ด่วน!กฐินสามัคคี ปฏิสังขรณ์องค์ พระอัฏฐารสยืนคู่ เดียวในโลก อายุ 700 กว่าปี

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย por410, 22 มีนาคม 2011.

  1. pn-autogas

    pn-autogas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอจองร่วมสักหนึ่งกอง

    ขอจองร่วมสักหนึ่งกอง
    โอนเงินให้แ่น่นอน ต้นเดือนตุลา (ช่วยสกิดเตือนด้วย!!เผื่อลืม)
    จำนวนเงินที่จะโอนทำบุญ 2,500. บาท
    มือถือ :: 0866-727-313 สมบูรณ์ แซ่จิ้ว
    ร้านพี่น้องแอร์ LPG 364/4 ถ.เจริญประเทศ
    อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50100 โทร :: 053-204-249
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2011
  2. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  3. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    อนุโมทนาสาธุ ครับ ขอหลวงพ่อคุ้มครองครับ


     
  4. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  5. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    อนุโมทนาสาธุ ครับ ขอหลวงพ่อคุ้มครองครับ


     
  6. pn-autogas

    pn-autogas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +302
    แก้ใข ชื่อ (เขียนผิด)

    แก้ใข ชื่อ (เขียนผิด)
    สมบูรณ์ แซ่จิ้ว
     
  7. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  8. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ (พระผู้อุทิศชีวิตเพื่อศาสนาโดยมิเหน็ดเหนื่อย)
    นามเดิม ปั่น เสน่ห์เจริญ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๔๕๔ ณ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ แล้วตั้งต้นศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบชั้น น.ธ.เอก อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ ณ วัดนางลาด ต.เขาเจียก อ.เมือง จ.พัทลุง ได้รับฉายาว่า "ปัญญานันทะ"
    จากนั้นศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีจนสอบได้ชั้น ป.ธ.๔ และเริ่มงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังด้วยการเทศน์ ท่านปัญญานันทภิกขุกับท่านพุทธทาสภิกขุ ให้ความเคารพนับถือกันเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องในทางธรรม
    ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเป็นองค์อุปถัมภ์วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

    ความโดดเด่นของท่านปัญญานันทภิกขุคือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมาตามพระธรรมวินัย อันเป็นเหตุให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรูปหนึ่งซึ่งสังคมไทยเคยมีมา

    มรณภาพ : 10 ตุลาคม 2550 สิริอายุรวม 96 ปี


    ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :

    [​IMG] http://www.watchol.or.th (เว็บไซต์วัดอย่างเป็นทางการ)

    [​IMG] http://www.watcholpratan.net

    [​IMG] วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
     
  9. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  10. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  11. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    <TABLE width="85%" align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD class=Content vAlign=top>พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญุ
    ประธานสงฆ์วัดไตรสิกขาทลามลตาราม
    อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร
    โดย พระมหาสุริยัน จนฺทนาโม

    พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เป็นพระนักปฏิบัติ พระนักเทศน์ พระนักปราชญ์ แห่งภาคอีสานรูปหนึ่ง ที่ควรศึกษาถึงชีวประวัติและผลงานของท่าน เพราะเป็นพระผู้เสียสละอุทิศตนทำงาน เพื่อพระพุทธศาสนาอย่างจริง ดังนั้น เพื่อให้ง่ายต่อการนำเสนอ จึงแบ่งการศึกษาชีวประวัติของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ดังนี้
    พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ มีนามเดิมว่า สมภพ นามสกุล ยอดหอ เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ณ บ้านแพด ตำบลบ้านแพด โยมบิดาชื่อ จูม นามสกุล ยอดหอ โยมมารดาชื่อ สอน นามสกุล ยอดหอ มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ทั้งหมด ๑๒ คน คือ
    ๑. นายสุพจน์ ยอดหอ
    ๒. นางบังเรียน ยอดหอ
    ๓. นายวิจิตร ยอดหอ
    ๔. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    ๕. พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ
    ๖. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    ๗. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    ๘. นางประมวล พันธ์เสนา
    ๙. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    ๑๐. นายบุญโฮม ยอดหอ
    ๑๑. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    ๑๒. ไม่ทราบชื่อ (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)

    ครอบครัวของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ มีต้นกำเนิดที่บ้านนาผาง อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อครอบครัวประสพกับภาวการณ์หาเลี้ยงชีพที่ขัดสน โยมบิดาและโยมมารดาของท่านจึงได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านวังชมพู ตำบลแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร

