ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ช่างชิต, 21 ตุลาคม 2013.

  1. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    นำภาพสวยๆของวันที่ 17 พค. 58 ที่ผ่านมา ณ ม.รามคำแหง มาฝากครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  2. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้จะมาเล่าเรื่องความก้าวหน้าของเหรียญและเรื่องปลกๆที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่าอ่านเรื่องนี้ต้องใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ เพราะเป็นเรื่องที่แปลกและชวนให้คิดตามในระดับหนึ่งเหมือนกัน ก่อนวันงานที่รามวันอาทิตย์นั้น วันเสาร์ช่างชิตกับคุณฌานกรได้เข้าไปคุยเรื่องการสร้างเหรียญหลวงตาที่กำลังทำบล็อกอยู่ที่โรงงานแถวบางบอน
    ...........เรื่องของเรื่องคือวันพฤหัสเกือบตีหนึ่ง(เป็นเวลาทำงานของเขามั้ง 5555) ทางลูกเจ้าของโรงงานคนที่คุยงานกับช่างชิตตั้งแต่ต้น ได้โทรมาหาช่างชิตโดยนำเสียงที่ดูแล้วแฝงความเคร่งเครียดบอกว่า ทางช่างของเขาแกะบล็อกออกมาไม่ดีเลยด้านพระพุทธ เขาให้แก้พ่อเขา(เจ้าของโรงงาน)ก็จะไม่ยอมแก้จึงเครียดโทรมาคุยกับช่างชิตว่าเอาไงดี ช่างชิตก็ให้เขาส่งรูปให้ดูครับ พอเห็นรูปเท่านั้นละ บอกตรงๆ "กูก็รับไม่ได้ 5555"
    ...........ช่างชิตยืนยันว่ายังไงก็ต้องแก้ครับ จะไม่รับงานแบบนี้แน่นอน เพราะตอนคุยกันรอบแรกคุยกับเราอย่างดิบดี เราเองเห็นผลงานของเขาที่ผ่านๆมาโอเคจึงให้เขาทำแล้วทำไมพอของเราเองกับแกะได้ไม่สวยเลยก็คุยกับเขาพอสมควร เขาก็บอกว่าทางช่างทางพ่อเขาอาจจะไม่ยอมแก้ไม่รู้จะทำไงแล้วเพราะทะเลาะกันบ้านแตกไปแล้ว
    ............. ช่างชิตจึงตกลงว่าไม่เป็นไร เดี้ยวขึ้นไปคุยเองวันเสาร์เป็นไงเป็นกัน ก่อนไปก็ปรึกษาพี่ชายที่เป็นทนายว่าจะมีทางฟ้องร้องอะไรเขาไหมเกิดเขาไม่ยอมรับผิดชอบงานของเขา ได้รับคำแนะนำมาระดับหนึ่งต้องขอบคุณพี่ชายมากๆด้วย ช่างชิตนัดเขาช่วงบ่ายของวันเสาร์
    ...........พอถึงวันเสาร์ช่างชิตกับคุณฌานกรก็รีบไปกันด้วยใจที่กังวล ในใจช่างชิตบอกตรงๆเครียดมากกลัวจะมีการโต้เถียงกันจนเป็นเรื่องเป็นราว พูดง่ายๆ "กลัวจบไม่สวยอะครับ" นั่งไปก็จับล็อกเก็ตผกาพรหม(รุ่นหัวเราะดัง)ของหลวงตาว่า
    .
    "ขอให้เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีทีเถอะ เพราะงานนี้เป็นงานที่ตั้งใจทำถวายครูบาอาจารย์มาก" จริงๆอธิฐานตั้งแต่เช้าแล้วครับ เครียด โหหหหห พูดแล้วเซ็ง 55555
    .
    ............ไปถึงที่นัดหมาย เราก็ไปรับน้องลูกโจ้าของโรงงานที่คุยงานกับเรารีบดิ่งตรงไปที่โรงงานพ่อเขาเลย ช่างชิตว่ายังไงต้อง "จบ" ในวันนี้ไม่ให้ยื้อแน่ๆ ไปถึงโรงงานแนะนำตัวกันเรียบร้อย ทางเราก็ขอดูเหรียญตัวอย่างเหรียญลองพิมพ์ ทางเขาก็เอาแม่พิมพ์ด้านหลังที่เป็นรูปหลวงตาไปปั้มไม่มีปัญหาอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็เอาเหรียญมาให้ช่างชิตพิจารณา ทางเขาก็เดินหาแม่พิมพ์ด้านหน้า(ด้านที่มีปัญหา)จะเอาไปปั้มต่อ
    .............ปรากฏว่า หายังไงก็หาไม่เห็น ทางโรงงานพยายามหาทุกที่ ทุกจุด โทรตามคนนั้นคนนี้ โทรตามช่างแกะคนนั้นคนนี้ ว่าเห็นบล็อกแม่พิมพ์ตัวนี้ไหม หาเกือบชั่วโมงครับทุกท่าน หายังไงก็หาไม่เจอ ช่างชิตนั่งรอไปมันก็นานพอสมควรแล้วต้องมีธุระไปต่อ นึกอะไรไม่รู้จึงพูดขึ้นมาว่า
    .
    "แกะออกมาไม่สวยไม่เรียบร้อยหรือเปล่าครับ ท่านเลยอยากให้แกะใหม่"
    .
    เฮียเจ้าของโลกงานได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ พร้อมบอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างไม่ต้องห่วง แล้วเขาก็หาต่อจนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้เพราะหายังไงก็หาไม่เจอ ช่างชิตถามว่าจะเอาไงต่อครับ ทางโรงงานเสนอเองเลยว่าจะแกะใหม่ขอเวลา 15 วัน .......ช่างชิตสตั้นไป 5 วิ(คือ งง ว่าทำไมมันง่ายๆดีกว่าที่กูคิดไว้เยอะเลยว่ะ เตรียมมารบมาโต้วาทีแท้ๆ)
    ...........ไม่รอช้าช่างชิตกับคุณฌานกรได้ทีก็เอาแบบมาแจงให้เขาฟังอีกรอบทั้งด้านหน้าด้านหลังให้เขาแกะแบบไหนยังไงจะได้ไม่มีข้ออ้างอะไรอีก คุยกันแบบละมุนละม่อม ไร้บรรยากาศโต้เถียงอะไรทั้งสิ้น
    .
    สรุป เขาจะแกะใหม่ให้เลยทั้งสองด้านในเวลา 15 วัน จบแบบไม่มีใครตาย...........555555
    .
    ..........ช่างชิตก็จากมาพร้อมรอยยิ้มครับ อย่างน้อยก็เป็นดังหวังโดยไม่ขุ่นเคืองใจกัน ก็หวังว่าอีก 15 วันงานจะออกมาดีไม่มีการแก้ไขอะไรอีกหรือจะต้องมีอะไรยังไงก็ให้ถึงวันนั้นก็ว่ากันอีกที ช่างชิตสัญญาจะทำให้ดีที่สุดครับ
    ...........เรื่องบล็อกแม่พิมพ์หาย(ด้านที่มีปัญหา)จะหายเพราะความประมาทสะเพร่าหรืออะไรก็ตาม แต่ช่างชิตก็คิดว่ามันก็แปลกดีนะ แถมเป็นผลดีกับทางเราที่จะไปเจรจาให้เขาแกะใหม่อยู่แล้วด้วย จากที่เตรียมตัวไปรบกัลบไม่ต้องทะเลาะอะไรกันเลย จบอย่างกับหนังรักของ GTH
    .........ส่วนอีกมุมในใจก็หวังว่าถ้าเทวดาหรืออะไรก็ตามแต่ที่รับทราบการสร้างวัตถมงคลรุ่นนี้ จะพลางตาเอาไว้หรือเอาบล็อกไปซ่อน ก็จงช่วยไปดลใจให้เขาแก้บล็อกครั้งนี้ออกมาให้สวยงดงามตามกำหนดเวลาด้วยนะท่านนะ..........
    .
