จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    "รวยกับซวยมันใกล้กันนะ..”
    เขียนโดย ธ.ธรรมรักษ์ [webmaster] เมื่อ 26/10/2015

    เมตตาธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    สิ่งหนึ่งที่หลวงปู่ดู่ ท่านเมตตาสอนศิษย์เสมอคือ

    เมตตาธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    สิ่งหนึ่งที่หลวงปู่ดู่ ท่านเมตตาสอนศิษย์เสมอคือ

    การเข้าใจธรรมะกับชีวิต

    โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง ที่ต้องเข้าใจให้ถึงแก่น
    เพราะคนเราไปติดยึดมาก จนหลงลืมว่า ความสุขนั้นเหนือกว่าเงิน
    ทุกคนมีความสุขได้ โดยไม่ต้องมีเงินมากมายอะไร

    แต่คนมีเงินมากมายที่ไม่มีความสุขเลย
    เงินทองที่ควรเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัย

    หากไม่เข้าใจกลับกลายเป็นอสรพิษทำร้ายทั้งโยมทั้งพระ
    พระดีๆ คนดีๆ พังพินาศเพราะกระดาษมาแล้วนับไม่ถ้วน
    พระโพธิสัตว์หลายคนที่เห็นในชาตินี้ยังสอบตกเพราะ กิเลส
    เพราะไม่รู้จักพอในเรื่องเงิน

    หลวงปู่ดู่ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
    แม้ท่านชราภาพ คนกราบไหว้ทั่วประเทศ
    แต่ท่านก็อาศัยกุฏิหลังน้อย ๆ

    ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำส่วนตัว
    ใครมาถวายอะไรท่านไม่เคยเอาไว้กับตัว

    ถวายให้วัดเป็นส่วนกลาง บริจาคเป็นทานหมด
    หลวงปู่ดู่ท่านไม่เคยสอนลูกศิษย์ให้อธิษฐาน

    "ขอรวย ๆ" เลย

    มีแต่สอนให้อธิษฐานว่า

    "ขอจงพบแต่ความสุขและความดีตลอดไป"

    สัมมาทิฐิต่อเรื่องเงินทองจึงเป็นเรื่องสำคัญ
    ชาวพุทธควรเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อหลวงปู่
    ว่าเงินทองเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัย

    เราอาจใช้มันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขได้
    แต่ปัจจัยให้ถึงความสุขไม่ใช่มีเพียงแค่เงินทอง
    หากแต่อยู่ที่รู้จักสร้างบุญกุศลให้ใจสุขสบาย

    มีจิตที่เมตตาต่อกัน มีปิยะวาจาต่อกัน
    รู้จักเสียสละและช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจแก่กันและกัน
    ไม่
    อาทุกข์มาทับถมกัน มีรอยยิ้มให้กันและกันเสมอ เป็นต้น
    ขอโมทนาพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญสูงสุด
    แสงสว่างแห่งปัญญาธรรม

    และขอบคุณพิเศษสำหรับคุณสิทธิ์
    ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ดู่แก่ทุกท่านเสมอมา

    สาธุ สาธุ สาธุ
    ธ.ธรรมรักษ์

    ธ.ธรรมรักษ์]ธ.ธรรมรักษ์ - เว็บไซต์เพื่อธรรมทาน - เว็บไซต์เพื่อธรรมทาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Du.jpg
      LP Du.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.3 KB
      เปิดดู:
      1,507
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2015
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    เทพธิดาปูทะเล (ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขาย) :
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    “...ตาม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ก่อนจะตายถ้าจิตใจผ่องใส นึกถึงบุญกุศลนิดหน่อยตายแล้วก็ไปสวรรค์ทันที เรื่องนี้ให้ชื่อเรื่องว่า “เทพธิดาปูทะเล” เรื่องมีอยู่ว่า

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเหมือนเลขาของท่านพระอินทร์ เห็นนางฟ้า ๘ องค์ รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย แต่มีองค์หนึ่งนั่งใกล้มากที่สุด ท่านมองหน้าไม่ละสายตา เบื้องหลังนางฟ้า ๘ องค์ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น เป็นภาพผู้หญิงอ้วนใหญ่ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกของอาตมาเป็นภาพนางยักษิณี จึงหันไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “บนสวรรค์มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึ” ท่านตอบว่า“ปกติไม่มี แต่นางฟ้า ๘ องค์นี้เป็นคนมีบาปอยู่เบื้องหลัง” หมายความว่าในระยะต้นสร้างบาปไว้มากแต่ว่าไม่ถึงอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ตอนช่วงหลังของชีวิตและตอนใกล้จะตายได้ทำกำลังใจเป็น สัมมาทิฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เวลาจะตายจิตใจก็เกาะความดี เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าไม่สร้างความดีต่อเป็นการป้องกัน เมื่อจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไรบาปจะดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที

    ท่านพุทธบริษัทเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว จงคิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา”
    เวลาก่อนจะตาย จิตใจเป็นอกุศลหรือเศร้าหมองนิดหน่อย ก็จะไปอบายภูมิทันที

    “จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา”
    ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็จะไปสวรรค์ทันที