    เป็นที่น่าสังเกตว่าการอพยพครอบครัวมาที่จังหวัดสกลนครนั้นก็เพื่อให้บุตรธิดามีชีวิตที่สดใส คล้ายๆกับเป็นนัยยะว่า บุตรชายจะได้เป็นประทีปธรรมที่ส่องแสงสว่างแก่บุคคลผู้มืดมนในกาลข้างหน้า เมื่อพ่อจูมและแม่สอนได้เล็งเห็นพื้นที่เหมาะแก่การประกอบอาชีพแล้วจึงได้อพยพครอบครัวมาที่บ้านวังชมพู จนถึงปัจจุบันนี้
    โยมบิดาของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ ท่านเป็นผู้มีจิตใจใฝ่ในทางธรรม ปฏิบัติตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เช่น การไปทำบุญตักบาตร รักษาศีล ๕ และอุโบสถศีล ในช่วงเข้าพรรษา เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่และอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชนที่พึงปฏิบัติ เมื่อท่านเลี้ยงดูบุตรธิดาจนเติบโต สามารถเลี้ยงชีพ ด้วยตนเองได้แล้ว ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้รับนามฉายาว่า "สุจิตฺโต" ซึ่งแปลว่า ผู้มีจิตดี หรือ มีความคิดดี หลวงพ่อจูม สุจิตฺโต ได้ดำเนินชีวิตในเบื้องปลายที่พอเพียงกับสมระวิสัย เป็นคนพูดน้อย สันโดษ ตั้งใจบำเพ็ญกรรมฐานอย่างมุ่งมั่นจนมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่วัดนิพเพธพลาราม ตำบลบ้านแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร โดยอยู่ในความดุแลอย่างใกล้ชิดของพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ซึ่งเป็นทั้งประธานสงฆ์และบุตรชาย ก่อนที่หลวงพ่อจูม สุจิตฺโต จะมรณภาพ ท่านได้ทิ้งมรดกธรรมไว้ให้แก่อนุชนได้คบคิดดังนี้
    "ที่สิ้นสุดของกาย คือสิ้นลมหายใจ ที่สิ้นสุดของจิต คือ ตัวเราไม่มี ของเราไม่มี"
    "เมื่อใดพรหมวิหารของเรายังไม่ครบสี่ เมื่อนั้นเรายังวุ่นวายอยู่ เพราะยังวางมันไม่ลง ปลงมันไม่ได้"
    "คนเราเป็นทุกข์ อยู่กับธาตุสี่เพราะยังไม่เห็นธาตุรู้ รู้อย่างเดียวไม่สุข ไม่ทุกข์"
    "จิตนั้นมันคือ (เหมือน) น้าม (น้ำ) น้ามมันชอบไหลลงทางต่ำ ถ้าคนสะหลาด (ฉลาด) กั้นมันไว้ มันก็จะไหลขึ้นที่สูง"
    ส่วนโยมมารดา คือ แม่สอน ยอดหอ ก็ได้ดำเนินชีวิตเฉกเช่นสามีและบุตรชาย มีการทำบุญตักบาตร รักษาศีล ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่โอกาส จนเป็นที่รู้จักของเพื่อบ้านในตำบลแพด จึงถึงปัจจุบัน


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ชีวิตก่อนออกบวช

    พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเป็นเด็กที่ระลึกชาติได้ เมื่ออายุได้ ๔ ปี ได้รบเร้าบิดามารดาให้พากลับไปยังบ้านเกิดเดิมที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อไปถึงท่านก็ทักทายคนแก่เหมือนกับเป็นรุ่นเดียวกันโดยใช้คำพูดว่า " กู มึง" ทำให้เป็นที่แปลกใจของคนทั่วไป สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ว่าท่านจำเรื่องราวในอดีตได้ คือ ท่านถามถึงเหล็กขอ ที่ใช้บังคับช้างที่ท่านเคยในอดีตและเก็บไว้บนหิ้งพระ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ทุกคนจึงบอกให้ท่านค้นหาเองท่านก็เจออยู่ที่เดิมบนหิ้งพระ คนทั่วไปจึงเชื่อว่าท่านระลึกชาติได้เพราะชาติก่อนทางเป็นคนเลี้ยงช้าง
    ครั้นเมื่อเติมโตถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนท่านพระอาจารย์ก็ได้รับการศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ ๔ ตามยุคของการศึกษาในขณะนั้น เมื่อจบการศึกษาแล้วท่านก็ได้ทำงานช่วยบิดามารดา แล้วท่านก็ได้ไปเป็นนักมวย เพื่อหาประสบการณ์ชีวิต เพราะการศึกษาในยุคนั้นยังลำบากไม่มีความเจริญด้านสื่อและอุปกรณ์ทางการศึกษาเหมือนปัจจุบันนี้ ได้รับการศึกษาจบชั้นประถม ๔ ก็นับว่ามีการศึกษาสูงแล้วรัฐไม่ได้บังคับให้ศึกษาดังปัจจุบันนี้ แต่ถึงกระนั้นท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ก็มิได้ย่อท้อได้พยายามพากเพียรจนสามารถนำความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาแค่ชั้นประถม ๔ และประสบการณ์ในชีวิตมาถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>การบรรพชา

    พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่รุ่นทวด เพราะต้นกำเนิดบรรพบุรุษของท่านยึดมั่นในการทำบุญ ปฏิบัติธรรม รักษาศีล เป็นประจำ จึงนับได้ว่าเป็นครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฎฐิที่ใฝ่ในการปฏิบัติในครองแห่งสัมมาปฏิบัติ มีความใกล้ชิดและซาบซึ้งในหลักคำสอน ดังนั้น เมื่อท่านพระอาจารย์ จบการศึกษาในระดับประถม ๔ แล้วท่านก็ได้เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าเข้าบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนาเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างจริงจัง
    เมื่อสามเณรสมภพ ยอดหอ ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรแล้วก็ได้ศึกษาหลักคำสอนและฝึกหัดปฏิบัติธรรม ศึกษาเล่าเรียนตามโอวาทของพระอุปัชฌาย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศึกษา
    ๑. ท่องบทสวดมนต์ หรือเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน
    ๒. ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม
    เมื่อท่านบรรพชาเป็นสามเณรได้ประมาณ ๓ ปี ท่านก็ได้ลาสิกขาบท เพื่อไปประกอบอาชีพ โดยได้ไปทำงานยังต่างประเทศแถบอัฟริกา ยุโรป แถบตะวันออกกลาง ถึง ๑๓ ประเทศ รับผิดชอบเป็นหัวหน้ารับเหมาก่อสร้างถนน และสนามบินและได้ศึกษาถึงคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสด้วยถึงขั้นอยู่ในระดับแนวหน้า จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบาทหลวง เมื่อท่านจะเข้าพิธีล้างบาปเพื่อเป็นบาทหลวง ก็เกิดเหตุอัศจรรย์คือน้ำที่จะใช้ในการประกอบพิธีได้เหือดแห้งถึงสามครั้ง ทำให้ท่านได้พิจารณาโดยถ้องแท้ว่าเป็นหนทางที่ไม่ใช่และไม่เหมาะกับกับตนเอง ท่านจึงเริ่มหันชีวิตกลับเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาอีกครั้ง ซึ่งเป็นศาสนาแรกที่ท่านดำเนินรอยตาม จากนั้นท่านก็ได้ศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่กับการทำงานไปด้วยโดยใช้เวลานานถึง ๑๑ ปี จนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หลังจากนั้นท่านก็ได้รวบรวมปัจจัยจากค่าจ้างการทำงานมาชื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดบนเนื้อที่ ๕๐ ไร่ แล้วได้นิมนต์พระสงฆ์ให้มาจำพรรษา แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของท่านท่านเลยตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา เพื่อทำหน้าที่ศาสนทายาทดังปรากฏในปัจจุบันนี้

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>การอุปสมบท

    เมื่อท่านมีอายุ ๓๖ ปี ก็เกิดความคิดขึ้นว่า การที่เราลงทุนไปสร้างวัดจะให้ได้ประโยชน์มากเราจะต้องบวช ท่านจึงเดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยไปอุปสมบทที่วัดเนินพระเนาว์ จังหวัดหนองคาย ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๘ โดยมี พระครูภาวนาปัญญาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้นามฉายาว่า "โชติปญฺโญ" ซึ่งแปลว่า ผู้มีปัญญาอันโชติช่วงประดุจดวงประทีป
    หลังจากอุปสมบท ก็ได้เข้าปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลา ๑ ปี (ไม่พูดคุยกับใคร นั่งสมาธิ ปฏิบัติกรรมฐานตลอดเวลา) แรกตั่งใจว่าจะปฏิบัติอย่างน้อย ๓ ปี แต่ก็ไม่ได้ตามวัตถุประสงค์พอครบปี หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ก็ได้เรียกไปแปลธรรมะภาคภาษาอังกฤษ เป็นเล่มเทศน์ให้ชาวต่างชาติฟัง ทีแรกปฏิเสธท่าน ท่านก็ว่า "เรากินข้าวเขาอยู่เด้" ก็เลยต้องปฏิบัติตามหลวงพ่ออย่างขัดไม่ได้ ในช่วงนั้นชาวฝรั่งได้ให้ความสนใจจะปฏิบัติธรรมเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นจำนวนมาก
    ต่อมาชาวไทยก็มีความประสงค์จะฟังธรรมและปฏิบัติธรรมมีจำนวนไม่น้อย เข้าไปหาหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์จะนิมนต์ผมให้แสดงธรรมแก่ชาวไทยบ้าง มีชาวบ้านพูดว่า "พูดกับชาวฝรั่งก็ยังพูดได้ ทำไมไม่สั่งสอนคนไทยบ้าง" ก็เลยขัดศรัทธาญาติโยมไม่ได้ หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ก็ได้รับภาระและธุระในพระพุทธศาสนา ด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับพระอุปัชฌาย์ ในสถานที่ต่าง ๆ คือ วัดเนินพระเนาว์ วัดนิเพธพลาราม และวัดไตรสิกขาทลมลตาราม

