จิตไม่เกิดดับ เพราะจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ จิตจึงไม่ใช่กองทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 16 สิงหาคม 2011.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    มาให้กำลังใจท่านธรรมภูติ ครับที่เผยแพร่ บทความดีๆ
     
  2. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    จิตหลุดพ้น = น้ำบริสุทธิ์
    จิตปรุงแต่ง = น้ำไม่บริสุทธิ์
    แต่ผู้ที่จิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่มีอณูของความคิดในความหลุดพ้นนั้น
    หากยังคิดว่า จิตหลุดพ้นเป็นอย่างไร ย่อมวนเวียนอยู่ในอ่างของความคิดเท่านั้นเอง
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ส่วนผมนั้นก่อนอื่นก็สวัสดีคุณพี่ธรรมภูตและคุณพี่ธรรมสวณังครับ อนุโมทนากับธรรมที่นำมาเสนอด้วยครับ
    เรื่องจิตนี้ ผมดูยังไงๆตามพระธรรมนั้นมันเป็นเรื่องควรรู้มันเป็นขั้นที่สามของการรู้ มันเป็นวิปัสสนามยปัญญา ผมเห็นว่า คำว่า จิต นี้เป็นความรู้ และรู้โดยอะไร ทำไมเราถึงเห็นว่ามันมีและมันไม่มีอะไรๆอยู่ในจิต ผมเห็นว่าเราไม่น่าจะไปสนใจมันมากนักเพราะว่าหากเราสนใจกับคำต่างๆที่บัญญัติไว้มันจะทำให้งงและหลงทางไปได้ เช่น จิตไม่เกิดดับเป็นไงตามตำรา จิตเกิดดับเป็นไงตามตำรา ผมว่าเรามานั่งพิจารณาว่าที่ว่าจิตเกิดดับนั้นจริงไหม และทำไมถึงเกิดดับจะดีกว่า จิตใดมีความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งทั้งหลายอาศัยเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยทั้งหลายอาศัยเหตุปัจจัยอยู่เช่นกันเป็นของไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป จึงเป็นเหตุให้จิตนั้นมีเกิดและดับลง แต่ตัวจิตจริงๆมันไม่ได้ดับลงเพราะตัวจิตจริงๆไม่ได้อาศัยเหตุอื่นนอกจากมหาภูตรูปหรือขันธ์ ๕ อันมีอยู่ มันจึงเป็นเรื่องว่าทำไมจิตถึงปภัสสร แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อไหร่ก็ตามผู้วิปัสสนากรรมฐานมองเห็นความเกิดดับของจิตสังขารนั้นได้จริงตามความเป็นจริง ก็จะทราบชัดและเข้าใจได้เองว่าที่เรากำลังนั่งพิจารณามันคืออะไร มันเป็นเพียงเหตุปัจจัยของการมีตัวตนหรือว่าอะไร และที่มานั้นมาจากไหนก็ต้องไปนั่งพิจารณาเอาเพราะมันก็...มากเอาการนะจึงจะเห็นในธรรมตามที่พระศาสดาทรงตรัสและบัญญัติเอาไว้
    สาธุคั๊บ
     
  4. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    อุตส่าพิมพ์มาตั้งเยอะแล้ว แม..........ดันไฟดับ
    กราบเรียนท่านธรรมภูติ ดีครับแรงดีคุณน่ะผมชอบ
    ก็ถูกนะแต่ยังถูกแค่ พระอนาคามี ยังไม่สามารถจะเป็นอรหันต์ได้ คุณเคยได้ยินคำว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำทายจิต จึงจะพบซึ่งความบริสุทธิ์
    *พอคุณปฎิบัติมาจนถึงขั้น อนาคามี มันเหลือแต่ผู้รู้ล้วนๆ มันไม่มีอะไรจะดูแล้วจะดูอะไรต่อวะเนี่ย ก็ดูจิตผู้รู้ไง หรือก็คือดูตัวมันเองไง //เฮ้ยแล้วเองเอาอะไรดูจิตผู้รู้ ก็จิตผู้รู้ดูจิตผู้รู้ งงแมะ แล้วทำไมเราเห็นจิตผู้รู้ได้ ถ้างันก็ต้องมีจิตผู้รู้อีกตัวซิ

