จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คติธรรมและโอวาทหลวงปู่

    [​IMG]
    Published on Apr 24, 2013

    หลวง ปู่มั่น ภูริทัตโต คติธรรมและโอวาทหลวงปู่ วัดป่าสุทธาวาส ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จากเสียงบรรยายของพระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน ตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผลิตเผยแพร่โดยครูอุไร น่าบัณฑิต ครูวีระ น่าบัณฑิต คุณภควัต น่าบัณฑิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpMunJustdoit.jpg
      LpMunJustdoit.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14 KB
      เปิดดู:
      104
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      99
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    .ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • word3.jpg
      word3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.7 KB
      เปิดดู:
      1,238
    • tunatwo.jpg
      tunatwo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.3 KB
      เปิดดู:
      90
    • Letgo1.jpg
      Letgo1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.8 KB
      เปิดดู:
      735
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    .. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2016
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    คำตรัสของพระพุทธเจ้า คัดลอกจากพระไตรปิฏก มาบางส่วน

    ลักษณะของผู้มีสติและสัมปชัญญะ

    ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้มีสติเป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้

    เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้;

    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....;

    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ ....;

    เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำมีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.

    ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู

    การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูดการนิ่ง,

    ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.

    สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpPanNippan.jpg
      LpPanNippan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.5 KB
      เปิดดู:
      1,222
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      97
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    ความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
    ความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง จงจําไว้ให้ถึงที่สุด
    เมื่อจําไว้ทุกวัน ลืมตาขึ้นมาเช้ามีความรู้สึกไว้เสมอว่า
    เราอาจจะไม่ได้กินข้าวเช้า เราอาจจะตายก่อนก็ได้ ความตายไม่มีนิมิต ความตายไม่มีเครื่องหมาย
    ถ้าเราตายเลว ก็ดูตัวอย่างสัตว์ในอบายภูมิ มีนรกและเปรตเป็นต้น
    ก่อนจะตายถ้าเราทําความดี นั่นก็เป็นเรื่องที่เราจะฟังต่อไปข้างหน้าในเรื่องวิมานวัตถุ จะเห็นผลมีความสุข
    ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยทรัพย์มีความสุข
    ถ้าเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาที่มีความสุขสมบูรณ์ ไม่ต้องเป็นเปรตไปก่อนแล้วจึงเป็นเทวดา

    (ปฎิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า๒๘)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ทำบาปอะไรไปตกนรกขุมไหน
    [​IMG]
    Published on Sep 21, 2012

    พระธรรมเทศนาเรื่อง ทำบาปอะไรไปตกนรกขุมไหน
    โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙)
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร
    . .
     
  10. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    #หลวงปู่ใหญ่
    เมตตาเล่าประวัติของท่าน
    ให้แม่(มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา)ได้บันทึกไว้ มีดังนี้.....

    บิดาของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร มีนามว่า โกเมน มารดามีนามว่า พิราศ ท่านมีบุตร 2 คน คือ ท่านพระครูธรรมเทพโลกอุดร และน้องสาว ชื่อ ทิพย์ยะติ หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ก่อนที่ท่านจะถือกำเนิด มี ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของบิดา ได้เดินทางธุดงค์มาจากทางเขาพันสน ปัจจุบันอยู่ในประเทศศรีลังกา ท่านมาพักอยู่ที่บ้านของบิดา บิดามารดาของหลวงปู่ใหญ่ ท่านเป็นคนมีศีลมีธรรม ท่านได้จัดทำพิธีไหว้ครู(ก็คือ ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ) ในวันนั้น ก็บังเอิญที่หน้าบ้านของบิดาหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้มีดอกบัวผุดขึ้นมาจากสระน้ำ เป็นดอกบัวสีแดง พระอาจารย์พูดขึ้นว่า "ดอกบัวนั้นน่ะ แสดงให้รู้ว่า จะมีผู้มีบุญญาธิการมาเกิด เมื่อบวชจะได้เป็นพระอรหันต์" พระอาจารย์ได้บอกให้บิดาของหลวงปู่ใหญ่ จัดทำพิธีเตชะวา(คือ การทำพิธีบวงสรวงเทพยดา) พระอาจารย์จะเป็นผู้ทำพิธีให้ เครื่องบวงสรวงก็มี ขันน้ำ 1 ขัน มะพร้าวผ่าซีก 1 ลูก จุดธูป 16 ดอก และท่านได้ทำพิธีรวมธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุทั้ง 4 รวมกัน ก็เป็นอากาศธาตุ วันที่ท่านทำพิธีนั้น ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง ซึ่งถือเป็นวันดี และเป็นวันที่หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้ถือกำเนิดขึ้น ในวันนั้น ก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ ดอกบัวที่อยู่ในสระนั้น ได้บานขึ้นมา บิดาของหลวงปู่ ได้อุ้มหลวงปู่ ที่เพิ่งถือกำเนิดออกมา ไปวางไว้ในดอกบัว ทันใดนั้น ดอกบัวก็ได้พลันหุบลง ห่อตัวหลวงปู่เอาไว้ บิดาของหลวงปู่ เห็นดังนั้นก็ตกใจ กลัวว่าดอกบัวจะไม่ยอมบานออก เพื่อให้หลวงปู่ได้ออกมา พระเทพศันกัลป์ยะ จึงได้พูดกับบิดาของหลวงปู่ว่า ให้ทำพิธีเวทุตา(คือ การทำพิธีขอขมาดอกบัว) บิดาของหลวงปู่ได้ยินดังนั้น ก็จัดแจงทำพิธีกรรมขอขมาขึ้น โดยได้นำเอา ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ ดอกทะลิ และของไหว้ตามประเพณี พร้อมธูป 16 ดอก มาก้มกราบขอขมาดอกบัว และได้กล่าวคำขอขมาว่า "ข้าพเจ้าได้ทำผิดพลาด หรือกล่าวล่วงเกินสิ่งใดๆต่อท่านดอกบัว ข้าพเจ้านั้น ไม่มีเจตนา ข้าพเจ้าขอขมาท่านด้วยเทอญ ข้าพเจ้า ขอตั้งสัจจะว่า เมื่อบุตรชายของข้าพเจ้าเติบโต ข้าพเจ้าจะให้บวชเรียน เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป และข้าพเจ้าจะไม่ทำผิดต่อท่านอีก โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ" การขอขมาของบิดาเป็นผลสำเร็จ ดอกบัวได้บานออกมา บิดาก็อุ้มหลวงปู่ออกมาจากดอกบัว!!!.....

    หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า พออายุได้ 18 ปี ดอกบัวที่อยู่ในสระน้ำหน้าบ้านนั้น ก็บานขึ้นมาอีกครั้ง!! แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ มีลำแสงไฟสว่างพวยพุ่งออกมาจากเกสรดอกบัว ลำแสงนั้น ฟุ้งขึ้นมาหลายๆดวงพร้อมกัน !!! (เหมือนกับเราจุดพลุในปัจจุบันนี้) ความหมายที่ท่านดอกบัวบอก ก็คือ ถึงเวลาแล้วที่บิดาจะต้องให้หลวงปู่บวชเรียน บิดาก็ได้จัดเตรียมของบูชาดอกบัว เพื่อทำพิธีบอกกล่าว ว่าจะนำบุตรชายเข้าทำพิธีบวชเรียนแล้ว ตามที่ได้กล่าวให้สัจจะเอาไว้เมื่อครั้งก่อน ตอนนั้น บิดามารดาของหลวงปู่ ได้จัดเตรียมของบวชให้ ก็มีผ้าขาว 1 ผืน ผ้าจีวรที่พระมารดาเป็นผู้ทอผ้าเอง 1 ผืน มีดอกดาวเรือง ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ผลไม้ นมแพะ 1 แก้ว น้ำ 1 ขัน น้ำผึ้ง 1 ขวด ตั้งไว้อยู่ที่โต๊ะบูชา การบวชในครั้งนี้ มีพระเทพศันกัลป์ยะ เป็นครูอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชนั้น ได้บอกกล่าวกับดอกบัวว่า "ขอได้โปรด ท่านดอกบัวเอ๋ย ข้าพเจ้าจะขอลาท่าน เพื่อบวชเรียน เพื่อที่จะสร้างบารมี และบำรุงพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านดอกบัวโปรดเมตตาในตัวข้าพเจ้าด้วยเทอญ ถ้าบุญวาสนาของข้าพเจ้ามี ที่จะได้บวชรับใช้พระพุทธศาสนาต่อไปข้างหน้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวชอย่างไม่มีอุปสรรคอันใดเลย ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะวาจา และสัญญาว่า ข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จะไม่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป ขอจงได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้บวชด้วยเทอญ ข้าพเจ้าจะทำตามคำสัตย์จริงทุกประการ สาธุ สาธุ สาธุ "

    เมื่อหลวงปู่อธิษฐานเสร็จ ก็ได้บังเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ดอกบัวได้กลับหดลงไปเรื่อยๆ และปรากฎมีอัญมณีสีแดงผุดออกมาจากข้างในดอกบัว อัญมณีสีแดงนั้น ก็คือ พลอยสีแดง พุ่งออกมาตกอยู่ในมือของหลวงปู่ ดอกบัวนั้น ก็ได้หดหายไป ไม่มีร่องรอยของดอกบัวเหลือออีกเลย!! หลวงปู่ จึงตัดสินใจบวชตามเจตนา ส่วนอัญมณีสีแดงนั้น หลวงปู่ก็ได้นำติดตัวไว้เสมอ (หลวงปู่ใหญ่ท่านได้เล่าว่า พลอยสีแดงนั้น ท่านจะมอบให้กับคนที่ต้องสืบทอดพุทธศาสนาต่อไป และท่านก็กำหนดไว้แล้วว่า "ให้เก็บไว้ให้ดีนะ จะทำเป็นแหวนใส่ก็ได้ ปู่ให้เจ้าแล้ว" แต่แม่ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่า แม่ไม่แน่ใจว่า ใช่พลอยที่หลวงปู่ครองอยู่หรือเปล่า? แม่ไม่ทราบได้ และก็ไม่กล้าที่จะถามด้วย คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่ว่าอะไรที่หลวงปู่ท่านให้ จะเป็นก้อนหิน ก้อนกรวด ก็เป็นของดีทั้งนั้น!!.....

    ตอนหลวงปู่บวชเรียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าว่า ก็ตื่นเต้นอยู่ ครูอุปัชฌาย์ของท่าน สอนวิชาต่างๆให้ พาธุดงค์ สอนธรรมะ สอนวิธีการเดินธุดงค์ ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดแล้ว ก็ดูว่า เราสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว ท่านก็ให้หลวงปู่ไปศึกษาธรรมต่อที่ประเทศทิเบตอีก เพราะที่ทิเบตนั้น เป็นแหล่งศึกษาธรรมชั้นยอด เป็นนิกายมหายาน ซึ่งผู้ที่มาปฏิบัติ จะต้องเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ตอนนั้นหลวงปู่อายุได้ 23 ปี มีพระสหายที่สนิทสนมกันมาก คือ ท่านพระนามาตะ และหลวงปู่ก็ได้มาพบกับ พระเทพยะโสนะ ซึ่งเป็นพระสหายเก่าของท่าน พระเทพยะโสนะ ท่านก็ได้มาศึกษาธรรมที่ประเทศทิเบต และจะต้องไปเผยแผ่ธรรมต่อไปเหมือนกัน หลวงปู่อยู่ศึกษาธรรมที่ทิเบตหลายปี เรียนจนธรรมนั้น ได้เข้าไปถึงจิตวิญญาณ จิตสามารถรับรู้ได้เอง ในเรื่องของพลังและอิทธิฤทธิ์(จนเป็นที่เลื่องลือกัน ในหมู่พระที่เรียนธรรมด้วยกัน ทุกรูปจึงเรียกหลวงปู่ว่า"พระเทพมุนียะ" ซึ่งหมายถึง นามแห่งรูปธรรม

    หลังจากที่เรียนจบแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับถิ่นฐานเดิม เมื่อต่างคนต่างได้วิชามาแล้ว มีพระธรรมอยู่ในจิตวิญญาณแล้ว พระอาจารย์(ก็คือ ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ)ได้ทำการคัดเลือกให้ไปเผยแผ่พุทธศาสนาตามทวีปต่างๆ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆละ 5 รูป เพราะที่ไปเรียนวิชากันมา มีทั้งหมด 10 รูป ใน 10 รูปนี้ มีพระสหายที่สนิทของหลวงปู่ด้วย คือ ท่านพระนามาตะ พระอาจารย์เป็นผู้คัดเลือกเอง ว่ารูปไหนควรจะไปทางทิศใด ท่านได้ทำพิธีคัดเลือกประมาณตี 1 ตอนสวดมนต์ทำวัตรตามปกติ แล้วจะเข้ากรรมฐานต่อ ช่วงที่เข้ากรรมฐานนั้น พระอาจารย์จะเป็นคนคัดเลือก โดยท่านจะประกาศชื่อของแต่ละรูป ซึ่งแบ่งเป็น 2 สาย เพื่อจะได้เดินทางแยกย้ายไปเผยแผ่ ในคณะของหลวงปู่นั้น ก็มี 5 รูป แต่ไม่มีพระสหายคนสนิทของหลวงปู่ร่วมอยู่ในคณะด้วย คือ ท่านพระนามาตะ ในคณะของหลวงปู่มีชื่อ ดังนี้.-

    1.พระเทพมุนียะ(หลวงปู่ใหญ่ หรือหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร นามเดิมของท่าน คือ พระครูธรรมโลกอุดร เพราะตอนบวชท่านได้ฉายานามนี้)

    2.พระเทพยะโสนะ

    3.พระเทพศรีอุตตระ

    4.พระเทพภิริยะญาณี

    5.พระเทพธรรมภูริ.....