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>การปฏิบัติธรรม

    พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ได้เริ่มการประกาศตนเองในการเป็นผู้นำปฏิบัติและเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง ในปี ๒๕๒๙ โดยท่านได้ดำเนินตามรอยพระบาทพระศาสดาอย่างน่าอนุโมทนา ท่านยอมทิ้งความสุข ความสบาย ที่ได้รับอย่างพรั่งพร้อมในชีวิตฆราวาสโดยไม่มีความอาลัยในสิ่งเหล่านั้น หันหลังให้กับโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อย่างไม่ท้อถอย ด้วยปณิธานที่มุ่งมั่นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉกเช่น พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จออกหนีจากพระราชวัง เพื่อค้นหาสัจจธรรมท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร

    สำนักแรกที่ท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ได้เริ่มการเผยแผ่ คือ วัดนิเพธพลาราม บนเนื้อที่ ๕๐ ไร่ ที่ท่านได้มาซื้อไว้ด้วยน้ำพักน้ำแรงจากค่าจ้างในการทำงาน

    ปัจจุบันท่านพระอาจารย์ได้ย้ายออกมาตั้งสถานที่ใหม่ เพื่อให้เหมาะกับการปฏิบัติ โดยห่างจากที่เดิม ๑๐ กิโลเมตร คือ วัด ไตรสิกขาทลามลตาราม บนเนื้อที่ ๓๐๐ - ๔๐๐ ไร่ ด้วยอุดมการณ์ที่ว่า "เพียงแมกไม้ฉ่ำชื่นในผืนป่า เพียงธาราเจิ่งขังทั้งเย็นใส
    เพียงเสียงสัตว์ เริงร้องก้องพงไพร
    เพียงเพื่อให้ ผองมวลมิตร ใกล้ชิด พุทธธรรม"
    ด้วยเหตุนี้ เองพระอาจารย์จึงได้ตั้งสำนัก ไตรสิกขา ขึ้นโดยการปลูกป่าตามอุดมการณ์เนื้อที่ผืนป่าที่ปลูกแล้วกว่า ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ไร่ ฉ่ำชื่นด้วยผืนป่า แต่ธาราที่เจิ่งขังยังไม่พร้อม ทางคณะสงฆ์จึงเห็นพ้องกันว่าต้องขุดแหล่งน้ำ นำดินที่ขุดขึ้นมากองเป็นภูเขาจำลองปลูกต้นไม้ให้เขียว เป็นภูเขาอันสดชื่น เป็นที่ดุดฟ้าดึงฝน ให้สมกับชื่อที่เป็นภาษาบาลีว่า ไตรสิกขาทลามลตาราม ซึ่งแปลว่า อารามอันทรงไว้ซึ่งความสดชื่น สำหรับผู้บำเพ็ญไตรสิกขา(ศีล สมาธิ ปัญญา)ภาพภูเขาลูกย่อมๆอันเขียวสดชื่น ท่ามกลางความแห้งแล้งแห่งภาคอีสานประดับประดาไปด้วยภาพ สระโบกขรณีนทีธาร พร้อมทั้งอุทยานอันชื่นใจ แมกไม้และผืนน้ำที่แผ่ล้อมลูกภูเขาพรั่งพร้อมไปด้วยปทุมชาติ อันมายมากหลากสีบนผิวน้ำ ท่ามกลางสายลม แสงแดด ณ ภูมิภาคแห่งนี้จะเป็นเสมือนขุมทรัพย์กลางทะเลทราย จากพื้นดินถิ่นที่แห้งแล้งลำเค็ญ อาจกลายเป็นแคว้นศักดิ์สิทธิ์แห่งจิตใจอาจจะเป็น(โอเอซิส)แห่งอีสานเป็นการสนับสนุนโครงการของรัฐบาลปัจจุบัน อันว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งน้ำท่วมน้ำแล้งช่วยได้ทั้ง ๒ ด้าน ขุดดินขึ้นได้สระน้ำ ทิ้งดินถมเป็นภูเขาปลูกต้นไม้ให้สดชื่น อุโภ อตฺเถ อธิคณฺหาหิปณฺฑิโต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วว่า บัณฑิตผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ไม่ประมาทย่อมถือเอาประโยชน์ได้ทั้งสองทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ฟ้า ประโยชน์ดิน ประโยชน์ศีล ประโยชน์ธรรม ปลูกดงปลูกป่า คือ ปลูกฟ้าปลูกดิน ปลูกศีลปลูกธรรม ช่วยค้ำจุนโลกให้ร่มเย็น ขุดสระน้ำได้ภูเขาด้วย หล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางตรัสรู้ ประทับบนภูเขาแล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ในองค์พระปฏิมากร ภูเขากลายเป็นเจดีย์ที่มีคุณค่ามาก ถึงจะมีมูลค่าน้อย แต่มากไปด้วยคุณค่า อย่างที่จะประมาณมิได้ พระพุทธรูปท่านเรียกว่าอุทเทสิกะเจดีย์ ภูเขาจากดินที่ขุดกลายเป็น อุทเทสิกะเจดีย์ เช่นเดียวกัน เพราะเป็น ภูเขาที่ประดิษฐานพระบรมารีริกธาตุ ยํ ฐานํ ชเนหิ อิฏฐกาทีหิ เจตพฺพํ ตสฺมา ตํ ฐานํ เจติยํติ สิ่งที่ก่อสร้างขึ้น สำหรับบรรจุสิ่งที่เคารพนับถือ สิ่งนั้นนับว่าเป็น(เจดีย์) ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยังเป็นการ พัฒนาแบบบูรณาการ ครบรอบคอบคลุมเกือบทุกด้าน เป็นการส่งเสริมด้านเกษตรกรรม ด้านธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้เกิดดุลยภาพ ทางธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมด้านการศึกษา ตามแนวทางของพุทธศาสนาให้ครบทั้งสามด้าน พฤติกรรม ศีล จิตใจ สมาธิ ขบวนการรับรู้ด้านปัญญา ไตรสิกขาในภาพรวม การขุดสระเก็บกักน้ำบริเวณนี้ จะเป็นการพัฒนา ต้นน้ำห้วยก้านเหลือง ผืนป่าที่ปลูกในอารามเกือบ ๔๐๐ ไร่ได้รับน้ำ หล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอจะกลายเป็นเขื่อนสีเขียวช่วยดูดฟ้าดึงฝนให้เกิดความชุ่มชื่น สดชื่นอย่างยั่งยืนเป็นแหล่งอาหารของหมู่สัตว์หมู่มวลสรรพชีพทั้งมวลทั้งสัตว์ปีกสัตว์กีบ พวกเขาจะได้แอบอิงอาศัยให้ปลอดภัยจากการถูกล่าทำลาย จากมนุษย์ผู้ไร้เมตตาธรรม เหล่าสัตว์น้ำจะได้แอบอิงอาศัย สืบเผ่าพันธุ์ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ โดยธรรมชาติ น้ำห้วยก้านเหลืองจะทรงตัวไม่เหือดแห้งตลอดปี ชาวนาทั้งสองฝั่ง จะได้ทำการเกษตรอย่างไม่ฝืดเคือง แม้ไม่มีระบบชลประทานช่วย ก็ยังพอทำไปได้สะดวก ตามฤดูกาล เพราะเหตุปัจจัยของต้นน้ำ ได้รับการฟูมฟักทนุถนอมอย่างสมดุลด้วยผืนป่าและผืนน้ำ แม้จะเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย ประโยชน์นี้บูรณาการ ไปถึงภาคเกษตรกรรม โยงใยไปถึงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อธรรมชาติถึงพร้อม จิตก็น้อมเข้าสู่ธรรม