    จริงๆจิตผู้รู้นั้นไม่มีหรอก มันมีแต่จิตดวงที่1ดับไป จิตดวงที่2 จึงเห็นจิตดวงที่1ดับ เพราะงั้นจิตดวงที่2นั้นก็คือจิต ผู้รู้ แล้วจิตดวงที่ 2ดับไปอีก จิตดวงที่3เป็นผู้เห็นจิตดวงที่2ดับ เพราะงั้นจิตดวงที่3จึงเป็นจิตผู้รู้ ปฎิบัติไปจนเป็นพระอนาคามี จึงไม่มีอะไรให้ดู จึงเห็น จิตมีสภาพเด่นดวงอยู่อย่างนั้น จึงมีความคิดว่า สำเร็จแล้ว แต่ที่ไหนได้ ในบางครั้งจึงเห็นความเศร้าหมองของจิต นิดเดียว แค่1% แล้วก็ดับไป ก็อยู่กับจิตที่เด่นดวงอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเกิดอาการทุกข์อย่างหนัก ถาโถมเข้ามา เหมือนไม่มีกำลังอะไรเลย เหมือนเป็นปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น จิตใจวุ่นวายสารพัด จิตผู้รู้ที่เคยเก่งกาจสามารถ จิตผู้รู้ที่เคยจับอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ก่อนที่มันจะเข้ามาทำร้ายใจเราให้เจ็บช้ำ มันไปไหนเสีย ....... เปรียบเสมือนพญามารมาบุกสมันพระพุทธเจ้า .....แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ก็ทนอยู่กับความทุกข์นั้น จนก้อนทุกข์นั้นมันสลายไปเอง
    แล้วก็มาเจอกับจิตที่ว่างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไม่มีแม้จิตผู้รู้ที่เราหวงแหน เหมือนงูจงอางหวงไข่ จบกิจแล้วแน่นอน

    ///จึงมีคำกล่าวที่ว่า พบจิตให้ทำลายจิต พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ จึงจะพบกับความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เปรียบเสมือน ฟองไข่แดงที่อยู่ในเปลือกไข่เมื่อโตเต็มที่มันจะเจาะเปลือกไข่ออกมาเอง นั่นก็คือ จิตผู้รู้นี่เอง คือตัวอวิชชาอย่างไรเล่า

    ผมอ่านอันนี้ของคุณ ผมขำกลิ้งเลย ผมว่าคุณไปเรียนอนุบาล1ใหม่ดีไหม แสดงว่าคุณคิดว่า ร่างกายเนี่ยคือ อวิชชาล่ะซิ เด็กอนุบาลหรือเปล่า แสดงว่าเวลาตายแล้ว จิตก็ดับไปด้วยซิ อันนี้ไม่อธิบายดีกว่าเด็กเกินไป

    มันตอนเราใช้งาน เราใช้ชีวิตประจำวัน ไอ้ที่ตั้งมั่นจริงๆน่ะมันตอนเรานั่งสมาธิ หรือถ้ามันเป็นวสีแล้ว จะทำอะไรก็เป็นฌาน เขาเรียกว่าฌานใช้งาน ที่คุณพูดน่ะก็ถูกตั้งมั่นแล้วมันก็ไม่มีความคิดหรอก เพราะมันละวิตก-วิจารณ์ได้แล้ว แต่เวลาเอามาใช้ เวลาเจอผัสสะมากระทบ สติที่ตั้งมั่นแล้ว พอมันเห็นอารมณ์ อารมณ์ก็ดับทันที เช่น ตอนแฟนคุณแอบไปมีชู้ คุณเห็นชู้นอนกับแฟนคุณนอนด้วยกันต่อหน้าต่อตาคุณ เป็นไง อารมณ์พุ่งปีดเลย ถ้าสติคุณกล้าแข็งตั้งมั่น สติมันจะฆ่าอารมณ์นั้น ทันที แต่อารมณ์นั้นไม่ได้มาครั้งเดียว มันมาทีเป็นกระสุนเอ็ม 16 มารอบทิศทาง สติคุณก็จับฆ่าได้หมด ก่อนที่มันจะเข้ามาทำลายใจคุณ เปรียบเสมือนแมวจับหนู

