ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 สิงหาคม 2012.

  1. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    สุดยอดเลยครับ อาจารย์ มีมากมายให้เรียนรู้ ผมก็ว่าจะอ่านหลายๆ โพสต์อีกรอบ เพราะเหมือนแรกๆ จะไม่ค่อยรู้เรื่องๆ หลังมาลองทำตามแล้วเข้าใจดีขึ้น
    สวัสดีทุกคนด้วยครับ
     
  2. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678

    ดีครับ เห็นด้วย เรื่องตั้งกระทู้มีแต่ประสบการณ์ล้วนๆ เล่าที่ประสบการณ์รูปนาม ล้วนๆ มันเข้าใจง่าย ไม่ต้องภาษาบาลีอะไรเลยครับ เจออะไรก็เล่าอย่างนั้นไปเลย ส่วนตัวผมก็ไม่ชอบใช้คำที่มันดูยิ่งใหญ่เข้าใจยาก และผมว่าเด็กรุ่นใหม่จะเข้าใจง่ายด้วย และจะดูเข้าถึงง่ายไม่ใช่อะไรไกลตัว เหมือนเป็นเรื่องของพระอะไรอย่างนั้น ผมจะมาติดตามอ่านด้วยคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    กระทู้ "ตามรอยพระพุทธบาท-ท่าเท้าพระพุทธองค์" ได้มีผู้ฝึกจนถึงระยะปลายแล้ว ซึ่งอีกไม่นาน การฝึกก็จะต้องจบสิ้นไป การฝึกในทางพุทธศาสนานั้น สามารถจบสิ้นได้ ส่วนการฝึกแบบไม่มีวันเลิก ไม่มีการจบสิ้นนั้น ไม่ใช่การฝึกในพระพุทธศาสนา จึงหาจุดจบแห่ง "ทะเลกรรม" ไม่เจอ แม้กระทั่ง "ฝั่ง" ก็ยังมองไม่เห็น ดังนั้นทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับ "วิบาก VS บารมี" ของแต่ละบุคคล (ปัจจัตตัง)

    เนื่องจาก กระทู้นี้ ในขณะนี้อยู่ที่การฝึก "อยู่กับรู้ VS อยู่กับตน" ดังนั้นคำ ถาม-ตอบ จึงเป็นของผู้ที่รู้แล้วว่า "ตนที่แท้" คือสภาวะธรรมใด ส่วนใหญ่จะเป็นคำ ถาม-ตอบ ที่เกี่ยวกับ การจัดการกับ อัตตาจิต (อวิชชา-ตัวดู) และการฝึกเพื่อการเตรียมพร้อมในการ "ตายให้เป็น" เท่านั้นเอง

    ในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างย่อมมีอยู่ตามความเป็นจริง และ "ตัวดู" ก็ย่อมยังทำงานอยู่ตามความเป็นจริงไปด้วย ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้สึก นึก คิด ต่าง ๆ ไปตามธรรมชาติของมัน ตรงนี้ภาษาพระเรียกว่า อเหตุกจิต เรื่องของบุคคลอื่น เขาอาจจะหลงหรือไม่หลงอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็เป็นแต่เพียงแค่ "ไม่หลงตัวดู" เท่านั้นเอง และการฝึกเมื่อถึงที่สิ้นสุดแล้วย่อมกลายเป็น "คนธรรมดา" หากยังเป็น "ผู้วิเศษ" อยู่เมื่อใด ก็ถือได้ว่า ยังฝึกไม่จบ

    =========================================================================

    ให้ทบทวนตรงนี้ให้ดี

    1. "ตัวดูขยายตน กลายเป็น กายเวทนา และ กายเวทนาหดตัว กลายเป็น ตัวดู"
    2. "ตัวดูจางคลาย กลายเป็น ธรรมารมณ์ และ ธรรมารมณ์รวมตัว กลายเป็น ตัวดู"

    ให้ทำความเข้าใจตรงนี้ให้ดี

    ผู้ที่ฝึกจนถึง "จิตเปล่งรังสี" ย่อมรู้ได้ว่า "เป็นตนหรือตัวดูนั่นแหละที่เปล่งรังสี" ซึ่งต้องผ่าน เฉย ว่าง รู้ โล่ง อยู่ กับระดับที่ไร้ตัวตน ที่เป็น อรูปฌาน ต่าง ๆ ที่มีกล่าวไว้ในตำรา จนกว่าจะถึง ตื่น พลังงาน และ เปล่งรังสี ที่ตำราไม่ได้กล่าวไว้ มีเพียงแต่ครูบาอาจารย์ สายพระป่าหลวงปู่มั่น บางองค์เท่านั้นที่กล่าวถึง และเรียกมันว่า "จิตเดิมแท้ เปล่งประกาย ประภัสสร" แต่จริง ๆ แล้วอาการนี้ยังเป็น โลกียะธรรม อยู่ ซึ่งเป็นอาการของ "อาภัสสระพรหม" นั่นเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็น "ตัวดู" อยู่ดีนั่นแหละ

    ให้เทียบเคียงกับพระไตรปิฏกตรงนี้ให้ดี

    "เวลาที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธ์นั้น พระองค์เข้าฌาน 1-8 แล้วถอยจาก 8-1 แล้วจึงวางขันธ์ในขณะจิตปกติ" ตรงนี้คือ "การไล่เรียง ตัวดู ในชั้นธรรมารมณ์" ให้ชัดเจนก่อน แล้วจึง กลับเข้าสู่ภาวะปกติธรรมดา จากนั้นจึง "วางตัวดู" จนตัวดูสลายไปเองตามธรรมชาติของมัน

    ให้ฝึกทบทวน "การเดินจิต" ครั้งสุดท้าย ในหน้าที่ 10 โพสท์ที่ 184 ให้ชำนาญ ทั้งหมดมีเท่านี้เอง นะครับ

    ============================================================================

    ส่วนกระทู้ใหม่ที่จะใช้ ภาษาที่อ่านกันรู้เรื่อง โดยไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรมฉบับ ไทย-บาลี นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในระดับ การเขียนวัตถุประสงค์รวม และการแยกประเภท เพื่อความเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นอยู่ เพื่อให้เป็นกิจลักษณะ และความเรียบง่ายในภาคปฏิบัติ ซึ่งแล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย หากพร้อมเมื่อไร จะโพสท์ให้ทราบในกระทู้นี้นะครับ

    ส่วนผู้ที่จะฝึกก็ควรเตรียมความพร้อมด้วยการ ฝึก "ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม" ให้เป็นก่อน เพราะหลังจากที่พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว ผู้ที่ทำ "กายเวทนา" ได้แล้ว จึงพร้อมและสะดวกต่อการเดินทางของ "มหาสติปัฏฐาน" และยากต่อการหลงทางไปใน ป่าดงจิต อันลึกลับยิ่งกว่า ป่าหิมพานต์ เสียอีก และในที่สุดก็ยังเป็นการง่ายต่อการจัดการกับ ตัวดู อีกด้วย

    ขอให้เตรียมกันให้พร้อมด้วยนะครับ และอาจมีการฝึกนอกสถานที่ ในกรณีที่ต้องมีการ สอบจิต เดินจิต ในด่านสำคัญ ๆ บางด่านด้วย
     