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ระเบียบในการปฏิบัติธรรม

    ระเบียบในการปฏิบัติธรรมของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ท่านได้ว่าหลักและขอบเขตดังนี้ เวลา ๐๒.๐๐ น. สัญญาณระฆังนั่งปฏิบัติธรรม
    เวลา ๐๔.๐๐ น. ทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ฉันอาหารมื้อเดียว
    เวลา ๑๕.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม
    เวลา ๑๗.๐๐ น. ทำวัตรเย็น
    เวลา ๒๑.๐๐ น. จำวัด
    หน้าที่รับผิดชอบในคณะสงฆ์

    หลังจากที่ท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ได้อุปสมบทแล้วท่านก็ได้ทุ่มเทกำลังในการพัฒนาผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ตามปณิธานที่ตั้งไว้ทั้ง ๒ แห่ง จนปัจจุบันนี้เป็นอารามที่ร่มรื่นด้วยเมกไม้นานาพันธ์เหมาะแก่การปฏฺบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านพระอาจารย์ได้สละลาภ ยศ ทุกอย่าง ไม่ได้เป็นพระครู พระมหา หรือแม้แต่ตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านพระอาจารย์ก็ไม่รับ โดยท่านเป็นเพียงประธานสงฆ์ที่มีอายุพรรษามากตามหลักธรรมวินัยเท่านั้น ครั้งหนึ่งการเผยแผ่ธรรมของท่านแพร่หลาย เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป เจ้าคณะผู้ปกครองในระดับสูง จะขอพระราชทานสมณศักดิ์ถวายท่านก็ปฏิเสธโดยไม่ขอรับ โดยกราบเรียนเจ้าคณะจังหวัดว่า "ผมไม่อยากได้ สิ่งที่ผมอยากได้ผมได้แล้ว"
    ผลงานการเผยแผ่

    ผลงานของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ ส่วนมากจะเป็นการเทศนาแล้วบันทึกเสียงไว้ ในเทศกาล วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาติ และปาฐกถาในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่รวบรวมได้จำนวน ๔๑๗ เรื่อง รายการเรื่องที่พระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ แสดงธรรมเทศนาและได้บันทึกเสียงรวบรวมได้เป็นเรื่องเป็นหัวข้อจำนวน ๔๑๗ เรื่อง ซึ่งผู้วิจัยยังไม่สามารถจะลงในรายละเอียดในทุกหัวข้อ เพราะจำกัดในเรื่องของเวลา จึงขอนำเสนอเรื่องที่เด่น ๆ ที่จัดเป็นประเภทไว้พอเป็นตัวอย่างในรูปแบบสรุปสังเขป ในหัวข้อถัดไปในส่วนของผลงานจึงเสนอผลงานพอประมวลได้ดังนี้
    ๑. เวสสันดรปริทัศน์ (บุญมหาชาติ)
    ๒. อบรมพระหนุ่ม
    ๓. พุทธทำนาย (ความฝันที่เป็นจริง)
    ๔. ชีวิตเจียระไน
    ๕. สถานการณ์พุทธศาสนาในโลกยุคปัจจุบัน
    ๖. วิศกรรมห่าก้อม
    ๗. ปลดชนวนระเบิด
    ๘. ธรรมิกถาหน้าเชิงตะกอน
    ๙. บุญแจกข้าว กองหด
    ๑๐. วิสาขะรำพึง (เสียงอีสาน)
    คุณสมบัติพิเศษของท่าน

    ๑. เป็นผู้ที่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง
    ๒. นอกจากจะเก่งภาษาอังกฤษแล้ว ยังเก่งภาษาแขกด้วย คือพอทราบพูดถึงประเทศอะไรท่านก็
    สามารถที่ยกตัวอย่างเป็นภาษานั้น ๆ ได้อย่างน่าทึ่งมาก
    ๓. ช่ำชองพระไตรปิฎกทั้งบาลีและอรรถกถา เรียกว่าเป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่
    ๔. ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานอยู่ที่ท่าน เรียกว่าเป็นขุมคลังแห่งปัญญาท้องถิ่นได้เลยเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ
    ๕. ท่านแตกฉานเรื่องนิรุกติภาษาคือ เวลาเทศน์นั้น ท่านจะใช้ภาษาท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็จะใช้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับกาลสมัย
    ๖. จากเหตุผลข้อที่ ๕ จึงทำให้ท่านเทศน์ได้อย่างชนิดที่กินใจ เข้าถึงอารมณ์ทั้งไทยและเทศ โดยเฉพาะไทยอีสานนั้น
    ๗. เรียกว่าถ้าพูดถึงพระที่เพียบพร้อมไปด้วยปริยัติและปฏิบัติที่สมบูรณ์นั้น ท่านพระอาจารย์สมภพก็อยู่ระดับ
    ๘. คุณธรรมของท่าน คือท่านมีเมตตา กรุณา มีความเที่ยงตรง อดทน ยอมตายเพื่อธรรมะ มีเป้าหมาย และหลักการที่ชัดเจน มีอุมการณ์ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างชนิดที่ตัวตายก็ยอม
    ๙. ไม่สนใจยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีตำแหน่งอะไรทางการปกครอง ไม่ได้เป็นมหา หรือพระครูใด เป็นพระที่เป็นขวัญใจ เป็นเพชรเม็ดงาม ของชาวพุทธรูปหนึ่ง

