จิ. เจ. รุ. นิ.

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 31 สิงหาคม 2012.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อยู่ระหว่าง จิตดับ .. และก่อนจิตใหม่เกิด
    คือช่วง ..
    หมายถึง ระหว่าง มรรคญาณ และ ผลญาน
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........เจ๊ หมายถึงจะเกิด กับใคร เมื่อไหร่ ก้ได้เหรอ ครับ ถ้าเขา ทันจิต...ทันจิตนี่หมายถึงแค่มีสติ หรือ มีญานสัมปยุต:cool:
     
  3. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    หรือแปลว่าคือ
    จะเกิดกับผู้ที่มรรคกำลังจะสมังคี สติจะเต็มรอบ
    มรรคญาณ และ ผลญาณ มีนิพพานเป็นอารมณ์
    ตรงกลางเป็นอะไร คิดเอาเอง

    ลองค้นอ่านเอง ระหว่าง มรรคญาณกับผลญาณ นะ
    มีให้เลือกอ่านทั้งอภิธรรม ทั้งการปฏิบัติ ของครูบาอาจารย์ ..มากมาย

    เจ๊ต้องไปแล้วจ๊ะ
     
  4. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ดีจ้ะ อ่านในหนังสือ อ่านในเวป
    ดูซีดี ยูทูป ดีหมดแหล่ะจ้า

    สงสัยก็ถามมาได้
    ลุงหมานไม่อยู่
    ถ้าเรามาเจอคำถาม
    เราก็ตอบให้ก่อนได้ เด๋วลุงมาจัดให้เต็มที่อีกทีหนึ่งค่ะ
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    งั้นก็เลิกคุยกันได้แล้ว ป้องกันการโต้แย้งเกิดขึ้น
    เดี๋ยวพระอรหันต์จะโกรธเพราะคุณบรรลุธรรมไปแล้ว
    พระอริยะที่ไหนมาเล่นเว็บ นี่น่าขบขันกว่ามั้ง
    คุยว่าได้ปฏิเวธ ขี้โม้อวดสมาชิกในเว็บ
    ถ้าเป็นพระเขาปรับปราชิกเชียวนะ
    ที่แรกพูดว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติ แล้วทำไมกลับคำพูดเสียล่ะ
    รู้จักคำว่าปฏิเวธหรือเปล่าที่เอามาพูดน่ะ
     
  6. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    คุณนี่เป็นคนสับปลับนะ
    ผมก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า
    ผมก็อ่านพระไตรปิฎกมาพอตัว
    และคุณรู้อยู่ แล้วกลับมาหาว่าผมกลับคำพูด

    เมื่อในตำรามีสอนเรื่องสมาธินี่ก็เป็น ปริยัติใช่มั้ย
    เรานำสมาธิไปปฏิบัตินี่ก็เป็น ปฏิบัติใช่มั้ย
    เมื่อจิตเราเป็นสมาธิมีสมาธิสมบัติประจำตนนี่ก็เป็น ปฏิเวธใช่หรือเปล่า
    นี่ไม่ใช่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หรอกเหรอ

    ้ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นเหรอ ที่เป็นปฏิเวธ

    เห็นมั้ยความเข้าใจของคุณมันคลาดเคลื่อนตลอด
    นี่คือความคลาดเคลื่อนของคุณ

    1.พระพุทธองค์เรียนปริยัติมา 4 อสงไขย แสนมหากัปป์
    2.ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเป็น ปฏิเวธ

    คุณกลับไปศึกษา ปริยัติ กับ ปฏิเวธ มาใหม่นะ

    นักเรียนอภิธรรม น่าตลกขบขันนะ
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมกลับคำพูดหรือว่าคุณสับปลับล่ะ
    ไหนคำพูดไหนที่ผมพูดว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติ
    ผมว่าคุณอย่าใส่ความผมดีกว่า