    คณะของหลวงปู่ เลือกที่จะเดินทางมาประเทศสยาม(หมายถึงประเทศไทย) การเดินทางต้องรอนแรมมาตามป่าเขา เพราะเป็นป่าทึบมาก สัตว์ป่าก็มีเยอะ เป็นป่าที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางมาเผยแผ่ธรรมนั้น ระหว่างการเดินทาง มีอุปสรรคมากมาย โดนผีหลอกบ้าง โดนพรางตาบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง หาแหล่งน้ำไม่เจอ ตอนแรกคณะของหลวงปู่ทุกรูป ก็ไม่ได้คิดอะไร เดินหาจนเหนื่อย ได้ยินเสียงน้ำไหลใกล้ แต่ก็หาลำน้ำไม่พบสักที เล่นเอาเหนื่อยไม่อยากเดินหาแล้ว จึงหยุดนั่งหลับตาดู ว่าเสียงน้ำมาจากทางไหน? พอนั่งหลับตาสักพักก็เห็น ลำน้ำไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย ที่มองไม่เห็นก็เพราะไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าว ขอเจ้าป่าเจ้าเขา จึงได้จัดแจงกันทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา นึกถึงครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยเหลือ ปรากฏว่าน้ำก็ผุดมาให้เห็นในทันที!!! น้ำใสสะอาดมาก ได้ดื่ม ชำระร่างกายกันจนเรียบร้อย ก็พากันปักกรดเพื่อปฏิบัติธรรมแผ่เมตตา ช่วยเหลือพวกเขาที่อยู่บริเวณนั้น 1 คืน รุ่งเช้าพากันเดินทางต่อ จนในที่สุด คณะของหลวงปู่ก็เดินทางมาถึงประเทศสยาม

    ถึงเขตประเทศสยามแล้ว จึงทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ท่านได้คุ้มครองคณะของหลวงปู่ให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นตามถ้ำ ตามต้นไม้ หรือพื้นดิน เมื่อทำพิธีขอขมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นมาก ไม่ทุลักทุเลเหมือนทางที่ผ่านๆมา คณะของหลวงปู่เดินทางมาเรื่อยๆ จนเห็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งอยู่กลางป่า หลวงปู่และคณะ ตกลงกันว่า จะพักที่ใต้ต้นโพธิ์นี้ ทุกคนพักกันหายเหนื่อยแล้ว พระเทพยะโสนะ ท่านได้พูดขึ้นเป็นเชิงปรึกษาว่า "เราควรที่แยกย้ายกันไปแต่ละแห่งตามทิศที่พวกท่านปรารถนา เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมะได้หลายๆแห่ง" ทุกรูปต่างเห็นดีด้วย จึงเตรียมตัวแยกย้ายกันไปตามภาคต่างๆ ส่วนหลวงปู่เอง ขอเลือกมาทางภาคอีสาน เมื่อเลือกที่จะมาทางภาคอีสานแล้ว ก็ได้เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองลพบุรี......

    เมื่อมาถึงเมืองลพบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมรังสี สมัยนั้น เมืองลพบุรียังเป็นป่าอยู่ และวัดพรหมรังสียังเป็นป่ารกร้าง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง หลวงปู่ก็ได้พักที่นั่น อยู่เมืองลพบุรีไม่นาน ก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองชัยภูมิ(แต่ก่อนเมืองชัยภูมิ ยังอยู่ในเขตเมืองเลยในอดีต) ตรงที่เป็นถ้ำวัวแดงอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนเขาแถบนี้ยาวมาก มีอาณาเขตติดต่อกันหลายจังหวัด ในคราวแรกหลวงปู่เดินผ่านเขาลูกนี้ไปแล้ว แต่ไปๆมาๆ ก็เดินกลับมาที่เขาลูกนี้อีก จนได้พบกับคณะของหลวงปู่ครบทั้ง 5 รูปที่เขาวัวแดงนี้ ซึ่งจะว่าเป็นการบังเอิญก็ใช่เหตุ ทุกคนต่างแปลกใจเหมือนกันหมด จึงพากันสำรวจเขาวัวแดงลูกนี้ พบว่ามีถ้ำเยอะมาก จึงตกลงกันว่า จะเอาเขาวัวแดงนี้ล่ะ เป็นจุดเผยแพร่ธรรมะ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ท่านเดินทางมาถึงประเทศสยาม จนได้มาอยู่ที่เขาวัวแดง(ถ้ำวัวแดงในปัจจุบันนี้) ในปีพ.ศ.1865 ท่านได้พูดขึ้นกับคณะของท่านว่า "ในเมื่อเราได้มารวมตัวกัน ณ ที่นี้แล้ว และที่นี่ก็มีถ้ำมากมายเหลือเกิน พวกเราจงเอาที่นี่แหละ เป็นที่เผยแผ่ธรรมะจะดีที่สุด"

    สิ้นเสียงหลวงปู่ ก็ได้มีเสียงบรรดาผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนรุกขเทวดา เมืองบังบด ไปจนถึงนางไม้เจ้าป่าเจ้าเขา มาคอยต้อนรับเป็นอย่างดี เทวดาทำการอัญเชิญนิมนต์"พระเทพยะโสนะ" ขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำแสงจันทร์" ส่วน"หลวงปู่ใหญ่"ท่านเทวดาได้นิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำสะอาด""พระเทพศรีอุตตระ" ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่"ถ้ำประทุนและถ้ำน้ำ" แต่ส่วนมาก มักชอบอยู่ที่"ถ้ำน้ำ" "พระเทพภิริยะญาณี"ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่"ถ้ำเจ็ดห้อง" ส่วน"พระเทพธรรมภูริ" ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่"ถ้ำสะดือ" เป็นอันว่า คณะของหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้ไปบำเพ็ญตามถ้ำต่างๆ ตามที่เทวดาได้นิมนต์เชิญ.....