    .เขียนไปก็เอามาจับล็อกเก็ตผกาพรหมไป พร้อมนึกอยู่ว่า
    "เออดีนะ สมดังกับที่อธิฐานในใจไว้แท้ๆ" บ่ายสามละไปตรวจงานดีกว่า
    ก็เอามาเล่าสู่กันฟังแค่นี้ก่อนนะครับทุกๆท่าน.....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2128.JPG
      IMG_2128.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      120
    • IMG_2127.JPG
      IMG_2127.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      95
    • IMG_2129.JPG
      IMG_2129.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      173
  3. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......สวัสดีครับทุกท่าน ในวันอาทิตย์อากาศมืดๆบอลไทยชนะแบบนี้ขอให้มีความสุขกับนัดแรกของบอลโลกรอบคัดเลือกทุกๆท่านนะครับ ช่างชิตเองก็ว่างมากช่วงนี้ไม่มีอะไรทำก็หาเรื่องบ้าๆบอๆมาให้ตัวเองทุกข์ใจ เฮ้ออออออ แต่ก็นะ ยังอยู่บนโลกยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็ต้องทนสู้กับกิเลสต่อไป จนกว่าจิตจะหลุดพ้นไปแล้วนั้นละถึงจะหมดทุกข์หมดโศกของจริงๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติแต่ชาตินี้ดูท่าจะยาก 55555
    .......เข้าเรื่องกันดีกว่า จากเมื่อวันพุธช่างชิตกับน้องชายที่น่ารักในกลุ่มเราท่านหนึ่ง ได้พากันออกตระเวนไปกราบครูบาอาจารย์ในเขตจันทบุรี
    เช้าไปกราบนวดถวายหลวงปู่สนั่น วัดป่าคลองกุ้งศิษย์ท่านพ่อลี
    สายไปกราบนวดถวายพร้อมถวายปัจจัยรักษาพยาบาลหลวงปู่แสวง สามเณรที่ทันหลวงปู่มั่น ที่วัดโป่งจันทร์
    บ่ายไปฟังธรรม หลวงพ่อบุญส่ง วัดเขาน้ำตก ศิษย์หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่สิม
    ........ทำให้นึกถึงช่วงเวลาช่างชิตนวดถวายหลวงตา หลวงตามักเล่าว่าสมัยก่อนไปเจอไปกราบครูบาอาจารย์รูปนั้นรูปเป็นยังไงบ้าง ณ ที่นี้รูปแรกที่ช่างชิตนึกได้ก็คือ
    """หลวงปู่บัว สิริปุณโณ""" จับใจความได้ว่า
    "ตอนหลวงตาเป็นผ้าขาวอยู่ ไปวัดปาหนองแซง ได้มีโอกาสอุปฐากสงน้ำท่าน จังหวะนั้นเองท่านก็หันไปหาผ้าขาวอีกคนชื่อ(.....ขออภัยจำชื่อไม่ได้...)แล้วถามผ้าขาวคนนั้นว่า "ผ้าขาวเป็นจั่งสัยภาวนา หำยั้งแข็งอยู่บ่" "
    (หลวงตาเล่าไปก็หัวเราะไป 5555)
    "ท่านเป็นคนเสียงดุมากนะ ผ้าขาว(...จำชื่อไม่ได้...)ก็ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าตอบ" หลวงตาก็บอกว่าในใจตอนนั้นกลัวหลวงปู่บัวหันมาถามท่านมาก หลวงตาบอกว่า
    "ถ้าหลวงปู่หันมาถามจริงๆ ก็จะบอกว่า "แข็งอยู่ปู่ยามมันปวดเยี่ยว"(อ่านแล้วนึกสำเนียงภาษาอิสานนะครับได้อารมณ์เลยเชียว) ดีท่านไม่ได้หันมาถาม" (ท่านเล่าไปก็ฮากันไป 55555)
    หลวงปู่องค์ที่ 2 ที่ช่างชิตนึกได้ก็คือ
    """"""หลวงปู่เจี๊ยะ จนุโท"""""
    หลวงตาเมตตาเล่าให้ฟังว่า สมัยบวชเป็นเณรไปกราบท่านที่วัดอโศกการาม หลวงปู่เจี๊ยะพอเห็น เณรมากราบท่านก็ถามทันที
    "มาจากไหนเณร เป็นไงบ้าง ภาวนาเป็นไง พากันภาวนาบ้างไหมเณร" แล้วท่านก็เทศน์สอนไปเรื่อยๆ หลวงตาเล่าว่าหลวงปู่เจี๊ยะนิเสียงท่านจะดังขึ้นเรื่อยๆตามอรรกตามธรรมที่ท่านเทศน์ (หลวงตาพูดพร้อมกับทำท่าทางและเสียงจากค่อยๆไปดัง)
    และอีกองค์ที่หลวงตาเมตตาเล่าให้ฟังคือ
    """"""หลวงปู่แสง ญาณวโร""""""
    หลวงตาบอกว่า หลวงปู่แสงสมัยก่อนท่านอยู่กับหลวงปู่บัวที่วัดป่าหนองแซง ตอนหลวงตาเป็นผ้าขาวเคยไปตักน้ำช่วยท่าน
    "หลวงปู่แสงท่านเป็นคนโครงร่างใหญ่ สมัยนั้นท่านเป็นคนชักถังน้ำขึ้นจากบ่อเองแล้วพวกหลวงตาก็ไปรับต่อจากท่าน เห็นท่านคุ้นท่านจนบวชเณร"
    ช่างชิตจึงเรียนถามหลวงตาว่า
    "แล้วทุกวันนี้หลวงปู่แสงยังจำหลวงตาได้ไหมครับ"
    "จำได้สิ ทุกครั้งที่เจอท่าน เข้าไปกราบท่าน ท่านก็จะทัก "เณรน้อยตั๋วนิ" ไปเยี่ยมท่านที่วัดป่าดงสว่างธรรม ท่านก็จำได้ดี อีกองค์ที่จำกันได้ดีก็ หลวงปู่สรวง ยโสธร เจอกันท่านก็เรียก "เณรน้อยๆ" "
    ............ครับ ได้ฟังแล้วกลับมานึกที่ไรก็รู้สึกอบอุ่นยังไงไม่รู้ มานึกถึงหลวงตาเรา 65 ปี 45 พรรษา ถือเป็นพระผู้ใหญ่ แต่เวลาไปเจอครูบาอาจารย์พระผู้ใหญ่กว่าท่านก็น้อมนอบสมกับเป็น "เณรน้อย" ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เรียกท่านจริงๆ
    ............"ความอ่อนน้อมถ่อมตน" นี้ละครับคุณสมบัติเอกของหลวงตาเราที่ทำให้ท่านนั่งในใจทุกคนที่เคยได้เข้าไปกราบท่านและทำให้ลูกศิษย์ลูกหารักท่านศรัทธาท่านในแบบที่ท่านเป็น........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ...........สวัสดีเที่ยงวันพุธที่เย็นสบาย ณ จันทบุรีครับ อากาศแบบนี้เหมาะแก่การอู้งานจริงๆ(ปรกติก็ไม่ค่อยจะทำอยู่ละ 5555)
    .........วันนี้มีเรื่องมาแจ้งกันสองเรื่องนะครับ เรื่องแรกก็คือ แบบเหรียญที่พวกเราร่วมสร้าง ที่ช่างแกะใหม่เขานัดช่างชิตไว้วันเสาร์ที่ 30 ที่จะถึงนี้ว่าแล้วเสร็จ ส่วนจะเสร็จจริงไม่เสร็จจริง งามไม่งาม ต้องแก้ไม่แก้อะไร ยังไงเดี้ยวว่ากัน วันนี้แจ้งกำหนดการให้ทราบกันก่อนครับ
    .........อีกเรื่องถือว่ามาเล่าสู่กันฟัง คือ พี่ชายใจดีของช่างชิตที่อุปฐากหลวงตามายาวนานและเป็นผู้สร้างวัตถุมงคลของหลวงตาให้มาแจกญาติโยมที่มาทำบุญ พี่เขาสร้างมาหลายต่อหลายรุ่น ทั้งพระทั้งเครื่องรางและบรรดาวัตถุมงคลของหลวงตาที่พี่เขาสร้างและได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แหวน จะบอกว่าแหวนของหลวงตานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะของหลวงตาจริงๆ สวยงาม เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่า ประสบการณ์ก็มากมาย โดยเฉพาะเรื่อง เมตตา โชคลาภ มีมาเล่ากันบ่อยๆ ทำออกมาไม่เคยพอกับความต้องการ """""ที่สำคัญทำแจกนะครับไม่มีขาย""""
    .........เนื่องในโอกาสปีนี้หลวงตาอายุ 65 ปี พี่เขาจึงขอสร้างแหวนเป็นแบบหัวเสือเหมือนดังรุ่นแรกปีแรก(ตอนหลวงตาอายุ60) ที่ต้องเป็นแหวนหัวเสือนั้น เพราะหลวงตาท่านเกิดปีขาลปีเสือ แล้วรูปเสือก็แฝงถึงความมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงของผู้อื่น (เหมือนหลวงตาสมัยก่อนจะดุมาก พึ่งมาใจดีเมตตามากๆ 4 5 ปีหลังเห็นจะได้) จึงขอทำเป็นหัวเสือแบบปีแรกอีกครั้ง
    ............ฉะนั้น แหวนรุ่นนี้ปีนี้ ที่สร้างเป็นสัญลักษณ์สัตว์มหาอำนาจและได้พระอริยะเจ้าอย่างหลวงตาอธิฐานจิต เจตนาการสร้างไม่ต้องพูดถึง "สร้างแจกเป็นทานอย่างเดียว" ถ้าผู้ใส่มีศีลตั้งตัวเป็นคนดีเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แหวนรุ่นนี้จะจึงมีคุณทั้ง มหาอำนาจ เมตตา แคล้วคลาด โชคลาภ กับผู้สวมใส่ไม่มากก็น้อยเป็นแน่แท้

    *(ไม่มีอะไรดีแบบโอเว่อร์ครับ วัตถุมงคลมีผลด้านกำลังใจเป็นหลักไม่สามารถดลบันดาลได้ แต่เกื้อหนุนได้ถ้าบุญกรรมเรามีส่วนเกี่ยวพันกับท่านผู้อธิฐานบารมีท่านก็จะเสริมหรือช่วยในคราวคับขัน แต่สุดท้ายไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม)

    .........รายละเอียดการสร้างมี 2 แบบ แบบผู้ชายและผู้หญิง
    มีเนื้อ ทองคำ เงิน อัลปาก้า จำนวนการสร้างไม่มาก ไม่มีการจอง ไม่มีการขาย
    ทำแจกเหมือนเดิมอย่างเดียว ส่วนใครจะได้แบบไหนอะไรยังไง "อยู่ที่ศรัทธาและธรรมจักสรร" ครับ วันนี้ช่างชิตเลเอารูปแหวนต้นแบบมาให้ดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ........สวัสดีเช้าวันพระใหญ่ วิสาฆบูชา ครับทุกท่าน หายไปนานเพราะไม่รู้จะเขียนอะไร ที่ๆอยากเขียนก็ลืมไปซะอีก บางอย่างก็เขียนไม่ได้ เดี้ยวจะมีคนมาด่าเดือดร้อนกันไปหมด 5555 เอาเป็นว่าเจตนารมณ์ยังชัดเจนครับ มีอะไรก็จะมาเล่าสู่กันฟัง มีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจก็จะมาบอกกล่าวกันเหมือนเดิมละแม้ช่วงนี้จะดู เหงาๆไปหน่อยสำหรับบ้านหลังนี้ วันนี้เอารูปงานที่วัดป่าสันติกาวาสของพวกเรามาฝากนะครับ คนมาทำบุญตักบาตรก็ยังเยอะเหมือนเดิม เย็นๆมีเวียนเทียนจะนำภาพมาให้ชมกันอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....เมื่อคืนเวลา 21.00 น ช่างชิตคุณฌานกรและพี่ชายใจดีมาส่งหลวงตาพร้อมคณะที่ได้รับนิมนต์จาก หลวงปู่เพชร เจ้าอาวาสวัดที่นู้น ให้ไปฉลองเจดีย์พุทธคยาจำลองที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการครั้งนี้มีหลวงปู่บุญกู้ วัดพระศรีมหาธาตุบางเขนเดินทางเป็นประธานคณะด้วย หลวงตาไปครั้งนี้เป็นเวลา 1 เดือนครับ คงคิดถึงหลวงตาน่าดู
    *ที่นั่งรถเข็น องค์ใส่หมวก คือ หลวงปู่เพชร อีกองค์คือ หลวงปู่บุญกู้ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2413.JPG
      IMG_2413.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      131
    • IMG_2429.JPG
      IMG_2429.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      79
    • IMG_2433.JPG
      IMG_2433.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      115
    • IMG_2444.JPG
      IMG_2444.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      73
    • IMG_2420.JPG
      IMG_2420.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      68
  7. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ......สวัสดีครับทุกท่าน คืนนี้ช่างชิตเอาภาพหลวงตาที่เดินทางไปกิจนิมนต์ที่ประเทศสหัฐอเมริกามาให้ชมกันครับ ไม่เกินสองสามวันนี้จะมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ขอเวลาบิ้วอารมณ์เขียนหน่อย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ..........สวัสดีเช้าวันจันทร์ครับ วันนี้ช่างชิตขอเล่าถึงวัตถุมงคลที่ไม่ใช่ของหลวงตาแต่เกี่ยวเนื่องกับหลวงตามาเล่าสู่กันฟังครับ กับอีกหนึ่ง "วัตถุมงคลเหรียญที่จะเป็นตำนานแน่นอนในอนาคต" นั้นคือ เหรียญหลวงตามหาบัวรุ่นเจดีย์มหามงคล บทความที่จะเอามาให้อ่านกันนี้ ช่างชิตค้นคว้าข้อมูลจากในเนตและคำบอกเล่าของหลวงตาพร้อมข้อมูล"ลับเฉพาะ" ที่มีคนรู้จักนำมาถ่ายทอดให้ช่างชิตฟัง เอามารวมเรียบเรียงใหม่ตามความเข้าใจของช่างชิต ไม่ได้เขียนเองทั้งหมดนะครับ บอกก่อน..ยังไงก็ขอขอบคุณข้อมูลที่ท่านทั้งหลายได้เขียนในเนตด้วยครับ....