    และผมก็บอกแล้วว่าผมก็อ่านพระไตรปิฎกมาพอตัว
    เอานี่หลักฐาน
    ข้อความที่ผมโพสต์ตอบคุณ
    ในกระทู้การแยก กาย และ จิตออกจากันที่ถูกต้อง..
    วันที่ 29-08-2012
    อ้างอิง:การแยก กาย และ จิตออกจากันที่ถูกต้อง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2012
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]
    บุรุษผู้ตาบอดทั้ง 6 คน คลำช้างตัวเดียวกัน
    ความเห็นแตกต่างกันไม่ลงรอยกัน
    ยกวาทะของตนข่มคนอื่น ว่าพวกแกมันเหลวไหลทั้งนั้น
    ส่วนตนคลำถูกอะไร และได้หมายไว้ว่าเหมือนกับอะไร ?
    ก็ยกสิ่งนั้นขึ้นว่า ช้างมันเป็นอย่างนี้ๆ มันเหมือนสิ่งนี้ๆต่างหาก
    พวกแกใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ต่างคนต่างวิวาทกันกับผู้ที่ไม่ลงความเห็นด้วยกับตน
    ในเรื่องนี้ ก็น่าขัน ความจริงก็ถูกช้างด้วยกันทั้ง 6 คน
    ไม่มีใครผิดเลย เป็นแต่ถูกโดยเอกเทศ คือ ถูกไม่เต็มตัวนั้นเอง
    จึงเป็นเหตุเกิดมีปากเสียงกันขึ้น จนถึงแก่วิวาทกัน ถ้าถูกเต็มตัวด้วยกันแล้ว ก็ไม่ต้องวิวาทกันเลย!!!

    ข้อนี้ฉันใด แม้ในหมู่พุทธบริษัท ที่ประพฤติและสั่งสอนธรรมกันอยู่ทุกวันนี้
    ก็คล้ายกับคนตาบอดคลำช้างฉันนั้น เพราะรู้ธรรมไม่เต็มที่ รู้แต่เพียงเอกเทศของธรรม
    เพราะธรรมเป็นของกลาง ใครเห็นอย่างไรก็ไม่รับไม่ปฏิเสธผู้เห็นอย่างใด ก็ยึดเอาเป็นถูกของตนอย่างนั้น!!!

    จะยกตัวอย่าง ดังพวกที่ถือนามรูป ก็ยึดนามรูปเป็นที่พึ่ง
    พวกถือขันธ์ 5 ก็ยึดขันธ์ 5 เข้าไว้เป็นที่พึ่ง
    พวกนิยมธาตุ ก็ยึดธาตุเข้าไว้เป็นที่พึ่ง
    พวกถืออายตนะ ก็ยึดอายตนะเข้าไว้เป็นที่พึ่ง
    พวกถือ อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ก็ยึดเข้าไว้เป็นที่พึ่ง
    พวกถือ พุทโธ-อรหัง ก็ยึดเข้าไว้เป็นที่พึ่ง
    ตลอดไปถึงพวกเพ่งกสิณ ต่างก็ยึดเข้าไว้ว่า เป็นที่พึ่งของตนๆ
    ถ้าใครถือไม่ตรงกับตน ก็เป็นคนเห็นผิดถือผิดไปหมด ถูกแต่ตัวคนเดียวเท่านั้น!!!
    แล้วสั่งสอนลูกศิษย์ตามลัทธิของตน ฝ่ายลูกศิษย์นั้น
    ได้ความตามอาจารย์ของตน พลอยไปติพวกอื่นเขาด้วย ยกแต่อาจารย์ของตน
    ว่าเป็นผู้รู้ถูกรู้ดีทั้งนั้น ส่วนพวกอื่นผิดหมด!!!....
    จึงต้องวิวาทกับผู้ที่มีความเห็นไม่พ้องกับตน
    บางพวกที่ยังงมงายมาก ถึงกับโกรธ หรือเกลียดแก่ผู้ไม่ลงความเห็นด้วยกับตน
    เพราะความเห็นธรรมของตนเป็นแต่เพียงเอกเทศเท่านั้น!!!!
    ถ้าหากเห็นพระธรรมเต็มโลกด้วยกันแล้ว ก็หมดวิวาทเท่านั้น !!!!