    ทีนี้ทุกคนคงจะเข้าใจแล้วนะว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรนั้น มีนามว่า"พระเทพมุนียะ" นามเดิมของหลวงปู่ใหญ่นั้น ในหมู่เพื่อนของท่าน มักชอบเรียกกันว่า"พระครูธรรมเทพโลกอุดร" คำว่า"โลกอุดร" นี้มีความหมาย คือ "โลกแห่งการหลุดพ้น" หรือบางคนจะเรียกว่า"ความเหนือโลก"นั่นเอง

    หลวงปู่ท่านยังเล่าต่ออีกว่า ประมาณหลังเที่ยงคืนทุกวัน คณะของหลวงปู่ จะนัดพบกันที่"ถ้ำสะอาด" เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน เวลาสนทนาธรรม หลวงปู่ใหญ่จะเคี้ยวหมากไปด้วย มือก็จะถือ"ลูกแก้ว"เล่นไปด้วย ลูกแก้วของหลวงปู่ใหญ่นั้น สามารถเปลี่ยนสีได้(พูดถึงลูกแก้วแล้ว แม่จะเล่าให้ฟังนะ ลูกศิษย์เก่าๆ ที่ได้ลูกแก้วจากหลวงปู่ ที่มีคนนำมาถวายท่าน หลวงปู่ท่านได้ส่งญาณมาที่สังขารของแม่ และลงคาถาปลุกเสกลูกแก้ว ทุกคนที่ได้ลูกแก้วไป ก็จะเปลี่ยนสี บางคนเป็นสีขาวใสสะอาด บางคนเป็นสีฟ้า สีเขียวมรกตบ้าง สวยงามมาก ทั้งๆที่ตอนรับกับหลวงปู่นั้น ลูกแก้วก็ยังเป็นสีขาวธรรมดา ส่วนของแม่นั้น ได้มา 2 ลูก ลูกหนึ่งเป็นสีรุ้ง อีกลูกหนึ่งเป็นสีเขียว) หลวงปู่ใหญ่และคณะ มักจะสนทนาธรรมกันจนถึงตี 3 หลวงปู่ใหญ่ท่านได้พูดถึง"พระเทพธรรมภูริ"ว่า ท่านชอบนั่งหลับตาเวลาสนทนาธรรมกัน ท่านจะเป็นคนเยือกเย็น ทำตัวสบายๆ เวลาท่าน"พระเทพยะโสนะ"ถามอะไร ก็จะหลับตาตอบไปยิ้มไป พระเทพธรรมภูริเก่งหลายเรื่อง มีอิทธิฤทธิ์มาก ชอบเอากล้วยน้ำว้าติดไม้ติดมือมาฝากเป็นประจำ สำหรับ"พระเทพศรีอุตตระ" ท่านมีอภิญญา มีใจเป็นธรรม มีคุณธรรมประจำใจ "พระเทพศรีภิริยะญาณี" ท่านมีของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์หลายอย่าง พระเทพแต่ละองค์ ต่างก็มีของดี และมีอิทธิฤทธิ์ทุกรูป...

    "เอาละลูกเอ๋ย ทีนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ลูกจงเขียนไป หลวงปู่อนุญาตเจ้าแล้ว"

    หลวงปู่ท่านเมตตาเล่าประวัติย่อๆ ที่มาที่ไปให้แม่ได้ฟัง และดลใจให้แม่เขียน เพราะปกติแม่จะเขียนหนังสือไม่ค่อยถูกต้อง จะต้องให้ณีคอยบอกคอยเรียบเรียงแก้ไขให้ มีอยู่ตอนหนึ่ง หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ท่านจะเดินทางไปพบท่านพระเทพยะโสนะ ที่ถ้ำแสงจันทร์ ระหว่างทางได้พบกับช้างพลายป่า กำลังตกมันบ้าคลั่งอยู่ เดินเข้ามาทำร้ายหลวงปู่ หลวงปู่ก็เลยแผ่เมตตา และได้คุยกับเจ้าช้างพลายเชือกนั้น จนเจ้าช้างพลายสงบลง และเดินจากไป นอกจากนั้น หลวงปู่ ก็ยังเจองูอีก งูนี้เห็นหลวงปู่ก็เลื้อยหลีกหนีไป บางตัวก็หดตัวเลย หลวงปู่ท่านเล่าไปก็ยิ้มไป

    หลวงปู่มีเมตตาต่อลูกศิษย์มาก ท่านได้เผยความในใจของท่านว่า "อยากให้ลูกศิษย์ทุกๆคนเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม อยากให้ลูกศิษย์ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และสำเร็จทุกๆคน อยากให้ลูกศิษย์ รู้ถึงกฎแห่งกรรม จะได้ตั้งใจบำเพ็ญศีลภาวนา เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรืองทั้งปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า อยากให้ลูกศิษย์ทุกๆคน ช่วยเผยแผ่ธรรมะออกไป ให้กว้างไกล เพื่อพระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปอีก"

    ท่านพูดเสมอว่า "เพื่อพุทธศาสนิกชนชาวสยาม และเพื่อพุทธศาสนาแล้ว ท่านยอมที่จะเหนื่อย ยอมที่จะทำการทุกอย่างที่จะเผยแผ่พระธรรมให้มากที่สุด เพราะท่านอยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีชีวิตอันมีความสุขกายสุขใจ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข"!!....
    กราบบูชาอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
    Cr: oknation.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      78.2 KB
      เปิดดู:
      118
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มักกะลีผลบทที่ 81-90 นิยายธรรมะ หลวงพ่อจรัญ(หลวงพ่อโตสอนแม่นาคและการเสวนาธรรมหลวงปู่สด)
    [​IMG]


    Published on Mar 16, 2014

    เสียงอ่านหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรร­ม ชุด มักกะลีผล บทที่ 81-90 โดย อ.สุทัสสา อ่อนค้อม บทอื่นคลิกที่นี่ครับ https://www.youtube.com/watch?v=kMlc8
    สามารถสั่งซื้อmp3และหนังสือได้ที่ http://www.sudassa.com]index

