จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    พระธรรมคำสอน สมเด็จองค์ปฐม

    ร่างกายของคนเรามีอายุขัยกันทุกรูป-นาม
    และต้องแตกดับทุกรูป-นาม อย่าประมาท
    ในชีวิต อย่ามัวเมากับลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข
    ให้มากจนเกินไป หมั่นสร้างความดีในทาน
    ศีล-ภาวนา ตัดโลภ-โกรธ-หลง

    ไปสู่พระนิพพานกันดีกว่า อย่าไปมีอารมณ์
    ขุ่นมัวกับการกระทบ พยายามลงกฎธรรมดา
    กฎของกรรมให้มาก ๆ แล้วอย่าไปกำหนด
    ลิขิตชีวิตของใคร เพราะแม้แต่ชีวิตร่างกาย
    ของตนเองก็ยังกำหนดไม่ได้เลย

    ทุกชีวิตมาตามกรรมแล้วก็ไปตามกรรม
    เพราะฉะนั้น อย่าไปยุ่งกับกรรมของใคร
    ให้มุ่งชำระกรรมของกาย วาจา ใจ
    ของตนให้บริสุทธิ์ ตัดกรรมให้เร็วที่สุด
    เพื่อเตรียมจิตเตรียมใจไปพระนิพพานดีกว่า
    กราบอนุโมทนาสาธุ
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      96
  2. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    *** ความสุข ความรื่นเริงหรรษา ของพ่อ ***

    “…เที่ยวทะเลตอนนี้รู้สึกว่า ไม่ค่อยสนุกสำหรับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกคงสนุก ทั้งนี้เพราะอะไร พ่อมันหมดสนุกเสียแล้วลูกรัก ...แต่ความสนุกรื่นเริงจริง ๆ ของพ่อก็คือ ...

    ๑.ถ้าเห็นลูกทั้งหมดมีจิตเมตตาปราณี ปรารถนาสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มีความสุข อันนี้พ่อสนุกใจจริง ๆ
    ๒..เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วยสีลาจาวัตร
    ๓.ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ
    ๔.มีกำลังจิตเข้าประหัตประหารสร้างสังขารุเปกขาญาณให้เกิด

    นี่ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังใจกำลังกายทำทุกอย่างได้ก็เพราะ ลูกทุกคนเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ฉะนั้น ลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุข ที่ไม่มีความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่น้อย นั่นคือพระนิพพาน แต่ว่าลูกรักทุกคนก็ทำแล้วอย่างตามอารมณ์ที่พ่อตั้งใจไว้ นี่ความสุขความรื่นเริงหรรษาของพ่อมีตรงนี้"
    กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
    ------------------------------
    จาก : หนังสือธัมมวิโมกข์ เดือน เมษายน 2536 หน้า 29
    โดย : พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      82.1 KB
      เปิดดู:
      98
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    . .
    [​IMG]
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ท่านนกุลคฤหบดีนั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปุทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้คุ้นเคย ก็ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง ครั้นสิ้นชีวิตลง ก็เวียนว่ายอยู่ใน ภพภูมิเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป

    ในพุทธุปบาทกาลนี้ก็บังเกิดในสกุลเศรษฐี นครสุงสุมารคิรี แคว้นภัคคะ ได้แต่งงานกับนกุลบิดาคฤหบดี จนมีบุตรตั้งชื่อว่า นกุล ชนทั้งหลายจึงเรียกสองสามีภรรยาว่า นกุลบิดา และ นกุลมารดา ดังนี้

    สมัยหนึ่ง พระศาสดาอันมีภิกษุสงฆ์แวดล้อมก็ได้เสด็จจาริกไปถึงนครนั้น และประทับอยู่ที่เภสกลาวัน

    ครั้งนั้น นกุลบิดาคฤหบดีและนกุลมารดาคหปตานี นี้ ก็ไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมด้วยเหล่าชาวสุงสุมารคิรีนคร ในการเฝ้าครั้งแรกนั้น เขาและภริยาก็เกิดความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่า พระทศพลเป็นบุตรของตน จึงหมอบลงที่พระยุคลบาทของพระศาสดากราบทูลว่า ลูกเอ๋ย เจ้าทิ้งพ่อแม่ไปเสียตลอดเวลาเท่านี้ เที่ยวไปอยู่เสียที่ไหน