    คิดดูก็ขันๆ คนหูดี ตาดี กลายเป็นเหมือน"คนตาบอดคลำช้าง"ไปได้
    น่าสังเวชใจยิ่งนัก ความจริงผู้ประพฤติธรรม ถูกด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดผิดเลย
    เป็นแต่ถูกส่วนมาก หรือถูกโดยส่วนน้อยเท่านั้น เอวังก็มี ด้วยประการฉะนี้ ฯ.......

    ในพวกเราเองนี้มีบ้างไหมเอ่ย?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2012
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ก็เอาเหตุเอาผลมาแย้งสิ
    อย่ามาทำเป็นพูดเฉียดไปเฉียดมา
    คอยใส่ความอย่างนั้นอย่างนี้
     
  10. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ลุ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆหมานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
    อันนี้ เฉพาะกิจ ต้องเข้า อันนี้ถอยหลังชนอีกทีนะ
    หนู เอา เบรค ABS มาฝาก อะนะ (คิดถึงจัง) และ แนะนำให้ดึงเบรคมือ ด้วยนะ
    เพื่อ ป้องกัน ความผิดพลาด ถ้า ลุง ไม่ เตี้ย ล่ำ ดำ อะ นะ
    สวยจัง ตาดีเนอะ ชอบจังเนอะ สวยๆเนี้ย อืม ชอบเหมือนกันละ
    ด้วยรักกก และ ผูกพันนนนนนนนนนนน
     
  11. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    สงสัยกันมั้ยว่า วิถีจิตนั้นเกี่ยวกับการวิปัสสนาอย่างไร
    วิถีทางปัญจทวารนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ มีปัญจารมณ์ คือ
    -รูปารมณ์
    -สัททารมณ์
    -คันธารมณ์
    -รสารมณ์
    -โผฎฐัพพารมณ์
    เหล่านี้คือ วิสยรูป 7
    เป็น รูป ฉะนั้น จิตที่เกิดทางปัญจทวารวิถีจึงมีรูปเป็นอารมณ์
    ตามธรรมดารูปธรรมนั้น มีกำลังอ่อนกว่า นามธรรม
    จึงต้องลงไปต่อด้วย มโนทวารวิถี จึงจะรู้ว่า ทางตาที่เห็นนั้น เห็นสีคือ
    รูปารมณ์ สีที่เห็นเป็นจุดๆ ลงมาที่มโนทวารวิถี จึงจะรู้ว่า คือ อะไรที่เห็น
    นั้นมีบัญญัติเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เพราะสัญญาจะบอกว่า เนื้อหา ชื่อ
    ซึ่งจะต้องมีบัญญัติเกิดขึ้นในมโนทวารวิถี
    แต่ในปัญจทวารวิถี นั้นเป็น อารมณ์เป็นปรมัตถ์ เป็นรูป คือ วิสยรูป7
    วิสย แปลว่า อารมณ์

    ทีนี้ การวิปัสสนานั้น เราต้องรู้ รูป นาม เป็นอารมณ์
    เราต้องเห็นรูปนามตามความเป็นจริง

    ปัญจทวารวิถี ไปรู้รูป
    ส่วนมโนทวารวิถี มันลงมาที่ใจ คือเป็น นามไปเห็น รูป เกิดขึ้นแล้วดับไป ไปเห็น นาม เกิดขึ้นแล้วดับไป
    เห็นเป็นของไม่เที่ยง ทั้ง2 วิถี แล้วจะเห็นว่า มันอาศัยกันและกันเกิด

    รูป เป็นเหตุให้เกิด นาม


    ผัสสะเกิด ก็ไปรู้รูปนามตามความเป็นจริง
    ไม่มีบัญญัติเกิด และ อภิชฌา โทรมนัส ก็อาศัยเกิดไม่ได้
    ก็ทำให้ภพชาติสั้นลงในขณะนั้น