    .........แต่คิดว่าพอบทความนี้ออกไป คนมีเหรียญก็จะรักและห่วงแหนเหรียญมากขึ้น คนที่ไม่มีก็ให้รีบหาไว้ซะนะครับ ก่อนจะไปไกลเกินเอื้อม ส่วนถามว่าช่างชิตมีไหม ขอไม่ตอบได้แต่บอกว่า "ผมพาน้องมาซื้อลูกชิ้นครับ" 55555
    ...........
    ..........."หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" ท่านเป็นพระอรหันต์องค์สำคัญของชาวโลกและหมู่เทวดาทั้งปวง มากล้นด้วยบารมีไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ท่านเน้นการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน หลังจากท่านนิพพาน เกศา เล็บ กระดูก เลือด ชานหมาก ทุกส่วนในร่างกายท่านกลายเป็นพระธาตุอย่างน่าอัศจรรย์ ของใช้ต่างๆก็มีพระธรรมธาตุเสด็จมาปรากฏทุกชิ้นอย่างน่าปาฎิหาริย์ ท่านไม่สร้างวัตถุมงคลใดๆทั้งสิ้น ร้อยละ 99% ที่มีให้เช่าบูชาในตลาดพระเครื่องนั้นท่านไม่เคยสร้างหรืออธิษฐานจิตให้เลย
    ...........เหรียญ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน รุ่นนึ้สร้างโดยเสี่ยสมหมาย ศิษย์ใกล้ชิดองค์หลวงตา ที่เป็นเจ้าของโรงสีบัวสมหมาย ร้อยเอ็ด เป็นผู้สร้าง เพื่อเป็นที่ระลึกในการฉลองเจดีย์มหามงคลบัว จ.ร้อยเอ็ด(เจดีย์นึ้บรรจุทันตธาตุของหลวงตา) ซึ่งองค์หลวงตาเมตตาอนุญาตให้จัดสร้างและให้หลวงพ่อทุย วัดป่าดานวิเวก เป็นผู้พิจารณาและควบคุมดูแลในการจัดสร้าง คิดดูว่าเหรียญรุ่นนี้จะสำคัญไม่สำคัญขนาดไหน พอ่แม่ครูบาอาจารย์ระดับหัวกะทิออกปากเอง เช่น
    .
    ........หลวงปู่อุทัย สิริธโร ได้กำชับลูกศิษย์ที่ได้เหรียญรุ่นนี้จากท่านว่า
    "นี้เหรียญหลวงตาบ้านตาด เก็บไว้ดีๆนะ ของค้ำของคูณ(ค้ำชูอุดหนุน) ขออนุญาตหลวงตา หลวงตาอนุญาต แล้วก็เสกให้ด้วย"
    .
    ..........หลวงตาเราก็ ได้รับเหรียญจากหลวงปู่ทุย หลวงตาได้บอกกับช่างชิตเต็ม2หูถึง2ครั้งว่า "เหรียญรุ่นนึ้หลวงปู่บ้านตาดได้เมตตาอธิษฐานจิตถึง 3 วาระนะ" (ที่ช่างชิตได้คุยกับหลวงตาว่า 3 ครั้งมีที่ไหนบ้างนั้น หลวงตาบอกว่า ที่บ้านเสี่ยสมหมาย1ครั้ง(ชัวย์ๆ)และที่ตอนบรรจุเจดีย์อีก1ครั้ง ส่วนอีกครั้งช่างชิตจำไม่ได้ต้องขออภัย)
    .
    หรือหลวงปู่ลี ผาแดงที่ สั่งให้ตามทหารมารับพระรุ่นนี้จากท่าน ดังนั้นพระรุ่นนี้ที่อยู่กับท่านจึงตกอยู่กับทหารเป็นส่วนมาก
    .
    หลวงปู่ฟักท่านก็เลือกแจก เอาเป็นว่าจะขอพระหินหยกจากท่านง่ายกว่าเหรียญรุ่นนี้เยอะครับ
    .
    ..........เหรียญรุ่นนี้ที่เป็นความลับมากๆแบบ Top secret... เพราะการที่หลวงตามหาบัวจะอธิษฐานอะไรนั้น ยากมากกกกกกกกที่จะมีพยานตอนอธิษฐานเป็นสิบๆคน ยกเว้นพิธี60ปีธรรมศาสตร์ พระกริ่งกองบิน พิธีวัดเจดีย์หลวง ฯลฯ แต่นั้นก็ไม่มีรูปเหมือนของท่าน ถ้าเป็นรูปท่านเป็นการภายในทั้งสิ้น แม้แต่พระในวัดเองบางองค์ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามีเหรียญรุ่นนี้(ตอนแจกใหม่ๆ1-2เดือนแรก)
    .............เหรียญรุ่นนี้พอหลวงตามหาบัวท่านเมตตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เสี่ยสมหมายจะมีการมอบแจกจ่ายไปตามวัดสาขาของหลวงตามหาบัวท่าน
    .
    หลวงตามหาบัวท่านได้บอกหลวงปู่ทุยว่า
    “ผมตั้งใจอธิษฐานให้ หากใครเอาไปเคารพกราบไหว้บูชาก็จะมีสิริมงคลเกิดขึ้น หากใครเอาไปซื้อไปขายจะหาความเป็นมงคลไม่ได้เลย เรื่ิองการแจกให้ท่าน(ทุย)เป็นผู้พิจารณานะ”
    .
    การจัดสร้างครั้งนึ้มี 2 แบบ คือ เหรียญพระประธาน หลังเจดีย์ เนื้อทองแดง และเหรียญรูปหลวงตาหันข้าง หลังเจดีย์ เนื้ออัลปาก้า ซึ่งเหรียญทั้ง 2แบบนึ้ หลวงปู่ทุย วัดป่าดานวิเวก(บางส่วนเสี่ยสมหมายเป็นผู้ถวายพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตามวัดต่างๆ) จะเป็นผู้พิจารณาแจกให้กับวัดป่าสายกรรมฐาน ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เช่น
    หลวงพ่ออุทัย สิริธโร
    หลวงพ่อคูณ สุเมโธ
    หลวงพ่อสุธรรม วัดหนองไผ่
    หลวงพ่ออินทร์ถวาย วัดป่านาคำน้อย
    หลวงปู่ลี วัดผาแดง
    หลวงพ่อวันชัย วัดภูสังโฆ
    และหลวงตาเรา
    เป็นต้น
    ..........เหรียญที่หลวงตามหาบัว อธิฐานจิต นั้นหาได้ยาก เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่มีปฏิปทาทางด้านนึ้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างเหรียญที่ได้รับอนุญาตขึ้นมาและอธิษฐานจิตอย่างเป็นทางการ ถ้าองค์หลวงตาเมตตาอธิฐานจิตแล้ว ของมงคลนั้นจะมีพุทธคุณสูงมาก เพราะองค์หลวงตานั้นท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมและจิตตานุภาพสูงมาก ท่านใดที่ทราบประวัติ คงจะดีใจมาก ที่มีบุญวาสนาได้เหรียญที่หลวงตามหาบัวอธิษฐานจิต แต่ถ้าท่านใดยังไม่ได้ขอให้ทุกท่านที่ศรัทธาโชคดีได้รับเหรียญนี้ทุกคน
    .
    ........ที่สำคัญ!! เมื่อช่วงปี 2550 มีโยมท่านหนึ่งได้เข้าไปรับเหรียญรุ่นนี้จากหลวงตามหาบัวท่านเองกับมือ(แล้วเขาเขียนลงเนตไว้เป็นข้อมูล) โดยมีรุ่นพี่ที่เขารู้จักใกล้ชิดรับใช้ปรนนิบัติท่านขออนุญาตพาเข้าไปพบ
    .
    ตอนหลวงตาส่งเหรียญให้ท่านได้กล่าวว่า "เอ้า!! มีของให้!! เก็บไว้ให้ดีๆนะ ต่อไปจะหายาก หากันไม่ได้แล้ว บรรจุเจดีย์เป็นพุทธบูชาหมด นี่แหล่ะของๆตาบัวจริงๆ หลวงตาอธิษฐานให้อย่างดีเลย คนสร้างเค้ามีเจตนาดีนัก หลวงตาเองไม่นิยมให้สร้างวัตถุมงคลเลยนะ แก่นแท้คือการหมั่นเพียรปฏิบัติธรรม จำกันไว้ดีๆนะ" นี่คือคำพูดของหลวงตามหาบัวที่โยมคนนั้นจดจำก้องติดหูมาตลอด
    .
    พร้อมกันนั้นเขาได้กล่าวว่า
    ”ตอนคลานเข้าไปรับจากมือท่านผมขนลุกไปทั้งตัว รับรู้ได้ทันทีว่าพลังจิตของท่านแรงมากสุดๆ”
    .
    .........เมื่อช่วงต้นปีมานี้น้องคนหนึ่งที่ช่างชิตรู้จัก ได้มีโอกาสพบองค์หลวงปู่ทุย แห่งวัดป่าดานวิเวก และน้องได้กราบสนทนากับท่านเรื่องเหรียญ มหามงคลบัว ว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร ยังไง เนื่องด้วยองค์ท่านเป็นผู้พิจารณาแจกเหรียญนึ้ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า
    .
    "เหรียญนึ้เกิดจากคุณสมหมาย ที่สร้างเจดีย์มหามงคลบัว ไปขออนุญาตหลวงตาเพื่อสร้างเหรียญที่ระลึกบรรจุในเจดีย์ องค์หลวงตาท่านเมตตาอนุญาต นับเป็นรุ่นแรกที่หลวงตาอนุญาตให้จัดสร้างจริงๆ คือจริงๆแล้วถึงแม้หลวงตาจะไม่อธิษฐานจิตอะไรน่ะน่ะ มันก็เป็นมหามงคลสูงสุดแล้ว เพราะจิตบริสุทธิ์น่ะมันครอบโลกธาตุ เมตตาสงสารอันไม่มีประมาณ จะอยู่ตรงไหน ก็เป็นมงคล เป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่จะเอาทางโลกๆอย่างที่เธอถาม อธิษฐานจิตอะไรนั้น มีอยู่วันหลวงตาท่านก็สั่งให้คนขับรถมุ่งไปที่บ้านของคุณสมหมาย เมื่อถึงแล้ว ท่านก็เข้าไปในห้องที่มีเหรียญอยู่ แล้วท่านก็สั่งไล่ให้คนออกไปจากห้องให้หมด ท่านก็เมตตาทำให้ เรื่องนึ้แม้แต่พระในวัดบ้านตาด ก็ไม่มีใครรู้ เมื่อหลวงตาเมตตาแล้ว คุณสมหมายก็นำมามอบให้หลวงพ่อทั้งหมด เพื่อพิจารณาแจกแก่ที่สมควร หลวงพ่อก็แจกกระจายนับตั้่งแต่ศิษย์รุ่นแรกหลวงตาจนถึงรุ่นหลาน"
    .