  4. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    สำเหนียกตัวดูนี่ทำยังไงคะ คือเมิลไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่ถูกไหมนะคะ
    - ถ้าเป็นในส่วนที่รับรู้ผ่านอายตนะ ก็จะสามารถรู้สึกว่ามันจะวูบหนึ่งที่เหมือนเป็นการเชื่อมต่ออยู่ กับกระบวนการข้างใน
    - แต่ถ้าเป็นจิตที่เกิดขึ้นมาเอง ไม่ได้มาจากอายตนะข้างนอก เช่นเสียงเพลงในหัว ความคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่เกิดขึ้นมาเอง
    เมิลลองตรึง-แช่ดูแล้ว แต่ทำได้ไม่ได้นาน ช่วงที่แช่อยู่มันจะว่างละ แต่สักพักก็หลุดจากว่างออกมา แล้วก็ต้องกลับเข้ามาตรึง-แช่-ว่างใหม่
    เมิลเลยไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่ทำถูกไหมนะคะ
    ขอคำแนะนำด้วยคะ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จาก http://palungjit.org/8364650-post184.html การเดินจิตครั้งสุดท้าย

    +++ ให้อ่านทีละ step และ "ทำ" ทีละ step

    +++ 1. "ทำ" รู้ ให้ครอบคลุมทั้งตัว
    +++ 2. "สำเหนียก" อาการ "ดู" ก่อนที่จะ "อ่าน" (ส่งออก) ตรงนี้
    +++ 3. อาการดู "ถูกรู้" (ถ้าทำตรงนี้ไม่ได้ ถือว่า ยังไม่พร้อมที่จะ ดับตัวดู)

    ====================================================================
    สำเหนียกตัวดูนี่ทำยังไงคะ คือเมิลไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่ถูกไหมนะคะ

    +++ คำตอบ และ วิธี สำเหนียก อาการดู

    +++ "สำเหนียก" อาการ "ดู" นั้น ต้องเดินจิตตามข้อ 1. ก่อน คือ

    +++ 1. "ทำ" รู้ ให้ครอบคลุมทั้งตัว แล้ว "อยู่อย่างนั้น ห้ามถอน"

    +++ 2. ในระหว่างที่ "รู้ยังอยู่ทั้งตัวนั้น" ให้คอย "ระวังตรวจจับ" อาการดู "ข้างใน กระโหลกศีรษะ" ซึ่งมันจะเกิดอาการ "จิตส่งออก" เป็นลักษณะ "วูป" ออกมา "อ่าน"
    =====================================================================

    - ถ้าเป็นในส่วนที่รับรู้ผ่านอายตนะ ก็จะสามารถรู้สึกว่ามันจะวูบหนึ่งที่เหมือนเป็นการเชื่อมต่ออยู่ กับกระบวนการข้างใน

    +++ ตรงนี้ ถูกต้อง "กระบวนการข้างใน" คือ "อาการดู"
    +++ หากมัน วูปออก ตรงนี้เรียกว่า "จิตส่งออก"
    +++ หากมัน วูปเข้า ตรงนี้เรียกว่า "สิ่งตกกระทบ"
    +++ การ "ดูความคิด" อาการของมัน ยังเป็น "วูปออก" อยู่ดี

    +++ จากภาษาตรงนี้ "สำเหนียก" อาการ "ดู" คือ "สำเหนียก กระบวนการข้างใน" นั่นเอง
    =====================================================================

    - แต่ถ้าเป็นจิตที่เกิดขึ้นมาเอง ไม่ได้มาจากอายตนะข้างนอก เช่นเสียงเพลงในหัว ความคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่เกิดขึ้นมาเอง

    +++ ตรงนี้เป็นคำถามที่สำคัญ มากคำถามหนึ่ง สำหรับผู้ที่ฝึกอยู่ในระดับนี้ และ "คำตอบนี้ ย่อมใช้ได้กับผู้ที่ฝึกอยู่ในระดับนี้ และสูงกว่า เท่านั้น"

    *** เปรียบเทียบระหว่าง 1. โลกภายนอก กับ 2. โลกภายใน และ 3. ตัวดู (ตน อัตตาจิต) ***

    1. ในยามที่ ขับรถ นั่งรถ ย่อมผ่านการ เห็นและได้ยิน ภาพและเสียง ข้างทาง "ซึ่งมีอยู่จริง" ตลอดเวลา หาก "จิตไม่ส่งออก ตัวดูไม่ได้ดู" ก็ย่อม "ไม่มีภาระ" ต่อสิ่งนั้น ๆ ที่เรียกว่า "สักแต่ว่ารู้" แล้วก็ผ่านไป "ตนไม่ได้ไหลไป ต่อสิ่งภายนอก" ฉันใดก็ฉันนั้น

    2. ในยามที่ "อยู่กับตน" (ไม่ได้อยู่กับรู้) ย่อมผ่านการ เห็นและได้ยิน ภาพและเสียง ของขันธ์ "ซึ่งมีอยู่จริง" ตลอดเวลา เช่นกัน หาก "จิตไม่ส่งออก ตัวดูไม่ได้ดู" ก็ย่อม "ไม่มีภาระ" ต่อสิ่งนั้น ๆ ที่เรียกว่า "สักแต่ว่ารู้" แล้วก็ผ่านไป "ตนไม่ได้ไหลไป ภายในขันธ์" เปรียบประดุจ "น้ำกลิ้งบนใบบัว แต่ ไม่ได้อยู่กับใบบัว" ฉันใดก็ฉันนั้น

    3. ทั้งสองภาวะนั้นล้วน "อยู่กับตน" "อยู่กับตัวดู" เพียงแต่ว่า ถ้า "ตัวดูไม่ส่งออก" อาการ วูป ก็จะไม่ปรากฏ "กิริยาจิต ก็จะเกิดไม่ได้"

    +++ ใช้สภาวะทั้ง โลกภายนอก กับ โลกภายใน ในการ "สำเหนียก ตัวดู" แล้วทำให้ "ตัวดู ถูกรู้" ให้เป็นนิสัย จึงเป็นการเริ่มต้นของการฝึก "การเดินจิตครั้งสุดท้าย" ได้

    =======================================================================

    จาก http://palungjit.org/8364650-post184.html การเดินจิตครั้งสุดท้าย

    +++ ทบทวนการ "ทำ" 1-3 หลาย ๆ ครั้ง จนได้ "อาการดู ถูกรู้" ที่ชัดเจนแน่นอน
    +++ กระบวนการต่อจากตรงนี้ อยู่ในสภาพ "ถูกรู้" ทั้งหมด

    +++ 4. "ตรึง" ตัวดู ให้ หยุดอยู่กับที่ (เข้า ออก เร่ง ลด "ตรึง" แช่ อยู่) เมิล เคยฝึกมาแล้ว ย่อม "ตรึง" ตัวดูได้
    +++ 5. "แช่" ตัวดูที่หยุด (ดับ) อยู่นี้ ให้ถูกรู้อยู่เช่นนั้น
    +++ 6. "อยู่" กับรู้ แล้ว ตัวดู (จุติจิต) จะสลายสภาพไปเอง

    +++ ตรงนี้คือ "การเดินจิต" ครั้งสุดท้าย แห่งชาติภพ ทำให้ชำนาญจนเป็นนิสัย และตรงนี้เป็น "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ ดูลย์ อตุโล