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เราและไม่ใช่เรา อะไรกันนะที่ทำให้เราเป็นเราถ้าไม่ใช่ความหลงยึดมั่นถือมั่น จิตที่พระศาสดาบอกว่าไม่ใช่เรานั้นไม่ได้หมายความว่าจิตตามที่หลายๆคนเข้าใจกันสักหน่อย พิจารณาดีๆแล้วมันเป็นจิตตัวนั้นจิตตัวนี้แสดงว่ามันมีหลายๆตัวแต่ละตัวนั้นมันเกิดขึ้นและดับไปไม่ได้อยู่อย่างนั้นตลอดไป และจิตที่คนบางคนเข้าใจว่าจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปนั้นถ้าพิจารณาดีๆก็พบว่าไม่จริงอีกนั่นแหละเพราะเมื่อเราในที่นี้เปลี่ยน หมายถึงเปลี่ยนจากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่งความเป็นเราของภพนั้นๆก็หมดไป หากเรายังยึดถือเอาว่ามาภพนี้ก็ยังเป็นเราอีกมันก็จะไม่มีวันสิ้นสุด เป็นวัฏสงสารอันยาวนาน ดังนั้นไม่ว่าจะพระสูตรไหนๆแม้แต่พระอภิธรรมก็ตามทีจะเห็นความสิ้นสุดของจิตเสมอคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เหลือไว้เพียงรู้ แต่ไม่ยึดไว้ บางทีนะบางคนด้วยเข้าใจผิดเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเลยคิดว่านั้นสิ้นสุดคือกลายเป็นโง่ไปเลยเพราะว่าไม่รู้ว่าขณะนั้นจิตคืออะไร มันไม่มีความปรุงแต่งหาที่มาที่ไปไม่ได้ดูมันเหมือนเที่ยงแท้แน่นอน แต่ที่จริงมันคนละอันกันและเข้าไม่ถึงจิต เพียงแต่ดูอยู่ข้างนอกนั้นจึงเห็นเป็นแบบนั้น ก็ยังงงๆอยู่ว่าแล้วทำไมไม่เข้าไปดูมันให้เห็นจริงๆไปเลยว่าข้างในความว่างนั้น มันมีอะไรอยู่กันแน่จะได้จบสิ้นข้อสงสัยกันเสียที กลัวอะไรกัน แปลกจริงๆ
    สาธุคั๊บ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    โอ กู้ด .(kiss):cool:
     
  7. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า "วังคีสพราหมณ์" ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แต่เปี่ยมได้ด้วยอินทรีย์แก่กล้า ที่พร้อมบรรลุพระอรหันต์ในปัจจุบันชาติ

    รับจ้าง ดีดกระโหลก ตรวจดูว่าคนตายไปแล้วไปเกิด ณ ที่ใด..?

    แต่ได้ถูกพระพุทธเจ้าทรมาน เอากระโหลกพระอรหันต์มาให้ดีด "วังคีสะพราหมณ์"ไม่อาจล่วงรู้ได้
    พระพุทธเจ้าท่านมีกุศโลบาย วังคีสพราหรมณ์ จึงได้ออกบวชเพื่อขอเรียนมนต์จากสำนักพระพุทธเจ้า
    จนได้บรรลุพระอรหันต์ นามว่า "พระวังคีสเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ"

    และอีกกรณี ประวัติของ "พระโคธิกะ" ที่ว่า มารตามหาวิญญาณของท่าน
    ท่านได้เจริญสมณธรรม เจริญแล้วเสื่อมๆ ท่านเสียใจมาก
    พอครั้งที่7 ท่านถึงกับเชือดคอตัวเอง แล้วพิจารณาธรรมในระหว่างนั้น จนสำเร็จพระอรหันต์

    มารค้นหาวิญญาณท่านเท่าไหร่ ก็ไม่พบ

    ถึงกับต้องแปลงร่าง ถือพิณเหน็บรักแร้ ไปยังสำนักพระพุทธเจ้า
    พอพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโคธิกะนิพพานแล้ว มารถึงกับพิณล่วงจากรักแร้ เสียใจหลาย

    ????????
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    วิ้วๆ ว้าว โอย สงสัย มี Lab เป็นของตัวเอง คุณแคป่า
     
  9. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201

    ช่วงนี้กำลังศึกษา "อิตถีวรรค" ในชาดก พร้อมไปด้วย

    "พี่เตช" มาช่วยหน่อยเร็ว..!
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ good!({)
     
  11. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ก็ศึกษาไว้เถอะ
    เผื่อว่าได้เกิดเป็นหญิง
    จะได้ไม่ประพฤติเช่นนั้น

    อันว่าสัตว์โลกนั้น
    เกิดมาหลายภพหลายชาติ
    เป็นมาหลายภพหลายภูมิ
    เป็นได้ทั้งชายและหญิง
    อย่าคิดว่าตนจะไม่เกิดเป็นหญิง
    ต่อไปข้างหน้า

    อย่าเอาความโง่ของตนมาประจานตนอีกเลย

    คุณไม่ฉลาดหรอกที่แสดงแบบนี้
     
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จากการดับไปของภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่ง ความทรงจำในภพภูมิที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะจดจำไม่ได้

    แต่หากว่ามีการฝึก ศึกษา ถึงการระลึกจนสามารถบรรลุในธรรมข้อนั้น จะสามารถระลึกถึงภพภูมิที่ผ่านมาได้

    ได้มีแสดงเอาไว้ให้ได้ศึกษากันในเรื่องการ "ระลึกชาติ" ครับ

    ซึ่งสิ่งนี้จะยืนยันว่าอย่างไร เกี่ยวข้องกับคำว่า "จิต" ไหมครับ แล้วเหตุใดจิตจึงระลึกชาติได้

    เป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยากพอดู เพราะจะใช้การนึกคิดก็ไม่สามารถเห็นได้จริง มีแต่ต้องเข้าไปสัมผัสด้วยจิตเท่านั้นครับ