    พร้อมกับได้กล่าวถึงหลวงตาของเราไว้ว่า
    "ท่านสมหมาย ก็เป็นหนึ่งที่หลวงพ่อพิจารณาเมตตาให้ ใครได้จากท่านสมหมายเป็นของแท้ ของจริง เป็นมหามงคลสูงสุดโดยถ่ายเดียว เหรียญนึ้ใครได้บูชาให้เก็บรักษาให้ดี เป็นสมบัติล้ำค่า ใครเอาไปขายมันจะฉิบหาย"
    ปล.องค์หลวงปู่ทุยฝากมาบอกลูกหลานหลวงตาสมหมายทุกคนว่า
    "คนไม่มีบุญ คือคนเกียจ คนมีบุญคือคนขยัน ให้สวด อิติปิโสเท่าอายุทุกวัน จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ฝากมาบอกลูกหลานทุกคน"
    .
    ..........ได้อ่านได้ฟังแบบนี้แล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายละครับว่าจะอะไรยังไง จะเฉยๆหรือแสวงหาหรือจะรอท่านมาโปรดถึงที่ก็สุดแล้วแต่
    ที่เขียนไปนั้นกับช่างชิตไม่มีขายไม่มีแจก มาแค่บอกกล่าวเรื่องราวในฐานะมิตรสหายของท่านทางโลกโซเชี่ยลเท่านั้นเอง
    ...............

    #ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.6 KB
      เปิดดู:
      404
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      123 KB
      เปิดดู:
      294
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2015
  9. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......เมื่อวานช่างชิตและน้องที่รู้จักเข้าไปกราบหลวงปู่สนั่นครูบาอาจารย์อีกรูปที่ช่างชิตนับถือ(ท่านเป็นศิษย์ท่านพ่อลี ชุดบุกเบิกสร้างวัดอโศกการาม ปีนี้อายุ 93 ปี 72 พรรษา หลวงปู่พิศดูรับรองว่า "ท่านถึงที่สุดแล้ว" ครูบากฤษดาบอก "หลวงปู่สนั่น คมในฝัก" เหรียญรุ่นแรกของครูบาก็ต้องให้หลวงปู่จารแผ่นชนวนให้)
    ........จริงๆปรกติกับหลวงปู่สนั่น ช่างชิตก็เข้าไปประจำอยู่แล้ว หยิบจับอะไรช่วยท่านได้ก็ทำเพราะไซร์งานใกล้วัด แต่เมื่อวานไม่เหมือนทุกวัน เพราะดันนึกแผลงๆ คิดในใจว่า "จะเอาวัตถุมงคลของหลวงตาให้หลวงปู่จับดู หลวงปู่จะว่ายังไงนะ??" เพราะไม่เคยทำเลยตั้งแต่มาหาหลวงปู่
    .........ไอ้แค่คิดไม่เท่าไรสิครับ พอสบโอกาสนวดท่านอยู่ ช่างชิตก็ถอดแหวนให้หลวงปู่พร้อมกล่าวกับท่านว่า
    "หลวงปู่ช่วยพิจารณาหน่อยได้ไหมครับ ว่าเป็นไงบ้าง??"
    พูดพร้อมกับยืนให้ท่าน ในใจก็นึกกลัวไปด้วย "กูจะโดนด่าไหมว่ะ หาเรื่องอีกแล้ว" พอหลวงปู่จับขึ้นมาพิจารณากำไว้ในมือแล้วหลับตา ซักพักท่านก็ถาม
    "แหวนของใคร"
    "ของหลวงตาที่ผมไปบวชด้วยครับ"
    แล้วหลวงปู่ก็กำซักพักแล้วเอาไปจออยู่หน้าท่าน ก่อนส่งคืนให้
    "ดีๆ ของดี"
    .......เท่านี้...ช่างชิตก็ยิ้มแก้มถึงหูแล้วครับ แต่......แต่มันยังไม่จบเท่านี้นะสิ พอดีมีเรื่องด่วนมีเหตุที่หลวงปู่จะไปดูฐานพระที่บางสระเก้า ช่างชิตและน้องที่ไปด้วยจึงอาสาจะพาท่านไป พอขึ้นรถนั่งไปด้วยกันกับท่าน ระหว่างเดินทางช่างชิตและน้องก็ฟังที่หลวงปู่สอนธรรมะและข้อคิดต่างๆไปเรื่อยๆ แต่ในใจช่างชิตกลับไม่จบ...เรื่องแหวน..มันเหมือนยังติดใจอยู่นิดๆ ความที่เป็นคนขี้สงสัยมาก(มันก็มากไปนะบางครั้ง.....) เวลานั่งไปก็นึกในใจตลอด
    "หลวงปู่ว่าดี แล้วดียังไง??"
    .......จังหวะนัั้นพอท่านพูดจบ(กำลังพูดถึงเรื่องพระเกจิอาจารย์ต่างๆในภาคตะวันออกว่าหลวงปู่รู้จักองค์ไหนบ้าง) ก็เลยหน้าด้านกลั้นใจขอถามอีกครั้งพอละ ขอให้กระจ่างใจทีเถอะ ช่างชิตจึงถามท่านว่า
    "หลวงปู่ครับ ตอนที่พิจารณแหวนที่หลวงปู่ว่า ดี หลวงปู่รู้สึกยังไงครับ เย็นๆ อุ่นๆ หรือ ร้อน"
    "อืม ร้อน ธาตุไฟ"
    .....สั้นๆ...กระจ่างชัดเหมือนช่องHD ทีวีดิจตอล..และคงพอสาแก่ใจ ไอ้คนขี้สงสัยแบบช่างชิตแล้วละครับ ที่สำคัญตอนที่หลวงปู่กล่าวด้วยทั้งสองครั้งทั้งที่อยู่วัดและบนรถมีพยาน คือ น้องที่ไปกราบหลวงปู่ด้วยกัน ชัดเจนแจ่มแจ้ง..ไม่มีมโน..(เดี้ยวจะหาว่ามาเขียนเชียร์ของอีก เชียร์ไปก็เท่านั้น ช่างชิตไม่มีอะไรมาขายให้หรอก แต่เอามาเล่าสู่กันฟังตามแบบฉบับช่างชิตนั้นละจุดประสงค์)
    ........จริงๆพระระดับนี้ออกปากว่าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ "ดี" ก็ถือว่าของสิ่งนั้นเป็นมงคลแล้วละครับ การกระทำแบบช่างชิตไม่แนะนำนะครับ 5555
    แต่ช่างชิตก็พึ่งเคยทำครั้งนี้ครั้งแรกละ อาคัยจังหวะเป็นการส่วนตัวถ้าคนเยอะๆก็คงไม่ถามอะไรแบบนั้น
    ....ครับ.....จากเรื่องนี้และอีกหลายๆเรื่องที่เคยเขียนลงไว้แล้ว เกี่ยวกับ วัตถุมงคลของหลวงตา ใครขี้สงสัยแบบช่างชิต (หรือจะมีช่างชิตคนเดียวที่สงสัยไม่รู้จบ 555) "ก็คงหายสงสัยกันแล้วนะครับ" ..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .........สวัสดีครับทุกท่าน นึกครึ้มใจกับกระแสของคนบางกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์อะไรแบบด้านเดียวเกินไปเลย เขียนบทความบทหนึ่งขึ้นมา เลยเอามาถ่ายทอดให้อ่านกันดูครับ
    ..........หลวงปู่หลวงตาครูบาอาจารย์ ท่านบวชมาไม่ต่ำกว่า 40 - 70 พรรษา
    ใช้ชีวิตเยี่ยงนักรบต่อสู่กับกิเลสในป่าในเขาอย่างลำบากยากเข็ญ
    ต้องเอาชีวิตเขาแลกสู้สารพัดปัญหากว่าจะได้ "ธรรม" ตามที่พระพุทธเจ้าสอน
    สะสมบารมีมาเป็นสิบๆปีจนมาเป็นครูบาอาจารย์ให้คนกราบคนไหว้
    .........ท่านเหล่านี้ไม่ได้บวชเช้าจามเย็นจาม บวชเอาเงินค่าเทศน์ บวชเอาเบนต์เอาวอลโล่ บวชหายศ ลาภสักการะ หรือ ตำแหน่งแห่งหนอะไร ท่านบวชเพื่อละ และเพยแผร่คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
    ........ส่วนลาภสักการะและกิจนิมนต์ที่เห็นๆหลั่งไหลเข้ามาหาท่านมากมายมหาศาล ทั้งๆที่ท่านก็อยู่ของท่านเองไม่ได้โฆษณาโปรโมทอะไร แต่คนก็วิ่งไปหาท่าน นั้นก็เพราะ "ทานบารมีที่ท่านทำสั่งสมมามันให้ผล" จะห้ามจะหยุดยังไงมันก็ไม่อยู่..เหตุคือการให้ ผลก็คือการได้รับ....
    .........การที่คนบางคนจะเอาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแบบนี้ ไปเทียบกับพระผีบ้าผีบอ พระดอกทอง พระมักมาก บวชบนจานบิน บวชตอกดาก บวชเอาชื่อเสียง ตามข่าวคราวที่ได้พบได้เจอในสื่อต่างๆ ก็ดูจะไร้เหตุผลและจิตสำนักอย่างคนไม่มีไม่สมองหรือพวกโลกแคบชอบทำกัน
    ..........แม้ดูผิวเผินมองแบบหยาบๆจะเห็นว่าล้วนมี "ลาภสักการะเหมือนกัน"
    แต่ฝั่งหนึ่ง ละ แล้ว กับอีกฝั่งที่ ยังโกบโกย กูจะเอาๆ ครั้นจะเอามาเทียบจะเอามาเปียบได้ไง ......"ที่มาที่ไปนั้นต่างกันอย่างสุดขั้วเอามาวัดกันมิได้"
    ........พระ ก็คน พระจะดีก็คือ คนดี มาบวช พระเหี้ย ก็คือ คนเหี้ยมาบวช การแยกแยะได้แบบนี้คุณจะเข้าใจว่า ศาสนาไม่มีวันเสื่อมที่เสื่อมๆก็เพราะตัวบุคคล หยุดบ้าน้ำลายที่บอกว่า "เดี้ยวนี้สมัยนี้ไม่มีแล้วพระดีๆ" ก็ถ้ามึงเลิกพูดแล้วแสวงหาจริงๆมึงก็เจอ แต่ถ้ามึงยังบ้าน้ำลายในโลกแคบๆหน้าจอคอมหรือมือถืออยู่ มึงก็จะเจอแต่พระแบบที่มึงอยากจะเจอนั้นละ
    .........ช่างชิตไปกราบไปหาท่านเหล่านี้ ก็ล้วนไปกราบไปเคารพสักการะ
    "คุณธรรมภายใน" ที่ไม่น่าเชื่อว่าจากคนธรรมดาเดินดินคนหนึ่งไม่ได้วิเศษวิโสกว่าใครในโลกนี้ จะสามารถขัดเกลาจิตใจจน ลด ละ เลิก ในความอยาก ความหลง ความโลภ ตัณหา ราคะ ทั้งหมดทั้งมวลได้ การทำสิ่งแบบนี้ได้มันทำให้คน "ธรรมดาๆ" คนหนึ่งกลายเป็น "อริยะบุคคล" แตกต่างจากคนทั่วไปทันที
    ..........สำหรับช่างชิต พระที่ดี ไม่ต้อง เหาะเหินเดินอากาศ ดำน้ำ มุดดิน ทำอะไรแปลกๆเพื่อให้มันต่างจากมนุษย์ปรกติหรอก ถ้าจะถือแบบนั้น ช่างชิตไปกราบ นกพิราบ ไปกราบ ปลาเซลม่อน กราบ ตัวตุ๋น กราบ ไส้เดือน จะไม่ดีกว่าหรือ???