    เมิลลองตรึง-แช่ดูแล้ว แต่ทำได้ไม่ได้นาน ช่วงที่แช่อยู่มันจะว่างละ แต่สักพักก็หลุดจากว่างออกมา แล้วก็ต้องกลับเข้ามาตรึง-แช่-ว่างใหม่ เมิลเลยไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่ทำถูกไหมนะคะ ขอคำแนะนำด้วยคะ

    +++ ถูกต้องแล้วครับ ระหว่างที่มันว่าง มันก็จะเป็น "ว่างรู้" และในขณะนั้น ก็จะรู้ตัว รู้ความเคลื่อนไหว ไร้อารมณ์ผูกมัด ไร้เจตนาความรู้สึกนึกคิด การทำงานของขันธ์ จะเป็นการทำงานที่บริสุทธิ์ ที่เรียกว่า "วิสุทธิขันธ์" แบบเดียวกันกับ ของคุณ จิตวิญญาณ ในโพสท์ที่ 202

    http://palungjit.org/8392456-post202.html

    +++ แต่มันไม่ได้อยู่อย่างนั้นตลอดไป ดังนั้นผมจึงกล่าวว่า "ให้ทำให้ได้ จนเป็นนิสัย" และถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้อง "ทำจนถึงในระดับ สัญชาติญาณ" นะครับ
    +++ ผู้ที่ทำ "วิสุทธิขันธ์" ได้ตลอดเวลาคือ "ผู้ที่ได้ อภิญญา 10 ประการเท่านั้น" คือ เป็นผู้ที่ "ขาดจาก นิสัย และ วาสนา" เท่านั้นจึงทำได้ ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ "พระพุทธเจ้า" เท่านั้น นะครับ

    +++ ผู้ใดเคยผ่านการ "โยกกายเวทนา" มาแล้ว ก็ให้ลอง "โยกตัวดู" บ้างก็ได้ เพราะจะทำให้ "อยู่กับตัวดู หรือ อยู่กับรู้" ชัดเจนขึ้น นะครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

    เนื่องจากกระทู้ "ตามรอยพระพุทธบาท-ท่าเท้าพระพุทธองค์" นั้นมีการใช้ภาษาที่ไม่ง่ายต่อความเข้าใจอยู่บ้าง และผู้ฝึกในกระทู้ก็ได้ทำการฝึกจนถึงระยะปลายแล้ว แต่ยังมีผู้ที่เริ่มฝึก กรรม-ฐาน ในระยะต้นและระยะกลาง ที่เพิ่งเข้ามาฝึกร่วมอยู่ด้วย จึงพิจารณาว่า ควรตั้งกระทู้ใหม่ ที่ใช้การฝึกแบบภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยคำที่ง่าย ๆ และตรงต่ออาการทางจิต เพื่อรวบรัดตัดตรงต่อการฝึก กรรม-ฐาน และเพื่อเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อไป

    จึงตั้งกระทู้ใหม่ให้ชื่อว่า "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" และอยู่ในหมวด อภิญญา XP นี้เหมือนเดิม

    ส่วนผู้ที่ฝึกมาแล้วในกระทู้นี้ หากมีความปรารถนาที่จะช่วย ผู้ฝึกใหม่ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายแล้ว ก็ให้ช่วยกันเข้าไปให้ความช่วยเหลือต่อผู้มาภายหลังด้วย ส่วนคำถามหรือข้อติดขัดใด ๆ ในระดับปลาย ที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ฝึกใหม่ เพราะจะทำให้ การฝึกไข้วเขวไป ก็ให้นำมาถามในกระทู้นี้ ได้ต่อไปนะครับ
     
  7. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ไม่แน่ใจว่าเป็นตอนปลายหรือเปล่า เลยย้ายมาถามกระทู้นี้ดีกว่าครับ แต่เป็นเรื่องของกระทู้ใหม่

    --------------------------------------------------------------------------------

    สอบถามเรื่องอยู๋กับรู้นะครับ

    เวลาเราอยู่กับรู้เราจะเห็นตัวตนทั้งหมด และมักจะมาคู่กับเห็นตัวเองจากด้านนอกใช่ไหมครับ มันจะเหมือนแยกออกมาเห็นตัวเองทั้งหมด เหมือนเรากำลังมองตัวเองอยู่แต่ไม่ได้ "เป็น" ตัวเอง ความเป็นตัวเองไม่มี มีแต่ "มองเห็นตน" แต่ยังไม่สามารถทำให้เป็น static ได้ ในที่สุดเผลอๆ ก็เลยกลับมาเป็น "อยู่กับตน" อีก

    อยากสอบถามอีกเรื่องถ้าอย่างเราเดินจงกรม แล้วเราเห็นตัวเองเดินอยู่ เหมือนเรามองตัวเองจากด้านนอก ตรงนั้นถ้าทำอยู๋อย่างนั้นมันจะเกิดความสบายมาก เหมือนเห็นตัวทั้งหมดจากภายนอก ผมสังเกตุถ้าเดินไปถึงจุดนี้แล้วเราอยู่ในฐานนี้มันสบายมากๆ และรู้สึกเป็นธรรมชาติดี ตรงนี้เป็นลักษณะเดียวกันไหมครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่แน่ใจว่าเป็นตอนปลายหรือเปล่า เลยย้ายมาถามกระทู้นี้ดีกว่าครับ แต่เป็นเรื่องของกระทู้ใหม่

    +++ จากเนื้อความข้างล่าง เป็นคำถามของ "ตอนปลาย" เหมือนกันครับ
    --------------------------------------------------------------------------------

    สอบถามเรื่องอยู๋กับรู้นะครับ

    เวลาเราอยู่กับรู้เราจะเห็นตัวตนทั้งหมด และมักจะมาคู่กับเห็นตัวเองจากด้านนอกใช่ไหมครับ มันจะเหมือนแยกออกมาเห็นตัวเองทั้งหมด เหมือนเรากำลังมองตัวเองอยู่แต่ไม่ได้ "เป็น" ตัวเอง ความเป็นตัวเองไม่มี มีแต่ "มองเห็นตน" แต่ยังไม่สามารถทำให้เป็น static ได้ ในที่สุดเผลอๆ ก็เลยกลับมาเป็น "อยู่กับตน" อีก

    +++ อาการ "เห็น" ทั้งหมดนั้น หากเป็น "สติ หรือ สภาวะรู้" เห็น ก็ถูกต้อง แล้วทั้งหมดจะเป็นการ เห็น 4 ชนิดพร้อมกันในเวลาเดียวกันคือ "รูปกาย รู้สึกกาย จิตและการทำงาน และ รู้สึกจิต" ที่เป็นลักษณะของ มหาสติปัฏฐานทั้ง 4 อาการตามหลักปฏิบัติ (กาย รู้สึกกาย จิต รู้สึกจิต) นั่นเอง ส่วน จิตและการทำงานของจิต จะหาสิ่งที่ เคยมีความเป็นตน ไม่เจอ เหลืออยู่แต่ อาการของ มหาสติปัฏฐานทั้ง 4 เท่านั้น

    +++ ให้ทบทวนกับโพสท์ที่ 5 "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในกระทู้ใหม่ตามไปด้วย

    อยากสอบถามอีกเรื่องถ้าอย่างเราเดินจงกรม แล้วเราเห็นตัวเองเดินอยู่ เหมือนเรามองตัวเองจากด้านนอก ตรงนั้นถ้าทำอยู๋อย่างนั้นมันจะเกิดความสบายมาก เหมือนเห็นตัวทั้งหมดจากภายนอก ผมสังเกตุถ้าเดินไปถึงจุดนี้แล้วเราอยู่ในฐานนี้มันสบายมากๆ และรู้สึกเป็นธรรมชาติดี ตรงนี้เป็นลักษณะเดียวกันไหมครับ

