งนับถึงเดือนมีนาคม) แต่ได้เพิ่มประมาณการเติบโตเล็กน้อยในปีงบประมาณ 2562 และ 2563 โดยมองว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะชดเชยผลกระทบจากการขึ้นภาษีในเดือนตุลาคมได้

    แต่มีสัญญาณเพิ่มเติมว่าหนทางข้างหน้าจะลำบาก ข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่นที่เปิดเผยเมื่อวันพุธชี้ว่า การส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมลดลงมากสุดในรอบสองปี

    บีโอเจลดประมาณการเงินเฟ้อผู้บริโภคจาก 1.4% เหลือ 0.9% ในปีงบประมาณที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อสะท้อนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเติบโตที่ลดลงทั่วโลก

    นี่เป็นครั้งที่สี่ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นลดประมาณการเงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณ 2562 นับตั้งแต่มีการประมาณการเงินเฟ้อครั้งแรกในเดือนเมษายน 2560 แต่ประมาณการเงินเฟ้อของบีโอเจยังคงสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ที่รอยเตอร์ไปสำรวจมา ซึ่งอยู่ที่ 0.7%

    บีโอเจยังลดเงินเฟ้อผู้บริโภคหลัก ๆ ในปี 2562 เหลือ 1.4% จากประมาณการเดือนธันวาคมซึ่งอยู่ที่ 1.5%

    นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่า การเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของบีโอเจคือเริ่มทำให้นโยบายกลับสู่ภาวะปกติ โดยน่าจะให้ผลตอบแทนพันธบัตรผันผวนได้มากขึ้นจาก 0.2% และเพิ่มเป้าหมายผลตอบแทน 10 ปี จากประมาณศูนย์เปอร์เซ็นต์ โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2563 หรือหลังจากนั้น

    ตามส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินนั่งอยู่บนกองเงินสดจำนวนมาก บีโอเจตัดสินใจขยายเส้นตาย 1 ปีให้กับแผนการปล่อยกู้ที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้สถาบันการเงินสนับสนุนเงินกู้และส่งเสริมรากฐานการเติบโต

    โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรงของบีโอเจได้ทำให้เกิดผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานานส่งผลกระทบต่อกำไรของสถาบันการเงิน ผู้กำหนดนโยบายของบีโอเจหลายคนระวังที่จะเพิ่มมาตรการกระตุ้นแม้ว่าวิกฤติจากภายนอกหรือการแข็งค่าอย่างกะทันหันของเงินเยนอาจบีบให้ธนาคารกลางต้องทำเช่นนั้นหากเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย

    Source: ข่าวหุ้น

    - Bank of Japan lowers inflation forecasts again
    https://www.channelnewsasia.com/new...oNcvJczXuG48Etqts5hbwiLpIvnRjNML0wD6ncq-g18C4
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    %2Fcnbc.com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2017%2F04%2F25%2F104425118-Draghi_ECB_June.1910x1000.jpg
    (Jan 24) Update : ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดือน ม.ค. 2019 มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและคงการ reinvest พันธบัตรภายใต้มาตรการ Asset Purchase Programme (APP) ที่จะครบกำหนดอายุต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ ณ ระดับปัจจุบันต่อไปอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านช่วงฤดูร้อนของปี 2019 หรืออาจยาวนานกว่านั้นหากมีความจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อมีพัฒนาการสู่ระดับต่ำกว่าหรือใกล้เคียงระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ในระยะปานกลางอย่างยั่งยืน: รายละเอียดสรุปได้ดังนี้

    คณะกรรมการนโยบายการเงิน ECB มีมติให้

    1) คงอัตราดอกเบี้ย 1) Main Refinancing Operations ที่ร้อยละ 0.00 2) Marginal Lending Facility Rate ที่ร้อยละ 0.25 และ 3) Deposit Facility Rate ที่ติดลบร้อยละ -0.40 โดย คณะกรรมการฯ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ ณ ระดับปัจจุบันต่อไปอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านช่วงฤดูร้อนของปี 2019 หรืออาจยาวนานกว่านั้นหากมีความจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อมีพัฒนาการสู่ระดับต่ำกว่าหรือใกล้เคียงระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ในระยะปานกลางอย่างยั่งยืน

    2) คงการ reinvest พันธบัตรภายใต้มาตรการ Asset Purchase Programme (APP) ที่จะครบกำหนดอายุต่อไปแบบเต็มจำนวน โดย ECB ตั้งใจจะดำเนินการตามแผนดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบและทำให้นโยบายการเงินมีความผ่อนคลายอย่างเหมาะสมเพียงพอ

    คณะกรรมการฯ มีความเห็นต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของยูโรโซนดังนี้

    ด้านเศรษฐกิจ
    - ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) ของกลุ่มยูโรโซนขยายตัวร้อยละ 0.2 (QoQ) ในไตรมาสที่ 3 ปี 2018 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 ใน 2 ไตรมาสก่อนหน้า โดยตัวเลขเศรษฐกิจยังคงประกาศออกมาแย่กว่าที่คาด ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ภายนอกประเทศที่ชะลอตัว รวมถึงปัจจัยลบเฉพาะในบางประเทศและในบางภาคอุตสาหกรรม และแม้คาดว่าปัจจัยลบหลายๆ ปัจจัยจะค่อยๆ คลายตัวแต่จะยังคงส่งกระทบผลต่อแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยรวมให้ยังอยู่ในทิศทางที่อ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนจะยังได้รับปัจจัยบวกจากสภาพตลาดการเงินที่ยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจโดยรวม การจ้างงานและค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาพลังงานที่ปรับลดลง และเศรษฐกิจโลกที่ยังคงขยายตัวแม้คาดว่าจะชะลอตัวลงก็ตาม

    ด้านความเสี่ยง
    - ความเสี่ยงต่อมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโซนปรับไปในทิศทางที่แย่ลง จากความไม่แน่นอนที่อาจคงอยู่ยาวนานขึ้น ทั้งประเด็นด้าน Geopolitics, มาตรการกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางของตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) และความผันผวนในตลาดเงิน
    ด้านอัตราเงินเฟ้อ

    - อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนเดือน ธ.ค. 2018 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 1.9 ในเดือน พ.ย. โดยเป็นการปรับลดลงตามราคาพลังงานเป็นหลัก ซึ่งหากพิจารณาจากราคา futures ในตลาดน้ำมัน ณ ปัจจุบัน ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนถัดๆ ไป ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่แรงกดดันจากต้นทุนแรงงานยังคงแข็งแกร่งและกระจายตัวมากขึ้น ท่ามกลางการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูงและตลาดแรงงานที่ตึงตัว โดย ECB คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะปรับสูงขึ้นในระยะปานกลางผ่านการสนับสนุนของนโยบายการเงิน การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และการปรับขึ้นของค่าจ้างแรงงาน

    ทั้งนี้ ยังไม่มีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้

    พัฒนาการในระยะต่อไป

    - ผลการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจและการเงินช่วยยืนยันว่าการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระดับสูงยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดูแลให้อัตราเงินเฟ้อปรับเข้าสู่ระดับต่ำกว่าหรือเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 อย่างยั่งยืนในระยะปานกลาง

    - เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากนโยบายการเงินอย่างเต็มที่ นโยบายด้านอื่นๆ จำเป็นต้องมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและปรับลดความเปราะทางเศรษฐกิจลง ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้างของประเทศสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรปที่มีความจำเป็นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจ ลดระดับการว่างงานเชิงโครงสร้าง และเร่งความสามารถในการผลิตให้สูงขึ้น

    - ด้านนโยบายการคลัง ECB เห็นว่าควรมีการ rebuild fiscal buffers โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีหนี้ในระดับสูง ซึ่งประเด็นด้าน “Stability and Growth Pact” นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาฐานะทางการคลังให้เข้มแข็ง อีกทั้ง การใช้กรอบการกำกับดูแลด้านการคลังที่มีความโปร่งใสและสอดคล้องกันทุกประเทศของสหภาพยุโรปยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยก่อให้เกิดความยืดหยุ่นต่อเศรษฐกิจยูโรโซน โดย ECB ระบุว่าควรมีการปรับปรุงบทบาทของ Economic and Monetary Union และเรียกร้องให้เร่งดำเนินการจัดตั้ง Banking Union และ Capital Markets Union ให้สำเร็จโดยเร็ว

    ด้านนาย Mario Draghi ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในช่วง press conference: รายละเอียดสรุปได้ดังนี้
    - คณะกรรมการนโยบายการเงิน ECB มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าความเสี่ยงต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง

    - นาย Mario Draghi กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ยังไม่ได้มีการประเมินถึงโอกาสของความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่คณะกรรมการฯ จะทำการประเมินร่วมกันอีกครั้งภายหลังได้รับรายงานตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจในเดือน มี.ค. ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโวนในปัจจุบันจะคงอยู่ไปต่ออีกนานหรือไม่ อย่างไร

    - นาย Draghi พยายามหลีกเลี่ยงที่จะให้ความเห็นต่อการคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาดเงินที่คาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกของ ECB จะเกิดขึ้นในปี 2020 นั้น ถูกต้องหรือไม่ แต่ได้ให้ความเห็นว่า มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ นับตั้งแต่สถานการณ์ Brexit ไปจนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ซึ่งหากปัจจัยเหล่านี้ยังคงอยู่ นักลงทุนในตลาดเงินควรคาดการณ์ว่า แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยรวมจะอยู่ในทิศทางที่อ่อนแอเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น อย่างไรก็ตาม นาย Draghi มองว่า ภาคการธนาคารโดยรวมมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น ธนาคารต่างๆ ยังคงมีศักยภาพเพียงพอที่ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ต่อไป แม้จะมีความยากลำบากมากขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจ

    - นาย Draghi ระบุว่า การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายผ่านมาตรการอัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพแม้จะมีผลกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจธนาคาร พร้อมทั้งเสนอให้ธนาคารต่างๆ พยายามปรับลดระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลง โดยที่ผ่านมา ECB ได้มีการติดตามความสามารถในการทำกำไรของธนาคารต่างๆ อย่างใกล้ชิด

    - สำหรับทิศทางของนโยบายการเงินในระยะต่อไป กรรมการฯ หลายท่าน มีการกล่าวถึงการนำมาตรการ TLTROs (Long-term refinancing operations) มาพิจารณา แต่คณะกรรมการฯ โดยรวมยังไม่ได้ทำการตัดสินใจในประเด็นดังกล่าว

    - ด้านความเคลื่อนไหวของการเจราจา Brexit สถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่า สหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในรูปแบบใด โดย นาย Draghi ยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าว แม้ว่า ECB จะไม่สามารถตัดมุมมองสำหรับกรณีที่สถานการณ์มี Brexit ความเลวร้ายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจได้ก็ตาม

    Source: BOTSS

    ********
    ECB มีมติคงดอกเบี้ยวันนี้ ขณะส่งสัญญาณตรึงยาวถึงกลางปีนี้: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

    ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนในปีนี้

    ในการประชุมเมื่อเดือนที่แล้ว ECB ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนธ.ค.61 หลังจากที่ได้เข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนก่อนหน้านี้

    Source --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

    https://www.cnbc.com/2019/01/24/ecb...4TkIrOp3dMdtyEG2UuGWm5P1l4VVBOvkUVk1v9bQgFU_M
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    5Bx4lkq7YSU72qIGZc5u7-VuaBtSheg45CTUjgz16G8VaM1EUvvpspA3K5Jaf8wVNWwN00Hw&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    (Jan 24) ดีลการค้าเรื่องใหญ่ วิบากกรรม'หัวเว่ย'เรื่องยาว : หากไม่มีอะไรผิดพลาดเหนือความคาดหมาย รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า "ภายในสัปดาห์นี้" สหรัฐจะดำเนินการตามกระบวนการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยทำเรื่องไปยังแคนาดาเพื่อขอให้ส่งตัว "เมิ่งหว่านโจว" รองประธานและประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ มาดำเนินคดีในสหรัฐ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า หัวเว่ยละเมิดคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่าน

    ข่าวนี้สอดคล้องกับที่ มาร์ก ไรมอนดี โฆษกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ แถลงว่า สหรัฐจะยังคงเดินหน้าขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากแคนาดาต่อไป หลังจากที่ทางการแคนาดาควบคุมตัวเมิ่งมาตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา และปัจจุบันเมิ่งต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพักที่เมืองแวนคูเวอร์ และไม่สามารถเดินทางออกจากแคนาดาได้ จนกว่าจะมีความชัดเจนจากทางสหรัฐ

    หากเป็นเช่นนั้นจริง จะเท่ากับว่าสหรัฐเอาจริงกับคดีหัวเว่ยโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม และไม่แคร์ว่าจะทำให้บรรยากาศของศึกการค้ากับ "จีน" ที่กำลังอยู่ในช่วงสงบศึกชั่วคราว 90 วัน และดูมีทิศทางดีขึ้น ต้องกลับมาร้อนระอุป่วนโลกอีกครั้งหรือไม่

    ความเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์กลับไปตึงเครียดและอาจรุนแรงยิ่งกว่าเดิมนั้น จึงทำให้มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า สหรัฐยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน และสามารถดึงเวลาไปได้จนถึงเส้นตายที่ต้องให้คำตอบแคนาดาภายในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งยังเป็นวันเดียวกับที่สหรัฐจะเปิดบ้านต้อนรับทีมจีนที่จะมาเจรจาการค้ารอบ 2 กันด้วย

    ในจังหวะเวลาตรงกันแบบนี้จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า กรณีของหัวเว่ยและดีลการค้ากับจีน คือ "เรื่องเดียวกัน" ที่สหรัฐยังสามารถปั่นกระแสเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองให้ตนเองได้ ดังนั้นสถานการณ์เรื่องจีน สหรัฐ และ หัวเว่ย จึงน่าจะยังเป็นประเด็นร้อนและเต็มไปด้วยข่าวร้ายที่สร้างความกังวลให้ทั่วโลกไปอีกระยะ จนกว่าจะถึงกำหนดเส้นตายในปลายเดือนนี้