    แต่พระที่ดีคือพระที่เป็น "อริยะบุคคล" คือ บุคคลที่ปฏิบัติอย่างที่กล่าวไว้ข้างบนแบบนั้นควรค่าแก่การกราบไหว้และสักการะเป็นที่สุด..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2243.JPG
      IMG_2243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      164.2 KB
      เปิดดู:
      84
    • IMG_2487.JPG
      IMG_2487.JPG
      ขนาดไฟล์:
      463.7 KB
      เปิดดู:
      83
  11. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ........สวัสดีครับทุกท่าน คืนนี้เป็นอีกคืนที่มีความสุขของพี่น้องชาวไทย จะสุขเรื่องอะไรคงไม่ต้องบอกกันแล้วนะครับ พูดได้คำเดียวว่าสุดยอด เห็นนักกีฬาทีมชาติเราทำได้ขนาดนี้ ต้องบอกคำเดียวว่าอยู่ที่การ "ฝึกฝน ตั้งใจทำจริง" ครับ ถึงจะรู้จริงและเกิดผลจริง ไม่ใช่ดีแต่โม้ไปวันๆ แบบสมัยก่อน เลยนึกถึงที่ครั้งหนึ่งช่างชิตเคยกราบเรียนถามหลวงตา
    .
    ชช "หลวงตาครับ ไปอ่านเรื่อง อภิญญาต่างๆ วิชชา 3 วิชชา 6 อภิญญา 5 อภิญญา 6 แล้วก็ งง ดีเหมือนกันนะครับ แต่ก็อยากมีอภิญญาแบบนั้น 5555"
    .
    ลต "ตัวเองเรียนอยู่อนุบาลไปอ่านหลักสูตรคนเรียนดอกเตอร์มันจะไปเข้าใจอะไร รู้ก็รู้ๆจำไปพูดต่อได้เท่านั้นละ หลวงตาไปพม่า พระพม่าบางองค์อ่านพระไตรปิฏกมากๆ สามารถเอาไปพูดไปคุยต่อได้ ก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ มันจะไปเกิดผลอะไรอ่านมากรู้มากแต่ไม่เคย ปฏิบัติ มันก็ไม่เห็นจริงรู้จริงหรอก "
    .
    นักกีฬาทีมชาติเราที่ประสบความสำเร็จในซีเกมส์ครั้งนี้ก็แบบโอวาทหลวงตาละครับ
    "ไม่ดีแต่ภาคทฤษฏี แต่เพราะซ้อมหนักปฏิบัติจริง จึงเกิดผลสำเร็จจริงๆ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2156.JPG
      IMG_2156.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      57
  12. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    เชิญทุกๆท่านไปร่วมงานกันนะครับ เจอกันทักกันด้วยนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ........เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันครบรอบวันละสังขารของ
    พ่อแม่ครุบาอาจารย์หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงตาเรา

    ปีนี้ครบปีที่ 20 แล้วครับ ครั้งหนึ่งช่างชิตเคยถามหลวงตาว่า
    "นอกจากหลวงปู่แล้วหลวงตาเคยไปอยู่กับครูบาอาจารย์รูปอื่นไหม"
    หลวงตานิ่งไปซักพักก็ตอบช่างชิตว่า
    "หลวงปู่ไม่ให้หลวงตาไปไหน ให้อยู่กับท่าน ไปก็ไปกราบไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ไปอยู่แบบจำพรรษาด้วย"
    ช่างชิตก็ถามต่อว่า
    "ทำไม หลวงปู่ไม่ให้หลวงตาไปละครับ??"
    หลวงตาตอบว่า
    "หลวงปู่บอกหลวงตา "ถ้าไปก็ตัดขาดกัน" แบบนี้ออยให้หลวงตาไปไหมละ"
    กล่าวจบ หลวงตาก็ยิ้ม ช่างชิตก็ยิ้ม เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ 55555
    .......นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป "อย่าพลาดด้วยประการทั้งปวง" เพราะช่างชิตจะเอาประวัติหลวงปู่ที่ หลวงตาเราเขียนเองกับมือ ถ่ายทอดเป็นหนังสือชื่อ "กมโล ผู้งามดั่งดอกบัว" มาลงวันละตอนนะครับ(ตามความตั้งใจถ้าไม่ติดธุระ) เป็นการรำลึกถึงหลวงปู่และดูความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของหลวงตาท่าน.......... อย่าพลาดกันนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......ช่างชิตเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ภูมิใจเสนอ..........
    ชีวประวัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ของ หลวงตาสมหมาย อัตตมโน
    ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาจริงเอาจังในพระธรรมวินัยมีศีลและจริยวัตรงดงามดังดอกบัว อาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานอีกรูป สหธรรมมิกหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโน อริยเจ้าผู้ละสังขารแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุ
    ................หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล.................
    .
    .....เนื้อหาที่เอามาลงให้อ่านนี้ ไม่ได้มีการตัดต่อ ตัดทอนออกจากต้นฉบับเดิม ที่หลวงตาเขียนขึ้นมาแต่อย่างใด อย่างที่ได้บอกไปเมื่อวาน จะพยายามเอามาลงให้อ่านวันละตอน(ถ้าไม่ติดธุระ)
    ......ยังไงก็แล้วแต่ถ้าเกิดข้อผิดพลาดอะไรใน ณ ที่นี้ ช่างชิตขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว.............
    .
    .......กมโล ผู้งามดั่งดอกบัว(1) พระครูศาสนูปกรณ์(บุญจันทร์ กมโล)
    .
    คำนำของผู้เขียนประวัติ
    .
    ประวัติของหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ได้เริ่มเขียนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 โดยหลวงพ่อสุจินต์ จิตฺตปชฺโชโต ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของหลวงปู่องค์หนึ่ง โดยมองเห็นการณ์ไกลว่า ปฏิปทาการดำเนินของครูบาอาจารย์ควรจะเป็นแบบอย่างของกุลบุตรสุดท้ายภายหลังที่สนใจในธรรม จะได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติตาม ท่านจึงขอโอกาสต่อหลวงปู่ ขอให้เล่าเรื่องความเป็นมาในชีวิตให้ฟังในเวลามีโอกาสธาตุอำนวย แล้วก็เขียนบันทึกไว้ ยังไม่ได้เท่าไรหลวงพ่อสุจินต์ท่านก็มาด่วนจากไปในปี พ.ศ. 2508 ผู้เขียนจึงได้เก็บส่วนที่หลวงพ่อสุจินต์ท่านเขียนแล้วมารักษาไว้ และตั้งใจจะเขียนต่อจากหลวงพ่อสุจินต์ จึงจดบันทึกต่อตามที่หลวงปู่เล่าให้ฟังในโอกาสต่างๆ บางครั้งเวลานวดเส้นถวายท่าน ท่านเล่าให้ฟังแล้วก็จดบันทึกไว้ บางครั้งท่านก็เทศน์อบรมพระเณร แล้วก็จดบันทึกไว้ การจะเขียนให้เสร็จเป็นเล่มสมบูรณ์นั้น ได้แต่คิดอยู่ในใจว่าไม่มีโอกาสพอจะทำให้เสร็จได้
    .
    จนเวลาล่วงเลยมาก่อนที่หลวงปู่จะละสังขาร 2 ปี ผู้เขียนได้นิมิตฝันว่าหลวงปู่บอกว่า "จะทำอะไรที่ทำยังไม่เสร็จนั้น ให้รีบๆทำให้เสร็จเสียนะ" พอรู้สึกตัวขึ้นก็นึกถึงเรื่องเขียนประวัติหลวงปู่ยังไม่เสร็จ จิตหนึ่งก็ประหวัดไปว่า "หรือหลวงปู่จะจากไปในไม่ช้า ท่านจึงเตือนให้รีบๆทำ" จากนั้นจึงได้ตั้งใจเขียนเพื่อให้เสร็จ แต่ก็ยังขาดการต่อเนื่อง เวลาผ่านไปจนในที่สุดหลวงปู่อาพาธลง ยิ่งไม่มีโอกาสเวลาที่จะเขียนเลย ได้แต่นึกในใจว่าความจริงใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว ประวัติหลวงปู่ยังไม่เสร็จ สุดท้าย หลวงปู่ได้ละสังขารจากไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2538 เวลา 10.52 น. คณะศิษย์มีความประสงค์จะพิมพ์ประวัติหลวงปู่ให้ทันแจกในวันพระราชทานเพลิงศพของท่าน คือ วันที่ 8 กรกฎาคม 2538 ผู้เขียนไม่สามารถจะเขียนต่อให้จบได้ เพราะวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมงานศพของหลวงปู่ ดังนั้น แพทย์หญิงวัฒนา สุขีไพศาลเริญ จึงรับภาระนำเอาต้นฉบับที่ผู้เขียนได้เขียนไว้แล้ว และเขียนรวบรวมส่วนที่ยังขาดอยู่อย่างรวบรัด เพื่อส่งโรงพิมพ์ให้พิมพ์ทันแจกในวันงานจำนวน 5,000 เล่ม เพราะฉะนั้น ข้อความบางเรื่องบางตอนอาจผิดพลาดได้
    .
    หลังจากพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เสร็จสิ้นแล้ว ผู้เขียนจึงตั้งใจตะเกียกตะกายเขียนประวัติหลวงปู่อย่างละเอียดให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อน้อมถวายเป็นอาจารบูชา การเขียนนั้นได้อาศัยจากหลวงปู่เล่าให้ฟัง และได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง จากการที่ได้อยู่กับหลวงปู่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 จนถึงท่านละสังขารจากไป ตลอดถึงอาศัยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยอยู่กับหลวงปู่และญาติโยมที่เคยปฏิบัติหลวงปู่เล่าให้ฟังด้วย
    .