    +++ จริง ๆ แล้ว กำหนดทำเมื่อไรก็ได้ ไม่จำกัดเฉพาะ 4 อิริยาบท ไม่ว่าจะเป็นฐานใดก็ตาม มีสัจจะธรรมอยู่บทเดียวเท่านั้นคือ สภาวะแห่งความเป็นตน อยู่ที่ใด ทุกข์ ย่อมอยู่ที่นั่น การ "อยู่กับตน" เป็นเพียงแค่ ทำทุกข์ให้มันละเอียดลง เท่านั้น และ ยามใดที่ "ไม่รู้ตน" ทุกข์ที่หยาบกว่า ย่อมกำเริบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "ไม่มีใครหนี เศษกรรม พ้น"

    +++ ตามคำถามข้างบนนั้น "ความเป็นตน ยังมีอยู่หรือไม่" ส่วนการเห็นนั้น ไม่มีข้อจำกัดของมิติ ว่าจะเห็นทางด้านใด นะครับ
     
  9. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ไม่มีนะครับ เหมือนเห็น เป็นคนอื่น และเห็นกายเหมือนกับสิ่งของด้วยครับ ถ้าเป็นเวลานั่งก็เหมือนเห็น ใครสักคนนั่ง ถ้าเดินก็เหมือนเห็นใครสักคนเดิน ไม่เหมือนเป็นตัวเอง เหมือนทั้งหมดไม่ใช่ตัวเอง แต่ผมทำให้มันอยู่ฐานนั้นตลอดเวลาไม่ได้อะครับ อย่างถ้าผมมาพิมพ์ตอบผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะต้องมาสนใจว่าจะตอบอะไรอะครับ ขอบคุณครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตามที่เล่ามานั้นเป็น อยู่กับรู้ ยกเว้นเวลาทำงาน สิ่งที่ควรสังเกตุอีกอย่างคือ "ให้สังเกตุ กระบวนการ ก่อกำเหนิด สภาวะแห่งความเป็นตน" เมื่อเห็นกระบวนการนี้ชัดเจน ก็จะเห็นกระบวนการของ ปฏิจจะสมุปบาท ตั้งแต่ อวิชชา ลงมาเลยทีเดียว ลองดูนะ 1-2 วันก็น่าจะชัดเจนแล้ว
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    รู้ ตัวดูและอิทธิพลของมัน โดยใช้ นวดแผนโบราณ

    จากหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีตอนหนึ่ง ที่มีพระไปเยี่ยมตอนที่หลวงปู่อาพาธ แล้วถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ยังมีเวทนาอยู่หรือ" หลวงปู่ตอบว่า "เวทนากับร่างกายนั้น มีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ไม่ได้เสวยเวทนานั้นเลย"

    สำหรับผู้ฝึกที่อยู่ตอนปลายนี้ สามารถใช้ "หมอจับเส้น หรือ นวดแผนโบราณ" เป็นอุปกรณ์ในการฝึกได้ โดย อยู่กับตน หรือ อยู่กับรู้ หรือ ไม่ต้องฝึกอะไรเลย เพียงแต่คอยสังเกตุอาการของ ตัวดู ว่ามีการทำงานอย่างไร เท่านั้นก็ได้ แล้ว คอยสังเกตุว่า ในยามที่อยู่กับตน เป็นอย่างไร ต่างกับตอนที่ อยู่กับรู้ แบบไหน รวมทั้งอยู่กับความเป็นจริงโดยไม่ต้องฝึก แต่รู้ทุกอย่างไปด้วยกันทั้งหมด ว่าแตกต่างกันอย่างไร

    ให้ตั้งใจสังเกตุให้ดี ไม่แน่ว่า การสังเกตุจิตเพียง 2 ชั่วโมง กับการนวดจับเส้นนี้ อาจให้ผลลัพธ์ในความเข้าใจในเรื่องของ การทำงานของตัวดู ได้ดีกว่ายามปกติที่ต้องใช้เวลานานนับเดือนได้ นะครับ
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    วันนี้ลองฝึกสำเหนียกตัวดู โดยการทำ"รู้"ให้คลุมทั้งตัวก่อน แล้วก็คอยสังเกตุ ช่วงที่รู้คลุมทั้งตัวจะรู้สึกเหมือนมีอีกคนอยู่ข้างใน มองออกมาข้างนอก เหมือนกับว่าเรามองเห็นจากตาที่อยู่ข้างในอีกที แล้วก็ลองปิดตาแล้วลองส่งความรู้สึกไปหาเสียงที่ดังที่สุดที่ได้ยิน เพื่อจับอาการวูบของตัวดู พอเริ่มทำแบบนี้ได้ก็พอจะเริ่มจับอาการวูบหลังจากที่ตามองเห็น มันจะเป็นวูบหนึ่งก่อนที่จะเกิดความคิด รู้ว่ากำลังจะคิดอะไร กระบวนการข้างในเชื่อมโยงกันไปหมด แต่พอรู้มันจะตัดความเชื่อมโยงเหล่านี้ไปเลย
    แต่ก็มีบางทีที่รู้อ่อนตัวลงมา ก็เลยเหมือนเครื่องยนต์ติด ๆ ดับ ๆ สลับไปมา
     
  13. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อ้างถึงกระทู้ใหม่ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย"

    7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" ผู้ฝึกในระดับนี้ มักจะรู้ได้ว่า "ยามใดที่ตนมีอยู่ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน" และในทางกลับกัน "ยามใดที่ไร้ตน ยามนั้นย่อมไร้ทุกข์"

    # ตอนนี้อยู่ระหว่างฝึกตรงนี้อยู่น่ะค่ะ ฝึกขณะจิตปกติเลยช้าหน่อย ว่าจะเข้ามารายงานอยู่ว่าการ อยู่กับตน นั้น ความทุกข์มันไม่ได้หายไปไหน ทุกครั้งมันจะก่อตัวจากลิ้นปี่กระจายสูงขึ้นมาหน่อย คล้ายๆอากาศอึมครึมๆอยู่บริเวณนั้นแค่นั้น จะว่าทุกข์ก็ไม่ทุกข์ จะว่าไม่ทุกข์ก็เหมือนจะทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ พอสักพักมันก็สลายไปเอง ส่วนความคิดปรุงแต่งก็มีเหมือนกัน มันก็ยังคิดปรุงแต่งให้เราอยู่ เพียงแต่เราก็อยู่ส่วนของเรา จิตเราไม่เข้าไปผสมผสานกับความทุกข์กับความคิดปรุงแต่งนั้นๆ พอจิตเราไม่ไปผสมผสานกับมัน มันก็ไม่มีผลอะไรกับจิตใจเรา

    +++ สำหรับผู้ฝึกที่อยู่ตอนปลายนี้ สามารถใช้ "หมอจับเส้น หรือ นวดแผนโบราณ" เป็นอุปกรณ์ในการฝึกได้ โดย อยู่กับตน หรือ อยู่กับรู้

    # ตรงนี้เข้าใจว่า เวลาเราปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามเส้น แปลว่า ณ ขณะนั้นเรา”อยู่กับตน” พอเราให้หมอจับเส้น หรือ นวดแผนโบราณ นวดให้เราเพื่อให้หายปวด สักพักอาการปวดเมื่อยนั้นก็ค่อยๆหายไป เป็นเพราะช่วงที่เขากำลังนวดให้เราอยู่ เราอยู่กับ”ความรู้สึกตัว” พอเริ่มนวดได้สักพัก เราจะรู้สึกว่าบริเวณที่ปวดและบริเวณเส้นที่ตึง เริ่มจางคลาย ความโล่งเบาสบายก็เกิดขึ้น ตอนนั้นเรา”อยู่กับรู้” ตรงนี้ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกต้องไหมคะ?