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2016
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    การปฎิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ
    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ อยากจะเรียนถามว่า การปฎิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ มีบ้างไหมเจ้าคะ..
    หลวงพ่อ : ต้องการแบบย่อหรือ..ต้องไม่ยืนตรง
    ผู้ถาม : อ้าว..ทําไมล่ะครับหลวงพ่อ
    หลวงพ่อ : งอเข่ามานิด..แล้วก็ย่อตัวลงมา ก็ความจริงอันดับแรกจับ พุทธานุสสติ ให้ทรงตัว หลังจากนั้นก็พิจารณากายคตานุสสติ ร่างกายนี้มันไม่ดีเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายเป็นชิ้นเป็นตอนเป็นท่อนใช่ไหม..ไม่เป็นแท่งทึบมีอาการ๓๒ คือ ผม..เล็บ..และฟัน เป็นต้น นี่เขาถือเป็นกายคตานุสสติ เห็นว่าทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกอันนี้เป็นอสุภกรรมฐาน เห็นว่ามันไม่ดีมันก็เป็นทุกข์ แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด
    หลังจากนั้นก็ตั้งจิตไว้เฉพาะ พระนิพพานเป็นอารมณ์และก็พยายามตั้งตนตั้งใจทําตามนี้คือ
    ตัดโลภะ ความโลภ ด้วยจาคานุสสติกรรมฐาน ด้วยการให้ทาน
    ตัดโทสะ ความโกรธ ด้วยการรักษาศีล มีพรหมวิหาร๔ เป็นเบื้องหน้า
    ตัดโมหะ ความหลง ด้วยการเข้าใจตามความเป็นจริงว่าร่างกายมันไม่ดี เราไม่ต้องการมัน ต้องการนิพพาน แค่นี้ง่ายๆ
    ผู้ถาม : แค่นี้ไปได้แน่ๆเลย..
    หลวงพ่อ : จะไปก็ได้จะอยู่ก็ได้
    ผู้ถาม : ไม่ขัดข้องเลย..
    หลวงพ่อ : ไม่ขัดข้อง คําว่าไป..หมายถึงนิพพาน ยังไม่นิพพานก็ยังไม่ไป เนื้อแท้จริงๆ ต้องตัด โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ตัวเท่านั้น แต่ว่าถ้าเราไม่ยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ มันจะไม่มีการทรงตัวนะ
    ผู้ถาม : ครับ..
    หลวงพ่อ : เอาง่ายๆดีกว่า ถือบันไดขั้นแรกไว้ก่อน ถืออารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน ง่ายดี อารมณ์พระโสดาบันนี้ก็คือ
    ๑. เคารพพระพุทธเจ้า
    ๒. เคารพพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๕. ตั้งจิตไว้เฉพาะพระนิพพาน
    อันนี้ง่ายๆ ถ้าอันนี้ได้แล้ว..ไอ้เรื่องมรรคผลก็กลายเป็นของไม่ยาก