    ที่จริงแล้วสถานการณ์ระหว่างสหรัฐกับจีนเพิ่งจะมีข่าวดีที่สร้างความหวังได้เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง โดยข่าวจากฝั่งสหรัฐก็คือ ทีมสหรัฐที่นำโดยรัฐมนตรีคลัง สตีเวน มนูชิน เสนอให้ยกเลิกกำแพงภาษีกับจีนบางส่วน เพื่อแลกกับการให้จีนยอมปฏิรูประยะยาว อีกทั้งยังมีข่าวดีตามมาจากจีนด้วยว่า จีนจะยอมนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มยาวนานถึง 6 ปี เพื่อแก้การขาดดุลการค้าและยุติสงครามกับสหรัฐที่ ยืดเยื้อ แต่ที่สุดแล้วฝ่ายสหรัฐก็ยังไม่สามารถเคาะดีลที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้

    ประเด็นหลักที่ยังไม่ลงตัวนั้น คาดกันว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว อาทิ การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการบีบบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีในจีน ซึ่งแม้ว่าสหรัฐอาจจะบีบให้จีนยอมรับปากว่าจะปฏิรูปได้ แต่สหรัฐก็ไม่มั่นใจว่าจีนจะทำตามได้จริง ซึ่งอาจซ้ำรอยกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่จีนเข้าเป็นสมาชิกมานานเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เปิดเสรีมากพอ และยังมีปัญหาเรื่องการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม จนมีการฟ้องร้องภายใน WTO ยาวเป็นหางว่าวจนถึงวันนี้

    บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า การเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ต่างกับประเด็นอื่นๆ เช่น การลดขาดดุลการค้าของสหรัฐ สอดคล้องกับที่ แลร์รี คัดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาวสหรัฐ ระบุว่า ประเด็นการบีบบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และข้อจำกัดเรื่องลงทุนของเอกชนต่างชาติในจีน จะยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเจรจาคลายข้อพิพาทการค้ากับปักกิ่งภายในเส้นตายวันที่ 1 มี.ค.

    อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าที่สุดแล้วสหรัฐจะเคาะดีลออกมาได้ทันก่อนการเจรจารอบสองกับทีมจีนที่นำโดย หลิวเฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ระหว่างวันที่ 30-31 ม.ค.นี้ ตามกำหนดเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยให้เคสของหัวเว่ยจบลงได้

    เพราะการเจรจาดังกล่าวยังเป็นแค่เรื่อง "กลางทาง" เท่านั้น แต่เส้นตายของจริงก็คือ ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงเบ็ดเสร็จกันให้ได้ก่อน 1 มี.ค. ที่กำแพงภาษีของสหรัฐ 10% ต่อสินค้านำเข้าจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะถูกปรับขึ้นอัตโนมัติเป็น 25% ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อทั้งสหรัฐ จีน และทั่วโลกตามมาทันที

    นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันที่เคสของลูกสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ย จะถูกส่งตัวไปสหรัฐและลากยาวไปจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่อง ดีลการค้าจนถึงที่สุด

    แต่แม้จะมองใน "แง่ดีที่สุด" แล้วว่าทั้งสองประเทศสามารถตกลงกันได้จริง และมีความเป็นไปได้ที่หัวเว่ยจะหลุดคดีฝ่าฝืนคำสั่งคว่ำบาตรของสหรัฐ ไปลักลอบค้าขายกับอิหร่าน แต่นั่นก็เป็นการบรรเทาไปได้เพียงส่วนหนึ่ง

    เพราะวิบากกรรมใหญ่อีกด้านที่ หัวเว่ยต้องเผชิญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ สงคราม 5G ที่จะเริ่มดุเดือดขึ้นตั้งแต่ปี 2019 นี้เป็นต้นไป และมีแนวโน้มที่หัวเว่ยกับจีนจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เมื่อ "ยุทธการล็อบบี้" ของสหรัฐสามารถขยายวงออกไปยังประเทศพันธมิตรได้กว้างมากที่คาดไว้ในตอนแรก

    จากเดิมที่สหรัฐสามารถโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรบางราย เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ สามารถสกัดหัวเว่ยออกจากตลาด 5จี ได้ จากความกังวลเรื่องข้อมูลที่อาจรั่วไหลไปถึงรัฐบาลจีน ดูเหมือนสถานการณ์จะสามารถขยายวงไปถึงฝั่ง "ยุโรป" ที่เป็นตลาดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มจากอังกฤษ ที่บริษัทเอกชนอย่าง BT เลือกที่จะสกัดหัวเว่ยออกไปเอง เพื่อลดความเสี่ยงในศึกประมูล 5จี ในอนาคต หลังจากหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง MI6 เริ่มส่งสัญญาณเตือนออกมา

    ล่าสุดมีรายงานว่า "เยอรมนี" และ "ฝรั่งเศส" อาจเป็นรายต่อไปที่ยอมแพ้ต่อแรงกดดันให้แบนหัวเว่ย โดยสื่อบางสำนักรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลเยอรมนีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแบนหัวเว่ยออกจากเครือข่าย 5จี ที่จะอัพเกรดและประมูลโครงข่ายหลังจากนี้ เช่นเดียวกับในฝรั่งเศสที่กำลังพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับคลื่น 5จี เข้มงวดขึ้น และอาจกีดกันหัวเว่ยออกจากสนามเมืองน้ำหอมด้วย

    จึงไม่น่าแปลกใจที่เสียงตอบโต้จากหัวเว่ยจะออกมาดังขึ้นในระยะหลัง ตั้งแต่ออกมาในโทนเสียงอ่อนจาก เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทและบิดาของ เมิ่งหว่านโจว ที่ยืนยันว่าไม่มีเรื่องสปาย และยังชื่นชมสรรเสริญประธานาธิบดีสหรัฐ ไปจนถึงการออกโทนเสียงแข็งล่าสุดผ่าน เหลียงหัว ประธาน (หมุนเวียน) ของหัวเว่ย ในที่ประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ล่าสุดว่า หัวเว่ยอาจตัดสินใจถอนการลงทุนจากประเทศตะวันตกที่ไม่เป็นมิตรด้วย และย้ายไปประเทศอื่นแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาไม่น้อย เพราะปัจจุบันหัวเว่ยเป็นเบอร์ 1 ด้านอุปกรณ์สื่อสารยุค 5จี ที่พร้อมที่สุดกว่าใครในวันนี้

    ไม่ว่าสงครามการค้าจะออกหัวหรือก้อย หัวเว่ยก็จะยังคงเป็นแม่ทัพด่านหน้าของจีนที่ต้องเจอสงครามใหญ่และยืดเยื้อยาวกว่าใครหลังจากนี้

    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ
    Source: Posttoday

    เพิ่มเติม
    - Huawei books record sales in its smartphone business
    https://www.cnbc.com/2019/01/24/huawei-books-record-sales-in-its-smartphone-business.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    %2F%2Fwww.aljazeera.com%2Fmritems%2FImages%2F2019%2F1%2F24%2F8236ba373b244972a27b2bcc606945fb_18.jpg
    (Jan 24) Update: รมว.กลาโหมเวเนซุเอลาประกาศชัดกองทัพให้การสนับสนุนปธน.มาดูโร - นายวลาดิเมียร์ ปาดริโน โลเปซ รมว.กลาโหมของเวเนซุเอลา ประกาศว่า กองทัพจะให้การสนับสนุนประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร และกองทัพจะไม่มีวันยอมรับผู้นำที่เป็นหุ่นเชิดของต่างชาติ

