ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [BREAKING]
    Volkswagen แถลงทางการ
    "วิกฤตเศรษฐกิจยุโรปแย่กว่าคาด"
    มองยอดขายลดในยุโรปหด 2 ล้านคันปีนี้ จนทำให้โรงงานของบริษัทมีเกินความต้องการถึง 2 โรงงาน และอาจต้องเร่งปิดตัว

    (Bloomberg) -- Volkswagen AG defended plans to consider unprecedented factory closures in Germany, saying flagging car sales have left the company with about two plants too many.

    https://www.bloomberg.com/news/arti...eave-two-factories-empty?srnd=homepage-europe

    https://www.facebook.com/share/CXa8aE4yzf7vty3a/?mibextid=oFDknk
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประเมินบริษัทชั้นนำจากบันทึกของ Howard Marks
    .
    .
    Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า "เมื่อผมเห็นบันทึกของ Howard Marks ในจดหมาย สิ่งแรกที่ผมเปิดอ่านคือบันทึกเหล่านั้น ผมได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเสมอ" มาดูความเชื่อหลักของเขากันดีกว่า

    —————————

    1) Torm เป็นบริษัทขนส่งที่ขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นและน้ำมันดิบทั่วโลกเป็นหลัก

    • อัตรากำไรสุทธิ: 44.7%
    • ROIC: 12.3%
    • อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นล่วงหน้า: 5.3 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +25.1% ต่อปี

    —————————

    2) Chesapeake Energy เป็นบริษัทพลังงานที่มุ่งเน้นการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเหลว

    • อัตรากำไรสุทธิ: 10.7%
    • ROIC: -7.9%
    • อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นล่วงหน้า: 22.8 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +4.8% ต่อปี

    —————————

    3) Garett Motion เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ออกแบบและผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์และระบบเพิ่มแรงดันไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะ

    • อัตรากำไรสุทธิ: 6.4%
    • ROIC: 31.4%
    • อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นล่วงหน้า: 6.3 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +3.8% ต่อปี

    —————————

    4) Sitio Royalties เป็นเจ้าของและจัดการพอร์ตโฟลิโอของแร่น้ำมันและก๊าซและผลประโยชน์ค่าภาคหลวงในสหรัฐอเมริกา

    • อัตรากำไรสุทธิ: -2.6%
    • ROIC: 5.8%
    • อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นล่วงหน้า: 29.4 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +38.2% ต่อปี

    —————————

    5) Runway Growth Finance ให้บริการสินเชื่อและโซลูชันทางการเงินแก่บริษัทในระยะเติบโต โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ชีววิทยาศาสตร์ และการดูแลสุขภาพ

    • อัตรากำไรสุทธิ: 27.0%
    • ROIC: /
    • อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นล่วงหน้า: 6.2 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: /

    —————————

    6) Infinera ออกแบบและจำหน่ายโซลูชันเครือข่ายและอุปกรณ์ส่งสัญญาณออปติกสำหรับบริษัทโทรคมนาคม

    • อัตรากำไรสุทธิ: -7.1%
    • ROIC: -9.0%
    • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า: 28.2x
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +20.0% ต่อปี

    —————————

    7) Star Bulk Carriers ดำเนินการกองเรือขนส่งสินค้าแห้งที่ขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน และธัญพืชไปทั่วโลก

    • อัตรากำไรสุทธิ: 20.6%
    • ROIC: 10.7%
    • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า: 5.4x
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +133.0% ต่อปี

    —————————

    8) SunOpta เป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากพืชและออร์แกนิก

    • อัตรากำไรสุทธิ: -26.4%
    • ROIC: -8.2%
    • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า: 50.1x
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +30% ต่อปี

    —————————

    9) Vale Sa เป็นบริษัทเหมืองแร่ของบราซิลที่ผลิตแร่เหล็ก นิกเกิล และแร่ธาตุอื่นๆ และยังดำเนินงานด้านโลจิสติกส์และพลังงานอีกด้วย

    • อัตรากำไรสุทธิ: 23.2%
    • ROIC: 9.2%
    • อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นล่วงหน้า: 5.4 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +5.8% ต่อปี

    —————————

    10) Freeport-McMoRan เป็นบริษัทเหมืองแร่ที่ผลิตทองแดงเป็นหลัก รวมไปถึงทองคำและโมลิบดีนัม

    • อัตรากำไรสุทธิ: 7.8%
    • ROIC: 8.6%
    • อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นล่วงหน้า: 20.3 เท่า
    • ประมาณการการเติบโตในระยะยาว: +12.7% ต่อปี

    —————————

    แค่ข้อมูลสรุปจากบันทึกประเมินเกี่ยวกับบริษัท 10 ตัว ของ Howard Marks ก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากให้กับเหล่านักลงทุนทั่วไป การศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับบริษัทต่าง ๆ ที่คุณสนใจจะลงทุนคือสิ่งแรกที่คุณควรทำเสมอ

    #BusinessTomorrow

    https://www.facebook.com/share/p/woWv8mm4d4jCqwuR/?mibextid=oFDknk
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จับตาเงินบาทแข็งค่าเร็วแรง! กระทบธุรกิจส่งออกไทยสาหัสแค่ไหน ?
    .
    .
    • ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Business tomorrow โดยได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการที่เงินบาทไทยแข็งค่าส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจส่งออกของไทย

    .

    • การที่เงินบาทแข็งค่าอยู่ในขณะนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกของไทย เพราะไทยยังขึ้นอยู่กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ถ้าเป็นไปตามกลไกของการแข่งขันไทยไม่น่ามีปัญหา แต่ที่สำคัญคือในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปถึง 5.6% จาก 36 มาเป็น 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่จีนแข็งค่าเพียง 2% ส่วนเวียดนามเพียง 1.6% ทำให้เงินส่วนต่างที่ได้รับกลับมามีมูลค่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จนเราไม่สามารถบริหารจัดการได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น

    .