    ผัสสะจะเกิดอะไร มันลงมโนทวารทั้งสิ้น
    มันตัดสินกันตรงนี้ตรงที่มโนทวารวิถี ว่าจะเกิดอะไร
    ในปัญจทวารวิถี เราทำไม่ได้ เราวิปัสสนาที่มโนทวารวิถี





    ทางมโนทวารวิถี ที่พูดคุยกันตรงนี้ยังไม่รวม สุทธมโนทวารวิถี
    คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจโดยเฉพาะ
    ไม่ได้เป็นมโนทวารวิถีที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี


    ผิดพลาดประการใด ขอลุงหมานช่วยตรวจดูและคุยเพิ่มค่ะ
    ที่หนูมาคุยต่อจากเมื่อวานที่อธิบายให้คุณโกอิ้งฟังไว้
    มันค้างคา อาจจะมีผู้ใดสนใจจะอ่านต่อไป
    จะได้อ่านจนจบค่ะ
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    แสดงถึงสิ่งที่ไปรับมาผิดแล้วนะขอรับ

    คือคำว่าปรมัติ
    กับคำว่าปรมัตถธ....รร....ม
    หรือปรมัตถะธัม

    หากพิจารณาโดยแท้แล้วจะเป็นคำไหนและมีความหมายไปในทางใด
    ดังนั้นธรรมมะที่เรารับมายังต้องพิจารณาก่อนนะครับว่ารับมาถูกต้องไหม
    มีที่อ้างอิงอย่างไร

    ดังคำว่าโกศ กับเกศา
    โกศหรือโกศล
    หรือที่พระท่านว่ากุศลแปรว่ากระเปาะคือคำไหนกันแน่หรือครับ
    และกระผมจะไปหาบาลีที่ไหนอ่านได้ไหมขอรับ

    แล้วหากยิงมาเป็นชุดๆนี้
    ก็ยิ่งต้องพิจารณามหาพิจารณาหรือไม่ขอรับ

    ความมุ่งหมายของผมเพียงเพื่ออยากให้พิจารณาโดยถี่ถ้วนเท่านั้น
    และตามดูตามรู้กันต่อไป
    กราบขอบพระคุณลุงหมานครับที่เสนอธรรมดีๆครับ
    ผมก็เฝ้าตามคำกล่าวอยู่กราบขอบพระคุณครับ

    ขอท่านเจริญในธรรรมยิ่งแล้วครับ
     
  13. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เอาตรงนี้ไหมครับคือจิตที่รับมามากน้อยเป็นเหมือนเส้นกราฟ

    หากมองอีกในแนวทางหนึ่ง
    คือการ....วนกันเป็นขดหอย
    และวงกำยานที่ขดอยู่เหมือนยากันยุง

    หากท่านไม่ทำการยุติหรือทำการวิได้
    ที่วิคือการวิมุติ หรือการวิจัย
    หรือการทำให้หายไปเป็นการยุติที่เริ่มต้น
    หากจะถือเอาจุดไหนเป็นจุดเริ่ม
    ก็จุติหรือจุดศูนย์กลางที่เป็นกลางของทุกสิ่ง
    หากถามผมว่าแล้วหอยนั้นก้นหอยนั้นอยู่ตรงไหนของวงกลม
    จับรูปขดหอยที่เป็นรูปสามเหลีย่มด้านเท่าใส่ในวงกลม
    ดูดีท่านจะได้พระนั่งสมาธิอยู่ด้านในวงกลมนั้น
    หากท่านแบ่งให้ดีแล้วท่านจะเจอสติสมาธิและปัญญาอยู่ข้างในภาพนั้น
    แบ่งอย่างไร
    ขอให้ท่านคำนึงถึงคำว่านิครนและพุทธเอามากๆนะขอรับ

    ดังนั้นจึงเป็นสังเขตุธรรมหรือไม่อย่างไรครับ

    และอจินไตยที่หมุนวนไปไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนขดยากันยุงอีก
    ที่เป็นวงยาวไม่มีที่สิ้นสุดเป็นการเกิดเนื่องกันปฎิสนธิไปเรื่อยๆ
    เป็นอสังเขตุธรรมหรือไม่
    อย่างไรก็ต้องดึงกลับมาอยู่บนโลกกลมๆหรือไม่ขอรับ
    เพื่อสมดุลย์