    (หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๑๒๐-๑๒๑)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    อนาคามี
    ทีนี้ตอนที่เราเข้าถึงอนาคามี สกิทาคามีจะไม่พูดเพราะไม่จำเป็น ของเล็กๆ นี่พูดทำไม พระสกิทาคามีกับพระโสดาบันก็ใกล้เคียงกัน จะว่ากันไปอีกทีก็เป็นคนรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้น ถ้าจะเปรียบเทียบแบบนายทหารก็คือร้อยตรีเหมือนกัน เพราะว่าร้อยตรีรุ่นพี่กับรุ่นน้องมันก็แค่นั้นแหละ แต่ว่าเงินดาวน์เงินเดือนเขามันสูงกว่านิดหน่อยนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา การงานอาจจะก้าวหน้าไปกว่ากันหน่อยมันก็เป็นของเล็กน้อยไม่ต้องมานั่งพูด นี่เราพูดกันถึงนายพันกันเลยดีกว่า ถ้าอารมณ์จิตเข้าถึงพระอนาคามีมันถึงจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร รู้เลยว่าเรามีกำลังใจสิ้นแล้วจากกามคุณ เป็นคนกามตายด้าน อารมณ์จิตมันตายด้านในกามจริงๆ ถ้าเราไม่แน่ใจก็ไปหาหมอ ให้เขาฉีดยาบำรุงกามให้ ยาอะไรก็ตามอย่างแรงที่สุด อย่างเบาอย่างกลาง ให้หมอเขาวินิจฉัย ไปบอกเขาว่าเราเป็นโรคกามตายด้าน ถ้าหมอทำอย่างไรก็หมดท่า แล้วยกเลิกไป นั่นใช่แล้ว เราเข้าถึงพระอนาคามีแล้ว คนสวยไม่มีมีแต่คนสกปรก วัตถุสวยไม่มีมีแต่วัตถุสกปรก ความติดความพอใจในความสวยสดงดงามในคนและวัตถุก็ไม่มีสำหรับเรา ใจมันทรงอารมณ์เป็นปกติอย่างนี้นั่นคือพระอนาคามีอันดับที่หนึ่ง ยังไม่เต็ม พระอนาคามีอันดับที่ ๒ ก็ต้องไปดูความโกรธความพยาบาท เขาด่าปาวๆ เราฟังแล้วมีความรู้สึกอย่างไร? เฉย...ยิ้มได้สบายๆ มีอารมณ์ปกติ เขาจะด่ามากด่าน้อย เขาจะด่าว่าเป็นหมูเป็นหมาก็ช่าง เรารู้ตัวของเราว่าเราไม่ใช่หมา เราไม่ใช่หมู และเราก็ไม่ใช่คน ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือพระอนาคามี เพราะเป็นบุคคลที่มีความโกรธความพยาบาทสิ้นไปแล้ว มีแต่แมตตาปรานีมีอารมณ์ยิ้มเป็นปกติ มันยิ้มเป็นปกติไม่ใช่ฝืนยิ้ม ยิ้มแบบธรรมดาๆ ยิ้มด้วยอาการสดชื่น จิตใจมันไม่กระทบกับอารมณ์แบบประเภทนี้ความเร่าร้อนไม่มี มีแต่ความเยือกเย็นใจ ตอนนี้เราเป็นพระอนาคามีเต็มที่แล้ว ความสบายมันเกิดขึ้นมาก แต่ก็ยัง จุดเบ่งมันยังมี คืออารมณ์ในบางครั้งมีอารมณ์ฟุ้งซ่านคือถือตัวถือตน แยกสัตว์กับคนว่ามีค่าไม่เสมอกัน คนรวยกับคนจนมีค่าไม่เสมอกัน คนสกปรกกับคนสะอาดมีค่าไม่เสมอกัน ยังมีอารมณ์รังเกียจ ตอนนี้ก็จับสักกายทิฏฐิเข้าไปตัดมันเลย ตัดฉันทะกับราคะคือความพอใจในความเป็นเทวดาหรือพรหม หรือความรักในความเป็นเทวดาหรือพรหม ความนิยมใดๆ ในโลกโยนทิ้งไปหมดเลย โลกทั้งโลกโยนทิ้งไป ร่างกายของเรามันเลว มันจะไปชนกับใครก็ได้ เห็นคนสกปรก เราก็สกปรก เห็นคนจน เราก็จน มันจะไปรวยอะไร มันไม่จนจริงแล้วมันจะตายทำไม แล้วมันจนจากความเป็นอิสรภาพ จากกิเลสมันบังคับให้แก้ก็ต้องแก่ มันบังคับให้ป่วยก็ต้องป่วย บังคับให้ตายก็ต้องตาย เราไม่มีสมบัติใดๆ ที่จะไปต่อต้านกิเลส ในเมื่อร่างกายมันจะเป็นอย่างนั้น มันก็จนเท่ากันแหละ ความฟุ้งซ่านของอารมณ์ เพราะอำนาจว่าเรายังหลงในรูปฌานและอรูปฌาน เรารู้จักมานะทิฏฐิ พอตัดตัวนี้ได้เสียแล้ว ความฟุ้งซ่านมันก็ไม่มี อารมณ์พอมันก็เกิด ความสบายใจมันก็เกิด เพราะว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ความเป็นมนษย์ความเป็นเทวดา ความเป็นพรหมไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เราเอาจิตใจของเราจับอารมณ์เฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว มีแต่ความสุข เห็นใครเขารวยก็ดี เห็นใครเขาสวยก็ดี เห็นใครเขาโมโหโทโส รบราฆ่าฟันกันก็ดี เห็นใครเขาถือโน่นถือนี่ว่าเป็นเราเป็นของเรา เรานอนสบายยิ้มแฉ่ง นายถืออย่างไรก็ถือไปฉันสบายใจแล้ว นี่ก็ฟุ้ง โลกนี้เธออยู่กันเถอะ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ว่าท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่" เวลานี้เรามีกำลังใจถึงแล้วนี่ ถึงแล้วเราวางโลกเสียได้แล้ว อะไรเป็นเราเป็นของเราไม่มีแล้ว มีแต่ความสดชื่นมีแต่ความหรรษา มีแต่ความสุขกายสุขใจ กายมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน ใจเป็นสุข ถือว่าเป็นกฎธรรมดา อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ เมื่อจิตใจของทุกท่านวางเสียได้หมดอย่างนี้ว่าช่างมันๆ หรือ ธรรมดาๆ ก็ชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้จบกิจของพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2016
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    จิตต้นกำเนิดหรือจิตอวิชา หรือจิตผู้รู้ ตัวเดียวกัน ที่พวกเราต้องฝึกหาจิตผู้รู้นะ ให้มีจิตผู้รู้นะ นั่นแหละจิตผู้รู้นั้นแหละ ยังเป็นจิตอวิชาอยู่ แต่อาศัยมันก่อน แล้ววันหนึ่งก็ค่อยมาทำลายตัวนี้ไป อีกทีหนึ่งก่อน เนี่ยดูแล้วมันละเอี๊ยดละเอียดนะ มันสว่าง มันผ่องใสนะ มันมีอวิชาซ่อนอยู่ ถ้าหยาบๆขึ้นมานะ ไม่ใช่อวิชาแล้ว ตื้น กลายเป็นกิเลสหยาบๆแล้ว ตรงที่จิตเข้าถึงความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้­เบิกบานนั้นแหละ อวิชาซ่อนอยู่ที่นั้นเอง ไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ทุกข์ ทุกข์อะไร ไม่รู้ว่าตัวผู้รู้นี้แหละ ตัวทุกข์ มันบังกันอยู่นิดเดียวเอง ถ้าเห็นตัวผู้รู้เป็นตัวทุกข์ ก็เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไหร่นะ ก็หมดความยึดถือจิต มันจะสลัดคืนจิตให้โลกไปเลย จะสลัดคืนตัวรู้ คืนตัวรู้ให้โลกไป พอสลัดตัวรู้ทิ้ง ตัณหาจะไม่เกิดอีก ทันที่รู้แจ้งทุกข์นะ มันจะสลัดตัวทุกข์ออกไป พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้วมันจะสลัดทิ้งเอง สลัดคืน เรียกว่าสลัดคืน ปฏินิสสัคคะสลัดคืนจริงๆ คืนโลก เนี่ยคำแต่ละคำในพระไตรปิฎก ในตำรับตำรานะ ตรงเป๊ะๆเลย เห็นทุกข์แจ่มแจ้ง เห็นตัวจิตผู้รู้นี้แหละเป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษหรอก ก็สลัดคืนตัวผู้รู้ให้โลกไป ในขณะนั้นละสมุทัยเรียบร้อยแล้ว ความอยากจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว รู้ทุกข์เมื่อไหร่ก็ละสมุทัยในคราวเดียวกั­นเลย ในขณะนั้นแจ้งนิโรธคือพระนิพพานเลย ในขณะเดียวกัน ในขณะนั้นเกิดอริยมรรคเลย ในขณะเดียวกัน เบื้องต้นให้รู้สึกตัวให้เป็นก่อน มีสติรู้กายรู้ใจ…ถึงจุดหนึ่งใจมันจะตั้งมั่นขึ้นมา มีสติรู้กายรู้ใจต่อไป…ถึงจุดหนึ่งมันจะรู้โดยไม่เจตนาจะรู้สึก (เกิดสติตัวจริง) สติเกิดปั๊บใจมันจะตั้งมั่นขึ้นมาได้เอง พอสติตัวจริงเกิด จิตจะมีความสุข พอจิตมีความสุข จิตจะมีสัมมาสมาธิ (สมาธิชั้นดี ตั้งมั่นในการรู้กายรู้ใจ) พอสติระลึกรู้กาย…จะเห็นทันทีว่ากายไม่ใช่ตัวเรา มีสติ มีสมาธิ ต่อไปเรื่อยๆ เกิดปัญญาตัวทีหนึ่งเรียก “นามรูปปริจเฉทญาณ” เห็นนามอยู่ส่วนหนึ่ง รูปอยู่ส่วนหนึ่ง… จะรู้สึกกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นว่ากายไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 เริ่มกระจายตัวออกไป (ทำลายสัญญาวิปลาส ต้องจับสิ่งที่เรียกว่าเรากระจายตัวออกไป เรียก วิภัชวิธี) สิ่งที่เรียกว่าตัวเราคือกายกับใจ…พอเรามีสติจริงๆ มีสัมมาสมาธิ มีใจตั้งมั่น สติระลึกลงไปรู้กายรู้ใจ…จะเห็นมันแยกส่วนกันกายอยู่ส่วนนึง จิตอยู่ส่วนนึง (กายกับจิตแยกจากกันเหมือนมีช่องว่างมาขั้น ไม่ใช่อันเดียวกันอีกต่อไป) เวทนากับจิตแยกส่วนกัน เหมือนมีช่องว่างมาขั้น… กุศล/อกุศล แยกออกจากจิต ตัวจิตเองก็เกิดดับ (เดี๋ยวเกิดที่ตา เดี๋ยวเกิดที่หู จมูก ลิ้น กาย ใจ…) สรุปว่าเบื้องต้น จะเห็นก่อนว่ามันกระจาย กระจายแล้วจะเห็นว่าแต่ละตัวไม่ใช่ตัวเรา… รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละตัวไม่ใช่ตัวเรา แต่ละตัวมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ… เป็นปัญญาอีกขั้นเรียก “ปัจจยปริคคหญาณ” (รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น สภาวะธรรมทั้งหลายไม่ได้เกิดลอยๆ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ) เห็นต่อไปสักพัก ปัญญาจะประณีตลึกซึ้งขึ้นไปอีก เริ่มรู้ว่าทั้งกายทั้งใจเป็นไตรลักษณ์ เกิด “สัมมสนญาณ” คือเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิด ตรึกตรอง เปรียบเทียบ…ตรงนี้ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ตามรู้ตามดูต่อไป ถึงจุดที่สติและสัมมาสมาธิมีแรงพอ เริ่มเห็นความเกิดดับ (เช่น เห็นจิตเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ ดับไป มีช่องว่างมาขั้น) พบว่าจิตดวงนึงกับจิตอีกดวงนึงเป็นคนละดวงกันเรียกว่า “สันตะติขาด” ภาวนาจนเห็นสันตะติขาด จึงเรียกว่าขึ้นวิปัสสนาจริงๆ ดูต่อไป เห็นสภาวะ เกิด-ดับ เกิด-ดับ สืบเนื่องกันไปแต่เป็นคนละอันกัน เห็นมากเข้าๆ ตัวเราหายไปไหน ??…ร่างกายไม่ใช่เรา….จิตใจไม่ใช่เรา…. จะตกใจ กลัว โหวงๆ เบื่อทุกอย่าง ใจจืดแต่สว่าง เห็นโลกจืดชืด ใจมีนิพพิทา (นิพพิทาญาณ) มองโลกแบนๆ ราบเป็นหน้ากลอง ตรงนี้ยังไม่ได้ตัดด้วยอริยมรรค แต่เกิดจากความรักตัวเอง ถึงตรงนี้คือได้ครึ่งทาง มีสติต่อไป เห็นสภาวะทั้งหลายเป็นสิ่งแปลกปลอม…เป็นความรู้สึกที่ปรุงขึ้นมา…พอรู้ทันก็ ดับไป ใจจะตั้งมั่นเห็นว่ามันทำงานของมันเอง สั่งมันไม่ได้จริง…เห็นร่างกายไม่ใช่เรา เห็นว่าร่างกายถูกความทุกข์บีบคั้น เห็นด้วยใจที่เป็นกลาง…ส่วนจิตใจก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ตัวเรา ดูเรื่อยๆ … พอเผลอ…ก็มีตัวเรา พอมีสติ…ตัวเราก็หายไป แต่คราวนี้ไม่กลัวแล้ว…. ดูไปๆ ปัญญาเริ่มแจ้ง เห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับทั้งสิ้น พอใจรู้และยอมรับตรงนี้ ความสุขเกิด…..จิตไม่ดิ้นรนที่จะรักษา ความสุขไม่เกิด…..จิตไม่ดิ้นรนที่จะแสวงหา ความทุกข์เกิด….จิตจะไม่เกลียด ไม่ดิ้นรนที่จะผลักออก ความทุกข์ไม่เกิด…..จิตไม่ดิ้นรนที่จะป้องกัน จิตหมดความดิ้นรน จิตหมดความปรุงแต่ง จิตหมดการทำงาน เหลือแต่รู้…แล้วก็สักว่ารู้… จิตไม่ปรุงต่อ… จะเห็นสภาวธรรมเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ใจรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายเป็นภาพลวงตา…ไม่อินเข้าไป ไม่ดิ้นรน ไม่ปรุงแต่ง เมื่อสติปัญญาแก่รอบพอ จิตจะรวมลงอัปปนาสมาธิด้วยตัวเอง… เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเกิดกระบวนการของอริยมรรค (อัปปนาสมาธิเรียกเอกัคคตาเจตสิก มีหน้าที่เป็นที่ประชุมรวบรวมองค์มรรคทั้งหลาย คือที่เหลืออีก 7 ตัว) มีสัมมาสมาธิเกิดขึ้นที่จิต…พอรวมลงช่วงแรกจะยังส่งกระแสออกไป (เนื่องจากมันเคยชิน) ออกไปรู้สภาวะภายนอก แต่รู้แบบสักว่ารู้อย่างแท้จริง รู้อยู่ในอัปปนาสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร…เพราะไม่มีสมมติบัญญัติ ถึงขั้นไม่มีสมมติบัญญัติ….จิตจะมีขันติอย่างยิ่ง อดทนต่อสิ่งเร้า มันจะตั้งมั่นแต่ยังส่งกระแสออกไป…มีกระแสแห่งความรับรู้ไหลออกไป เห็นสภาวะเกิดดับ …บางคนเห็น 2 ขณะ…บางคนเห็น 3 ขณะ แจ้งอริยสัจขึ้นมา…มันจะทวนกระแส….ตัดกระแสที่ส่งออกไป….มันจะทวนเข้าหาธาตุ รู้ กลับเข้ามาหาจิต (จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง) สัมมาสมาธิจะประชุมองค์ธรรมฝ่ายกุศลทั้งหมด รวมลงที่จิต…องค์มรรครวมตัวกัน รวมพลังของมรรคทั้งหมด รวมทั้งโพธิปักขิยธรรม 37 ( ตั้งแต่30กว่าๆขึ้นไป ) ประชุมลงที่จิต เกิดพลังทำลายล้างวัฏจักร เบื้องต้นทำลายไม่ได้จริง…แค่กรีดมันขาดออกจากกัน แล้วก็กลับมาปิดอีก กรีดครั้งที่ 2 ถ่างออกมากขึ้น แล้วก็กลับมาปิดอีก กรีดครั้งที่ 3 แรงมากขึ้น แล้วก็กลับมาปิดอีก กรีดครั้งที่ 4 โลกถล่มทลาย วัฏจักรจะคว่ำลงไป แล้วจะไม่มีอะไรเข้ามาปิดอีก จิตซึ่งไม่ถูกอะไรปิดจะดีดตัวขึ้นมาเต็มโลกธาตุเรียก “วิมริยาทิกตจิต”(มีจิตไร้ขอบคั่น หรือมีใจไร้เขตแดน)จิตใหญ่เต็มโลกธาตุ…. ไม่มีอะไรครอบงำอีก….ไม่มีการไป…ไม่มีการมา…. จิตปราศจากสิ่งห่อหุ้ม กระจายเป็นเนื้อเดียวกับจักรวาล ไม่มีขอบ…ไม่มีเขต…ไม่มีจุด…ไม่มีดวง… ไม่มีอะไรปรุงแต่งมันได้อีก อาสวกิเลสเป็นทางผ่านให้กิเลสไหลมาสู่จิตได้ พอเข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง จะทำลายอาสวกิเลส ทำลายสังโยชน์…ไม่มีช่องเชื่อมต่อให้กิเลสกลับเข้ามาอีก มันขุดคุ้ยถึงภวังคจิต…อนุสัยทั้งหลายสลายตัวหมด