    จากการศึกษาประวัติและผลงานของท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ จะเห็นว่าท่านเป็นพระนักเผยแผ่ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ๗ ประการ คือ
    ๑ ปิโย เป็นที่รัก คือ เข้าใจถึงจิตใจของผู้ฟัง
    ๒ ครุ เป็นที่น่าเคารพ คือ มีปฏิปทา จริยาวัตร ที่งดงาม
    ๓ ภาวนีโย เป็นที่น่าเจริญใจ คือ มีภูมิปัญญาที่แท้จริง
    ๔ วัตตา รู้จักพูดชี้แจงเผยแผ่ให้ได้ผล คือ สามารถอธิบายธรรมให้ง่ายได้
    ๕ วจนักขโม อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำติชม
    ๖ คัมภีรัญจ กถ กัตตา คือ ฉลาดในการเทศน์
    ๗ โน จัฏฐาเน นิโยชเย คือ นำทางศิษยานุศิษย์ตามรอยบาทพระพุทธเจ้าทุกประการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • somphop2.jpg
      somphop2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.7 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2011
  12. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    " ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย ความตายนั้น แก้ไม่ได้ ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มาแต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า "เราต้องตาย" ทุกลมหายใจ"
    นามเดิม สิม วงเข็มมา กำเนิด 26 พ.ย. 2452 สถานที่เกิด ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    อุปสมบทอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส อ.เมืองจ.ขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2472 โดยมี
    ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์(จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์
    สมณศักดิ์ 2502-พระครูสันติวรญาณ 2535-พระญาณสิทธาจารย์(ฝ่ายวิปัสนา)
    มรณภาพ 14 ส.ค. 2535 อายุ 83 ปี 63 พรรษา
    หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 17 ปี ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นไม่นาน จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติใหม่เป็นธรรมยุตินิกาย ได้รับฉายาว่า "พุทธาจาโร"
    จากนั้นได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ หลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด จนกระทั่งปี 2510 หลวงปู่ได้ลาออก จากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัด และได้เริ่มพัฒนาถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ จากนั้นได้จำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำผาปล่อง จนกระทั่งมรณภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sim.gif
      sim.gif
      ขนาดไฟล์:
      70.3 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2011
  13. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    พระโพธิญาณเถระ หรือ หลวงปู่ชา สุภัทโท นามเดิม ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑
    ณ บ้านก่อ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
    อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ ณ วัดก่อใน ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี อุปสมบทแล้วท่านได้อุทิศตนศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง แล้วจึงจาริกออกปฏิบัติธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร จนเมื่อได้เวลาอันสมควร คือ พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงกลับมาก่อตั้งวัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสีที่บ้านเกิด โดยมีท่านเองเป็นเจ้าอาวาส พร้อมทั้งได้เริ่มงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา แก่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และได้ก่อตั้งวัดป่านานาชาติเพื่อเป็นวัดนานาชาติสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการบวชในพระพุทธศาสนา นับแต่นั้นเป็นต้นมา
    ปัจจุบันวัดหนองป่าพงมีสาขาอยู่ทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก รวมแล้วไม่น้อยกว่า ๒๐๐ สาขา หลวงปู่ชามรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ นับว่าเป็นพระมหาเถระที่มีผลงานทางด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนาธุระที่โดดเด่นที่สุดรูปหนึ่งของสังคมไทยปัจจุบัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cha1.jpg
      cha1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      58
  14. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  15. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  16. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    มูลนิธิรัศมีแห่งธรรม จ.เชียงใหม่ ขอเชิญเข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรมประจำปี 2554
    โครงการ 7 /2554
    อังคาร 5 – เสาร์ 9 กรกฎาคม 2554 (5 วัน 4 คืน)
    โครงการวิปัสสนาโดย อ.ประเสริฐ รุ่น 2
    วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเอี้ยน, อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
    ผู้เข้าร่วม สาธุชนอายุตั้งแต่ 15 ปี
    จำนวน ชาย 30 ท่าน หญิง 70 ท่าน (อาคารนอนรวม)
    -------------------------------------------------------
    ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมเข้าอบรมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายการเข้าร่วมและเรียนเชิญเป็นเจ้าภาพหรือบริจาคสนับสนุนโครงการตามกำลังศรัทธา , ดาวน์โหลดแบบฟอร์มสมัครได้ที่ Health-Mind-Wellness-Retreats-Meditation-Yoga I Jirung Resort Chiang Mai Thailand
    โทร. 086-1904567 โทรสาร.053-290099
     
  17. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    นามเดิมว่า เทสก์ เรี่ยวแรง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๕ ปีขาล ณ บ้านสีดา ตำบลกลางใหญ่ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อ อุส่าห์ เรี่ยวแรง เดิมเป็นชาวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
    เมื่ออายุ 16 ปี หลวงปู่เทสก์ ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ รอนแรมไปในป่า เป็นเวลาเดือนกว่า จึงถึงเมืองอุบลฯ หลวงปู่ไปบรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระอาจารย์ลุย บ้านดงเค็งใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรชาแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จนสอบนักธรรมชั้นตรี ได้ในปีที่มีอายุครบ ๒๐ และวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๖๖ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสุทัศน์ อำเภอเมือง อุบลราชธานี โดยมี พระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี นับเป็นลูกศิษย์ ที่สำคัญยิ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตโต องค์หนึ่ง ท่านได้อุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน หลวงปู่ฯ ได้บำเพ็ญกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน และความเจริญมั่นคงแห่งพระศาสนา โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ และด้วยจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง ผู้ที่เคยได้กราบนมัสการท่าน มักพูดในทำนองเดียวกันว่า ได้รับความอิ่มใจและเป็นบุญของเขาที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการท่าน ทั้งนี้คงเป็นเนื่องจากบารมีธรรมที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติมาและเมตตาจิต ที่หลวงปู่แผ่มายังบุคคลเหล่านั้นนั่นเอง
    ท่านอาพาธหนักครั้งสุดท้าย เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ และถึงแก่มรณะภาพด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา ๒๑ นาฬิกาเศษ ของวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๗ ณ วัดถ้ำขาม อ.พรรณนิคม จ.สกลนคร สิริอายุได้ ๙๒ ปี ๗ เดือน ๒๑ วัน