    • การแข่งขันในต่างประเทศยังรุนแรง ธุรกิจส่งออกหลายรายได้กำไรเพียง 1% - 2% แล้วมาเจอกับเงินบาทที่แข็งค่า อาจจะทำให้ติดลบหรือขาดทุนได้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือผู้ประกอบการ SMEs เพราะจะต้องมีการประกันการส่งออก ในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ซึ่งระดับค่าเงินบาทไทยที่เหมาะสมกับการส่งออกควรจะอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรจะโฟกัสไปที่การพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ในระยะยาว

    .

    • การส่งออกไทยก็ยังติดกับดักตัวเอง เพราะเราแข่งขันด้วยสินค้าเดิม ตลาดเดิม ซึ่งอยู่ในน่านน้ำสีแดงที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวมาก ดังนั้นเราต้องช่วยกันปรับโครงสร้างการส่งออกของไทย ปรับรูปแบบของสินค้า จะต้องมีการวางแผนที่ดี มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราต้องยกระดับตัวเองทั้งในเรื่องของการผลิตและการตลาด

    .

    • ตัวเลขส่งออกของไทยใน 7 เดือนที่ผ่านมาเติบโตถึง 3.8% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะได้รับการร่วมมือที่ดีจากภาครัฐและภาคเอกชน สินค้าที่เติบโตได้ดีได้แก่ สินค้าเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนสินค้าที่ยังต้องมาลุ้นกันต่อก็ได้แก่ ยานยนต์ ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีมูลค่าค่อนข้างสูง โดยกำลังค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากสินค้าปิโตรเคมีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีการติดลบเล็กน้อยอยู่ที่ -0.6% ส่วนเคมีภัณฑ์เติบโตถึง 30% - 40% ส่วนยานยนต์ก็กำลังเป็นที่จับตามองอยู่

    .

    • โค้งสุดท้ายของการส่งออกก่อนสิ้นปี คาดว่าจะการเติบโตการส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน 1% ส่วนจะเติบโตถึง 2% หรือไม่ ก็ยังจะต้องลุ้นกันต่อไป แต่เท่าที่ประเมินมาในช่วงไตรมาส 3 การส่งออกน่าจะถึงเกณฑ์ ส่วนในไตรมาส 4 มีความท้าทายที่สูง แต่อย่างแย่ที่สุดจบปี ไทยน่าจะมีอัตราการเติบโตของการส่งออกรวมอยู่ที่ 2%

    .

    • แม้ปีนี้คาดว่าการส่งออกไทยจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ในปีหน้ามีเรื่องที่จะต้องท้าทายอีกมาก ซึ่งเงินทุนเรามีจำกัด จึงต้องรักษาตลาดเดิมไว้ แต่การอยู่แบบเดิมอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี ดังนั้นต้องมาแข่งขันในโลกออนไลน์ ผลิตสินค้าที่หลากหลาย และไม่เก็บสต๊อกไว้เยอะ

    .

    • คลื่นของการตลาดและเทคโนโลยีรวมทั้งบุคลากรใหม่ ๆ มีการแข่งขันสูง ทำให้ไทยต้องเจอกับโจทย์ที่ยากขึ้น ทั้งมาตรฐานการผลิตสินค้าของโลกที่ยกระดับเพิ่มขึ้น ในเรื่องของสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม หากไม่ปรับตัวจะทำให้อยู่รอดยาก

    ผู้เขียน ศิวพร ชีเจ็ดริ้ว

    #BusinessTomorrow #BizTMR #ส่งออกไทย #บาทแข็ง #ส่งออก

    https://www.facebook.com/share/p/JiQHTPamjgxaFdiG/?mibextid=oFDknk
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1725676496347.jpg FB_IMG_1725676503084.jpg

    #เทขาย #สินทรัพย์เสี่ยง
    หุ้นอเมริกา S&P500 ร่วงหนักสุดรอบปีครึ่ง! น้ำมันดิบต่ำสุดรอบ 3ปี! พันธบัตรอเมริกา yield ต่ำสุดรอบ 2ปี!

    ไปกันใหญ่แล้วล่ะครับ สัปดาห์ที่เพิ่งจบไปนี้ถือว่าสากรรจ์ที่สุดในรอบ 1 ปีครึ่งสำหรับดัชนี S&P 500 ตลาดวอลล์สตรีท สหรัฐอเมริกา ซึ่งภาพตอนนี้มันไม่สู้ดีเลยล่ะครับ
    (งวดนี้ ต้องยกให้ "โกลด์แมน แซคส์" พระเอกเลย! เพราะเพจเดือดฯ ก็เพิ่งโพสต์ไปหยกๆ ว่าวาณิชธนกิจเจ้านี้ทักว่าสภาวการณ์ในตลาดหุ้นอเมริกาอันตราย ทั้งๆ ที่ภายนอกดูสดใส แล้วไม่ทันไรก็บึ้มจริงๆ --- ซึ่งแม้ "โกลด์แมน แซคส์" ไม่ได้ชี้ชัด แต่ผมว่าเขาก็มองว่าเป็น correction แรงๆ เฉยๆ ยังไม่น่าจะไหลลงระห่ำ เพราะขนาด Black Monday เมื่อ 5 ส.ค. 2024 ก็ยังแป๊บเดียวจบ)
    แล้วตลาดแบบนี้ มันชัดว่า risk-off ครับ คือเทขายสินทรัพย์เสี่ยง แล้วโยกไปหา safe haven "เครื่องยึดเหนี่ยว/ที่พึ่งทางการลงทุน" แทน แล้วโยกแบบหนักๆ เน้นๆ เห็นได้ชัด (ซึ่งก็ยังบอกไม่ได้ว่าชั่วครั้งชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าวหรือไม่)
    ตรงกันข้าม พันธบัตรรัฐบาลอเมริกาดีมาก (เพราะเป็น safe haven) ดังเห็นได้จาก yield พันธบัตรอเมริกา อายุ 2 ปี yield แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี (ยิ่ง yield ต่ำ ยิ่งแปลว่าพันธบัตรดี) อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งที่ yield แคบลงเพราะก็เทรนด์ตามการเก็งว่าดอกเบี้ยนโยบายของ "เฟด" จะลดลงด้วย