    จากประสบการณ์นะคะ บางครั้งช่วงเฉพาะวันโกนวันพระ จะปวดที่ไหล่ขวา ก่อนปวด มันเหมือนจะมีอะไรปลายแหลมๆ พยายามแทงตรงบริเวณสะบัก รู้สึกได้ว่าเจ็บจี๊ดบริเวณที่ถูกแทง หลังจากนั้นก็จะเริ่มตึงร้อนๆ สักพักก็จะวิ่งจากเส้นสะบักขึ้นไปจนถึงบริเวณหลังหูขวา และก็จะตรึงๆอยู่อย่างนั้น ถ้าเรา อยู่กับตน จะรู้สึกว่าเส้นตึงปวดร้อนๆ จากเส้นสะบักถึงหลังใบหูขวา แต่ถ้าเราสลับไปอยู่กับรู้ อาการจะจางคลายหายไป

    มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงที่ปวด เคยลองให้หมอจับเส้นคนหนึ่งนวดให้ แค่เขาจับบริเวณสะบักที่ปวด ใช้หัวนิ้วโป้งกดนวดขึ้นลง 2-3 ครั้ง อาการปวดมันหายไปเลย ก็เลยถามพี่คนนั้นว่าพี่มีครูใช่ไหม เธอตอบว่าใช่ ก็ยังนึกในใจอยู่น่ะค่ะว่าสงสัยพลังจากครูบาอาจารย์ของเธอช่วย

    ทีนี้มาลองสังเหตุตัวเองดูน่ะค่ะว่า ถ้าเราทำความรู้สึกทั้งตัวแล้ว”อยู่กับรู้” จะไม่เกิดอาการปวดอย่างนี้ขึ้นน่ะค่ะ จะรู้สึกว่าร่างกายโปร่ง โล่ง เบาสบาย แต่ถ้าเมื่อใดเรารู้สึกปวดตึงๆบริเวณเดิม ถ้าเรายังแช่อยู่กับตน อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้นจนตึงลามไปถึงบริเวณหลังใบหู แต่ถ้าเรา ทำความรู้สึกทั้งตัว อาการปวดตึงๆก็จางคลายหายไป ซึ่ง ณ ขณะนั้น คือ เรา”อยู่กับรู้”

    ทีนี้ ถ้าสมมุติว่า อยู่ๆรู้สึกมีเข็มมาแทงบริเวณขาจนรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงบริเวณนั้น แล้วเหมือนจะเกิดกระแสพลังจากบริเวณที่เจ็บจี๊ดๆ วิ่งกระจายไปทั่วตัวแล้วหายไป ตรงนี้เป็นเพราะว่าขณะนั้นเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัว จิตอื่นที่เป็นมิฉาทิฐิเลยทำอะไรเราไม่ได้ใช่ไหมคะ ( อาการนี้เพิ่งมาเป็นช่วงที่เข้าไปอ่านกระทู้หนึ่ง(ไม่ขอเอ่ย)ในเว็บนี้น่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกันไหม แต่สังเกตแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะช่วงที่กำลังอ่านอยู่ บริเวณผิวหนังเราด้านนอกจะมีอาการ แสบๆ คันๆ ยุบยิบๆ ทั่วตัวเลย หลังจากนั้นก็ได้สัมผัสจิตหนึ่งที่ฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโมหะ ประพฤติปฎิบัติตรงข้ามกับศิล5 พอสักพักตัวพูดมากก็เอ่ยชื่อบอกให้เรารู้น่ะค่ะ

    ปล. การสนทนาธรรม ดูเหมือนจะมีประโยชน์ต่อตัวดิฉันมากน่ะค่ะ เมื่อก่อนได้ยินหลวงปู่องค์หนึ่งท่านพูดว่า ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว เรา(ตัวเอง)นำมาพิจารณา ใช้เวลาไม่นานก็สามารถละและปล่อยวางมันได้ ช่วงที่พิจารณาอยู่ขณะนั้น สังเกตุอยู่ๆก็เกิดอาการเหมือนเราอยู่กับสิ่งสมมุติน่ะค่ะ ของทุกสิ่งทุกอย่างที่ เรามี เราเห็น เราสัมผัส เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสมมุติหมดเลย ก็อยู่กับความรู้สึกนี้เป็นเดือนเลยค่ะ พออาการนี้หายไป สังเกตว่าเราปล่อยวางมันได้เลย ไม่ยึดติดกับสมบัติที่มี ไม่ยึดติดกับ ลาภ ยศตำแหน่ง ไม่ยินดีกับคำสรรเสริญเยินยอ และก็เริ่มสังเกตุเห็นตัวเองถอยห่างออกจากสังคม

    และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณ ธรรม-ชาติ กล่าวในกระทู้เกิดอาการหูดับฯ ว่า “ ในศิลข้อแรกที่ว่า ปาณาติปาตา เวรมณี นั้น ท่านให้หมายความว่า ห้ามพราก “ชีวิต” ออกจากร่าง ดังนั้นผู้ที่ได้นิสัยใน กายคตาสติ จะรู้ได้ชัดเจนเองว่า สิ่งที่มีชีวิตนั้นไม่ใช่ร่าง แต่เป็น จิต นั่นเอง” อ่านประโยคนี้แล้วลึกซึ้งกินใจมาก หลังจากนั้น สังเกตเห็นตัวเอง เวลามองดูสิ่งมีชีวิต จะไม่แยกแยะว่าตัวตนเราเขาเป็นคนหรือสัตว์ จะมีแต่ความรู้สึกสงสาร และรู้สึกว่า ชีวิตเขาชีวิตเรา
     
  14. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    # ช่วงที่ฝึกทำความรู้สึกทั้งตัวใหม่ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งร่างกายภายในรู้สึกเย็นสบายเป็นเวลา 2 อาทิตย์เลยค่ะ อากาศภายนอกจะร้อนน้อยร้อนมาก หรือจะเปลี่ยนแปลงยังไง แต่ภายในร่างกายเราอุณหภูมิเย็นคงที่ตลอด หลังจากความรู้สึกเย็นหายไป จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นรู้สึกอุ่นแทนน่ะค่ะ อุ่นทั่วร่างกายเลยค่ะ เป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์เหมือนกัน ถ้าเราเปิดแอร์หรือพัดลม สังเกตุความเย็นของแอร์หรือพัดลม จะไม่แตะสัมผัสผิวหนังภายนอกเราเลยค่ะ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ เมิล

    วันนี้ลองฝึกสำเหนียกตัวดู โดยการทำ"รู้"ให้คลุมทั้งตัวก่อน

    +++ ในขณะที่ "รู้" คลุมตัวอยู่นั้น ในขณะที่ "อยู่กับรู้" เจ้าคนข้างใน (กายในกาย) จะไม่มีความหมายอะไร "จะเป็นได้ก็เพียงแค่ กายตัวหนึ่งที่มีสภาพเท่านั้น" และเราก็ไม่ใช่มันอีกด้วย