    [​IMG] วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tesk.jpg
      tesk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.3 KB
      เปิดดู:
      63
  18. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    " ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง คือการ ต่อสู้กับมัจจุราช เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อ ตนเอง และต้องสู้โดยลำพัง ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดี คือไปสู่ สุคติ ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าย คือไปสู่ทุคติ อาวุธที่ใช้ ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียว คือ "สติ" ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการ เจริญภาวนาเท่านั้น "
    พระธุดงคกรรมฐาน ที่เป็นศิษย์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ และเป็น ผู้เจริญ ในสมณะธรรม บำเพ็ญกิจน้อยใหญ่ เพื่อ อำนวยประโยชน์ ต่องานพระศาสนา สถาบันหลัก ของชาติไทย และเกื้อกูล หมู่ชน สังคม อย่างเอนกอนันต์ เป็นปูชนียภิกขุ ที่สาธุชน เคารพศรัทธามหาศาล
    พระเดชพระคุณ "พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร" วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร นามเดิม เกิดในสกุล สุวรรณรงค์ เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนที่ ๕ ของ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ในตระกูล "สุวรรณรงค์" อดีตเจ้าเมือง พรรณานิคม มารดา ของท่านชื่อ นางนุ้ย
    พระอาจารย์ฝั้น ครั้งวัยเยาว์ มีความประพฤติ เรียบร้อย นิสัยโอบอ้อม อารี ขยันหมั่นเพียร อดทน ต่ออุปสรรค ช่วยเหลือกิจการ งานของบิดา มารดา โดยไม่ย่อท้อ ต่อความยากลำบาก
    ท่านเข้าศึกษา ชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย บ้านม่วงไข่ และ เข้าไปศึกษาต่อ กับพี่เขย ที่เป็นปลัดขวา ที่อำเภอเมือง ขอนแก่น ช่วงนั้น ทีแรก ท่านอยากรับราชการ แต่ต่อมา ได้เห็น ความเป็นอนิจจัง ของผู้มี ยศฐาบรรดาศักดิ์ จึงได้เปลี่ยน ความตั้งใจ และได้เข้า บรรพชา เป็นสามเณร ที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นในพ.ศ. ๒๔๖๓ จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติ เป็นธรรมยุตินิกาย เมื่อวันที่ ๒๑ พ.ค. ๒๔๖๘ ที่วัดโพธิ์สมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้น อายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดสิทธิบังคม อำเภอ พรรณานิคม จังหวัด สกลนคร โดยมีพระครูป้อง เป็นอุปัชฌาย์ และเป็นผู้สอน การเจริญกรรมฐาน ตลอดพรรษาแรก
    ออกพรรษาแล้ว ท่านกลับมาพำนัก ที่วัดโพนทอง ซึ่งมีพระครูสกลสมณกิจ เป็นเจ้าอาวาส และวิปัสสนาจารย์ นำพระภิกษุฝั้น อาจาโร ออกธุดงคและเจริญภาวนา
    ในช่วงชีวิตบรรพชิตของหลวงปู่ ท่านได้ธุดงค์ยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่พระธรรม คำสอน จนกระทั่งเป็นที่นับถือศรัทธาของญาติโยมจำนวนมาก และได้รับการได้รับการยกย่องเป็น "อริยสงฆ์" องค์หนึ่ง
    มรณภาพ
    ๔ ม.ค. ๒๕๒๗ อายุ ๗๘ ปี ๕๘ พรรษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • phan280.jpg
      phan280.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.8 KB
      เปิดดู:
      62
  19. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    พระอาจารย์อ่อน ญาณสิร
    วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า
    อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
    นามเดิม อ่อน กาญวิบูลย์
    บิดา เมืองกลาง กาญวิบูลย์
    มารดา บุญมา กาญวิบูลย์
    เกิด ที่บ้านดอนเงิน ต. แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี
    วันอังคาร เดือน ๗ ปีขาล พ.ศ. ๒๔๔๕
    การบรรพชาและอุปสมบท
    เมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดเกาะเกตุ บ้านเมืองเก่า อำเภอ กุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
    ครั้นอายุครบบวช ก็ได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ วัดปะโค อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เมื่อเดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ ปีระกา ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๔ โดยมีพระอาจารย์จันทา เจ้าคณะอำเภอ กุมภวาปี เป็นพระอุปัชฌาย์
    การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ
    ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้เดินธุดงค์ไปจนถึงอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และได้เข้าศึกษา ปฏิบัติกัมมัฏฐาน กับพระอาจารย์สุวรรณ เป็นเบื้องต้น
    พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ ของพระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น ที่วัดบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ณ ที่นี้ ได้พบกับพระอาจารย์ฝั้น เป็นครั้งแรก
    การขอญัตติ
    เมื่อเดือน ๓ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีชวด ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้ญัตติเป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ณ วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ (จูม พนธโล) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูสังฆวุฒิกร เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูอดิศัยฯ (อดีตเจ้าคณะจังหวัดเลย เป็นพระกรรมวาจารย์)
    มรณภาพ
    พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ จำพรรษาอยู่ที่ วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งมรณภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sangha24.gif
      sangha24.gif
      ขนาดไฟล์:
      16.2 KB
      เปิดดู:
      211
  20. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39

แชร์หน้านี้

Loading...