    นายโลเปซกล่าวว่า อำนาจมืดกำลังทำในสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วยการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

    นอกจากนี้ นายโลเปซระบุว่า ทหารของเขาไม่สมควรแต่งเครืองแบบ หากไม่ปกป้องรัฐธรรมนูญ

    กลุ่มสังเกตการณ์ความขัดแย้งทางสังคมในเวเนซุเอลารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 รายจากการถูกกราดยิง ท่ามกลางกระแสความวุ่นวายในประเทศ หลังจากที่นายฮวน กุยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติและผู้นำพรรคฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา และนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของเวเนซุเอลา ต่างออกมาอ้างว่าตนเป็นผู้นำของประเทศ

    ทั้งนี้ เหตุการณ์ความวุ่นวายได้ดำเนินไปเป็นวันที่ 3 โดยมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนนายกุยโด และกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล ขณะที่มีการปล้นสะดมในกรุงคาราคัส

    องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้นายมาดูโรคำนึงถึงสิทธิในการจัดการชุมนุมของผู้ประท้วง และเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งทหารและตำรวจกลับเข้าสู่กรมกอง แทนที่จะออกมาปราบปรามประชาชน

    นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในเวเนซุเอลา หลังจากที่สหรัฐ และชาติละตินอเมริกาหลายประเทศ ให้การรับรองนายกุยโดเป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา

    นายกูเตอร์เรสเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงความรุนแรง และให้ทุกฝ่ายหันมาเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง
    ทางด้านนายมาดูโรได้ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและการเมืองกับสหรัฐ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้การยอมรับนายกุยโดในฐานะประธานาธิบดีชั่วคราวของเวเนซุเอลา

    นอกจากนี้ นายมาดูโรยังได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทูตและฝ่ายกงสุลของสหรัฐทุกคนออกจากประเทศภายในเวลา 72 ชั่วโมง พร้อมกล่าวโทษรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการดังกล่าวเพื่อสร้างรัฐบาลหุ่นเชิดในเวเนซุเอลา

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

    ****************************
    เหตุการณ์วุ่นวายในเวเนซุเอลาส่งผลมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย :

    กลุ่มสังเกตการณ์ความขัดแย้งทางสังคมในเวเนซุเอลารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 รายจากการถูกกราดยิง ท่ามกลางกระแสความวุ่นวายในประเทศ หลังจากที่นายฮวน กุยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติและผู้นำพรรคฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา และนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของเวเนซุเอลา ต่างออกมาอ้างว่าตนเป็นผู้นำของประเทศ

    ทั้งนี้ เหตุการณ์ความวุ่นวายได้ดำเนินไปเป็นวันที่ 3 โดยมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนนายกุยโด และกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล ขณะที่มีการปล้นสะดมในกรุงคาราคัส

    องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้นายมาดูโรคำนึงถึงสิทธิในการจัดการชุมนุมของผู้ประท้วง และเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งทหารและตำรวจกลับเข้าสู่กรมกอง แทนที่จะออกมาปราบปรามประชาชน

    นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในเวเนซุเอลา หลังจากที่สหรัฐ และชาติละตินอเมริกาหลายประเทศ ให้การรับรองนายกุยโดเป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา

    นายกูเตอร์เรสเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงความรุนแรง และให้ทุกฝ่ายหันมาเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง

    ทางด้านนายมาดูโรได้ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและการเมืองกับสหรัฐ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้การยอมรับนายกุยโดในฐานะประธานาธิบดีชั่วคราวของเวเนซุเอลา

    นอกจากนี้ นายมาดูโรยังได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทูตและฝ่ายกงสุลของสหรัฐทุกคนออกจากประเทศภายในเวลา 72 ชั่วโมง พร้อมกล่าวโทษรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการดังกล่าวเพื่อสร้างรัฐบาลหุ่นเชิดในเวเนซุเอลา

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

    - Russia, Turkey, China denounce US interference in Venezuela : https://www.aljazeera.com/news/2019...n_CEwQMYH3O2xfBq3C3UiJdMpdH23OoTYpWO_lV5en5Fk

    - ‘Guys with guns’ will determine what happens next in Venezuela, former minister says : https://www.cnbc.com/2019/01/24/ven...wiO5nbPSlDTenFwHdRqaWzcKJttg3MrgamK0qMdHqip08

    - สหรัฐเรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงถกวิกฤตการณ์เวเนซุเอลาวันเสาร์นี้
    : https://www.ryt9.com/s/iq38/2944997


     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    ic%2Fimages%2Fmethode%2F2019%2F01%2F21%2F91a33558-1d76-11e9-9b66-f8d7b487d426_image_hires_203016.jpg
    (Jan 24) ไปโสดที่จีนกันดีกว่า : ตอนนี้ที่ประเทศจีนกำลังมีวันลาหยุดแบบใหม่เพิ่มขึ้นมาในปฏิทินวันหยุดของบริษัทเอกชนบางแห่ง ซึ่งมอบให้เฉพาะพนักงานในกลุ่มสาวโสดวัย 30 ปีขึ้นไปเท่านั้น นั่นก็คือ Dating Leave หรือแปลเป็นไทยตรงตัวง่ายๆ เลยว่า "ลาหยุดไปเดท"บริษัท 2 แห่งที่ว่านี้คือ Hangzhou Songcheng Performance และ Hangzhou Songcheng Tourism Management ซึ่งตั้งอยู่ในหางโจว เมืองท่องเที่ยวเลื่องชื่อในมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของอาลีบาบา กรุ๊ปด้วย

    นอกจากวันหยุดบริษัทตามปกติแล้ว บริษัทจะให้วันหยุดออนท็อปเพิ่มอีก 8 วัน/ปี สำหรับสาวโสดที่วัยขึ้นเลข 3 เพื่อเพิ่มโอกาสให้พวกเธอได้ออกไปไปเปิดโลกกว้าง สร้างความสัมพันธ์คบหาดูใจกับหนุ่มๆ แทนที่จะจมอยู่กับงานและความโสดไปทั้งชีวิตแบบ "เซิ่งหนู" (Sheng Nu) ซึ่งมีความหมายบาดใจว่า "ผู้หญิงที่ขายไม่ออก" เป็นคำที่ใช้เรียกสาวโสดในวัย 20 ปลายๆ ไปจนถึงช่วง 30 ต้นๆ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ยากต่อการหาคู่แล้ว

    ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของหนึ่งในบริษัทดังกล่าว เปิดเผยเรื่อง ไอเดียวันลานี้ว่า เป็นเพราะพนักงานหญิงมักจะทำงานอยู่ในฝ่ายปฏิบัติการข้างใน หรือบางส่วนก็เป็นนักแสดง ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก บริษัทจึงเห็นว่าควรช่วยเพิ่มโอกาสให้พวกเธอ แต่ทั้งนี้ยังจำกัดให้เฉพาะพนักงานที่ไม่ได้มีบทบาทหรือตำแหน่งหน้าที่สำคัญในบริษัทก่อน

    ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมีข่าวในทำนองเดียวกันว่า มีโรงเรียนชั้น ม.ปลาย แห่งหนึ่งในเมืองเดียวกัน ออกนโยบายใหม่ให้ครูมีวันลาเพิ่มได้เดือนละ 2 วัน เพื่อไปเดทด้วย ซึ่งช่วยให้คุณครูที่ยังโสดและเคร่งเครียดกับการงานสามารถรีแลกซ์และมีโอกาสได้ออกไปเจอหนุ่มๆ มากขึ้นด้วย

    งานนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้พนักงาน หรือเป็นนโยบายช่วยชาติเพิ่มโอกาสผลิตทายาทดี

    คนส่วนใหญ่อาจยังติดภาพเดิมๆ อยู่ว่า จีนมีประชากรมากที่สุดในโลกมากกว่า 1,400 ล้านคน แต่หากดูตัวเลขปัจจุบันจะพบว่าอัตราประชากรเกิดใหม่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องและน่าวิตก

    ตัวเลขล่าสุดของปี 2018 ที่ผ่านมา พบว่าอัตราการเกิดใหม่อยู่ที่ 10.94 ต่อพันคน นับเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่การก่อกำเนิดของจีนใหม่ในยุคสาธารณรัฐเลยทีเดียว โดยตลอดทั้งปี ที่แล้วมีเด็กเกิดใหม่ลดลงราว 2 ล้านคน เมื่อเทียบปีก่อนหน้าอยู่ที่ 15.23 ล้านคนเท่านั้น

    เรื่องนี้สอดคล้องกับอัตราการแต่งงานของคนจีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปีมาตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา นับคร่าวๆ ตอนนี้จีนมีคนโสดอยู่ทั้งประเทศประมาณ 200 ล้านคน

    ผลสำรวจสาวจีนยุคเจนแซดที่เกิดหลังปี 1995 โดยเป็นการสำรวจร่วมกันระหว่างลอรีอัลและลิงค์อินเมื่อปีที่แล้วนี้ ยังพบว่ามีสาวจีนรุ่นใหม่ถึงเกือบ 80% ที่ระบุถึงตัวเองว่าอยากจะเป็น ผู้หญิงเก่ง เท่ และพึ่งพาตนเองได้

    ส่วนที่เหลืออีกราว 20% คืออยากเป็นแม่และเป็นภรรยาที่น่ารัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จีนน่าจะเสียแชมป์ประชากรมากสุดในโลกให้กับอินเดียในอีกไม่นานนี้ และจะกลายเป็นอีกหนึ่งชาติเอเชียที่เจอปัญหาสังคม ผู้สูงอายุตามรอยญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงต่อระบบเศรษฐกิจจีนที่กำลังเป็นเบอร์ 2 ของโลกในขณะนี้

    แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น วันลาหยุดแบบใหม่นี้ที่จีนก็เริ่มสะท้อนให้เห็นแล้วว่า จีนกำลังเริ่มมองเห็นปัญหานี้กันมากขึ้น และหลังจากนี้ปีสองปีก็น่าจะทยอยมีมาตรการทั้งของเอกชนหรือของรัฐ ออกมาสนับสนุนเรื่องการมีคู่แต่งงานกันอย่างจริงจังมากขึ้นเหมือนที่บางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ทำมาแล้ว

    ขณะที่บริษัทเอกชนซึ่งเป็นเจ้า ไอเดียดังกล่าว มองว่าความรักและครอบครัวก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน และมีผลถึงการทำงานโดยตรงด้วย ดังที่ผู้จัดการฝ่ายเอชอาร์กล่าวไว้ว่า "ถ้าผู้หญิงมีความสุขกับชีวิตส่วนตัว พวกเธอก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"

    คอลัมน์ โลกทูเดย์ โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ

    Source: Posttoday

    - Single? Female? Over 30? Chinese companies bring in ‘dating leave’ for Lunar New Year
    https://www.scmp.com/news/china/soc...But0GZE_023ye8sVptnER4dqe-9rSTZfluRQWqNbFgG-Q
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    cations%2Fcnbc.com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2018%2F03%2F07%2F105050053-RTS1MG70.1910x1000.jpg
    (Jan 25) Government Shutdown ในสหรัฐยังคงยืดเยื้อต่อไปหลังวุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติคัดค้านร่างกฎหมายงบประมาณ 2 ฉบับ : วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติคัดค้านร่าง spending bills 2 ฉบับที่เสนอโดยทั้งพรรค Republican และ Democrat โดยการลงคะแนนเสียงทั้งสองครั้งเป็นไปในลักษณะ partisan vote ซึ่งไม่เพียงพอที่จะผ่านร่างทั้ง 2 ฉบับด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบที่ 60 คะแนน

    ในรายละเอียด ร่างกฎหมายจากพรรค Republican ที่มีการจัดสรรงบประมาณ funding การสร้างกำแพงตามแนวชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโก จำนวน 5.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึงความคุ้มครองชั่วคราวสำหรับผู้อพยพกลุ่ม DACA และเพิ่มข้อจำกัดในการรับผู้ลี้ภัยนั้น ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบที่ 50 ต่อ 47 คะแนน

    ในส่วนของร่างกฎหมาย stopgap spending bill จากพรรค Democrat ในการ funding government ชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 8 ก.พ. เพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อ federal employees และเป็นการให้เวลา ส.ส. และ ส.ว. ในการหารือแนวทางแก้ไขปัญหาด้าน border security ต่อไป ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบที่ 52 ต่อ 44 โดยมี ส.ว. พรรค Republican 6 ท่าน เห็นชอบกับร่างดังกล่าว อาทิ นาง Susan Collins (Maine) และนาย Cory Gardner (Colorado) ซึ่งทั้ง 2 ท่านมีกำหนดการ re-election ในครั้งต่อไป สะท้อนถึงความกดดันจากประเด็น government shutdown ที่มีความยืดเยื้อ

    อย่างไรก็ดี นาย Mitch McConnell ผู้นำ ส.ว. พรรค Republican ระบุว่าร่าง stopgap spending bill ดังกล่าวนั้น ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากการ veto ร่างดังกล่าวของประธานาธิบดี Trump จะยังคงมีผลอยู่ ทั้งนี้ หลายฝ่ายหันไปจับตามมองที่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีรายงานว่าพรรค Democrat กำลังจัดทำร่างฉบับใหม่ที่มีงบประมาณด้าน border security แต่มิได้เป็นงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงแต่อย่างใด โดยจำนวนใกล้เคียงกับ 5.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ที่ประธานาธิบดี Trump ต้องการใช้สำหรับสร้างกำแพง