    ขอท่านเจริญยิ่งในธรรมขอรับ
     
  14. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สิ่งมีชีวิตมีส่วนประกอบเริ่มต้นอยู่สองอย่างไหมครับ
    คือขันธ์และนิวรณ์เป็นเริ่มต้น
    และมีท่ามกลางเปลี่ยนแปลง
    คืออายตนะตรงนี้ใช้สมาธิจับ

    แล้วมีอีกสามสิ่งเกาะติดวิญญานอยู่คือ
    กาม(กาย) ความรู้สึก(เวทนา สัญญา) และเจตนา(จิต)
    รวมกันทั้งหมดคือสังเขตุธรรม

    เพราะมีธรรมครอบคลุมอยู่ทั้งหมด

    หรือไม่อย่างไรขอรับ
     
  15. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงนี้ไหมครับภาพที่ลุงหมานแสดงมานี้


    หากเป็นทวารทั้งหกคือผัสสะ

    และวิญญาน

    แล้วเราข้ามไปอารมณ์ทั้งหก

    หากเป็นวงจรปฎิจ
    เราจะได้สังขารมาก่อนหากว่าสมมุติของสังขารนี้คือกายนะครับ
    กายรับมาส่งวิญญานวิญญานปรุงแต่งส่งต่อไปยังจิตตรงนี้เราข้ามมามาก
    แต่ความจริงไม่ข้ามละครับไปคนละแยกต่างหากแต่ไปเอาอารมณ์มาเลย

    ใครเห็นตามผมไหมครับอารมณ์นี้อยุ๋ท่ามกลางของการปรุงแต่งของเวทนากับจิต

    หรือกล่าวโดยง่ายคือรับวิญญานรับมาแล้วส่งให้ความรู้สึกและเจตนาปรุงแต่ง
    เพื่อจะเป็นอะไรต่อ

    ในวงจรปฎิจะอีกละครับเมื่อมาถึงวิญญานแล้ว ตัญหา อุปทาน ภพ

    ว่ากันอีกยาวไหมครับ

    ดังนั้นในตรงนี้จะเป็นไปได้ไหม
    ที่ว่าวิญญานเป็นตัวรับ
    ผ่านการประมวลให้เป็นอารมณ์
    แล้วจิตเป็นตัวรู้
    หรือไม่อย่างไรครับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วครับ
     
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อะละน๊า......เพราะความประมาทแท้ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือ ทิ่มพรวดโดนรุกฆาตจนได้
    อยู่ในพรหมชาลสูตร ข่ายดักสัตว์ อาสวะ โอฆะ โยคะ คันถะ สังโยชน์ เจ้ารักและผูกพันเนี่ย
    ทั้งผูกทั้งพันอิรุงตุงนังเหมือนขอดด้าย เหมือนหญ้ามุงกระต่าย

    อาสวะ สิ่งใดถูกหมักดองอยู่นานๆ สิ่งนั้นชื่อว่า อาสวะ ทำให้วัฏฏะทุกข์เจริญรุ่งเรืองไม่มีที่สิ้นสุด

    โอฆะ ธรรมชาติใดย่อมท่วมทับเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาตินั้นชื่อว่าโอฆะ คือ ห้วงน้ำ
    ที่ไหลวนมีลักษณะดึงดูดสัตว์ให้จมลงสู่ที่ต่ำ

    โยคะ เป็นธรรมชาติที่ประกอบสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏฏะทุกข์ นั้นชื่อว่าโยคะ
    เหมือนตะปูที่ตอกตรึงเครื่องประกอบบ้านเรือนไว้ หรือเหมือนกาวติดใจ

    คันถะ ธรรมเหล่าใดผูก คือเกี่ยวคล้องไว้ระหว่างนามกายรูปกายปัจจุบัน กับนามกายรูปกายในอนาคตภพ
    ธรรมเหล่านั้นชื่อว่ากายคันถะ เหมื่อนโซ่ ตรวน ผูกไว้ระหว่าง จุติ-ปฏิสนธิ