    https://www.facebook.com/share/JEME2eSyn4KCwpyD/?mibextid=oFDknk
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แหม พอบอกว่าเป็น "โตโยต้า" ก็เลยทำให้คนเลิกคิ้ว แต่เอาเข้าจริงแล้ว ก็อย่างที่เพจเดือดฯ โพสต์ประจำๆ นะครับ มันเป็นการกลับเทรนด์อีกขยัก ของค่อนโลก --- จากที่จะเร่งเครื่องไป EV กันถ้วนหน้า ก็ชักจะเขวๆ เริ่มมีดึงๆ หน่อยแล้ว ย้ำว่าเป็นกันเกือบทั้งตลาด
    แต่พอเป็น "โตโยต้า" ที่เดิมก็เดินมาสาย EV ช้ากว่าเจ้าอื่นมากๆ อยู่แล้ว คนก็เลยยิ่งจับสังเกต
    ปรับเป้าครับ จากที่เคยตั้งเป้าจะผลิต EV ให้ได้ 1.5 ล้านคัน ในปี 2026
    ตอนนี้ ขอเหลือ 1 ล้านคันก็พอแล้วครับ
    (ปีที่แล้ว ขายได้ 104,000 คัน)
    1 ล้านคันก็ยังถือเป็นเป้าที่ทะเยอทะยานมากนะครับ ไม่ง่ายเลย ถ้าเทียบจากปัจจุบันแค่แสนเดียว
    อย่างไรก็ตาม ทาง "โตโยต้า" บอกว่าไม่ได้เปลี่ยนความมุ่งหมายที่จะผลิตซักหน่อย เพราะ 1.5 ล้านคันที่เคยปักไว้ ไม่ใช่เป้า แต่ว่าเป็นภาพในใจให้ผู้ถือหุ้นได้เห็นว่าอยากจะมุ่งไปประมาณไหนเฉยๆ
    เอ่อ สรุปว่าไม่ได้ปรับเป้า เพราะเดิมที่เคยบอกนั่นไม่ใช่เป้า!
    อืมม์ ก็จะงงๆ หน่อย
    https://www.reuters.com/business/au...around-third-1-mln-nikkei-reports-2024-09-06/
    https://www.facebook.com/share/p/7QrQvJJ1tvpncb6X/?mibextid=oFDknk
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sep 7, 2024 ปิดไม่สวย! ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงหนักยกแผง ดัชนีหุ้นดาวโจนส์พลิกปิดดำดิ่งกว่า 400 จุด หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายหนัก ฉุดดัชนีหุ้นนาสแดคดิ่งฮวบกว่า 430 จุด

    ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,345 จุด -410 จุด หรือ -1.01% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,408 จุด -94 จุด หรือ -1.73% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,690 จุด -436 จุด หรือ -2.55% ย้อนกลับไปเมื่อวันอังคารที่ 4 กันยายนผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของการซื้อขายในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นทั้ง 3 แห่งทำสถิติร่วงหนักใน 1 วันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 1 เดือน หรือตั้งแต่ 5 สิงหาคมผ่านมา

    ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดตกต่ำลง -2.9%, -4.3% และ -5.8% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 รายสัปดาห์ ทำสถิติย่ำแย่มากที่สุดในรอบ 1 ปี 5 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมปี 2023 และดัชนีหุ้นนาสแดครายสัปดาห์ ทำสถิติย่ำแย่มากที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือตั้งแต่ปี 2022

    สาเหตุจากนักลงทุนเริ่มกังวลกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน กระทรวงแรงงาน สหรัฐ รายงานยอดจ้างงานชาวอเมริกันนอกภาคการเกษตรเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 142,000 คน ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 160,000 คน อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 4.2% จากเดือนก่อนหน้านั้นที่ระดับ 4.3%

    เมื่อวันพฤหัสบดีผ่านไป ยอดการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐในเดือนสิงหาคมต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง ขณะที่นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อหุ้นบริษัทเอ็นวีเดีย ซึ่งเป็นผู้นำและยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตไมโครชิป และเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากมีราคาดำดิ่งหนักในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นผลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐยื่นฟ้องเอ็นวีเดียต่อกรณีการป้องกันการครอบงำตลาดไมโครชิป ส่งผลราคาหุ้นดิ่งเหวในวันอังคารหนักถึง -9% ฉุดมูลค่าบริษัทดำดิ่งถึง 279,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9.76 ล้านล้านบาทภายในวันเดียว

    นอกจากนี้ เดือนกันยายนในแต่ละปีผ่านมา มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีความผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะจากสถิติที่เก็บย้อนหลังมาหลายทศวรรษ พบว่า ดัชนีหุ้นจะตกต่ำย่ำแย่ ซึ่งคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นจะทรุดลงมากถึง -5% ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

    ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนถึง 0.5% อยู่ที่ 54% จากเดิมที่ 49% และลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% มีโอกาสอยู่ที่ 77.5% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50%

    #ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ตลาดหุ้น #เศรษฐกิจ ##btimes #สหรัฐ #ดาวโจนส์ #นาสแดค #เอสแอนด์พี500 #ดอกเบี้ย #เงินเฟ้อ