    อาตมา หันไปถามนางฟ้าที่อยู่ใกล้มากที่สุด และมองหน้าไม่ยอมละ ถามเธอว่า “สมัยเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน” เธอตอบทันทีว่า “จำฉันไม่ได้รึ” อาตมาบอก “ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิม” ให้เห็นภาพเธอเป็นคนแก่อายุประมาณใกล้ ๖๐ ปี รูปร่างใหญ่เทอะทะ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ ถามเธอว่า “รูปร่างของเธอเป็นอย่างนี้ เธอมีสามีหรือเปล่า” เธอตอบว่า “มี” เธอแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาววัยรุ่นถึงสาวใหญ่ ตอนสาวรุ่นรูปร่างทรวดทรงดี หน้าตาดี ผิวพรรณไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดงและเกลี้ยง ร่างกายมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐ เธอเป็นคนจน

    เวลานั้นอาชีพ จริงๆ ก็คือ จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด จับปั๊บมัดปุ๊บ ทำมาแต่เด็กก็ทำได้คล่องรวดเร็วแล้วก็เอามาขาย พอเป็นสาวขึ้นมาก็จับปูทะเลขายเหมือนเดิม แต่งงานแล้วก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม มาเปลี่ยนแปลงเอาจริงๆ เมื่อตอนอายุ ๓๐ ปีเศษ ขายปูได้กำไรพอสมควรมีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูเองแล้วแต่เป็นคนซื้อปูมาขายและคุมการขาย

    ให้นึกดูว่า สภาพปูถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้น มันทรมานขนาดไหน มีการเจ็บปวด มีการเมื่อยขนาดไหน สรุปแล้วเธอทำบาปมาอย่างหนัก เป็นบาปที่ติดตามมา ที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีอยู่ข้างหลังตอนที่มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์แล้ว

    ความจริงในตอนระยะต้นๆ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงสาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้างแต่ก็ทำบุญแบบผิวเผิน หมายความว่าใส่บาตรบ้างแต่ก็นานๆ ใส่ครั้ง นานๆ ก็ไปฟังเทศน์บ้างแต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกาเขาจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เปรียบเหมือนชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กะละมังได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เราได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีข้าวแค่ ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

    ต่อ มาเมื่อเธอมีอายุ ๔๐ ปีเศษๆ ก็มีความรู้สึกว่าอาชีพเดิมมันบาปทั้งหมด ก็เพราะบังเอิญมีพระหลวงตาที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระอยู่ใกล้บ้านไปรับบาตรเป็นประจำ ผ่านอยู่เสมอ ท่านอธิบายให้ฟังว่า “การทำแบบนี้มันบาป” ในที่สุดเธอก็ละจากอาชีพขายปูทะเลมาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่นที่ไม่เป็นบาป ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นที่ท่านแนะนำ ตอนหลังเธอตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ใครไปเรี่ยไรก็ให้ ทำบุญมาเรื่อยๆ จิตใจเป็นบุญกุศล

    ต่อมาระยะใกล้ จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ คิดในใจว่าวัดสวยๆ แบบนี้หายาก เธอสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ชอบใจมากเข้าไปนั่งไหว้พระดูภาพพระก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์เกราะเพชรตอน ๔ โมงเช้า ปรากฏว่าเขาประกาศว่ารถจะออก ๔ โมงเย็น จึงไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วใหม่ สดชื่นมากจิตใจจับอยู่ที่นั่น

    ต่อ มาได้ทราบข่าวว่า ที่ซอยสายลมมีพระวัดท่าซุงไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไปกับเขาด้วย ไปเจริญพระกรรมฐานวันแรกเธอบอกว่า “ภาพพระที่มองเห็นเวลาลืมตา แต่เวลาหลับตาแล้วพระองค์นั้นไม่เห็น เห็นแต่ปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี ภาพที่เธอกำลังมัดปูก็ดี นั่งขายปูก็ดี”

    รวมความว่า ภาพปูปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นภาพพระเห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตาดูพระใหม่ ทิ้งภาพปู พอเห็นภาพพระแจ่มใสดี สดชื่น นานๆ เข้าจึงหลับตาใหม่ ก็ปรากฏเห็นภาพปูอีก เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญพระกรรมฐานคือวันเสาร์ ไม่มีผลเห็นพระแต่มีผลเห็นปูทะเลแทน เธอก็เศร้าสลดใจ พอถึงเวลาอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำว่า “ให้ขอท่านพระยายมราชและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล”

    เผอิญ ท่านพระยายมราชท่านมาบอกกับอาตมาในวันนั้นว่า “ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้บอกท่านให้เป็นพยาน ถ้าบังเอิญต้องผ่านสำนักท่าน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี ท่านจะเป็นพยานให้เพราะบุญมีอยู่แล้ว จะส่งไปสวรรค์ก่อน” เธอบอกว่า “ดีใจในถ้อยคำนี้” เวลาพระท่านนำอุทิศส่วนกุศลสดชื่นมาก ตั้งใจจริงๆ เพราะว่าปูเป็นเหตุ ถึงอย่างไรก็ไม่ขอลงนรกแน่ เธอคิดในใจว่า “ถ้าขืนลงนรกเสียท่าปูแน่ ปูนับเป็นพันเป็นหมื่นมันตามเล่นงานแน่นอน เธอไม่ได้คิดถึงไฟนรกคิดถึงแต่ปูอย่างเดียว พออุทิศส่วนกุศลเสร็จเธอก็รีบไปที่จุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ เงินก็ไม่มี ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท ก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันที

    วัน รุ่งขึ้นเป็นวันที่สองไปใหม่ตอนกลางวัน ตั้งใจไปถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันทีและก็ฟังพระท่านคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ยอมให้ภาพปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว พอตอนกลางคืนเจริญพระกรรมฐาน เวลาหลับตาปรากฏว่า ภาพปูกับภาพพระแย่งกัน ภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้างสลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้วปูแพ้ เพราะภาพปูเกิดขึ้นมาน้อย เห็นภาพพระมากกว่า พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาทอีก

    ต่อ มาวันที่สาม ก็ทำอย่างนั้นอีก พอไปถึงปุ๊บไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาจ้องพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ที่พูด มองลีลาพระสงฆ์ที่นั่งพูดบ้างและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดูสองอย่าง อย่างไหนเลือนก็จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน ตั้งใจจับพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ช่วยกันขับปู วันนี้ชนะเด็ดขาดภาพปูไม่ปรากฏเห็นแต่ภาพพระอย่างเดียว เห็นชัดทั้งภาพพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ ภาพปูไม่เกิด เธอดีใจมาก

    ก็รวม ความว่าเธอทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึง เวลาที่จะตายจริงๆ เธอมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน ปวดศีรษะบ้าง แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้างเป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า “พุทโธ” นึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจนแจ่มใสเป็นบางครั้ง บางทีมันปวดมากภาพก็หายไป พอคลายหน่อยจิตก็เห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ก็ตั้งใจภาวนา “พุทโธ” บ้าง “นะมะพะธะ” บ้าง จับภาพพระพุทธเจ้าบ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้างสลับกันไปในที่สุดก็ตาย

    เวลา จะตายเธอบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบไป อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก เมื่ออาการอืดเสียดหายไป มีนงงหายไป จิตมีอารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย จิตก็จับภาพพระพุทธรูปภาวนาว่า “พุทโธ” เดี๋ยวก็ “นะมะพะธะ” สลับกับทั้ง ๒ อย่าง ภาพพระก็เกิดมีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้นๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุดพระท่านยิ้ม เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น ตอนนี้เองเธอบอกว่า “มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งก็มาอยู่ที่วิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานสวยสดงดงามมากแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด จะขาวก็ไม่ใช่แต่ใส

    ถามเธอว่า “ที่ได้วิมานสวยอย่างนี้เพราะอะไร” เธอตอบทันทีว่า “เพราะสนใจในมณฑปแก้วและพระพุทธรูปในมณฑปแก้ว” ถามว่า “ไปในมณฑปแก้วนั้นกี่ครั้ง” เธอตอบว่า “ไป ๓ ครั้งติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป เวลาไปต้องเข้าไปในมณฑปแก้วก่อน ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป ภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไปเห็นพระแทน ดูภาพมณฑปแก้วก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้วิมานแก้วใสมาก สว่างมาก” ถามว่า “เธอมีเทพบุตรหรือนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไร” เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีเทวดาเป็นบริวาร มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร ๔,๐๐๐ องค์ เครื่องประดับประดาก็มีมาก” บอกเธอว่า “อยากจะเห็นวิมาน”

    ก็ปรากฏ ว่าเวลานั้นวิมานก็ลอยมา บ้านเราในเมืองมนุษย์ยกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมืองสวรรค์วิมานลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอใหญ่มากและมีความสว่างไสวมาก ถามเธอว่า “เธอมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบาปเก่า” เวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่ เธอบอกว่า “ภาพ นางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออกเมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบว่า ฉันยังเป็นคนมีบาป” ถามเธอว่า “เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ที่ดาวดึงส์เธอจะไปไหน” เธอก็ตอบว่า “ทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกขุมที่ ๕”

    ถาม เธอว่า “จะไปไหม” เธอก็ตอบว่า “ที่ไปซอยสายลมพระท่านสอนว่า ให้หนีไปพระนิพพาน เวลานี้ฉันตั้งใจไปพระนิพพาน ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์และที่ประชุมเทวสภา ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ท่านไม่ว่างมา ท่านพระอินทร์ก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ให้เทวดาทุกองค์บำเพ็ญกุศลต่อ ให้ทุกคนมองดูกรรมดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่จะตาย ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศลไหมและกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ปฏิบัติตามท่าน รวมความว่าไม่มีเทวดา ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นเทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปพระนิพพาน

    เมื่ออาตมาคุยกับเธอจบก็ถามเธอว่า “มีอะไรสั่งไปถึงทางบ้านบ้างไหม” เธอก็ตอบว่า “ฉันขอสั่งเมื่อท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยว่า ฉัน คนชื่อ ป อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี อาชีพเดิมจับปูทะเลและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษก็กลายเป็นนักบุญ เวลานี้มีความสุขมาก ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ที่คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น ความจริงไม่จริงมันจะลากไปสู่อบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก มันไม่คุ้มกันกับความสุขนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคนจงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า...”


    ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์
    จากหนังสือตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    รวมคำสอน “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”

    แสดงกระทู้ - รวมคำสอน “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)” • ลานธรรมจักร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesri11.jpg
      LpRuesri11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.6 KB
      เปิดดู:
      1,235
    • LpRuesriBreathing.jpg
      LpRuesriBreathing.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.1 KB
      เปิดดู:
      74
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      42
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    นินทากับปัญญา

    ญาติโยมทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นวันแรกของเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ (๔ พ.ค. ๒๕๓๔ ที่สายลม) ก็ขอแนะนำกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มาเที่ยวนี้ก็ขอข้อเดียวนะ คือ "นัตถิ โลเก อนินทิโต" คำว่า "นัตถิ โลเก อนินทิโต" แปลว่า คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก

    การที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเคยบ่นกันว่า เวลาภาวนาจิตใจมันฟุ้งซ่าน การฟุ้งซ่านก็มี ๒ ทางคือ

    ๑. เราฟุ้งซ่านเอง
    ๒. คนอื่นทำให้เราฟุ้งซ่าน


    เราฟุ้งซ่านเองก็หมายความว่าพอจิตเริ่มเป็นสมาธิ อารมณ์ที่เป็นกิเลสมันก็เข้ามาแทรกเรียกว่า กิเลสมาร คิดเรื่องโน้นบ้างคิดเรื่องนี้บ้างเข้ามาแทรก ทั้งที่เราตั้งใจจะทรงให้อารมณ์จิตดีอย่างนี้ ท่านเรียกว่า "กิเลสมาร" หรือบางทีถ้าร่างกายปวดโน่นปวดนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่า "ขันธมาร" ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเป็นของธรรมดา ถ้าเราจะฝึกเฉพาะสมาธิอย่างเดียว เราก็หนีกิเลสไม่พ้น เราต้องใช้ปัญญาด้วย

    สำหรับปัญญา ถ้าใช้มากเกินไปก็ไม่ดี ต้องใช้แต่พอควร เวลาที่เขาต้องการเอาชนะ ชนะทีละอย่าง อย่างไหนเบาเอาชนะอย่างนั้น จงตั้งใจเอาชนะเฉพาะอย่าง นี่เป็นวิปัสสนาแล้วนะ เดี๋ยวก่อน กลับต้นใหม่

    อันดับแรกญาติโยมพุทธบริษัทให้ใช้สติสัมปชัญญะ ให้สมบูรณ์ตามกำลังที่พึงทำได้ สติ คือการนึกถึง สัมปชัญญะ คือการรู้ตัว

    การเจริญพระกรรมฐานต้องมีเหตุ ๓ ประการร่วมกัน คือ หนึ่งศีล สองสมาธิ สามปัญญา

    ต้องมีสติสัมปชัญญะ นึกรู้ไว้เสมอว่าเวลานี้ศีลเราบริสุทธิ์ไหม ถ้าศีลข้อไหนไม่บริสุทธิ์ก็พยายามรักษาศีลข้อนั้น เคี่ยวเข็ญข้อนั้นให้บริสุทธิ์ให้ได้ ค่อยๆทำไป ค่อยๆละ ค่อยๆเตือนใจตนเอง ใหม่ๆ เราก็เผลออยู่บ้างเป็นของธรรมดา เมื่อเราบังคับใจหนักๆ เข้ามันก็เกิดอาการชิน อารมณ์ก็ชินเอง ศีล ๕ ก็บริสุทธิ์

    ต่อมาเรื่อง สมาธิ สมาธินี่เกี่ยวกับนิวรณ์ ถ้าเราสามารถเอาชนะนิวรณ์ได้ จิตก็เป็นสมาธิตลอดกาล ถ้าเอาชนะนิวรณ์ไม่ได้ จิตก็เป็นสมาธิตลอดกาลไม่ได้

    คำว่า "นิวรณ์" แปลว่า กิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง ก็หมายความว่าถ้าคนใดมีนิวรณ์อยู่ในใจ เวลานั้นไร้ปัญญา ก็คือ

    กามฉันทะ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ คำว่า "รูป" นี่ไม่ได้หมายถึงรูปคนเสมอไป เป็นรูปคน รูปสัตว์ รูปวัตถุก็ตาม ถ้าพอใจในความสวยสดงดงามแล้วจิตฟุ้งซ่าน เรียกว่านิวรณ์

    อารมณ์ไม่พอใจ อารมณ์ก็ฟุ้งซ่าน เป็นนิวรณ์
    อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านคิดมากมาย คิดโน่นคิดนี่ คิดก้าวหน้าเกินไปก็เป็นนิวรณ์ หรือสงสัยในข้อปฏิบัติ ก็เป็นนิวรณ์

    รวมความว่า จิตเราต้องเอาชนะนิวรณ์ แต่การเอาชนะนิวรณ์นี่ท่านบรรดาพุทธบริษัท มันชนะนานไม่ได้ ใช่ไหม อย่างสมมุติว่าเราจะนั่งกรรมฐานสักครึ่งชั่วโมง ถ้ามันชนะจริงๆ รวมกันสัก ๕ นาที ก็ถือว่าใช้ได้ อย่างกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สตินึกว่าเวลานี้เราจะรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าภาวนาว่า "พุทธ" หายใจออกภาวนาว่า "โธ" เป็นต้น แต่ว่าคำภาวนานี่ไม่จำกัดนะญาติโยม เพราะตอนกลางคืนเป็นสุกขวิปัสสโก ตอนกลางวันเป็นอภิญญา