    Source: BOTSS

    - Shutdown continues: Senate blocks bills to fund government amid fight over Trump border wall:
    https://www.cnbc.com/2019/01/24/sen...7MupUxBLKwPsuefn8MR2NvntWCREB8Z2x84Jx12HbqxoE
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Clips: รัสเซียกร้าว ห้าม “สหรัฐฯ” ใช้กำลังทหารเข้าแทรกวิกฤตเวเนซุเอลา เผยแพร่: 24 ม.ค. 2562 20:40 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000880101.jpg
    รอยเตอร์/เอเอฟพี - ล่าสุดรัสเซียได้ออกคำเตือนสหรัฐวันนี้(24 ม.ค)ว่า ไม่ให้สหรัฐฯใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงเวเนซุเอลา หลังผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ฮวน กุยโด (Juan Guaido) ประกาศตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีเวเนซุเอลาชั่วคราวในวันพุธ(23 ม.ค) ทั้งๆที่ประธานาธิบดีมาดูโรเพิ่งผ่านพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสมัยที่ 2 ไม่นาน

    รอยเตอร์รายงานวันนี้(24 ม.ค)ว่า จากการที่ ฮวน กุยโด (Juan Guaido) ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลาได้ประกาศให้ตัวเองเป็นผู้นำเวเนฯชั่วคราว และได้รับการรับรองจากสหรัฐฯ และรวมไปถึงประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุแอล มาครง อ้างอิงจากเอเอฟพี

    โดยมาครงกล่าวในวันพฤหัสบดี(24)ว่า ยุโรปสนับสนุนการนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ หลังการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมของประธานาธิบดีมาดูโรเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว

    และการที่สหรัฐฯออกมาหนุนหลังกุยโด ส่งผลทำให้มาดูโรสั่งตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯทันที ออกคำสั่งให้เวลา 72ชั่วโมงแก่นักการทูตสหรัฐฯในการเดินทางกลับประเทศ แต่อเมริกาออกมาอ้างว่า มาดูโรไม่มีอำนาจที่จะสั่งการได้

    ระหว่างการประท้วงครั้งใหญ่ในเวเนซุเอลา ได้เกิดความรุนแรงขึ้นซึ่งมีรายงานผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นจำนวน 7 ราย

    โดยในการให้สัมภาษณ์กับวารสารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ( International Affairs ) สื่อของรัสเซีย ที่ได้ตีพิมพ์ในวันนี้(24) ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก รยาบคอฟ(Sergei Ryabkov) กล่าวว่า ***มอสโกพร้อมที่จะยืนเคียงค้างเวเนซุเอลาเพื่อปกป้องความเป็นรัฐ และหลักการไม่ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในประเทศ***

    และเมื่อเขาถูกถามถึงในกรณีที่สหรัฐฯอาจจะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงในเวเนซุเอลา รยาบคอฟตอบกลับมาว่า สหรัฐฯสมควรที่จะต้องถอยออกให้ห่าง

    “เราขอเตือนต่อสิ่งนั้น” รยาบคอฟชี้ และเสริมว่า “ทางเราคาดว่า อาจจะเกิดสถานการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งอาจสั่นสะเทือนพื้นฐานของรูปแบบการพัฒนาที่เราได้เห็นในภูมิภาคลาตินอเมริกา”

    ซึ่งก่อนหน้าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นที่จะใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและการทูตอย่างเต็มกำลังในการผลักดันทำให้เกิดการกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยในเวเนซูเอลา

    รอยเตอร์กล่าวว่า สถานการณ์ที่มาดูโรจะถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งถือเป็นเรื่องน่าปวดหัวทางภูมิศาสตร์ทางการเมืองและเศรษฐกิจสำหรับมอสโก พร้อมไปกับจีน ซึ่งกลายเป็นแหล่งที่พึ่งทางเศรษฐกิจสุดท้ายสำหรับคาราคัส โดยจีนได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯเดินออกมาจากวิกฤตทางการเมืองเวเนซุเอลา

    ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียไม่ได้เอ่ยชื่อ “มาดูโร” แต่เขากล่าวว่า รัฐบาลรัสเซียให้การสนับสนุนรัฐบาลคาราคัสของเขา

    “เวเนซุเอลาเป็นมิตรที่ดีต่อเรา และเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของเรา” รยาบคอฟกล่าว และเสริมต่อว่า “ทางเราได้สนับสนุนพวกเขามา และจะยังคงสนับสนุนต่อไป”

    เดือนธันวาคมปีที่แล้ว มาดูโรเดินทางไปเยือนกรุงมอสโกเพื่อขอความช่วยเหลือทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจจากรัสเซีย และในเดือนเดียวกันนี้ เครื่องบินทิ้งระเบิดสมรรถนะติดหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซียได้ถูกส่งไปยังกรุงคาราคัสในสัญลักษณ์ของการแสดงความสนับสนุน

    https://mgronline.com/around/detail/9620000008535
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กองทัพเวเนฯเลือกข้าง'มาดูโร' ประณามฝ่ายค้านอ้างตัวเป็นปธน.คือการ'รัฐประหาร' เผยแพร่: 25 ม.ค. 2562 02:32 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000890901.jpg

    พลเอกวลาดิมีร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกลาโหมเวเนซุเอลา นำทัพเหล่าผู้บัญชาการทหารระดับสูง ออกถ้อยแถลงสนับสนุนประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในกรุงดามัสกัส เมื่อวันพฤหัสบดี(24ม.ค.)
    เอเอฟพี/รอยเตอร์ - เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพซึ่งทรงอิทธิพลของเวเนซุเอลา แสดงจุดยืนสนับสนุนประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในวันพฤหัสบดี(24ม.ค.) ในขณะที่อำนาจของเขากำลังถูกท้ายทายโดยตรงจาก ฮวน กุยโด ผู้นำฝ่ายค้านที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯและพันธมิตรหลักในละตินอเมริกา

    พลเอกวลาดิมีร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกลาโหมเวเนซุเอลา กล่าวหา กุยโด ว่าความพยายาม "ก่อรัฐประหาร" และบอกว่า มาดูโร วัย 56 ปีนั้นเป็น "ประธานาธิบดีที่ชอบธรรมตามกฎหมาย"

    ขณะเดียวกันสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐที่เผยแพร่สารจากเหล่านายพล 8 นายที่บัญชาการกองกำลังตามภูมิภาคยุทธศาสตร์ต่างๆของประเทศ ซึ่งย้ำว่าพวกเขา "ภักดีอย่างเหนียวแน่นและยังอยู่ภายใต้การบัญชาการ" ของผู้นำสังคมนิยมรายนี้ โดยบางส่วนได้ปิดท้ายในถ้อยแถลงระบุว่า "ภักดีเสมอ ไม่เคยเป็นผู้ทรยศ"

    ในวอชิงตัน ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เตือนรัฐบาลของมาดูโร ต่อการใช้กำลังใดๆกับผู้ประท้วง ระหว่างขึ้นกล่าวปราศรัยต่อองค์การรัฐอเมริกัน "เวลาแห่งการถกเถียงจบลงไปแล้ว ระบอบของอดีตประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร นั้นไม่ชอบธรรม" พอมเพโอกล่าว

    เมื่อวันพุธ(23ม.ค.) กุยโด วัย 35 ปี ทำพิธีสาบานตนต่อหน้าผู้สนับสนุน ประกาศตัวว่าเป็นประธานาธิบดีรักษาการแห่งเวเนซุเอลา คำกล่าวอ้างที่ได้รับการรับรองอย่างทวันควันจาสหรัฐฯและรัฐบาลต่างๆในภูมิภาคอีกหลายสิบแห่ง ในนั้นรวมถึงบราซิล, อาร์เจนตินาและโคลอมเบีย เช่นเดียวกับ แคนาดาและฝรั่งเศส