    https://www.facebook.com/share/s6AfJqFRk8G4miVp/?mibextid=oFDknk
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พบไวรัส 1,700 สายพันธุ์
    ในธารน้ำแข็งประเทศจีน
    .
    ทีมนักวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัย Ohio State University ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขุดค้นพบเศษดีเอ็นเอของไวรัสโบราณเกือบ 1,700 สายพันธุ์ ที่มีอายุกว่า 41,000 ปี และรอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศครั้งใหญ่ระดับโลกมาถึง 3 ครั้ง
    .
    โดยทีมนักวิจัย พบเศษดีเอ็นเอเหล่านี้ อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง Guliya Glacier ในเทือกเขาหิมาลัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตปกครองตนเองทิเบต ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพบว่าไวรัส 3 ใน 4 เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่ถูกค้นพบ ทั้งนี้ทางนักวิจัยเตรียมศึกษาต่อ เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมไวรัสเหล่านี้ จึงสามารถปรับตัว จนมีชีวิตรอดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมาได้
    .
    ทั้งนี้ ก้อนน้ำแข็ง ที่ได้จากธารน้ำแข็งดังกล่าว เป็นทรัพยากรทางการวิจัยที่มีค่ามาก เพราะมีตัวอย่างน้อยมากในปัจจุบัน สำหรับจะใช้ตรวจสอบและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องไวรัสและจุลินทรีย์ ซึ่งจากการตรวจสอบของนักวิจัยเบื้องต้นพบว่า ตัวแกนน้ำแข็งที่พบไวรัสดังกล่าว อยู่ลึกลงไปในธารนำแข็งราว 1,000 ฟุต หรือประมาณ 305 เมตร ซึ่งสามารถแบ่งช่วงของน้ำแข็งออกได้เป็น 9 ช่วง แต่ละช่วงแสดงถึงเวลาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่สภาพอากาศเย็นเปลี่ยนไปเป็นอุ่นกว่า 3 รอบ (Cold-to-Warm cycles) ในช่วงราว 160 - 41,000 ปีที่ผ่านมา
    .
    นอกจากนี้ทางนักวิจัยยังได้สกัดดีเอ็นเอ จากแต่ละส่วนของน้ำแข็ง และใช้กระบวนการที่เรียกว่าการวิเคราะห์เมตาจีโนม (metagenomic analysis) เพื่อระบุสายพันธุ์ไวรัส ซึ่งได้ออกมามากถึง 1,700 สายพันธุ์ ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้น
    .
    ทั้งนี้ Jean-Michel Claverie ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Aix-Marseille ในประเทศฝรั่งเศส และผู้นำด้านการวิจัยในเรื่องนี้ แสดงความกังวลว่าตัวไวรัสที่ถูกกักขังไว้ อาจหลุดออกมาแพร่สู่คนได้ เนื่องจากภาวะโลกร้อน จนทำให้น้ำแข็งละลายอย่างต่อเนื่อง
    รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัวของไวรัสเหล่านี้ ที่สามารถมีชีวิตรอดมาได้อย่างยาวนาน ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่า ไวรัสที่แพร่เชื้อสู่สัตว์หรือมนุษย์ อาจจะยังคงแพร่เชื้อได้ภายใต้สภาพเดียวกัน เพราะจากการตรวจสอบไวรัส พบดีเอ็นเอของไวรัสที่แพร่เชื้อสู่สัตว์หรือมนุษย์ อยู่ในน้ำแข็งนี้ด้วยกันถึง 1 ใน 4
    .
    ตามรายงานของศูนย์ระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาภูเขาแบบบูรณาการ International Center for Integrated Mountain Development (ICIMOD) ในปี 2023 คาดการณ์ว่าภายในปี 2100 ปริมาณธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยร้อยละ 30 - 50 อาจละลายหายไปจนหมด หากสภาพอากาศยังอุ่นขึ้นอีก 1.5 - 2 องศา
    .
    แหล่งที่มา : https://interestingengineering.com/science/40000-year-old-unknown-viruses-china

    #ไวรัส #น้ำแข็ง #จีน
    #TNNTechreports #Techreports #TNNONLINE #TNNThailand #TNNช่อง16 #ซิงเกิลอิมเมจ
    ————
    อัปเดตข่าวเทคโนโลยีที่น่าสนใจบน Instagram กับ TNN Tech คลิก https://www.instagram.com/tnn_tech

    รวมถึงแพลตฟอร์มน้องใหม่ Threads คลิกเลย
    https://www.threads.net/@tnn_tech

    ติดตาม TNN Tech ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
    • Youtube : https://bit.ly/TNNTechYoutube
    • TikTok : https://www.tiktok.com/@tnntechreports
    • Line @TNNTECH : https://page.line.me/tnntech
    • Website : https://bit.ly/TNNTechWebsite�
    หรือดูรายการ Live ได้ทาง
    https://www.facebook.com/TNN16LIVE/

    https://www.facebook.com/share/sDZSj1714dDqkkrH/?mibextid=oFDknk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "อินเทล" มาถึงจุดนี้ได้ยังไง
    จากอดีตบริษัทผลิตชิปใหญ่ที่สุดในโลก ครองตำแหน่งมาร่วมๆ 3 ทศวรรษ แต่วันนี้ไม่ติด 10 อันดับแรกด้วยซ้ำ ...
    ยอดขายร่วง 3 ปีซ้อน --- และปีนี้ประเมินว่า ยอดขายจะตก 30% จาก 3 ปีที่แล้ว
    ส่วนหุ้น ปีนี้วูบไปแล้ว 60% (แย่ที่สุดอันดับ 2 ใน S&P 500)
    ทำไม ทำไม ทำไม

    1. ย้อนกลับไป ราวๆ 2 ทศวรรษก่อน อินเทลยิ่งใหญ่ซะจนจินตนาการยังไงก็ไม่ออกว่าวันข้างหน้าจะล่มจมได้
    คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบ Windows แทบทั้งหมด ใช้ชิปอินเทล
    และเมื่อครั้น "แอปเปิ้ล" คลอดระบบ Macintosh มาท้าชน Windows ก็ยังเรียบร้อยโรงเรียนอินเทลอยู่ดี!
    ชิปอินเทล ใครๆ ก็ต้องใช้

    0. แก้ว 7 สี มณี 7 แสง
    อาวุธที่มีพลานุภาพสุดสูงของอินเทล คือ x86
    อินเทลคิดค้นมันขึ้นมา สำหรับคอมพิวเตอร์ของ IBM เมื่อปี 1981
    จากนั้นก็กินยาว!!!!!!!
    ทศวรรษที่ 1990s ตลาดคอมพิวเตอร์กระฉูดแตก ฉะนั้น อินเทลขายชิปดีเป็นเทน้ำเทท่า

    แข่งกันที่ MHZ (เมกะเฮิรตซ์)
    ทำเร็ว และทำหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน
    เจ้าอื่นทาบอินเทลไม่ได้

    2. อินเทลมุ่งมั่นพัฒนา "ประสิทธิภาพ" (performance)
    แต่ไม่เคยมานั่งสนเรื่อง "กินไฟ" (power consumption)
    เพราะคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เสียบปลั๊กตลอด ต่อให้คอมพิวเตอร์มือถือ (notebook/laptop) แบตเตอรี่มันก็ใหญ่พอ

    จนกระทั่งการมาถึงของโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ยุค 2000s
    x86 ของอินเทล กินไฟเกินไปสำหรับแบตเตอรี่อันจ้อยในมือถือ

    การตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์
    เป็นอินเทลเอง ที่เมิน "ไอโฟน" ของแอปเปิ้ล
    ไม่คิดว่ามันจะขายได้เท่าไหร่ ไม่ต้องเปลืองสมองไปรังสรรค์ชิปใหม่หรอก

    คาดไม่ถึง นั่นเป็นการตัดสินใจที่คว่ำชะตาของอินเทลโดยสิ้นเชิง!