    มโนมยิทธิ ก็คืออภิญญา อภิญญานี่ต้องจำกัดคำภาวนา แต่คำภาวนาเขาก็มีหลายอย่างด้วยกัน หลายสิบอย่าง สุดแล้วแต่อาจารย์ไหนจะใช้ ผลที่พึงได้คือได้อภิญญาคือใช้ได้

    แต่ตอนกลางคืนเป็นสุกขวิปัสสโก ไม่จำกัดคำภาวนา ใครภาวนาอย่างไหนคล่องแล้ว ว่าอย่างนั้นตามที่คล่องมา ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ถ้ายังไม่ได้ก็ใช้คำว่า "พุทโธ" หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออก นึกว่า "โธ"

    ทีนี้เราจะบังคับคิดว่า เราจะทรงคำว่า พุทโธ อยู่ตลอดครึ่งชั่วโมง มันจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าภาวนาไป ประเดี๋ยวจิตก็แว่บไปสู่อย่างอื่น ไปหาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกใจ เราแพ้นิวรณ์ พอรู้สึกตัวมาเราก็เริ่มต้นใหม่

    ขณะใดที่รู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก และรู้คำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เวลานั้นชื่อว่าจิตของเราเป็นสมาธิ เราชนะนิวรณ์ ขณะใดที่เรื่องอื่นเข้ามาแทรกจิตใจฟุ้งไปตอนนั้น เวลานั้นเราแพ้นิวรณ์ มันก็ต้องแพ้บ้างชนะบ้างเป็นของธรรมดา คนที่จะไม่แพ้นิวรณ์เลยจริงๆ ก็คือพระอรหันต์ เราเป็นพระอรหันต์หรือยัง นึกว่าเป็นแล้ว ลองเป็นสักวันละหน่อยไม่ได้รึ

    อย่างที่หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า ท่านบอกว่า ขณิกนิพพาน ทีแรกฉันอ่านของท่านนึกว่าเอ๊ะ เป็นไปได้หรือ จริงๆ ของท่านเป็นไปได้นะ ขณิกนิพพาน นิพพานแปลว่า ดับ ค่อยๆ ดับอารมณ์วันละ ๒ -๓ นาที หรือ ๑ นาที ก็ตามใจ ดับอารมณ์ไม่นึกเรื่องรัก ไม่นึกเรื่องโลภ ไม่นึกเรื่องความโกรธ หรือไม่นึกเรื่องความหลง เอาจิตจับเฉพาะลมหายใจเข้าออก หรือคำภาวนาประเดี๋ยวก็ใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่า "ฝึกนิพพาน"

    ทีนี้การที่เราจะเจริญพระกรรมฐาน ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องใช้ปัญญาร่วม มาคราวนี้เอาเฉพาะเรื่องเดียว ๓ วันนี่นะ นัตถิ โลเก อนินทโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก มีไหมใครไม่ถูกนินทา มีไหมที่นั่งนี่ ยกมือขึ้นซิจะให้สัก ๑๐ บาท รับรองทุกราย แต่เราก็ควรจะภูมิใจ ถ้าเราถูกนินทาเราควรจะภูมิใจนะ ถ้าเราไม่ดี เขาไม่นินทา สังเกตดูคนเลวน่ะ ไม่ค่อยมีใครนินทาใช่ไหม ถ้าเราดีกว่าเขา เขาจะเริ่มนินทาเรา เราก็ภูมิใจได้

    แต่ว่าอย่าไปสนใจทั้งคำนินทาและคำสรรเสริญ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระว่า "ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นินทา ปสังสา เป็นของธรรมดาของชาวโลก ในเมื่อเราเกิดมาในโลก เราเกิดมาแล้ว ก็ต้องถูกนินทา" ไม่ใช่ถูกนินทาเฉพาะมีชีวิตอยู่ ตายเป็นผียังตามนินทาอีกนะ

    ก็เป็นอันว่าแม้แต่เราก็ดี ก็ถูกนินทา พระอริยเจ้าทั้งหลายทั้งหมดก็ถูกนินทา พระพุทธเจ้าก็ถูกนินทา วันนี้ก็จะคุยเรื่องพระพุทธเจ้าถูกนินทา ทำใจให้สบายๆนะ มา ๓ วันนี้เอาข้อเดียว

    โปรดติดตามอ่านต่อไปในบทความเรื่อง "พระพุทธเจ้าถูกนินทา"
    เนื้อหาบางส่วนจากหนังสือพ่อสอนลูก(เล่มสีชมพูบานเย็น)
    นินทากับปัญญา - ธรรมจากหลวงพ่อ - แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน&am
    รวมคำสอน หลวงพ่อฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Ruesri1.jpg
      LP Ruesri1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      1,116
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      44
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    อนิสงส์ของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ;
    ท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทธิเถร (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙)

    https://www.youtube.com/watch?v=X9aYtjJUXIU

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ..นั่งสมาธิพึงพากันตั้งสติให้แน่วแน่อยู่ภายใน พยายามควบคุมจิตอย่าให้มันหลงคิดนึกไปในอารมณ์ที่มันเคยคิด เคยนึก เคยเกาะ เคยข้องมาแต่ก่อน ให้กำหนดลงเอาปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งเลยทีเดียว ชีวิตนี้จะอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก อยู่ที่ปัจจุบันๆ นี้เท่านั้น ให้กำหนดจำกัดลงเลย เพราะว่าที่ล่วงมาแล้ว มันก็ล่วงมาแล้วนะชีวิต แล้วอนาคตก็ยังไม่ได้ไปถึง มันก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคำนึงหามัน การงานอะไรที่ทำล่วงมาแล้ว ผิดหรือถูกมันก็ได้ล่วงมาแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงหามัน เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจ ขอให้เตือนตนอย่างนี้ เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจในขณะนี้