    การเขียนนั้นได้ใช้ความระมัดระวัง อาศัยความเพียรเป็นที่ตั้ง ถึงอย่างนั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ผู้เขียนขอน้อมรับเอาความผิดพลาดนั้นเพียงผู้เดียว ส่วนที่เป็นบุญกุศลคุณประโยชน์ทั้งหลายนั้น ขออธิษฐานจิตอุทิศให้แก่ผู้มีพระคุณและสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ และขอน้อมถวายเป็นอาจารบูชา ต่อหลวงปู่ผู้เป็นบิดาในทางธรรม ด้วยความเคารพรักและบูชาเทิดทูนไว้เหนือเกล้าตลอดกาล การเขียนประวัติหลวงปู่ในครั้งนี้กว่าจะสำเร็จได้ใช้เวลาเกือบ 2 ปี หากผิดพลาดประการใด ขอท่านผู้อ่านจงให้อภัยแก่ข้าผู้มีปัญญาน้อยด้วยเถิด
    .
    พระครูเมตตากิตติคุณ
    (พระอาจารย์สมหมาย อตฺตมโน)
    27 มีนาคม พ.ศ. 2540
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2015
  15. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(2)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    ชาติภูมิ
    .
    เนื่องในวันมีโอกาสธาตุอำนวย คณะสานุศิษย์ได้อาราธนาให้หลวงปู่ท่านเทศน์ในเรื่องชีวประวัติความเป็นมาของท่าน ผู้เป็นบุพพาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง และได้บันทึกตามคำเทศนาของท่านดังนี้
    .
    หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล เกิดเมื่อวันศุกร์ แรม 4 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง จุลศักราช 1278 ตรงกับวันที่ 15 เดือนกันยายน พุทธศักราช 2459 ที่บ้านคำพระ (กุดโอ) ตำบลคำไฮ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อคำภา นามสกุล กัมปันโน มารดาชื่อ มุม มีพี่น้องร่วมท้องบิดามารดาด้วยกัน 5 คนคือ
    .
    นางดา นินทกาล (ถึงแก่กรรม)
    นายอ่อนสี นินทกาล (ถึงแก่กรรม)
    นายคำสิงห์ นินทกาล (หลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต) (มรณภาพ)
    นายบุญจันทร์ กัมปันโน (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) (มรณภาพ)
    นายมูล ทัพพิลา
    .
    ชีวิตเมื่อยังเยาว์
    .
    หลวงปู่อายุได้ 7ขวบ พ่อพาไปเลี้ยงช้าง ไปเลี้ยงด้วยกันทั้งหมดมีช้าง 4 เชือก (4ตัว) คือ ตัวเมีย 2ตัว ตัวผู้ 2 ตัว ตัวเมียชื่ออีคำหมื่น อำคำแสน ตัวผู้ชื่อบักกุ บักบุญชู บักบุญชูนี้เป็นของตัวเอง ส่วนอีก 3 ตัวนั้นเป็นของคนอื่น อยู่มาวันหนึ่ง เวลาจะนำช้างกลับบ้าน พ่อให้ขี่คอช้าง พอมาถึงลำห้วยมีน้ำลึกก็ขี่ช้างข้ามน้ำ พอช้างลงถึงน้ำ มันพามุดดำน้ำ หลวงปู่กลัวจะจมน้ำตายจึงร้องเรียกพ่อ พอช้างได้ยินเรียกพ่อมันจึงพาโผล่ขึ้น พอขึ้นพ้นลำห้วย ช้างมันเป็นอะไรไม่ทราบ มันพาสะบัดเกือบจะตกจากคอช้าง แต่อาศัยพ่อเคยสอนไว้จึงใช้ขาหนีบเข้ากับสายสนิงรัดคอช้าง จึงไม่ตก ถ้าตกลงก็คงตายแต่คราวนั้น บุญยังมีกรรมดียังรักษาอยู่จึงผ่านพ้นมา พอพ่อเห็นอย่างนั้นจึงร้องตะโกนใส่ ช้างก็หยุดทำ พ่อจึงขึ้นนั่งบนคอช้าง ให้ลูกกอดเอวให้แน่นแล้วพ่อใช้ขอสับหัวช้างทั้งมีดแหลมแทงลงบนหัวช้าง ช้างเจ็บปวดจึงพาวิ่งพร้อมร้อง อู้กๆ ทั้งวิ่งทั้งร้อง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จึงถึงบ้าน พ่อจึงหยุด พอเห็นพ่อทำกับช้างอย่างนั้นก็เกิดความสงสาร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
    .
    เมื่ออายุได้ 8 ปีได้เข้าเรียนหนังสือ การเรียนก็อาศัยศาลาวัดบ้านคำพระ (ปัจจุบันชื่อวัดสว่างอารมณ์) เป็นที่เรียน พอถึงวันพระก็หยุดเรียน ขนเก้าอี้ลงจากศาลา ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไปจำศีลภาวนา ใช้ศาลาในวันพระ พอพ้นวันพระแล้วก็เข้าเรียนต่ออีกทำอยู่อย่างนั้น เรียนจบแค่ชั้น ข. ก็หยุดเรียน หนีไปอยู่กับพี่ชายที่อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด (พี่แล้วน้องของท่านนั้นร่วมมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดา) จากนั้นก็ไม่ได้เรียนต่ออีก การเรียนจึงจบแค่ชั้น ข. สมัยนั้นเท่านั้น อยู่กับพี่ชายระยะหนึ่งจึงกลับมาอยู่กับแม่ที่บ้านคำพระ อำเภอพนมไพรอย่างเดิม
    .
    ชีวิตนี้ไม่แน่นอนต้องจรไป
    .
    ต่อมาโยมพ่อได้หย่าจากโยมแม่ไป หลวงปู่จึงอยู่ในความดูแลของแม่และพี่ชายเท่านั้น ครั้นลุถึงปี พ.ศ. 2472 หลวงปู่อายุ 13 ปี มารดา มารดาจึงอพยพครอบครัวจากบ้านคำพระ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ไปอยู่บ้านบึงเป่ง ตำบลงูเหลือม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น การเดินทางสมัยนั้นใช้วัวเทียมเกวียน สำหรับบรรทุกสัมภาระที่จำเป็น เครื่องใช้ในครัวเรือน คนก็เดินตามเกวียน สำหรับเด็กก็ให้นั่งเกวียน ส่วนหลวงปู่ในครั้งนั้น เดินบ้าง นั่งเกวียนบ้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าดงพงไพร ต้นไม้ดอกไม้ผลและสัตว์ป่านานาชนิด เริ่มออกเดินทางจากบ้านคำพระ ผ่านเข้าอำเภอพนมไพร ผ่านตัวจังหวัดร้อยเอ็ด ทะลุถึงจังหวัดมหาสารคาม ผ่านข้ามท่าขอนยางจนทะลุถึงบ้านบึงเป่ง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ใช้เวลา 6 คืน การเดินทางสมัยนั้นลำบาก ทั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางแทบจะเอาตัวไปไม่รอดจากอันตรายต่างๆ
    .
    หลวงปู่เป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในการทำความดีมาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยชอบสงบ และพูดจริงทำจริง พูดน้อยแต่ทำมาก และมีนิสัยชอบภาวนา มีเมตตามาแต่เป็นเด็ก เมื่อคราวอยู่บ้านบึงเป่งนั้น ขณะนั้นอายุได้ 13 ปี วันหนึ่งพี่เขยให้ไปไถนา การไถนารู้สึกลำบากมากเพราะยังเล็กอยู่ เมื่อเวลาไถนาไป จิตเกิดความเมตตาสงสารควายที่กำลังลากไถอยู่เป็นอันมาก ในขณะนั้นจิตประหวัดไปถึงพระพุทธเจ้า ทันใดนั้นก็ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นที่ใจ เหมือนกับเป็นรูปโฉมของพระพุทธองค์จริงๆ จิตเกิดปีติเป็นกำลัง และมีจิตเลื่อมใสอยากจะบวชในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก และมีปีติอิ่มเอิบอยู่อย่างนั้น
    .
    อยู่มาวันหนึ่ง พี่เขยบอกให้ไปเอาปลาที่กำลังจะตายอยู่ที่มุมนามาทำอาหาร ปลาถูกแดดเผาน้ำแห้งลง วิ่งกระเสือกกระสนอยู่ ตัวที่ตายแล้วก็มี พอเห็นอย่างนั้นก็เกิดความสงสารเป็นกำลัง จึงหาใบไม้มาเย็บเป็นกระทงเอาน้ำใส่ แล้วเก็บเอาปลาที่ไม่ตายใส่ในกระทง ในขณะที่เก็บปลาอยู่นั้นรู้สึกร้อนมากเพราะแดดจัด แต่ก็ไม่ได้เอาผ้าคลุมศีรษะเพื่อกันแดด เพราะคิดว่าปลาก็ร้อนเหมือนกันกับเรา จึงทนเอา พอเก็บปลาที่ยังไม่ตายได้หมดแล้วจึงนำไปปล่อยลงในน้ำลึก ในขณะที่ปล่อยปลานั้นจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า "ด้วยอำนาจกุศลผลบุญที่ได้ช่วยปลาในครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บวชในพระพุทธศาสนาและให้ได้ดำรงอยู่จนตลอดชีวิต และให้มีผู้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้ในเวลาป่วยไข้ อย่าพึ่งให้ล่วงไปในกาลที่ยังไม่สมควร" เมื่อปล่อยปลาเสร็จแล้วจึงกลับไปเก็บเอาปลาที่ตายแล้วไปเถียงนา (กระท่อมนา) พอพี่เขยเห็นก็ถามว่า "เห็นปลามีเยอะแยะทำไมได้มานิดเดียว" หลวงปู่ตอบว่า "ก็มีแค่นี้แหละ" ในระยะนั้นเป็นฤดูเดือน 8 กำลังปักดำนา
    .
    ครั้นอยู่ต่อมาถึงเดือนพฤศจิกายน (เดือน 12) พ.ศ. 2472 จึงได้บวชเป็นสามเณรฝ่ายมหานิกายที่วัดบ้านท่าเดื่อ ตำบลตูม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระอาจารย์อุ้ย เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วก็พำนักอยู่ในสำนักวัดบ้านท่าเดื่อ โดยมีพระอาจารย์ทอกเป็นพระพี่เลี้ยง เมื่อบวชแล้วก็ได้ตั้งใจท่องบ่นสาธยายทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น และปฏิสังขาโย ซึ่งเป็นบทพิจารณาปัจจัยสี่ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
    ...............ภาพประกอบไม่ใช่เหตุการณ์จริง
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • elephant.jpg
      elephant.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.8 KB
      เปิดดู:
      96
    • country_2.jpg
      country_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.7 KB
      เปิดดู:
      73
    • country.jpg
      country.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.8 KB
      เปิดดู:
      80
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2015
  16. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(3)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    การปฏิบัติไม่เป็นไปตามหนทางแห่งอริยมรรค
    .