    สำหรับบุคคลที่ตื่นอยู่ตลอดเวลา หมั่นศึกษาไตรสิกขาทั้งกลางวันและกลางคืน น้อมจิตเข้าหานิพพาน อาสวะทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ไม่ได้'ปาฏิหาริย์แห่งการตื่น' จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราตื่นจากฝัน ธรรมชาติแห่งพุทธภาวะ หมายถึง ธรรมชาติอันหนึ่ง ซึ่งทำสัตว์ให้เข้าถึงพุทธภาวะ ... "พุทธภาวะ" อันหมายถึงภาวะแห่งความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน สิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" ในที่นี้ ...จนเข้าถึงสภาวะพลังงานอันสูงสุด อันเป็นหนึ่งเดียว ของรูป-นาม เมื่อรูป นาม ดับสลาย เข้าสู่สภาวะพลังงานตื่นอันเป็นที่สุด อันเป็นปรมัตถปัญญา - ปัญญาวิมุตติ คือภาวะแห่งพุทธะ การปฎิบัติไม่มีอะไรยาก ง่ายสุด สุด เลย ร่างกายเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็น อย่างนั้น จิตใจ รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ไปดัดแปลงกาย ดัดแปลงใจ..จริงๆนะ จะรู้เลยว่าตัวเราไม่มีหรอก เป็นภาพลวงตาเท่านั้นเอง เป็นมายาหลอกลวง เหมือนฝัน ฝันไปว่ามีตัวเรา จริงๆไม่มีเรา ถ้าเมื่อไหร่ปัญญาแทงทะลุลงไปว่าจริงๆไม่มีเราหรอก เป็นภาพลวงตาทั้งหมดเลย นั่นแหละคือภูมิธรรมของพระโสดาบัน ฟังแล้วเหมือนยากนะ แต่ลงมือทำจริงไม่ยากหรอก บางคนใช้เวลาไม่กี่วันด้วยซ้ำไป บางคนใช้เวลาสั้นนิดเดียวนะ อย่าว่าแต่พระโสดาบันเลย บางท่านฟังธรรมะไม่กี่ประโยค ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ยกตัวอย่างพระพาหิยะ ฟังธรรมะนิดเดียว ฟังอยู่กลางตลาดเลย ท่านได้เป็นพระอรหันต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2016
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด 37 ประการ

    โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ ประกอบด้วยธรรมะ 7 หมวด คือ สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมีองค์ 8 รวมเป็น 37 จึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37

    1.) สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติระลึกรู้
    1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องรูปธรรม
    2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนความรู้สึกจากสัมผัส
    3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่องนามธรรมในส่วนของการรับรู้
    4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้งรูปธรรมและนามธรรม

    2.) สัมมัปปธาน 4 คือ ความเพียรพยายาม
    1. สังวรปธาน คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
    2. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
    3. ภาวนาปธาน คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น
    4. อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น

    3.) อิทธิบาท 4 คือ ทางแห่งความสำเร็จในกิจอันเป็นกุศล
    1. ฉันทะ คือ ความพอใจและเต็มใจ
    2. วิริยะ คือ ความเพียรพยายาม
    3. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ จิตใจจดจ่อ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน
    4. วิมังสา คือ ปัญญาที่พิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

    4.) อินทรีย์ 5 คือ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในอารมณ์
    1. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่
    2. วิริยินทรีย์ คือ ความเพียรเป็นใหญ่
    3. สตินทรีย์ คือ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่
    4. สมาธินทรีย์ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
    5. ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้ง

    5.) พละ 5 คือ ธรรมอันเป็นกำลังที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค
    1. สัทธาพละ คือ ความเชื่อ เลื่อมใส ศรัทธาที่เป็นกำลังให้อดทน และเอาชนะธรรมอันเป็นข้าศึก เช่น ตันหา
    2. วิริยะพละ คือ ความเพียรพยายาม เป็นกำลังให้ต่อสู้กับความขี้เกียจ
    3. สติพละ คือ ความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐาน อันจะเป็นกำลังให้ต้านทานความประมาทพลั้งเผลอ
    4. สมาธิพละ คือ ความตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ทำให้เกิดกำลังต่อสู้เอาชนะความฟุ้งซ่าน
    5. ปัญญาพละ คือ เป็นกำลังปัญญาที่เข้มแข็ง ซึ่งทำให้เอาชนะโมหะ คือความโง่ ความหลง

    6.) โพชฌงค์ 7 คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
    1. สติสัมโพชฌงค์ คือ ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
    2. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
    3. วิริยสัมโพชฌงค์ คือ ความเพียร
    4. ปีติสัมโพชฌงค์ คือ ความอิ่มใจ
    5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ ความสงบกายใจ
    6. สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
    7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

    7.) มรรคมีองค์ 8 คือ หนทางปฏิบัติที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน
    1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
    2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
    3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
    4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
    5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
    6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
    7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
    8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ


    https://www.unzeen.com/article/437/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,382
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
    อย่าให้แต่กิเลสมันต้มมันตุ๋น

    "..อย่า ให้แต่กิเลสมันต้มมันตุ๋น พอจะนั่งภาวนาสัก ๕ นาที ๑๐ นาทีนี้ โอ๋ย เหมือนเขาจะเอาไปฆ่านั้นแหละ พอนั่งภาวนาแล้วสัปหงกงกงัน ท้องก็เจ็บ หัวก็เจ็บ แข้งขาอวัยวะเจ็บหมดปวดหมด เพราะถูกกิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้านตัวไม่เอาไหนมันทุบมันตี สุดท้ายก็ล้มตูมลงหมอน เหมือนกับว่าหมอนนี้เป็นมรรคผลนิพพาน หมอนเลยดีกว่าสวรรค์กว่านิพพานไปเสียแล้ว..นี่ก็เพราะกิเลสมันต้ม

    ให้เราพยายามอุตส่าห์ภาวนา วันนี้ได้แค่นี้....เอ้า วันหลังให้ได้มากกว่านี้ ด้วยการตั้งอกตั้งใจทำจริง สุดท้ายก็เคยชิน ทีนี้ไม่ได้ภาวนาไม่ได้ ยิ่งภาวนาลงไปใจมีความสงบร่มเย็น ยิ่งมีความขยันหมั่นเพียรเข้าไป ดูดดื่มภายในจิตใจจนกระทั่งถึงว่า เป็นผู้มีความเพียร.."

    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpBuaBlessDhamma.jpg
      LpBuaBlessDhamma.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.1 KB
      เปิดดู:
      1,290
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      93

แชร์หน้านี้

Loading...