    +++ ในขณะที่ "รู้" คลุมตัวอยู่นั้น ในขณะที่ "อยู่กับตน" เราจะเป็น "คนข้างใน" (กายในกาย) มองดูโลกนอกตน "กายเนื้อ จะเป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ ที่ถูกกายในบังคับบัญชา ใช้งาน เท่านั้น"

    แล้วก็คอยสังเกตุ ช่วงที่รู้คลุมทั้งตัวจะรู้สึกเหมือนมีอีกคนอยู่ข้างใน มองออกมาข้างนอก เหมือนกับว่าเรามองเห็นจากตาที่อยู่ข้างในอีกที

    +++ ตอนนี้ "อยู่กับตน"

    แล้วก็ลองปิดตาแล้วลองส่งความรู้สึกไปหาเสียงที่ดังที่สุดที่ได้ยิน เพื่อจับอาการวูบของตัวดู

    +++ ตอนนี้ "อยู่กับตน" แล้วทดลองทำ "ตนส่งออก" (teleportation)

    +++ อธิบายความแตกต่างระหว่าง "ตนส่งออก กับ จิตส่งออก" ดังนี้

    +++ "ตนส่งออก" (teleportation) คือ ในปัจจุบันขณะ แห่ง ขณะจิตนั้น ๆ "ตนเป็นตัวดู และ อยู่กับดู" มีการส่งออกไปรับรู้ต่อสถานการณ์ภายนอก และในขณะจิตที่ส่งออกไปนั้น ๆ "ตนไปกับดู" และ ไม่รับรู้ร่าง (ถอดตัวดู ถอดกายธรรมารมณ์) ในขณะจิตนั้น ๆ หรือจะพูดในอีกภาษาหนึ่งก็ได้ว่า "ใช้ จุติจิต ออกไปดูสถานการณ์" ก็ได้ ตรงนี้บางทีเรียกกันว่า teleview โดยใช้การ ถอดตัวดู ออกไปดูเหตุการณ์ แต่จริง ๆ แล้ว ในขณะนั้น "ตนเป็นตัวดู" จึงใช้คำว่า teleportation น่าจะเหมาะสมกว่า และหากจะใช้ ภาษาทางด้านอภิญญา ก็สามารถเรียก กระบวนการในการทำงานทางจิตตรงนี้ได้ว่าเป็น "เจโตปริยะญาน ขาส่งออก" นั่นเอง

    +++ "จิตส่งออก" เป็นอย่างเดียวกันกับ ตนส่งออก ทุกประการ ต่างกันแต่เพียงว่า ในขณะจิตนั้น ๆ ตนอยู่กับร่าง "อยู่กับต้นทางการส่ง" ซึ้งตรงข้ามกับ ตนส่งออก ซึ้งตนไปอยู่ที่ "ปลายทางของการส่งออก"

    +++ เรื่องราวความละเอียดในการ ควบคุมการทำงานทางจิตตรงนี้ เป็นเรื่องของผู้ที่ฝึก "มหาสติปัฏฐาน 4 ในตอนปลาย นี้เท่านั้น" และตรงนี้เป็นเรื่องของการนำเอา อภิญญา มาเป็นอุปกรณ์ในการฝึกและแยกแยะระหว่าง "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" และระหว่าง "อยู่ตรง ต้นทาง หรือ ปลายทาง ของการจุติ" อันเป็นเรื่องของ "วิชชา 3" ไปพร้อม ๆ กัน

    พอเริ่มทำแบบนี้ได้ก็พอจะเริ่มจับอาการวูบหลังจากที่ตามองเห็น

    +++ "อาการวูบหลังจากที่ตามองเห็น" เป็นการ "เห็นก่อน แล้วจึง วูปออกไป"

    มันจะเป็นวูบหนึ่งก่อนที่จะเกิดความคิด รู้ว่ากำลังจะคิดอะไร

    +++ อาการ "วูป" ก่อนที่จะเกิด ภาพ "เห็น" ให้สำรวจตรงนี้ให้ละเอียด
    +++ หาก "รู้" อาการ "วูป" แล้วจึง "เห็น" เป็น จิตส่งออก เพราะรู้ที่ กิริยาจิต
    +++ หาก "วูป" แล้ว "เห็น" แล้วมา "รู้" ทีหลัง เป็น ตนส่งออก หลังกลับมาจากเห็นแล้ว

    กระบวนการข้างในเชื่อมโยงกันไปหมด แต่พอรู้มันจะตัดความเชื่อมโยงเหล่านี้ไปเลย

    +++ ถูกต้อง

    แต่ก็มีบางทีที่รู้อ่อนตัวลงมา ก็เลยเหมือนเครื่องยนต์ติด ๆ ดับ ๆ สลับไปมา

    +++ หากอยู่กับ "รู้" จะเห็น ปฏิจจะสมุปบาท เป็น วิปัสสนา
    +++ หากอยู่กับ "ตน" จะเป็น ตนส่งออก เป็น อภิญญา
    +++ ทั้งหมดมีรากฐานมาจากคำว่า "อยู่" ในภาค "กายเวทนา" เพียงคำเดียว ในตอนที่เริ่มฝึก วสี 5 นะครับ

    =============================================================================

    ของคุณ จิตวิญญาณ

    # ว่าจะเข้ามารายงานอยู่ว่าการ อยู่กับตน นั้น ความทุกข์มันไม่ได้หายไปไหน ทุกครั้งมันจะก่อตัวจากลิ้นปี่กระจายสูงขึ้นมาหน่อย คล้ายๆอากาศอึมครึมๆอยู่บริเวณนั้นแค่นั้น จะว่าทุกข์ก็ไม่ทุกข์ จะว่าไม่ทุกข์ก็เหมือนจะทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ พอสักพักมันก็สลายไปเอง

    +++ ตรงนี้ให้สังเกตุให้ดี

    1. "อาการจากลิ้นปี่" นั้นไม่ใช่ "ตัวดู"
    2. เฉพาะที่ "ตัวดู" นั้น "ตัวดูเอง มีสภาพเป็น "ธรรมารมณ์ทุกข์" "ประการหนึ่ง อยู่ในตัวของมันเอง" แต่เป็น ทุกข์ที่ละเอียดมาก และ ความเป็นตน เจือจาง
    3. ยามที่ "ตัวดู" ส่งออก มาต่อกับ ธรรมารมณ์ ที่ลิ้นปี่ แล้ว "รับเอาธรรมารมณ์นั้นเข้ามา" ทุกข์ จะพัฒนามาเป็นระดับกลาง รวมทั้งความเป็นตน ในระดับกลางด้วย

    +++ ให้สังเกตุความสัมพันธ์ระหว่าง "ตัวดู กับ ธรรมารมณ์" ให้ดี ๆ เพราะทั้งสองอย่างนี้ "เป็นธรรมารมณ์ ทั้งคู่" โดยมี "ตัวดูเป็นตน ธรรมารมณ์เบื้องต่ำที่ลิ้นปี่ เป็นสิ่งตกกระทบ" และทั้งคู่ "เป็นพลังงานทั้งสิ้น" ยามใดที่มันทำปฏิกิริยาต่อกัน มันจะเกิดเป็น "สนามพลังงานแปรปรวน" หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "ภูมิ กำลังเปลี่ยน" ก็ได้