    ฝากไว้ให้พิจารณาครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  13. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    [​IMG]
     
  14. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    เอานามมาเป็นรูป เอารูปไปเป็นนาม
     
  15. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    คุณธรรมภูติ ผมแอบไปอ่านของคุณมา web คุณน่ะ สุดยอดเลย ถูกต้องเลย คือเราต้องได้สมถะก่อนแล้วค่อยไปดูจิต ไม่งั้นเป้นการดูจิตปลอมๆ เพราะอารมณืที่มากระทบมันไม่ดับทันที แมวยังจับหนูไม่เก่ง

    แต่ผมสงสัยอยู่ว่า การเป็นพระโสดาบันนั้น เราจะต้องได้ฌาน 4 เเลยหรือ
    ผมเข้าใจอย่างนี้นะ
    1แค่ฌาน 2 เพราะละวิตก-วิจารณ์ได้แล้ว แต่ต้องวสี เพราะฌาน2เนี่ยสติก้ตั้งมั่นแล้ว
    เมื่อสติเราตั้งมั่นแล้ว เมื่อจิตผู้รู้เห็นอารมณ์ที่จรเข้ามา อารมณ์นั้นก็ดับทันที

    ข้อ1 เนี่ยจึงเป็นการสอดคล้องกับคำว่า เป็นผู้ที่ ศีล5 บริสุทธิ์ เป็นองค์ของพระโสดาบัน เพราะก่อนที่กายจะกระทำกรรมนั้นลงไป จิตจะคิดก่อน เมื่อคิด ปับ สติที่ตั้งมั่น มันจะตัดทันที

    สติเป็นอัตโนมัติ หรือเรียกว่า แมวจับหนูได้เองแล้ว โดยที่เราเป็นผู้ดูอยู่เฉยๆ แค่นี้ก็เป็นพระโสดาบันแล้ว

    ทำไมจึงบอกว่า ต้องได้ฌาน4 =====ฌาน4นั้นมัน อนาคามีกับอรหันต์ไม่ใช่หรือ

    ขอความกระจ่างด้วยท่านธรรมภูติ

     
  16. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    พระพุทธองค์เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
    ไม่เคยกล่าวให้ร้ายเสียดสีอิตถีเพศ
    พระองค์ไม่เคยทำเช่นนี้
    มีแต่เสียสละแม้แต่เลือดเนื้อของตนก็สละได้
    ควรจำไว้เป็นคติเตือนใจตนเสมอ

    ธรรมะที่ได้มาจากสัญญาความจำ
    ไม่ได้มาจากผลการปฏิบัติจริงรู้จริงเห็นจริง
    หากนำมาแสดงในทางที่ผิด
    ธรรมะนั้นย่อมไม่ต่างจากก้างที่ตำคอตนเองของผู้แสดง
    นั่นแหละธรรมะถึงได้ติดคออยู่เดี๋ยวนี้ล่ะ
    ลองพิจารณาดูนะ

    ผมไม่อยากมาโพสต์บ่อย ๆ
    พอมาโพสต์ก็ต้องได้มีเหตุกระทบจิตใจอย่างนี่สิน่ะ

    ไม่โพสต์จะดีกว่า...
     
  17. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    เอาๆ ทีหลังจะไม่กล่าวถึงล่ะ ขออภัยล่ะกัน

    ระวังก้างตำคอตัวเองเหอะ หากว่าท่านรู้เห็นจริงประการใดแล้ว
    ก็จงมาโพสแนะนำบ่อยๆ จะมาอ่านอย่างเงียบๆ :cool:
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    นับว่าพี่หม้อมีใจเป็นธรรมทีเดียว

    ก็อย่างนี้ล่ะอย่าถือสีถือสากัน
    หนักนิดเบาหน่อยอภัยกันไป

    อย่าถือสากันนะ...

    อย่างนี้น่าจะกราบเรียนขอหลวงพ่อเตะให้ซักป้าบนึง
     
  19. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    อืม...ไม่ว่ากัน ผมสุภาพบุรุษอยู่แล้ว :VO ^-^

    ได้โปรดจงพิจารฮา..!
     
  20. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ผมไ้ม่รู้ว่าจิตเกิดดับอย่างไร และไม่รู้ว่าจิตไม่เกิดดับอย่างไร

    รู้อยู่แต่ว่าจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ที่ยังทุึกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความโง่ ทำให้อุปาทานขันธ์ ๕ ยังไม่หมดไปจากจิต

    ก็ได้แต่พยายามแกะคำว่า เรา ของๆเราให้หมดไป จะได้ถึงคำว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเราบริบูรณ์เสียที

    อนุโมทนากุศลจิตในการสนทนาธรรมกันนะครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...