    หลวงปู่เล่าว่า พอได้บวชเป็นสามเณรแล้วก็ตั้งใจสำรวมระมัดระวังในสิกขาบท 10 ประการ ซึ่งเป็นศีลของสามเณรจะพึงศึกษาและงดเว้นจากข้อห้ามทั้ง 10 อย่างนั้น อยู่มาวันหนึ่งพวกโยมชาวบ้านนิมนต์ครูบาเข้าไปสวดมนต์ในบ้านหมด เหลือแต่สามเณรอยู่วัดด้วยกัน เพื่อนสามเณรด้วยกันเอาไข่ไก่มาต้มสุก แล้วมาเรียกหลวงปู่ไปกินข้าวกับไข่ต้มนั้นในเวลากลางคืน หลวงปู่ไม่ได้ไปกินด้วย กลัวว่าศีลจะขาดเพราะผิดศีลข้อวิกาลโภชนา เมื่อไม่กินด้วย หมู่สามเณรเหล่านั้นจึงอายัดคำขาดว่าไม่ให้บอกครูบา ถ้าขืนบอกครูบาจะต้องมีเรื่องกัน หลวงปู่ก็รับว่าจะไม่บอกครูบา คือถ้าครูบารู้ว่าเณรกินข้าวเย็น จะจับเณรมาแล้วเฆี่ยนด้วยไม้เรียวเพื่อให้ศีลจับใหม่ หมายความว่าอย่างนั้น
    .
    บางวันโยมมาข้อร้องเจ้าอาวาสให้เอาพระเณรไปช่วยเกี่ยวข้าวบ้าง ไปช่วยขุดดินทำฝายกั้นน้ำบ้าง เจ้าอาวาสก็พาไปทำ พอเวลาเลิกทำงานตอนเย็น โยมก็เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระเณรที่ไปช่วยทำงาน สำหรับตัวหลวงปู่เองเมื่อเวลาโยมเขาจะเลี้ยงข้าวเย็นก็ทำทีเป็นปวดถ่ายหนีเข้าป่าไป ไม่ยอมกินกับหมู่เพื่อนเพราะกลัวว่าศีลจะขาด พอหมู่กินเสร็จแล้วจึงออกมาแล้วก็กลับวัด
    .
    เมื่อเห็นการปฏิบัติของหมู่พระเณรเป็นไปในทางที่ไม่ถูกตามธรรมวินัยจึงเกิดความวิตก เห็นว่าการกระทำที่ไม่ถูกตามหนทางอริยมรรคย่อมจะนำไปสู่ทุคติคือนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นภพภูมิที่ต่ำและหาความสุขมิได้โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
    .
    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
    .
    เมื่อเห็นว่าหมู่เพื่อนปฏิบัติไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งได้ หลวงปู่จึงสำรวมระมัดระวังเอาเฉพาะตนเอง พยายามไม่ให้ด่างพร้อยในศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนาไปโดยลำพังตนเอง ความดีและความชั่วเป็นเรื่องเฉพาะตัว ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว เหมือนกับหว่านพืชลงไปในดิน หว่านพืชเช่นไรก็ได้รับผลเช่นนั้น
    .
    อาพาธครั้งที่ 1
    .
    ครั้นอยู่มาถึงเดือน 5 คือ เดือนเมษายน พ.ศ. 2473 ขณะนั้นอายุ 14 ปี เกิดล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาด (ไข้หมากไม้ใหญ่) อยู่ที่วัดบ้านท่าเดื่อนั้นเอง อยู่มาวันหนึ่งไข้กำเริบหนัก จึงได้สลบไป ในขณะที่สลบไปอยู่นั้นได้ปรากฏนิมิตเห็นกองเพลิงใหญ่อยู่กองหนึ่งแดงโร่อยู่ เมื่อมองดูในกองเพลิงนั้นเห็นมีฆ้องใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง และเงินสตางค์แดงอยู่ตรงกลางกองเพลิง มองดูกองเพลิงน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาพิจารณาถึงนิมิตที่เกิดขึ้น จึงได้ความว่าเป็นเรื่องศีลวิบัติคือ ในขณะที่ป่วยไม่สบายอยู่นั้น เพื่อนสามเณรด้วยกันนำเงินสตางค์แดงที่โยมเขาถวายเวลาไปสวดมนต์ในบ้านตอนที่ยังไม่ป่วย เมื่อแบ่งกันแล้วนำมาใส่มือให้ จึงเกิดนิมิตเช่นนั้น คือผิดศีลข้อ 10 ของสามเณร เพราะสามเณรศีลข้อที่ 10 นั้น ท่านห้ามไม่ให้รับเงินและทองที่เขาสมมติซื้อขายกันได้ในประเทศนั้นๆ เมื่อเพื่อนสามเณรด้วยกันนำเงินมาใส่มือให้จึงเป็นศีลวิบัติ
    .
    ในขณะที่ป่วยอยู่นั้น ผู้เป็นมารดาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะความรักและเป็นห่วงในบุตรของตน ได้หาหมอยาที่ชาวบ้านถือกันว่าเก่งสามารถในการรักษา มารักษาด้วยยารากไม้ฝนให้กิน อาการป่วยก็ไม่หายเพียงแต่ทุเลาลงบ้างเล็กน้อย ต่อมาอาการป่วยก็ได้กำเริบขึ้นอีกจึงทรุดหนักลง สลบตายไป ในขณะนั้นปรากฏว่ามีคน 4 คน รูปร่างใหญ่กำยำหามเอาไป ในขณะที่เขาหามไปนั้นรู้สึกว่ามีความกลัวเป็นกำลัง พอหามไปถึงพุ่มดอกพุดใหญ่พุ่มหนึ่ง เขาก็โยนเข้าไปในพุ่มดอกไม้นั้น ลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีกลับพอดีไปสะดุดตอไม้หยิกบ่อถอง (พืชชนิดหนึ่ง) จึงรู้สึกตัวขึ้นเห็นมารดานั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ จึงถามมารดาว่า "ร้องไห้ทำไม" มารดาว่า "เมื่อกี้นี้ลูกได้ตายหยุดหายใจไป แม่รักลูกห่วงลูกจึงได้ร้องไห้" พอแม่บอกอย่างนั้นก็ได้สติดีขึ้นมาจึงกำหนดจิตนึกพุทโธเป็นคำบริกรรมไว้ในใจ การนึกถึงพุทโธเป็นคำบริกรรมนั้นได้ทำมาเป็นประจำตั้งแต่บวชมา และมีนิสัยนึกอย่างนั้นมาก่อน เพราะเคยได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่พูดบ้าง และอุปัชฌาย์อาจารย์สอนให้ฟังบ้าง ในตอนบวชใหม่ๆจึงได้ทำมาเป็นประจำ
    .
    หลวงปู่เล่าว่าถึงป่วยหนักขนาดนั้นก็ไม่ได้ประมาท ในขณะที่ได้สติขึ้นมานั้น อยากจะลุกขึ้นนั่งภาวนา พวกที่เฝ้าไข้ถึงประคองลุกขึ้นนั่งภาวนา ในขณะนั้นได้บริกรรมพุทโธจนออกเสียงเต็มแรงเพราะเวทนายังกล้าอยู่ ในขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนได้มองเห็นเงาตัวเองก็เกิดความกลัวขึ้น เขาจึงให้นอนลง เมื่อนอนลงแล้วก็ยังบริกรรมพุทโธออกเสียงเต็มแรง พวกคนที่ดูทั้งหลายเขาก็ห้ามไม่ให้บริกรรมพุทโธเพราะกลัวว่าจะผิดผีและของรักษาต่างๆ ในระยะนั้นคนทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถือผีไท้ ผีแถน ผีฟ้า เทวดาเป็นของรักษา กลัวว่าเสียงพุทโธนั้นเมื่อผีได้ยินแล้วผีจะโกรธให้ แม้พระพุทธเจ้าจะสอนให้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันอุดม แต่คนทั้งหลายก็ยังเห็นผิดกันอยู่มาก
    .
    ในขณะที่ป่วยอยู่นั้นไม่รู้ว่าญาติพี่น้องให้สึกแต่เมื่อไหร่ ต่อมามารดาได้นำหมอจากบ้านท่าแก ชื่อทิดหวด มารักษา อาการป่วยในครั้งนี้จึงหายขาดไป มารดาจึงยกวัวให้หมอตัวหนึ่งเป็นค่าคาย (ค่ารักษา) หลวงปู่เล่าว่าเมื่อหายป่วยในครั้งนี้แล้วระลึกทบทวนดูว่า ตัวเองเคยบวชแล้วป่วยหนักและก็ได้สึกโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้ว่าตนเองสึกแล้วอย่างนั้นก็ยังมีความตั้งใจไว้ว่าจะบวชอีก เพราะมีความพอใจในการประพฤติพรหมจรรย์
    .
    ความไม่เที่ยงย่อมแปรปรวน
    .
    เมื่อหายป่วยพักฟื้นพอได้กำลัง ย่างเข้าเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2473 มารดาจึงได้พาอพยพครอบครัวจากบ้านบึงเป่ง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กลับคืนไปบ้านคำพระ (กุดโอ) อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งเป็นบ้านเดิม การเดินทางก็ใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะขนส่งสิ่งของ คนก็เดินตาม เมื่อเดินทางกลับถึงบ้านคำพระแล้ว ได้ทำเพิงเป็นที่หลบแดดหลบฝน เพราะตอนที่อพยพไปอยู่ที่บ้านบึงเป่งนั้น ได้ขายบ้าน แต่นายังไม่ขายให้ผู้อื่น พอกลับถึงบ้านเดิมแล้วก็เป็นฤดูทำนาพอดี ประกอบกับร่างกายที่หายจากป่วยไข้ก็มีเรี่ยวมีแรงขึ้น จึงได้ช่วยมารดาและพี่ชายทำนาหว่านกล้าปักดำจนเสร็จ ย่างเข้าฤดูเก็บเกี่ยว ข้างเหลืองเต็มท้องทุ่ง จึงได้ช่วยกันเก็บเกี่ยวข้างตามหน้าที่ของชาวนาผู้ที่พึ่งพากำลังของตัวเอง
    .
    วันหนึ่งขณะที่เกี่ยวข้าวอยู่นั้น จิตได้นึกขึ้นมาว่า "เราได้บวชเป็นสามเณรครั้งหนึ่ง ที่เราได้สึกก็เพราะเราป่วยหนักจนไม่รู้สึกตัว จึงระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรเพราะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนนั่นคือ เราจะต้องตายเป็นแน่แท้ หาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย จึงคิดว่าจะออกบวชอีก" แต่แล้วก็มาคิดถึงผู้ที่เป็นมารดาว่า บ้านเรือนที่อาศัยของมารดาก็ไม่แน่นหนาแข็งแรงเพราะเป็นบ้านชั่วคราว จึงคิดจะสร้างบ้านให้มารดาเสียก่อนจึงจะออกบวช พอเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จย่างเข้าฤดูแล้ง จึงได้ชวนพรรคพวกพากันไปเลื่อยไม้ที่บ้านแสนขุมเงิน เพราะสมัยนั้นบ้านแสนขุมเงินมีต้นไม้ใหญ่ๆมากมาย
    ...................