    ส่วนความคิดปรุงแต่งก็มีเหมือนกัน มันก็ยังคิดปรุงแต่งให้เราอยู่ เพียงแต่เราก็อยู่ส่วนของเรา จิตเราไม่เข้าไปผสมผสานกับความทุกข์กับความคิดปรุงแต่งนั้นๆ พอจิตเราไม่ไปผสมผสานกับมัน มันก็ไม่มีผลอะไรกับจิตใจเรา

    +++ ถูกต้อง เมื่อ "ตัวดู ไม่ส่งออก ไปที่จินตภาพ" การสืบเนื่องย่อมไม่ก่อกำเหนิด และอิทธิพลย่อมไม่ปรากฏ แต่ยังเป็น "อยู่กับดู" อยู่นะ

    +++ เรื่องของการใช้ "นวดแผนโบราณ" เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้การทำงานของจิตนั้น มีวิธีเดินจิตในการศึกษาง่าย ๆ คือ

    +++ เข้ากายเวทนาแถว ๆ 15% ไปในระหว่างนวดไปเรื่อย ๆ ตัวดูมันจะดูไปตามบริเวณที่ถูกนวด "สังเกตุความเป็น ตน" ว่าเกิดขึ้นตอนไหน "ตอนไหนมีตน ตอนไหนไม่มีตน" ตอนมีตน "ตัวดูมันทำอะไร" และตอนไม่มีตน "ตัวดู อยู่ที่ไหน"

    +++ ในระหว่างการนวด 2 ชั่วโมงนั้น "เฉพาะผู้ฝึกในระดับปลาย" จะเรียนรู้ และเพิ่มความชำนาญ ในเรื่อง "กำเหนิดตน" ได้นับเป็น 100 ๆ ครั้งเลยทีเดียว เดินจิตดี ๆ จะเห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นับเป็นร้อย ๆ หน

    ทีนี้ ถ้าสมมุติว่า อยู่ๆรู้สึกมีเข็มมาแทงบริเวณขาจนรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงบริเวณนั้น แล้วเหมือนจะเกิดกระแสพลังจากบริเวณที่เจ็บจี๊ดๆ วิ่งกระจายไปทั่วตัวแล้วหายไป ตรงนี้เป็นเพราะว่าขณะนั้นเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัว

    +++ "ความรู้สึกทั้งตัว หรือ กายเวทนา" นั้นเป็นเรื่องของพลังงานโดยตรง หากเปรียบเทียบแล้ว ก็เหมือนกับ การกระพริบกระเพื่อมของ กิริยาจิต ที่มีต่อ สิ่งตกกระทบ ทุกอย่างเหมือนกัน ข้อแตกต่างมีแต่เพียงว่า การตกกระทบของ เข็มกับร่าง ในขณะที่ "ตนไม่เข้าไปร่วมด้วยนั้น" เหมือนกับ การตกระทบของสิ่งที่ไม่มีจิตครอง เท่านั้นเอง อาการทุกอย่างเป็นอันเดียวกัน

    +++ หากตัวดูต่อเชื่อมเข้าไปก็จะเป็น "เราเจ็บ แล้วจี๊ดๆ วิ่งกระจายไปทั่ว ตัวเรา"
    +++ หากตัวดูไม่ได้ต่อเชื่อมเข้าไปก็จะเป็น "สภาวะหนึ่ง จิ้มเข้าไปในอีกสภาวะหนึ่ง แล้วเกิดอาการ ซ่านกระจายไปทั่ว" เหมือนกับอาการของ กิริยาจิต ฉะนั้น

    จิตอื่นที่เป็นมิฉาทิฐิเลยทำอะไรเราไม่ได้ใช่ไหมคะ ( อาการนี้เพิ่งมาเป็นช่วงที่เข้าไปอ่านกระทู้หนึ่ง(ไม่ขอเอ่ย)ในเว็บนี้น่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกันไหม แต่สังเกตแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะช่วงที่กำลังอ่านอยู่ บริเวณผิวหนังเราด้านนอกจะมีอาการ แสบๆ คันๆ ยุบยิบๆ ทั่วตัวเลย หลังจากนั้นก็ได้สัมผัสจิตหนึ่งที่ฟุ้งซ่าน เต็มไปด้วยโมหะ ประพฤติปฎิบัติตรงข้ามกับศิล5 พอสักพักตัวพูดมากก็เอ่ยชื่อบอกให้เรารู้น่ะค่ะ

    +++ เรื่องของการใช้ พลังจากกายเวทนา เข้าปะทะกับ มิจฉาทิฐิที่มาจากจิตอื่น นั้น ผู้ฝึก ต้องสามารถ เข้ากายเวทนาได้ภายใน 1 วาระจิต แล้ว "เร่งด้วยการอัดกระแทกออกทั้งร่าง" จนเกิดอาการ "จิตคำราม" ที่เป็นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจใด ๆ ทั้งสิ้น และในขณะที่ "อาการคำราม" เกิดขึ้นนั้น จึงส่ง "กระแสคำราม" ไปยังเป้าหมาย หรือลงในขันน้ำมนต์ แล้วให้ใครก็ได้ทำการประพรมน้ำมนต์นั้นลงไป เพื่อล้างพลังจากมิจฉาทิฐิจิต

    +++ แต่ถ้าหาก "เข้ากายเวทนา" แต่เพียงอย่างเดียว ก็จะคุ้มครองได้เพียง เฉพาะตน เท่านั้น (เป็นคำตอบของคำถามนี้) ยกเว้นว่าจะมี ผู้ที่เข้ากายเวทนาได้เป็นกลุ่ม ก็อาจช่วยได้ในบริเวณที่กว้างกว่าออกไป

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกเรื่อง กายเวทนา อยากให้อ่าน "วิธีเดินจิตของ พีท ทองเจือ" ประกอบไปด้วย เพราะเป็นเรื่องของ "การใช้ กายเวทนา รักษาโรคของผู้อื่น" โดยการใช้ กายเวทนาของตน map ลงไปในกายเวทนาของผู้อื่น และที่สำคัญคือการ "รู้ ด้วย ความรู้สึก" นี้ เป็นเรื่องของ กายเวทนา โดยตรง และการรักษาผู้อื่นนั้นทำโดย "ทำให้กายเวทนาของตน เสถียรภาพ สงบนิ่ง" ลองไปอ่าน ๆ ดู นะครับ

    http://palungjit.org/8452081-post1.html
     
  16. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    กราบขอบพระคุณมากค่ะ พอจะเข้าใจแล้วค่ะ เพราะสังเกตความคิดปรุงแต่งกับความรู้สึกทุกข์ที่ก่อตัวขึ้น มันเกิดหลังจากที่มีพลังไม่ดีเข้ามา ตอนนี้กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้วค่ะ

    +++ ในระหว่างการนวด 2 ชั่วโมงนั้น เฉพาะผู้ฝึกในระดับปลาย จะเรียนรู้ และเพิ่มความชำนาญในเรื่อง “กำเนิดตน”ได้นับเป็น 100 ๆ ครั้งเลยทีเดียว เดินจิตดีๆ จะเห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นับเป็นร้อย ๆ หน

    # ตรงนี้จะพยายามสังเกตให้ละเอียดมากขึ้นน่ะค่ะ อาจจะยังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก สาเหตุอาจเป็นเพราะยังสังเกตไม่ละเอียดพอ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    วิธีกระตุ้น สภาวะรู้