    เบื้องต้นนี้ก็อยากคิด อยากรู้นั้น รู้นี้ เห็นนั่น เห็นนี้ ก่อนคือพยายามตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อธิษฐานจิตถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของตนแล้ว ก็พยายามประกอบจิตนี้ให้หยุดคิด หยุดนึก ให้กำหนดรู้เฉพาะแต่ลมหายใจเข้า หายใจออกเท่านี้ก่อน เพราะเวลานี้ให้เข้าใจว่าเราพักผ่อนจิตใจ คำว่าพักผ่อน คือหยุดคิด หยุดนึกในการงานต่างๆ เลย วางจิตลงให้สบาย สบาย ไม่ต้องกังวลข้างหน้า ข้างหลังอะไรเลย กำหนดรู้อยู่แต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักเลย ชีวิตนี้ก็ให้กำหนดว่ามีอยู่แค่ปัจจุบันๆ นี้ เท่านั้นแหละ

    ในเบื้องต้นเราก็รู้ไม่ได้ว่าจะไปถึงไหน เบื้องหลังมันก็ล่วงมาแล้ว ดังนั้น เราต้องกำหนดรู้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้นเอง คือการทำสมาธินี่ สำคัญอยู่ที่สตินั้นแหละ ขอให้ได้พากันจำเอาไว้ให้ดี สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกเข้าไปในจิตเลยทีเดียว ระลึกให้หยั่งเข้าไปให้มันถึงจิต อย่าให้มันระลึกเฉไปทางอื่น จิตนี้ที่มันตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ก็เพราะมันขาดสติ สติไม่ได้เข้าไปควบคุมอยู่ใกล้ชิด สตินั้น จะระลึกออกไปทางอื่นห่างออกไปจากจิต เมื่อจิตนี้ปราศจากสติแล้วมันก็ว้าเหว่ เร่ร่อนหาอารมณ์อย่างอื่น คิดส่ายไปตามความชอบใจ มันเป็นอย่างนั้น แต่จิตนี้น่ะ ถ้าสติเป็นเครื่องสอนอยู่แล้ว ไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนแล้ว ที่มันอยากคิดอะไรมาแต่ก่อนนั้น สติห้ามไว้ทันแล้วก็หยุด

    ขอให้สติมันเข้มแข็งเสียอย่างเดียว หายใจเข้าก็กำหนดรู้ หายใจออกก็กำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันนั้นเลยอย่างนั้น ไม่ได้รู้สิ่งอื่นๆ ใดทั้งหมด ถ้าหากใครสามารถที่จะเพ่งเข้าไปภายในให้เกิดแสงสว่างเหมือนอย่างเราฉายไฟเข้าไปในถ้ำมืดๆ อย่างนี้ แสงไฟฉายนั้นมันจะเป็นลำ สว่างเข้าไปภายในจะมีอะไรอยู่ในนั้นก็มองเห็นได้เลย อันนี้ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราสามารถที่จะกำหนดตั้งสติแล้วเพ่งตามลมหายใจเข้าออก เข้าไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจ และก็มองเห็นอัตภาพร่างกาย อวัยวะน้อยใหญ่ภายในร่างกายได้ยิ่งดีเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ ตามลมหายใจเข้าออกไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจและก็มองเห็น

    ถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ ก็ตั้งสติเพ่งเข้าไปหาความรู้อย่างเดียวเท่านั้น รู้อยู่ตรงไหน สติก็ให้หยั่งเข้าไปถึงนั่น ก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อจิตมันสงบ มันคลายจากอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้ว มันปลอดโปร่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สว่างไสวเต็มที่ แต่มันก็มีเงาแห่งความสว่างปรากฏอยู่ในจิตนั้นเองแหละ จิตไม่เศร้าหมอง หมายความว่าอย่างนั้นแหละเบิกบาน ถ้าหากมันคลายอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้วนะ ลักษณะอาการของจิตนี้จะเบิกบานผ่องแผ้ว ไม่มีกังวลใดๆ อิ่มอยู่ภายใน ไม่ปรารถนาอยากจะคิดไปไหนมาไหนแล้ว ทีนี้ถ้าจิตมันคลายอารมณ์เก่าออกไปได้ ก็ต้องอาศัยสตินั่นแหละเข้าไปควบคุมจิตไม่ให้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ

    อันเมื่อจิตนี้ไม่มีโอกาสจะได้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ แล้วมันก็คลายทิ้งไปหมด อารมณ์ที่เราเก็บเอาไว้มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่มีที่ต่อ มันก็คลายออกไปเท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าไปเข้าใจวิธีอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออกนี่ เพ่งกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ มันจะค่อยเบาไปๆ หมดไปโดยลำดับ เพราะว่าจิตเราไม่ส่งเสริมมันแล้วนี่ จิตเรามาจ้องอยู่เฉพาะแต่ลมนี้ จิตนี้ไม่ส่งเสริมความคิดเสียแล้ว ทีนี้จะคิดดีคิดชั่วอย่างไรไม่เอา ในขณะนี้ปล่อยทิ้งไม่ใช่เวลาคิด เวลานี้ เวลาสงบ เวลาเพ่ง เวลากำหนดรู้ ไม่ใช่เวลาคิด ให้มีสติเตือนจิตอย่างนี้เสมอไป

    จิตนี้เมื่อถูกสติเตือนเข้าบ่อยๆ มันก็รู้ตัว รู้ตัวแล้วมันก็คลาย มันก็ปล่อยวางอารมณ์ ไม่ส่งเสริม ไม่คิดไม่ปรุงไปอีก มันสำคัญ เรื่องสมาธินี่สำคัญมากทีเดียว เรื่องปัญหานั้นมันเกิดจากสมาธิ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถจะทำสมาธิให้บังเกิดได้ ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ ปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธินี้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ในนาม ในรูป ไม่ปรารถนารู้อย่างอื่น

    ในการปฏิบัติสมาธิแรกๆ อย่าไปสงสัยคลางแคลงใจว่า เอ๊ะ !! ทำไมเราจึงปฏิบัติไปไม่ได้ ทำไมใจจึงไม่สงบ ? กำหนดลมหายใจก็กำหนดแล้ว มันก็ยังไม่สงบอย่างนี้ อย่าไปสงสัย ให้นึกว่าเราทำยังไม่พอก็แล้วกันแหละ เราทำยังไม่มากพอ คือว่าเรายังกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกนี้ ยังไม่พอ เราจะต้องทำอีก..ให้ถึงรู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องกำหนดที่จะรู้นะค่ะ

    ขอทุกท่านสุขกายสบายใจเจริญทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      132 KB
      เปิดดู:
      92
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    อริยสัจจ์แห่งจิต ของพระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล)

    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ"


    อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต
    ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้น ๆ
    โดยธรรมชาติของมันเอง
    ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอก
    ได้รับอารมณ์แล้ว จิตเกิดหวั่นไหว
    หรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย

    ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหวหรือ
    กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ เป็นทุกข์

    ถ้าจิตส่งออกนอก ได้รับอารมณ์แล้ว
    แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ
    มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค

    ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม
    เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ

    พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก
    จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม

    จบอริยสัจจ์ ๔

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • JitOnlyBaby.jpg
      JitOnlyBaby.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.7 KB
      เปิดดู:
      1,027
    • Sundayhappy.jpg
      Sundayhappy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      61
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BlessingHealthAgeHappy.jpg
      BlessingHealthAgeHappy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.1 KB
      เปิดดู:
      856
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      37
    • .jpg
      .jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.6 KB
      เปิดดู:
      79
  11. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,015
    ค่าพลัง:
    +10,241
    ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล
    โปรดช่วยคุ้มครองทุกท่าน ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง
    มีความสงบสุข ความเจริญ ตราบจนเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ.
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2015
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2016
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2016
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    .
    อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สภาวะเหล่านี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ

    - ชาติปิ ทุกขา
    ความเกิดก็เป็นทุกข์

    - ชะราปิ ทุกขา
    เมื่อความแก่เข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์

    - มะระณัมปิ ทุกขัง
    เมื่อความตายเข้ามาถึง ก็เป็นทุกข์

    - โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุกปายาสาปิ ทุกขา
    เมื่อความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจเกิดขึ้นมา ก็เป็นทุกข์

    - อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
    เมื่อประสบพบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์

    - ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
    เมื่อพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์

    - ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
    และแม้คิดปรารถนาอยากได้สิ่งใด แต่ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ก็เป็นทุกข์

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpDuParvana.jpg
      LpDuParvana.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.8 KB
      เปิดดู:
      1,394
    • Luangpu Du.jpg
      Luangpu Du.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.6 KB
      เปิดดู:
      498
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2016
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    นิทาน ธรรมะ คติ สอน ใจ เรื่อง ทุกข์ซ่อนรูป

    มีเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาลว่า พระนางสุปปวาสา พระธิดาในตระกูลโกลิยวงศ์ ทรงพระครรภ์อยู่นานถึง ๗ ปี เจ็บพระครรภ์อยู่นานถึง ๗ วัน แม้ทรงได้รับความทุกข์ทรมานมากขนาดนั้น แต่ก็ทรงอดกลั้น ด้วยการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย และระลึกถึงคุณแห่งพระนิพพาน เมื่อยังไม่เห็นว่าจะคลอดง่ายๆ พระนางเกรงว่าอาจจะสิ้นพระชนม์ไปก่อน จึงขอร้องให้พระสวามีไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงประทานพรว่า ขอให้พระนางมีพระประสูติกาลโดยปลอดภัยและมีความสุข เมื่อพระสวามีกลับมาก็พบว่า พระนางมีพระประสูติกาลแล้ว วันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์พร้อมหมู่สงฆ์เสด็จไปเสวยที่นิเวศของพระนางสุปปวาสาแล้ว จึงตรัสถามว่า ทรงพระครรภ์นานถึง ๗ ปี เจ็บพระครรภ์นานถึง ๗ วัน ทุกข์ทรมานมากเช่นนี้ ยังจะต้องการบุตรอีกหรือไม่ พระนางกราบทูลว่า ถ้าจะมีอีกซัก ๗ ครั้ง ก็ยินดี พระพุทธองค์จึงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า "สิ่งที่ไม่น่ายินดีมักมาในรูปของสิ่งที่น่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารัก มักมาในรูปของสิ่งที่น่ารัก และทุกข์มักมาในรูปแห่งสุข เพราะฉะนั้น คนจึงประมาทกันนัก" และในเวลาต่อมา พระโอรสของพระนางสุปปวาสานี้เอง ได้ออกผนวชมีนามว่า พระสีวลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในทางผู้มีลาภมากกว่าใครๆ เพราะได้ทำบุญไว้ในอดีตชาตินั่นเอง



    คติธรรมจากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นคุณธรรม ๒ ประการ คือ
    ๑. ความรักจากแม่ แม้จะเจ็บปวดเจียนตายเพื่อลูกแล้ว แม่ทนได้ และพร้อมจะยินดี ทั้งชีวิตแม่ยอมสละเพื่อลูกได้
    ๒. คนโดยมากในโลกนี้ แม้จะประสบทุกข์เป็นอันมาก ก็ยังยินดี เพลิดเพลินอยู่ได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่า ความสุขแบบโลกๆ ฉาบทาปิดบังเอาไว้

    หากเรารู้เท่าทันว่า ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยึดเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย แล้วใช้ชีวิตอย่างมีสติไม่ประมาท ลักษณะของทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในรูปแห่งสุข ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

    http://tammastory.blogspot.com/2015/07/blog-post.html]นิทาน ธรรมะ คติ สอน ใจ เรื่อง ทุกข์ซ่อนรูป - "นิทานธรรมะ" "ธรรมะสอนใจ" "นิทานก่อนนอน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    อานิสงส์ถวายสบู่หอมพระ
    ผู้ถาม : ถ้าเราซื้อนํ้าสบู่หอมถวายพระ กลัวว่าจะทําให้พระเกิดกิเลสและเป็นบาปแก่เรา อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าเราเปลี่ยนเป็นสบู่กรดจะได้ไหมคะ...
    หลวงพ่อ : แหม..สบู่กรดอานิสงส์มันน้อย ถ้าเป็นนํ้ากรดจะดีมาก เปลี่ยนผิวพรรณได้รวดเร็ว
    ผู้ถาม : หนักเข้าไปอีก
    หลวงพ่อ : ความจริงไม่มีอะไรเป็นโทษนี่ เอาสบู่หอมตามที่เราต้องการเราชอบอะไร ถ้าหากของมันเป็นพิษเป็นภัย ผิดวินัย ท่านก็ไม่ใช้เอง อานิสงส์มันสมบูรณ์แบบ สบู่หอมมันหอมไปถึงไหน...
    ผู้ถาม : มันหอมประเดี๋ยวประด๋าว
    หลวงพ่อ : เห็นเขียนว่าหอม เวลาฟอกทีไรไม่เห็นมันหอมสักที ไม่เป็นไรทําอย่างนี้ดีกว่า นี่ล่อสบู่กรด ถ้าใช้สบู่กรดควรใช้นํ้ากรด ไอ้เรื่องหอมๆนี่สมัยที่ฉันอยู่วัดอนงคาราม ฉันจะไปทอดกฐินก็มีพวกนักศึกษาถามว่า ถวายแป้งได้ไหม...ถวายนํ้าหอมได้ไหม...ฉันบอกมาเถอะถวายได้หมด แกก็เอาจริงๆหลัวเบ้อเร่อ สมเด็จพุฒาจารย์วัดอนงค์ ถามว่า "เอ็งจะทํายังไงวะนี่ ถวายเป็นกฐินได้เรอะ..." ก็บอกว่า "หลวงพ่อถวายไม่ได้ ผมถวายได้" พอไปถึงต่างจังหวัดก็ถวายเป็นบริวารกฐินใช่ไหม...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่เหมาะสมกับพระแต่เมื่อถวายเป็นบริวารกฐิน อานิสงส์มันก็เท่ากับกฐินแล้วขออนุญาตเจ้าอาวาสขออนุญาตพระ เป็นของที่พระไม่สมควร ขอแจกญาติโยมได้ไหม...ท่านบอกว่าได้ ก็เลยให้เจ้าอาวาสแจก ความดีเป็นของเจ้าอาวาสอีกได้ผล ๒ อย่าง นอกจากจะได้อานิสงส์กฐินแล้วยังเป็นสังคหวัตถุอีกได้กําไร
    ฉะนั้น วันพรุ่งนี้ใครจะถวายนํ้าหอมบอกฉันนะ แต่บอกราคาไว้ด้วยนะ ฉันจะลดราคานิดหน่อย
    ผู้ถาม : (หัวเราะ) แหม...เมตตาจริงๆนะ
    หลวงพ่อ : อ้าว...ได้อานิสงส์ เขาตายไปชาติหน้าจะได้หอมใช่ไหม...อุจจาระถ่ายออกมาหอมฟุ้ง เอาเป็นหัวนํ้าหอม

    (หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า๓๕-๓๖)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...