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  17. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    ช่วงนี้ไม่ค่อยได้โพสต์อะไร แอบเข้ามาอ่านอย่างเดียวครับ อิอิ
    เรียนเชิญนะครับ วันที่ 5 ก.ค.นี้ ใครอยากไปกราบหลวงตา เชิญร่วมงานหล่อพระที่นครปฐมเลยครับ
    :cool::cool::cool:
     
  18. ช้างป่า

    ช้างป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +16,480

    อยากไปแต่ไกลโพด

    ไปนำบ่ถูกเลยทีนี้ !!!
     
  19. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(4)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    ความโลกเป็นอันตรายต่อความเป็นธรรม
    .
    หลวงปู่เล่าว่า "การเลื่อยไม้ในครั้งนั้น พรรคพวกที่ไปด้วยกันเป็นพวกผู้ใหญ่ ตัวเราเด็กกว่าเขา เมื่อเลื่อยไม้เสร็จแล้ว เวลาจะแบ่งไม้กัน เขาเอาเปรียบเรา เขาจะให้เราน้อยกว่าเขาแต่เครื่องมือเลื่อยไม้นั้นเป็นของเรา จึงได้ต่อว่าต่อขานกัน ในที่สุดเขาก็ยอมออกค่าเครื่องมือให้ เรื่องความโลภนี้เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใดย่อมไม่มองเห็นความเป็นธรรมเลย ขอให้ตนเองได้มากๆ ตามความปรารถนาของตนเองแล้ว ใครจะทุกข์จะยากลำบากอย่างไรไม่คำนึงเลย โลกจึงลุกเป็นไฟเผาผลาญกันอยู่ตลอดเวลา" เมื่อรวบรวมไม้พอที่จะสร้างบ้านได้หลังหนึ่งแล้ว จึงได้ใช้ล้อเทียมด้วยควายขนไม้จากบ้านแสนขุมเงินมาบ้านคำพระ (กุดโอ)
    .
    ได้ช่วยมารดาและพี่ชายทำนาหาเลี้ยงชีพจนกาลเวลาฝ่านไปถึง 3 ปี อายุย่างเข้า 18 ปี กำลังเป็นหนุ่ม มารดาอยากให้มีครอบครัวเหมือนชาวโลกทั่วๆไป เพื่อจะได้มีผู้ช่วยการงานบ้าง "ในขณะนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน พร้อมทั้งแม่ของเขาด้วย เกิดความรักชอบในตัวเรา ได้พยายามไปมาหาสู่กับแม่ของเราอยู่เรื่อยๆ แม่ของเราก็อยากให้แต่งงานกับเขา แต่เราไม่มีความยินดีพอใจอย่างนั้น คิดอยู่แต่จะออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ เพราะคิดว่าในไม่ช้าความตายก็จะมาถึง เราระลึกถึงความตายอยู่เสมอๆ
    .
    อยู่มาวันหนึ่งแม่ของหญิงสาวนั้นคิดอุบายที่จะเอาเราเป็นลูกเขยให้ได้ จึงมาหาแม่ของเราขอร้องให้เราไปขุดบ่อน้ำในสวนให้ เพื่อจะได้ตักเอาน้ำรดผัก ฟักแฟงแตงเต้าและยาสูบ แม่เราจึงบอกให้เราไปช่วยทำให้เขาเสียเพราะสงสาร เขาก็มีลูกสาวคนเดียวไม่มีผู้ชายจะทำให้
    .
    เมื่อแม่บอกอย่างนั้นเราจึงไปขุดบ่อน้ำให้เขา ฝ่ายแม่หญิงสาวก็ปล่อยให้ลูกสาวมาช่วยขนดินอยู่กับเราสองต่อสอง ไม่มีใครเป็นเพื่อน และเราเป็นคนขุด เขาเป็นคนรับดินขึ้นไปข้างบน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดไม่พูดอะไรกับเขาเลย เพราะรู้อยู่ในใจว่าเป็นกลอุบายที่เขาวางบ่วงจะผุกเราไว้ในวัฏสงสาร เมื่อขุดบ่อลึกลงไปถึงตาน้ำ กะว่าพอใช้แล้วเราก็ขึ้นจากบ่อ ฝ่ายหญิงสาวจึงพูดว่าคอยอาบน้ำที่บ่อนี้แหละ หนูจะตักขึ้นมาให้อาบ เราไม่ฟังเสียงได้เสื้อผ้าแล้วเดินหนีไปอาบน้ำที่แม่น้ำชีแล้วก็กลับบ้านไป พ้นภัยพญามารในครั้งนั้น"
    .
    ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
    .
    หลวงปู่เล่าว่าในระหว่างที่ช่วยพี่ชายและมารดาทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่นั้น ได้ตั้งใจปฏิบัติจิตตภาวนาสวดมนต์ไหว้พระอยู่ไม่ได้ขาด บริกรรมภาวนาพุทโธเป็นอารมณ์ ครั้งหนึ่งเมื่อภาวนาหนักเข้าเกิดลมละเอียดลงๆ จนลมหายใจไม่ปรากฏ จึงเกิดความกลัวสะดุ้งตกใจ จิตจึงถอนขึ้นมา จึงได้หยุดภาวนาในวันนั้น ครั้นวันต่อมาก็ได้ภาวนาบริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ของใจตลอดมา
    .
    บรรพชาเป็นสามเณรครั้งที่ 2
    .
    กาลเวลาผ่านไปถึงปี พ.ศ. 2477 อายุย่างเข้าปีที่ 19 หลวงปู่เล่าว่าพอเข้าฤดุทำนาได้ช่วยแม่และพี่ชายทำนา คราดนา ปักดำ เสร็จแล้วย่างเข้าฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ไม้ที่เตรียมมาไว้ว่าจะปลูกบ้านให้แม่ก็ยังไม่ได้ปลูก เก็บเกี่ยวข้าวก็ยังไม่เสร็จ ภาวนาระลึกถึงความตายจะเกิดขึ้นกับตนเองในเร็ววัน จึงเกิดความร้อนใจกลัวว่าตนจะไม่ได้บวชอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ในที่สุดทนไม่ไหวจึงได้พูดกับมารดาว่า "ลูกอยากบวชอีก" เมื่อมารดาได้ฟังนั้นก็ไม่ได้ขัดข้อง จึงพูดขึ้นมาว่า "ดีแล้วนะลูก ถ้าลูกจะบวชให้แม่อย่างนั้น เพราะลูกทั้งหมดยังไม่มีใครบวชให้แม่สักคนเลย ถึงแม้ความยาวลำบากในการเก็บเกี่ยวข้าวอย่างไร แม่ก็จะอุตส่าห์อดทนเอาตามยถาของแม่"
    .
    พอแม่บังเกิดเกล้าได้อนุญาตให้บวชได้ดังใจหมายก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงจัดแจงเก็บเอาสิ่งของใช้ที่จำเป็นแล้วอำลาผู้เป็นมารดา เดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าไปสู่ที่อยู่ของพระธุดงค์กัมมัฏฐาน "ในขณะที่เราออกจากบ้านไป หญิงสาวที่มีความหมายมั่นจะได้เราเป็นคู่ครอง ได้มาคอยดักเราอยู่หนทางแล้วเดินตามหลังพูดขอร้องไม่ให้เราออกไปบวช แต่เราไม่ยอมฟังเสียงใคร ในที่สุดเขาก็ได้แต่ยืนร้องไห้มองตามหลังของเราไปเท่านั้น"
    .
    ณ ที่ดอนธาตุ บ้านคำพระ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ได้มีพระอาจารย์คำดี ซึ่งเป็นพระธุดงค์กัมมัฏฐานสายพระอาจารย์เสาร์พระอาจารย์มั่น มาปักกลดบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อไปถึงดอนธาตุแล้วได้กราบนมัสการพระอาจารย์คำดี ขอถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน ท่านรับเป็นศิษย์ของท่านด้วยความเมตตา ท่านอบรมสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติและคำขานนาคอยู่ครบ 7 วัน ท่านอาจารย์คำดีได้นำไปบวชเป็นสามเณร (ปลายปี พ.ศ. 2477) ที่วัดฟ้าหยาด บ้านคำไฮ ตำบลคำไฮ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพระครูวิจิตร (จันทา) เป็นพระอุปัชฌาย์ สังกัดฝ่ายมหานิกาย เพราะในสมัยนั้นพระอุปัชฌาย์ฝ่ายธรรมยุตมีน้อยและอยู่ห่างไกล ครั้นบวชเสร็จแล้วพระอาจารย์คำดีได้พากลับมาพักอยู่ที่ดอนธาตุระยะหนึ่ง จึงพาเดินธุดงค์จากบ้านคำพระไปอำเภอพนมไพร พักอยู่ที่วัดโนนช้างเผือกซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ มีป่าไม้ ห่างจากตัวอำเภอพนมไพรพอประมาณ เหมาะแก่การเจริญสมณธรรม อยู่มาไม่นานพระอาจารย์คำดีได้จากไป ท่านได้ฝากให้อยู่กับหลวงพ่อสิ้วและได้จำพรรษาที่วัดโนนช้างเผือกนี้ (วัดประชาธรรมรักษ์ในปัจจุบัน)
    .
    เดินธุดงค์มุ่งหน้าเพื่อนมัสการพระธาตุพนม
    .
    ต้นปี พ.ศ. 2477 หลวงพ่อสิ้วได้พาเดินธุดงค์จากอำเภอพนมไพร รอนแรมผ่านบ้านเล็กบ้านใหญ่ป่าเล็กป่าใหญ่ ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น จากพนมไพรผ่านเข้าเขตอำเภอมหาชนะชัย ผ่านเขตอำเภอลุมพุก (คำเขื่อนแก้ว) ทะลุเข้าเขตอำเภอบุ่ง (อำนาจเจริญ) ผ่านเลยไปเลิงนกทา เข้าเขตมุกดาหาร ข้ามน้ำก่ำ ทะลุถึงอำเภอพระธาตุพนม ใช้เวลาเดินทางถึง 15 คืน เมื่อถึงอำเภอพระธาตุพนมแล้ว ได้เข้าพักที่วัดเกาะแก้วอัมพวัน ในเวลานั้นมีพระอาจารย์ทอง อโสโก เป็นประธานสงฆ์
    ...............
    *โปรดติดตามต่อตอนไป

    รูปพระอาจารยทอง อโสโก
    พระธาตุพนม
    แม่น้ำชี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437

    สาธุ สาธุ...อนุโมทนาคราฟช่างชิต ปูเสื่อรอฟังต่อครับ ^___^
     

แชร์หน้านี้

Loading...