    วิธีนี้ เป็นวิธีของการใช้ "กรรม เพื่อทำให้ ฐาน ปรากฏเด่นชัด" แล้วจึง "อยู่" กับฐาน ซึ่งเป็นวิธีที่เป็น "ปฏิภาคกลับกัน" กับการฝึกกรรมฐาน ตามแบบมาตรฐาน

    วิธีนี้เหมาะสำหรับ ผู้ฝึกในระดับปลาย ที่ต้องการความรวดเร็ว และ แยกแยะให้ชัดเจนในความเป็น "สภาวะรู้"

    โดยการ "ตั้งใจที่จะทำลายสภาวะรู้" ด้วยการ "ทำให้ ตน ไม่รู้" และ "ใช้จิตเข้าจู่โจมทำลาย สภาวะรู้ทิ้งไป ในทุกวิถีทาง"

    ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคือ

    1. สภาวะรู้ นั้น ไม่สามารถถูกทำลายได้
    2. สามารถรู้ได้ชัดเจนว่า "ตัวดู" เป็นต้นกำเหนิดแห่ง "การกระทำ หรือ กรรม" ทั้งหมด
    3. สภาวะของ "กรรม" และสภาวะของ "ฐานรู้" ปรากฏชัดเจนทั้งคู่
    4. หากทำได้ดีก็จะปรากฏได้ว่า "สภาวะรู้" ทำหน้าที่ประดุจ "อายตนะตัวหนึ่ง"

    "อายตนะนี้" ไม่แปรปรวนเป็นอื่น ทุกข์ตั้งอยู่ไม่ได้ ความเป็นตนไม่ปรากฏ รับรู้สรรพสิ่ง และเป็น "อายตนะนิพพาน" และสามารถใช้วิธีนี้แทน "การเดินจิต" ครั้งสุดท้าย จากโพสท์ตรงนี้ http://palungjit.org/8364650-post184.html ได้เหมือนกัน เพราะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างเดียวกัน นะครับ

    ปล. สำหรับ ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือญาติมิตร ที่มีเวลา "เหลือไม่มากแล้ว" ก็สามารถถ่ายทอด วิธีนี้ได้นะครับ
     
  18. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมื่อคืนเมิลฝันว่า เห็นตัวดูผุดขึ้นมาเป็นดวง ๆ แล้วเมิลก็เลยตรึงตัวดู แล้วที่เป็นดวง ๆ ก็สลายไป แต่สักพักก็มีดวงใหม่เกิดขึ้นมา แล้วก็มีแสงสว่างจ้าสาดเข้าตา ก็เลยต้องตื่นคะ

    ช่วงนี้จะรู้ความรู้สึกที่เกิดแถวๆลิ้นปี่เร็วขึ้นคะ เหมือนหย่อมความกดอากาศแบบนั้น วูบหนึ่ง
    หรือว่าเวลาเถียงกัน จิตเรานิ่งแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา มันรู้สึกวูบไหว
    จิตกับอารมณ์เป็นคนละส่วนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2013
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เมื่อคืนเมิลฝันว่า เห็นตัวดูผุดขึ้นมาเป็นดวง ๆ แล้วเมิลก็เลยตรึงตัวดู แล้วที่เป็นดวง ๆ ก็สลายไป แต่สักพักก็มีดวงใหม่เกิดขึ้นมา แล้วก็มีแสงสว่างจ้าสาดเข้าตา ก็เลยต้องตื่นคะ

    +++ ตรงนี้เป็นฝันจริง หากสติละเอียดเพียงพอ จะรู้ได้ว่าตอนที่ "มีแสงสว่างจ้าสาดเข้าตา" นั้น จะเกิดเป็นลักษณะของ shock wave ขึ้นมาวูปหนึ่ง จากข้างนอก เคลื่อนตัวเข้าสู่ข้างใน เมื่อ shock wave นั้น ชำแรกผ่านฐานกายาเข้ามาแล้ว ก็เหมือนกับการกำหนดจิตเข้าฐานนั่นแหละ ผลลัพธ์คือ ตื่น นั่นเอง

    ช่วงนี้จะรู้ความรู้สึกที่เกิดแถวๆลิ้นปี่เร็วขึ้นคะ เหมือนหย่อมความกดอากาศแบบนั้น วูบหนึ่ง

    +++ ถูกต้อง มันเป็นอาการ "ผุด" ขึ้นมาชนิดหนึ่ง มันเป็น "ธรรมารมณ์ ภายนอก" ที่ล่อให้ "ตัวดู" ต่อเข้าไปหามัน

    หรือว่าเวลาเถียงกัน จิตเรานิ่ง

    +++ ตรงนี้เป็น "อยู่กับดู" และอยู่ในสภาพของ "ตนเป็นตัวดู" หากเทียบกับ "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" แล้ว เมิลอยู่ในรอยต่อระหว่างชั้นที่ 4 ต่อกับชั้นที่ 5 ซึ่งชั้นที่ 5 ยังไม่ทรงตัวเต็มที่

    แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา มันรู้สึกวูบไหว
    จิตกับอารมณ์เป็นคนละส่วนกัน

    +++ ตรงนี้ ดีแล้วที่รู้ทันว่ามันเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ ผุดขึ้น "เป็นส่วน ภายนอก" และอีกส่วนหนึ่งก็คือ "ตน ที่เป็นส่วนภายใน ที่เป็นตัวดู"
    +++ ช่วงนี้หาก เมิล กำหนดจิตฝึก ก็น่าจะอยู่ในชั้นที่ 5 ได้ในขณะจิตเดียว หากยามที่ไม่ได้ฝึก ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 4 ตอนปลาย

    +++ ต่อไปให้พยายาม "กำหนดจิตฝึก และอยู่กับตน ให้มากกว่านี้" ก็จะเข้าสู่ ชั้นที่ 5 เต็มตัว ที่ผมเรียกมันว่า "อยู่กับตน" ซึ่งจะมี "ตนเป็นฌาน ที่มีสติเป็นลักษณะเด่น" หรือ เป็นขั้นตอนที่ "สติ สามารถชำแรกเข้าไปอยู่ใน ฌาน ได้เต็มที่" นั่นเอง และจะเป็นช่วงที่ "ได้ความรู้ ได้สัมผัส สิ่งแปลก ๆ หรือ ได้ของเล่นต่าง ๆ" ก็จะเป็นในช่วงนี้แหละ ก่อนที่จะขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ต่อไป นะครับ
     
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ จิตเราสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้โดยที่ไม่ผ่านอายตะนะได้ด้วยหรือเปล่าคะ คือเราไม่จำเป็นต้องเห็น แต่รับรู้ความรู้สึกได้หรือเปล่าคะ
    คือว่าเมื่อวานเมิลไปเดินเล่นกับโอม เมิลก็รู้สึกกว่ามีความรู้สึกเกิดขึ้นมา เหมือนเป็นพลังงานผุดขึ้นมา ก็เลยตรึง-แช่ไว้ สักพักเกิดอีก อีก 2-3 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเดินเล่นอยู่ไม่ได้อะไรเลย เมิลยังงงอยู่แล้วก็เอ๊ะหรือจะไม่ใช่ของเรา หรือจะเป็นความรู้สึกของคนที่เห็นโอม
     

แชร์หน้านี้

Loading...