    3. แอปเปิ้ลใช้เทคโนโลยีของ ARM (ตอนนั้นเป็นของอังกฤษ ภายหลัง "ซอฟท์แบงก์" ของญี่ปุ่นซื้อไป)
    ทำไม่เร็ว ทำอะไรไม่ได้มาก แค่ไม่กินไฟ ... นั่นมันตอนโน้น! เพราะทำไปทำมา ยิ่งออกแบบ ชิปของ ARM ก็ยิ่งล้ำ

    จะบอกชิปของ ARM ก็ไม่ถูก เพราะแม้ ARM เป็นบริษัทออกแบบชิป แต่ของมือถือแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลขอออกแบบเอง โดยใช้แพลตฟอร์มที่เป็นเทคโนโลยีของ ARM (ARM ถือสิทธิบัตรตรงนี้อยู่)
    แล้วแอปเปิ้ลก็จ้าง foundry ผลิตชิปอีกที (ซึ่งหลักๆ คือ TSMC ของไต้หวัน)

    มิใช่แค่ระบบ iOS เพราะแอนดรอยด์ ก็ใช้ของ ARM เกือบทั้งนั้นเหมือนๆ กัน

    อินเทลอยู่ตรงไหน

    4. คอมพิวเตอร์ไง
    คอมพิวเตอร์ต้องใช้ชิปอินเทลอยู่
    ... ยอดขายคอมพิวเตอร์เป็นไงล่ะ

    ตลาดคอมพิวเตอร์ "พีก" ปี 2011 --- ว่าง่ายๆ คือถึงจุดอิ่มตัว
    ถัดจากนั้น ยอดก็ "หดตัว" --- ติดลบทุกปี
    จะมีก็ 2020 กับ 2021 ที่โตขึ้นหน่อย (คงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมช่วงนั้น ต้อง work-from-home กันเยอะแยะ)
    หมดช่วงนั้น ก็กลับมาทรุด
    (*ยอดปี 2023 ลดลง 34% จากปี 2011)

    5. ดิ้นสิดิ้น
    อินเทลเดิมพันกับชิปสำหรับ EV ขับขี่อัตโนมัติ
    ... ทุกวันนี้ เตาะแตะมากเลย ค่ายรถยังทำนวัตกรรม EV ขับขี่อัตโนมัติไปไม่ถึงไหน

    ธุรกิจ foundry ไง --- หลังๆ อินเทลก็ไม่ทำเองครบวงจรสำหรับตัวเองหมด มีแตกออกมารับจ้างผลิตชิปด้วย
    ก็พอถูๆ ไถๆ แต่ก็ไม่ใช่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
    (เจ้าใหญ่ คือ TSMC --- แข่งด้วยยากมาก)

    ลงท้าย ก็ไม่น่าเชื่อ ต้องใช้วิธีแบบที่บริษัทจวนเจ๊งจริงๆ ถึงจะใช้
    คับขันปานนั้น
    ต้องลดคน ลดค่าใช้จ่าย และเตรียมจะขายธุรกิจย่อยออก

    *ร่ายซะยาว นี่ข้ามไปข้อหนึ่ง คือ แม้แต่ตลาดที่วัดกันด้วย performance ... ทุกวันนี้ อินเทลก็ไต่ไปไม่ถึงแล้ว โดน "เอ็นวิเดีย" ทิ้งกระจุยกระจาย
    (ชิปคนละประเภท แต่กลายเป็น GPU ของเอ็นวิเดีย มาทำแทน CPU แล้วประสิทธิภาพดันล้ำกว่า สำหรับงานยากๆ ซับซ้อนๆ ทั้งขุดเหมืองบิตคอยน์ และ AI)

    ชิป AI ของอินเทลมาช้ามาก --- มาในตอนที่เจ้าอื่น "ปักหลัก" แน่นๆ ไปแล้ว
    มาช้า และก็ไม่ใช่มาได้ดีด้วย

    ลำบากทีเดียว

    อินเทลมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

    https://www.bloomberg.com/news/arti...-spending-plan-falls-short?srnd=homepage-asia

    https://www.facebook.com/share/p/YNLFpXhNCuhTvNMt/?mibextid=oFDknk
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1726181802788.jpg

    ทุกครั้ง ผมจะต้องอธิบายย้ำ ดอกเบี้ยนโยบายของยุโรป มี 3 ตัวนะครับ จะแปลกกว่าที่อื่นๆ
    ซึ่ง deposit facility rate ลด 0.25% ส่วน Main refinancing operations rate และ Marginal lending facility rate ลด 0.6%
    ย้อนกลับไปวันที่ 6 มิ.ย. 2024 ลดดอก 0.25% ทั้ง 3 ตัว
    ประชุมงวด 18 ก.ค. 2024 พักไว้ก่อน คงดอก
    ประชุมงวด 12 ก.ย. 2024 ก็ตามที่บอกข้างบน
    ส่วน "เฟด" แบงก์ชาติอเมริกา ประชุม 17-18 ก.ย. 2024 ตลาดมองว่า ลดแน่ 100%
    อยู่ที่ว่าลดน้อยหรือมาก แต่ลดแน่ (ถ้าพลิกโผขึ้นมาล่ะก็ น่าดู!)