    เม็กซิโก, คิวบา และโบลิเวีย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในการบริหารงานของรัฐบาลฝ่ายซ้าย ได้ประกาศสนับสนุนมาดูโร ขณะที่ รัสเซีย และจีน ต่างก็แสดงจุดยืนหนุนหลัง มาดูโร เช่นกัน

    562000000890902.jpg


    การประกาศของกุยโดมีขึ้นในเวลาเดียวกับที่มีการประท้วงใหญ่บนท้องถนนครั้งแรกนับจากที่มีผู้เสียชีวิต 125 คนจากการปะทะระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2017 และยังเกิดขึ้นไม่นานหลังจากศาลสูงสุดที่ควบคุมโดยสมุนของมาดูโร สั่งเปิดการสอบสวนคดีอาญาต่อสมัชชาแห่งชาติฐานพยายามขับไล่ประธานาธิบดี

    ผู้สนับสนุนมาดูโรหลายพันคนที่หลายคนสวมเสื้อแดงชุมนุมหน้าทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อคัดค้านความพยายามก่อรัฐประหารของฝ่ายค้านที่ได้รับการหนุนหลังจากอเมริกา ส่วนที่จุดอื่นๆ ในกรุงการากัสมีผู้สนับสนุนฝ่ายค้านหลายหมื่นคน ซึ่งมีหลายคนสวมเสื้อขาวและตะโกนเชียร์กุยโด

    มาดูโรนั้นบริหารเวเนซุเอลา ประเทศที่อุดมด้วยน้ำมันจนเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง ประชาชนนับล้านยากจน ขณะที่ประเทศขาดแคลนสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น อาหารและยา ประชาชน 2.3 ล้านคนหนีออกนอกประเทศ คดีอาชญากรรมชุกชุม และกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของเวเนซุเอลาจะพุ่งแตะ 10 ล้านเปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้

    กุยโดเรียกร้องประชาชนร่วมชุมนุมเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของตนในการปลดมาดูโร รวมทั้งจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวและจัดการเลือกตั้ง

    อย่างไรก็ตาม ดิมิทริส ปันตูลาส นักวิเคราะห์และที่ปรึกษาทางการเมืองในการากัส เตือนว่า การเคลื่อนไหวของกุยโดอันตรายอย่างยิ่ง โดยเห็นได้ชัดว่า เป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายค้านเวเนซุเอลาตัดสินใจร่วมกับรัฐบาลอเมริกา และแม้กุยโดได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แต่ก็ไม่มีอำนาจควบคุมหน่วยงานรัฐบาลหรือกองกำลังความมั่นคง นอกจากนั้นยังไม่ชัดเจนว่า ประชาชนพร้อมสละชีวิตปกป้องเขาหรือ
    https://mgronline.com/around/detail/9620000008597
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เด็กๆเบลเยียมนัดหยุดเรียนสัปดาห์ละครั้ง กดดันรัฐบาลลงมือแก้ปัญหามลพิษและโลกร้อน
    เผยแพร่: 25 ม.ค. 2562 01:12 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000889101.jpg

    รอยเตอร์ - เด็กนักเรียนเบลเยียมหลายพันคนผละจากห้องเรียนในวันพฤหัสบดี(24ม.ค.) หลั่งไหลไปยังกรุงบรัสเซลส์ ในการประท้วงที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อต้านภาวะโลกร้อนและมลพิษ พร้อมประกาศจะหยุดเรียนสัปดาห์ละครั้ง จนกว่ารัฐบาลจะดำเนินการ

    พวกนักเรียนพากันตีกลองและชูป้ายประท้วงคว่ำครวญต่อภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ระหว่างรวมตัวกันอยู่รอบๆรัฐสภายุโรป

    ตำรวจบอกว่ามีผู้เข้าร่วมราว 35,000 คน ถือเป็นการชุมนุมของเด็กนักเรียนในเมืองหลวงของเบลเยียม ที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่กรุงบรัสเซลส์ ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันสหภาพยุโรปหลายแห่ง

    "ถ้าเราหยุดเรียนทุกวันพฤหัสบดี ถ้าเราไม่ไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ในประเทศของเราและในโลกใบนี้ก็จะเห็นว่ามลพิษและโลกร้อนคือปัญหา" จ็อบเป มาทีย์ส นักเรียนระดับมัธยมกล่าว ส่วนนักเรียนอีกคนชูป้ายข้อความว่า "จงเป็นส่วนหนึ่งของทางออก ไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา(มลพิษ)"

    562000000889102.jpg


    ขณะที่ ลาลา เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่เดินทางมาชุมนุมพร้อมกับครูของเธอ บอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะหยุดขับรถ แล้วหันมาเดินหรือขี่จักรยานแทน "พวกไดโนเสาร์ก็เคยคิดว่าพวกมันยังเหลือเวลาเช่นกัน"

    การประท้วงอย่างกว้างขว้างทั่วเบลเยียมนี้ มีจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม จากการเดินขบวน "Claim the Climate" ของผู้ชุมนุมกว่า 65,000 คน ซึ่งเรียกร้องให้พวกผู้นำเบลเยียมและยุโรปทำนโยบายต่างๆเกี่ยวภับภาวะโลกร้อนไปใช้ ตามกรอบของเป้าหมายที่กำหนดโดยข้อตกลงปารีสปี 2015

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้่นก่อนหน้าการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP24 ในโปแลนด์ โดยระหว่างการประชุมได้มีการเผยแพร่ดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CCPI) ประจำปี ซึ่งเป็นตัววัดผลดำเนินการตามข้อตกลงปารีส และปรากฏว่า เบลเยียม รั้งอันดับ 31 จากทั้งหมด 60 ชาติ

    ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กรุงบรัสเซลส์ถูกจัดอันดับเป็นประจำในฐานะเมืองที่แออัดมากที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรปตะวันตก สืบเนื่องจากความหนาแน่นของพลเมืองค่อนข้างสูงและจำนวนผู้สัญจรขนาดใหญ่

    https://mgronline.com/around/detail/9620000008590
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพช็อค!!ออสเตรเลียร้อนปรอทแตก ม้าป่า 90 ตัวตายในแอ่งน้ำแห้งขอด
    เผยแพร่: 25 ม.ค. 2562 04:00 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000891101.jpg

    ภาพจากเฟซบุ๊ก Ralph Turner
    บีบีซี - คลื่นความร้อนรุนแรงที่แผ่ปกคลุมออสเตรเลียตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ได้นำมาซึ่งภาพสุดช็อค ม้าป่ามากกว่า 90 ตัวตายอยู่ในธารน้ำที่แห้งขอด จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในวันพฤหัสบดี(24ม.ค.)

    พวกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าพบม้าป่าทั้งตายแล้วและกำลังนอนรวยรินอยู่ในแอ่งน้ำแห้งขอดแห่งหนึ่งใกล้ๆกับเมืองอลิซสปริงส์ ในรัฐนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    เจ้าหน้าที่บอกว่าในบรรดาม้าทั้งหมดที่พบนั้น ราวๆ 40 ตัวได้ตายแล้ว จากภาวะขาดน้ำและขาดอาหาร ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในสภาพรวยริน จนสุดท้ายจำเป็นต้องทำการุณยฆาตพวกมันในเวลาต่อมา

    562000000891102.jpg


    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพร้อนระอุเป็นประวัติการณ์ ด้วยอุณหภูมิทะลุขึ้นไปแตะ 49.5 องศาเซลเซียส บริเวณทางเหนือของเมืองแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ขณะที่ในตัวเมืองเมื่อวันพฤหัสบดี(24ม.ค.) ก็ร้อนปรอทแตกไม่ต่างกัน ด้วยอุณหภูมิพุ่งแตะ 47.7 องศาเซลเซียส สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1939

    ออสเตรเลียต้องประสบกับสภาพอากาศร้อนจัดต่อเนื่องมากกว่า 2 สัปดาห์ และทั่วประเทศต่างทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายสิบจุด ทั้งนี้เฉพาะในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย มีมากกว่า 13 เมืองที่อุณหภูมิพุ่งทำสถิติสูงสุดเท่าที่เคยเจอมา

    ขณะเดียวกันในอลิซสปริงส์ ใกล้จุดที่พบม้าตายหมู่ อุณหภูมิก็อยู่เหนือระดับ 42 องศาเซลเซียสต่อเนื่องมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว เหนือกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปของเดือนมกราคม ถึง 6 องศาเซลเซียส ตามข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลีย

    562000000891103.jpg


    พวกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามาพบฝูงท้าดังกล่าวโดยบังเอิญ หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่อยู่ในชุมชุนแห่งหนึ่ง ซึ่งสังเกตเห็นว่าพวกมันหายไปจากป่า ทั้งนี้ชาวบ้านท้องถิ่นนามว่า ราล์ฟ เทอร์เนอร์ ได้เดินทางไปดูจุดที่พบม้าเช่นกันและได้โพสต์ภาพถ่ายลงบนสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมบรรยายภาพว่า "ฉากแห่งการถูกฆ่าหมู่"

    โรฮัน สมิธ ชาวบ้านอีกคนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอบีซีว่าปกติแล้วจะมีน้ำในแอ่งดังกล่าวและดูเหมือนว่าฝูงม้าเหล่านั้น "จะไม่มีที่ไป"

    ทางสภาเมืองบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำการุณยฆาตม้าที่เหลือ เนื่องจากพบว่าพวกมันใกล้ตายแล้ว นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแผนเตรียมกำจัดม้า, ลิง, ลา และ อูฐ อีกราวๆ 120 ตัว หลังจากพวกมันใกล้ตายจากภาวะขาดน้ำในชุมนุมหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง

    ขณะเดียวกันก็มีสัตว์ป่าอื่นๆอีกหลายชนิดที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากสภาพอากาศเลวร้ายเช่นกัน ท่ามกลางรายงานการตายหมู่ของค้างคาวพื้นเมืองในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เช่นเดียวกับปลาอีกนับล้านตัวที่พบตายตามตลิ่งแม่น้ำในรัฐต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้ง

    https://mgronline.com/around/detail/9620000008598
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ImpactoVisión Noticias

    3 - Copy.JPG

    2 - Copy.JPG

    คนตายจมน้ำตายในเบนซินใน irapuato mexico

    กำลังพยายามขโมยเบนซิน
    23.01.2019
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ImpactoVisión Noticias



    น้ำท่วมกระทันหันใน sao paulo บราซิล

    24.01.2019
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐฯยอมรับยัง'ห่างไกล'แก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับจีน
    เผยแพร่: 24 ม.ค. 2562 23:30 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000888301.jpg

    วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ
    เอเอฟพี - วอชิงตันและปักกิ่งยังคงห่างไกลจาการคลี่คลายสงครามการค้าระหว่างกัน จากการเปิดเผยของ วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯในวันพฤหัสบดี(24ม.ค.)

    คณะผู้แทนระดับสูงของจีนมีกำหนดเดินทางมายังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า เพื่อเจรจาคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าให้ทันก่อนวันที่ 1 มีนาคม ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาสงบศึกทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และถึงกำหนดที่อเมริกาจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีกระลอก หากทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถเจรจากันได้

    อย่างไรก็ตาม รอสส์ พยายามสยบความคาดหมายที่มีต่อการประชุมดังกล่าว "มีการคาดเดาล่วงหน้ามากมายว่าเราจบงานแล้ว แต่เรายังอยู่ห่างไกลจากการได้ทางออกและไม่ควรต้องจะแปลกใจอะไร" รอสส์ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี

    ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงหนักกว่าเดิมระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์ ซึ่งมีขึ้น 1 วันหลังจากทำเนียบขาวเพิ่งออกมาปฏิเสธข่าวที่ระบุว่าการเจรจาทางการค้าประสบกับอุปสรรคร้ายแรง

    ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นไปได้แห่งความล้มเหลวของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนได้สั่นคลอนตลาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดปีที่ผ่านมา

    วอชิงตันกล่าวหาปักกิ่งมีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมต่างๆนาน โดยเฉพาะการขโมยองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีของหรัฐฯ

    รอสส์ บอกว่ายังมีโอกาสพอสมควรที่จะบรรลุข้อตกลงกับปักกิ่ง แต่ก็มีงานที่ต้องทำอีกมาก เนื่องจากข้อพิพาทนั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆที่ยากที่แก้ปัญหาได้ในกรอบเวลาอันสั้น

    "เราต้องการที่จะทำข้อตกลง แต่ต้องเป็นข้อตกลงที่ใช้ได้กับทั้ง 2 ฝ่าย และขณะนี้ เรากำลังอยู่ห่างกันเป็นไมล์ๆ จากการบรรลุข้อตกลง" นายรอสส์กล่าว" ผมคิดว่าจีนก็ต้องการข้อตกลง ผมเชื่อว่าเราก็อยากได้ข้อตกลง แต่มันจำเป็นต้องเป็นข้อตกลงที่ได้ผลสำหรับสองฝ่าย"

    "ผมพยายามบอกกับทุกคนว่าอย่าได้คาดหวังว่าเหตุการณ์ต่างๆในสัปดาห์หน้า จะเป็นทางออกทั้งหมดของประเด็นต่างๆระหว่างสหรัฐฯและจีน" รอสส์ระบุ

    เมื่อปีที่แล้ว วอชิงตันและปักกิ่ง ต่างรีดภาษีตอบโต้กันไปมา คิดเป็นมูลค่ากว่า 360,000 ล้านดอลลาร์ในการค้าแบบ 2 ทาง และมันกลายเป็นชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

    แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์แข็งกร้าวกับจีน แต่ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกับปักกิ่งก็ยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ย้ำให้เห็นว่าภาคอุตสากรรมของสหรัฐฯนั้นต้องพึ่งพิงฐานการผลิตของจีนมากแค่ไหน

    https://mgronline.com/around/detail/9620000008573
     

แชร์หน้านี้

Loading...