    สังโยชน์ ธรรมเหล่าใดย่อมผูกสัตว์ทั้งหลายไว้ ธรรมเหล่านั้นชื่อว่าสังโยชน์
    เพราะผูกคอไว้ด้วยกามคุณทั้ง ๕ ซึ่งเปรียบได้ดังเรือนจำ

    อะละน๊า...ใครจะแก้ให้ได้เหนื่อยใจนะ เพราะผูกพันแท้ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2012
  17. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อะฮ้าเห็นคำถามมะหน่อ ยื่นคำถามพร้อมทั้งคำตอบ ไข้แตกเลยอ่ะ
    พักก่อนๆ ไปหายากินก่อน ขอหลับสักงีบนะ
     
  18. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ขอโทษนะคะ คุณมะหน่อ
    รอคุยกับลุงหมานดีกว่านะคะ
    เราคงต้องผ่าน ส่งไปใ้ห้ลุงตอบ
    ลุงหมานคงจะคุยกับคุณได้นะคะ

    เด๋ว ไว้รอลุงหมานมาก่อนละกันนะคะ

    ลุงหมาน รับไปตอบให้หมดทุกโพสท์เลยนะ

    เอ่อ... เด็กกรุงเทพฯขอส่งให้ลุงกรุงเก่าตอบ55555
     
  19. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    อ่านแล้วเกือบ...งง...เลย
    ตามความเข้าใจของผมนะ......
    วิญญาณ คือ ตัว แสดง ผล ที่จิตไปรับรู้..เมื่อ วิญญาณเกิด แล้วจึง เกิด สังขาร ต่อไปครับ((สังขารเจตสิก))เป็น ตัว อารมณ์ ตอนนี้ จิต ไม่รู้แล้วครับจิต มีแต่รับ กรรมที่เกิด ความปรุงนั้นๆครับ..สั่งสมเป็น ข้อมูลในใจเกิด สัญญา เก็บไว้...เรียกว่า สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างภพ สร้างชาติ สะสมไว้..ในตัวจิจ ครับ

    ผม มีความเห็น แบบนี้ ไม่รู้ ถูกต้องมั้ย...ส่วน คุณ มะหน่อต้องการ คำตอบ อะไร แบบไหน ครับ...จะให้ชี้ อะไรอย่างไร ...ลอง ว่า มาต่อ ครับ...
     
  20. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    คำว่า ตรงนี้ จิตไม่รู้ แล้ว..นยั้น ไม่ได้หมายความว่า จิตหยุดทำงานนะครับ..
    ผมกล่่าว แค่ สภาวะ ธรรม อันแรกที่เกิดนะครับ..ส่วนการ รู้ นั้นยเกิด ต่อเนื่องครับ...แต่ มันจะย้ายไปรู้เรื่องอื่นๆ เรื่อยไป..บางที ไปรู้กาย..ขณะ ที่เรา กำลังคิด บางที ไปรู้ อาการปวดท้อง ไปรู้ อะไร ที่แสดงตัวชัดเจนก่อน..จิต จะไปรู้อันนั้น...

    การ เจริญสติ ท่านจึง เน้นว่า..
    ให้ตาม รู้ ทัน จิต ที่ไป รู้ สภาวะต่างๆทางกาย หรือ ทางใจ ที่มันแส่ไปรับรู้ ตลอดเวลา รู้อันไหน ก่อน ก็ ละ อันนั้น ครับ

    การรู้ แบบนี้ จะตรงกับ ที่ หลวงปู่ ดุลย์ ท่าน เคย ถวาย วิสัชนา ต่อ ในหลวง ที่ ทรง ถามว่า การละ กิเลส ให้ละอันไหนก่อน...

    การละ กิเลส จะเป็น แบบที่ผม กล่าว นี่่ละครับ...
    รู้ทันใจ ที่ไป จับอะไร ทัน ก้ ละอันนั้น แหละครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...