    https://www.facebook.com/share/p/WLZWto9E5xrgxVEY/?mibextid=oFDknk
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sep 12, 2024 ตบเกียร์ถอย! วิจัยไทยพาณิชย์เตือน ถ้าปี 68 ศก.ไทยถดถอย จะโตแค่ 1.9% ภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือมากกว่า 2,000 ล้านบาท ลดเป้าเศรษฐกิจไทยปี 68 เหลือ 2.8%

    ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในปี 2568 ได้ถูกปรับลดอัตราการขยายตัว หรือจีดีพีลงครั้งที่ 2 จากเดิมที่คาดว่าจะสูงกว่า 3% ลงมาเหลือเพียง 2.6% อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่จะเผชิญกับภาวะถดถอย หรือ Hard Landing นั้น อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยลดลงแตะ 1.9% เมื่อพูดถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอย หรือ Hard landing ของประเทศไทย พบว่ายังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% แต่ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ได้แก่ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ผลกระทบต่อภาคการส่งออก การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ และการเงินมีความตึงตัวสูง

    ด้านปัจจัยบวกนั้น ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.4 ล้านคน การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ยังเติบโตต่ำกว่าในอดีต ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ความน่ากังวลที่สุด คือ ภาวะหนี้ครัวเรือน และหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศ เมื่อการใช้จ่ายลดลงจะส่งผลให้ภาคการผลิตปรับลดลง และอาจกระทบต่อการจ้างงานในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ยังลดลงต่อเนื่อง

    สำหรับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทนั้น มองว่าถือเป็นโยบายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาจช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และการบริโภคได้ในระยะสั้น โดยมีผลต่อตัวเลขจีดีพีราว 0.5-0.7% ในขณะเดียวกัน มีผลให้หนี้สาธารณะไทยอาจมีแนวโน้มชนเพดานในปี 2570

    SCB EIC มองว่า ประเทศไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ประเทศไทยไม่ได้ผลิตสินค้าที่โลกต้องการ นอกจากนี้มี 2 กลุ่มสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่อาจสูญเสียกำลังการผลิตในประเทศไปราว 40% หากการปรับตัวของค่ายรถยนต์ไม่เท่าทันกับกระแสนิยมที่กำลังเปลี่ยนไป และความอยู่รอดของผู้ประกอบการ SME ที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน และเจอความท้าทายทั้งกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง การตีตลาดจากสินค้านำเข้า กระบวนการผลิตและการตลาดล้าสมัย

    ในขณะนี้ สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กระจายวงกว้างทางภาคเหนือของไทย พบว่า ในเบื้องต้นจะมีมูลค่าความเสียหายในภาคเกษตรราว 2,263 ล้านบาท หรือราว 0.01% ของจีดีพีไทย ด้านนโยบายการเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2567 นั้น SCB EIC คาดว่า คณะกรรมการนโนยานการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค. 2567 และต่อเนื่องช่วงต้นปีหน้าลงไปอยู่ที่ 2%

    ทั้งนี้ มุมมองกับค่าเงินบาทในปีนี้ ในระยะสั้นเงินบาทอาจอ่อนค่าเล็กน้อยจากปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐ ก่อนกลับสู่การแข็งค่าตามวงรอบของสหรัฐ โดยมองสิ้นปี 2567 ค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 34.00 – 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2568 ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวที่ 33.00 – 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    https://www.facebook.com/share/p/9YdMLbuh2fGwsQfJ/?mibextid=oFDknk
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sep 12, 2024 ยังมีปลด! ริโก้(Ricoh) แบรนด์เครื่องใช้สำนักงานอัตโนมัติญี่ปุ่น ปลด 2,000 คนทั่วโลก ครึ่งหนึ่ง หรือ 1,000 คนถูกปลดในญี่ปุ่น ตลาดเครื่องปริ้นท์เตอร์-เครื่องถ่ายเอกสารซบเซากว่า 20%

    ริโก้ (Ricoh) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติ และเครื่องใช้สำนักงาน ที่มีอายุมากว่า 73 ปี เปิดเผยว่า เตรียมปลดพนักงานมากกว่า 2,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นกว่า 3% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดที่ 79,544 คน ในจำนวนพนักงานมากกว่า 2000 คนดังกล่าวนั้นจะมี 50% หรือคิดเป็นพนักงานจำนวน 1,000 คนที่จะถูกปลดในประเทศญี่ปุ่น สำหรับพนักงานที่เข้าข่ายจะถูกปลดออกในครั้งนี้อยู่ที่หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สำนักงาน ได้แก่ สายงานฝ่ายขาย และฝ่ายซ่อมบำรุงรักษา ริโก้จะเริ่มทยอยปลดพนักงานตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2025

    สาเหตุในการตัดลดค่าใช้จ่ายโดยการปลดพนักงานในครั้งนี้เป็นผลมาจาก ริโก้ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจใหม่ด้วยการลดขนาดขนาด ธุรกิจเครื่องใช้สำนักงาน และหันไปเน้นรูปแบบธุรกิจ ภาคบริการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิตอล การปลดพนักงานในครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงครั้งเดียวที่ 112 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3800 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การประหยัดค่าใช้จ่ายดังกล่าว สามารถทำให้ริโก้มีผลกำไร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 9,000 ล้านเยน หรือกว่า 2,115 ล้านบาท ภายในปี 2026

    นอกจากนี้ ตลาดเครื่องใช้สำนักงานอัตโนมัติ โดยเฉพาะเครื่องปริ๊นเตอร์ต้องเผชิญกับภาวะตลาดซบเซา และชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งมีสาเหตุมาจากนโยบายของลูกค้าประเภทองค์กรที่เน้นลดการใช้กระดาษ และนโยบายการให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงานที่สำนักงานหรือออฟฟิศและทำงานจากที่บ้าน สำหรับการจัดส่งผลิตภัณฑ์เครื่องปริ๊นเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร มีจำนวน 3.59 ล้านเครื่องในปี 2023 ผ่านไป ซึ่งตกต่ำมากถึง -26% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19

    #ริโก้ #พริ้นท์เตอร์ #ปริ้นท์เตอร์ #เครื่องถ่ายเอกสาร #ญี่ปุ่น #ปลดพนักงาน #ตกงาน #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/3AZGFRFDF92j76RE/?mibextid=oFDknk
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1726379461123.jpg


    Jamie Dimon ซีอีโอ JP Morgan ออกโรงเตือนว่า ตลาดกำลังมองข้าม Stagflation ที่กำลังอาจเกิดขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่า Recession เสียอีก
    ------------
    Stagflation คือสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อกลับพุ่ง ซึ่งนี่คือสัญญาณของสภาวะเศรษฐกิจที่ผิดปกติ Stagflation มาจากคำว่า Stagnation ที่แปลว่าสภาวะหยุดนิ่ง และ Inflation ที่แปลว่าสภาวะเงินเฟ้อ รวมเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อพุ่ง ของแพงขึ้น แต่สภาวะเศรษฐกิจกลับโตไม่ทันกัน และมีอัตราว่างงานสูง

    Taksakorn Nildam hign inflation, high unemployment, no growth

    https://www.facebook.com/share/p/YEaYtr1jZGEGJoUK/?mibextid=oFDknk
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ไทยโตแบบเดิมที่กระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพไม่ได้ แต่ต้องมุ่งสร้างท้องถิ่นที่สากล”
    .

    เป็นข้อความสำคัญที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เนื่องในโอกาสสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าขึ้นปีที่ 14 หัวข้อ “ท้องถิ่นที่สากล: อนาคตประเทศไทย Globally Competitive Localism: Future of Thailand” โดยได้แสดงให้เห็นว่า ไทยโตแบบเดิมๆไม่ได้ โดยอ้างอิงจาก 3 ข้อเท็จจริง ดังนี้

    —————————

    1) กว่า 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมไม่ไปถึงครัวเรือนเท่าที่ควร

    2) รายได้กระจุกตัวอยู่กับธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจรายใหม่อยู่รอดยากขึ้น จำนวนธุรกิจขนาดใหญ่มีเพียง 5% แต่สัดส่วนรายได้สูงถึง 89-90% จากในอดีตที่ 84-85%

    3) พึ่งโลกอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยล้าหลัง อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ต่างจากอดีตที่ไทยเคยโดดเด่นในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศกว่าเพื่อนบ้าน

    ผู้ว่าการฯกล่าวถึง การเติบโตแบบใหม่ว่า...

    —————————

    ต้องโตแบบ (More Local) คือเศรษฐกิจโตในท้องถิ่นมากขึ้น โดยข้อมูลปัจจุบันพบว่า

    1) ประชากรราว 80% อาศัยอยู่นอก กทม.และปริมณฑล

    2) ธุรกิจจำนวนเกือบ 80% อยู่นอก กทม.และปริมณฑล

    3) อัตราเติบโต GDP ของ กทม. ต่อหัวประชากรเพียง 0.22% ซึ่งถือว่าต่ำมาก

    ผู้ว่าการฯกล่าวว่า
    การโตแบบใหม่ ท้องถิ่น( Local ) ต้องแข่งขันได้ (Competitive)

    —————————

    ท้องถิ่นมีความท้าทาย 3 อย่าง ทำให้แข่งขันได้ยาก

    1) คนในท้องถิ่นกระจายตัว ไม่ได้กระจุกตัวเหมือนใน กทม. กทม. 3,503 คนต่อตร.กม. สูงกว่าภาคเหนือ 71 ภาคอีสาร129 ภาคใต้ 134 และภาคกลาง 169 ต่อ ตร.กม.

    2) ธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก 10 ปีที่ผ่านมากว่า 90% ผู้ประกอบการในท้องถิ่นเป็นรายย่อย

    3) มีภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมหลากหลาย

    แล้วจะทำอย่างไรให้ท้องถิ่นแข่งขันได้....

    —————————

    ผู้ว่าการฯธปท.กล่าวว่า

    คำตอบที่ "ไม่ใช่" คือ การที่พยายามมุ่งการกระจายความเจริญผ่านโครงการต่างๆเช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษตามจังหวัดชายแดน แม้มีเจตนาดีแต่เพราะหลายพื้นที่ไม่มีศักยภาพ

    ผู้ว่าการฯชี้ว่า ส่วนหนึ่งของคำตอบ "ใช่" คือต้องสร้างท้องถิ่นที่สากล (Globally Competitive Localism)

    —————————

    ผู้ว่าการฯนำเสนอว่า
    ทำให้เกิดท้องถิ่นที่สากลได้อย่างไร...

    • เชื่อมตลาด เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนลดลง อินเทอร์เน็ตทำให้เข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น

    • สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น สร้างเอกลักษณ์ในตัวผลิตภัณฑ์ (สินค้าท้องถิ่นที่บ่งบอกแหล่งที่มา Geographical Indication หรือ GI)

    • ร่วมมือกับ Partner ในลักษณะที่ใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่าย ให้เกิดประโยชน์ win-win “ต้องไม่ใช่แค่เพียงโครงการ CSR ประชาสัมพันธ์บริษัทที่ไม่ยั่งยืน”

    • ทำให้เมืองรองโต (urbanization) ให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้มากขึ้น (empowerment) เพื่อให้เกิดนโยบายตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ (Tailor-made policies)

    • สร้างระบบติดตาม พัฒนาการหรือความเจริญของท้องถิ่น

    —————————

    ผู้ว่าการธปท.สรุปว่า

    • ไทยโตแบบเดิมไม่ได้ เพราะเดิมโตจาก กทม. และโตจากรายใหญ่ซึ่งเป็นการโตบนฐานที่แคบ โอกาสโตอีกจึงน้อย

    • ท้องถิ่นที่สากล จะช่วยให้โตดีกว่าที่ผ่านมา เพราะโตบนฐานที่กว้างขึ้นการโตจะไปต่อไม่ได้ หากยังพึ่งการอุดหนุน ดังนั้น การโตจะต้องกระจาย (More Inclusive) ไปสู่คนหมู่มาก และโตแบบยืดหยุ่น (More Resilient)เพราะท้องถิ่นแต่ละแห่งมีความแตกต่างและหลากหลาย

    • สุดท้าย ถ้าจะให้ท้องถิ่นยั่งยืน (sustain) ต้องแข่งขันได้ผ่านความเป็นสากล...

    #BusinessTomorrow #ผู้ว่าแบงก์ชาติ #ธปท #เศรษฐพุฒิ

    https://www.facebook.com/share/p/RSBXyFD7EB4SSDe7/?mibextid=oFDknk
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,526
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การลงทุนเป็นเพียงแค่โชค ? Warren Buffet แชร์มุมมองว่า…
    .
    ในปี 1984 บัฟเฟตต์ได้กล่าวสุนทรพจน์นี้เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของหนังสือ "Security Analysis" ของเกรแฮมและด็อดด์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ไบเบิลของการลงทุนเน้นมูลค่า ในสุนทรพจน์ของบัฟเฟตต์เรื่อง "The Superinvestors of Graham-and-Doddville"

    —————————

    การโต้วาทีเกี่ยวกับโชคของการโยนเหรียญ

    วอร์เรน บัฟเฟตต์และศาสตราจารย์เจนเซ่นได้โต้วาทีต่อหน้าสาธารณชน เจนเซ่นโต้แย้งว่าหากเรามีการแข่งขันโยนเหรียญระดับประเทศ กลุ่มเล็ก ๆ ก็จะชนะด้วยโชคช่วยและโยนเหรียญได้ติดต่อกัน 20 ครั้ง นี่คือข้อโต้แย้งของบัฟเฟตต์

    บัฟเฟตต์เริ่มต้นการโต้แย้งของเขาเกี่ยวกับการแข่งขันโยนเหรียญระดับประเทศ ลองนึกภาพว่าทุก ๆ วันมีคน 225 ล้านคนทำนายว่าเหรียญจะออกหัวหรือก้อย หากพวกเขาถูก พวกเขาจะได้รับ 1 ดอลลาร์จากคนที่ผิด หลังจากผ่านไป 10 วัน คน 215 คนจะทำนายการโยนเหรียญติดต่อกัน 20 ครั้งและเปลี่ยน 1 ดอลลาร์เป็น 1 ล้านดอลลาร์!

    —————————

    บัฟเฟตต์พูดติดตลกว่าคน 215 คนนี้อาจจะ "หยิ่งผยองเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นแบบนี้... พวกเขาจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับ 'วิธีที่ฉันเปลี่ยนเงินหนึ่งดอลลาร์เป็นเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ภายใน 20 วัน' ได้อย่างไร"

    แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องของสถิติเท่านั้น แม้ว่าจะมีอุรังอุตัง 225 ล้านตัวเข้าร่วมการแข่งขัน ผลลัพธ์ก็คงจะเหมือนกัน "อุรังอุตังที่เห็นแก่ตัว 215 ตัวที่พลิกกลับมาชนะติดต่อกัน 20 ครั้ง"

    แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณพบว่าผู้ชนะ 100 ราย จาก 215 รายนี้มีผู้นำทางปัญญาคนเดียวกันและตัดสินใจอย่างอิสระโดยสิ้นเชิง นี่คือหัวใจสำคัญของการโต้แย้งของบัฟเฟตต์

    —————————

    ตัวอย่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

    ผู้นำคือเบน เกรแฮม แม้จะซื้อและขายหุ้นคนละตัว แต่ลูกศิษย์ของเขาทุกคนก็เอาชนะตลาดหุ้นได้ด้วยตนเอง เหล่านี้คือ "นักลงทุนระดับซูเปอร์แห่งเกรแฮมและดอดส์วิลล์" แล้วพวกเขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรกันละ?

    "พวกเขามองหาความแตกต่างระหว่างมูลค่าของธุรกิจและราคาของส่วนเล็ก ๆ ของธุรกิจนั้นในตลาดหุ้น" หุ้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของธุรกิจ คุณจะซื้อเมื่อราคาหุ้นน้อยกว่ามูลค่าธุรกิจ

    นักลงทุนระดับซูเปอร์เหล่านี้มาจากพื้นเพธรรมดา ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์การลงทุนมาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นทหารผ่านศึกที่ไม่เคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทนายความ ตัวแทนโฆษณา พนักงานขาย หรือคนจรจัด แต่พวกเขาทั้งหมดเรียนรู้จากเกรแฮมและทำผลงานได้ดีกว่าตลาด นี่คือ 3 ตัวอย่างที่น่าสนใจ

    —————————

    1) วอลเตอร์ ชลอส
    เขาไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยแต่เรียนหลักสูตรภาคค่ำกับเบ็น เกรแฮม เขาไม่มีคอนเนคชั่นในวอลล์สตรีท หลังจากทำงานให้กับเกรแฮม วอลเตอร์ก็บริหารกองทุนของตัวเองและได้รับผลตอบแทนทบต้น 21% ต่อปีในช่วง 28 ปี

    2) ทอม แนปป์และเอ็ด แอนเดอร์สันแห่ง Tweedy, Browne
    พวกเขาปฏิบัติตามหลักการลงทุนแบบเน้นมูลค่าของเกรแฮมและได้รับผลตอบแทนทบต้น 20.0% ต่อปีในช่วง 15 ปี ความร่วมมือของพวกเขาสร้างขึ้นจากการวิจัยอย่างละเอียดและการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม

    3) บิล รูแอน
    บิลมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีคุณภาพพร้อมข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง เขาได้รับผลตอบแทนทบต้น 18.2% ต่อปีในช่วง 14 ปีกับกองทุน Sequoia ของเขา บัฟเฟตต์เลือกบิลให้บริหารเงินให้กับหุ้นส่วนของเขาหลังจากที่บัฟเฟตต์ปิดกองทุน

    —————————

    บัฟเฟตต์พิสูจน์แล้วว่าผลงานที่สม่ำเสมอนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากโชคช่วย แต่มาจากการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่มีวินัย ความสำเร็จของนักลงทุนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การได้กำไรจากการลงทุนไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากการมีวินัยและความขยันในการลงทุน

    #BusinessTomorrow #Buffet

    https://www.facebook.com/share/p/8pfjn2xkAxQfzjab/?mibextid=oFDknk
     

แชร์หน้านี้

Loading...