    นัยว่า นกุลบิดาคฤหบดีนี้ แม้ใน ชาติก่อน ๆ ก็ได้เป็นบิดาพระทศพล ๕๐๐ ชาติ เป็นอา ๕๐๐ ชาติ เป็นปู่ ๕๐๐ ชาติ เป็นลุง ๕๐๐ ชาติ นกุลมารดาก็ได้เป็นมารดา ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ เป็นป้า ๕๐๐ ชาติ ดังนั้น เพราะมีความรักที่ติดตามมาตลอดกาลยาวนาน พอเห็นพระทศพล ก็สำคัญว่าบุตรจึงทนอยู่ไม่ได้

    พระศาสดามิได้ตรัสว่า จงหลีกไป แต่ทรงนิ่งอยู่ตลอดเวลาที่จิตใจของคนทั้งสองนั้นยังไม่รู้สึกตัว ครั้นพอคนทั้งสองนั้นกลับได้สติตามเดิมแล้ว พระศาสดาทรงทราบอาสยะ คืออัธยาศัยของ เหล่าสัตว์ผู้วางใจเป็นกลางแล้วจึงทรงแสดงธรรม เมื่อจบเทศนา ทั้งสองคนก็ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล.

    นกุลบิดาคฤหบดีและนกุลมารดาคหปตานีทั้งสองท่านนี้เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความประสานสอดคล้องโดยความรักภักดี และความซื่อสัตย์ ซึ่งนำไปสู่ความกลมกลืนกันในคุณธรรม จนปรารถนาจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ดังความที่บันทึกไว้ ซึ่งนกุลบิดาคฤหบดีได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ตระกูลนำนกุลมารดาคหปตานีซึ่งยังเป็นสาวมาเพื่อข้าพระองค์ผู้ยังเป็นหนุ่ม ข้าพระองค์มิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจนกุลมารดาคหปตานีเลยแม้ด้วยใจ ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกาย ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาพบกันทั้งในปัจจุบันและในสัมปรายภพ”

    แม้นกุลมารดาคหปตานี ก็ได้กราบทูลความอย่างเดียวกัน

    และพระพุทธองค์ก็ได้แสดงหลักธรรมที่จะทำให้สามีภรรยาครอง รักกันยั่งยืนตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้าไว้ว่า

    ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง หวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียว พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
     
  5. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    นกุลปิตุสูตร

    [๑] ข้าพเจ้า๑ได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน สถานที่พระราชทาน
    อภัยแก่หมู่เนื้อ เขตกรุงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ ครั้งนั้น นกุลปิตาคหบดีเข้าไป
    เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร๒ ได้กราบ
    ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นผู้ชรา สูงอายุ เป็นผู้เฒ่า ล่วงกาล
    มามาก ผ่านวัยมามาก มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วยประจำ พระผู้มีพระภาคและภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจ ข้าพระองค์ก็ไม่ได้เห็นเป็นนิตย์ ขอพระผู้มี
    พระภาคโปรดโอวาท โปรดสั่งสอนข้าพระองค์ด้วยพระดำรัสที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
    เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด”
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คหบดี เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี เรื่องนี้เป็น
    อย่างนั้น ความจริง กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟองไข่ มีเปลือกหุ้มไว้ อนึ่ง
    บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรับรองความไม่มีโรคได้แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไรเล่า
    นอกจากความโง่เขลา เพราะเหตุนั้น ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘เมื่อเรามีกาย
    กระสับกระส่ายอยู่ จิตจักไม่กระสับกระส่าย’ ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้”
    ลำดับนั้น นกุลปิตาคหบดีชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจาก
    อาสนะ ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณ๑ แล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
    อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ท่านพระสารีบุตรได้ถามนกุลปิตาคหบดีดังนี้ว่า
    “คหบดี อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก สีหน้าก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง วันนี้ ท่านได้ฟัง
    ธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคหรือไม่”
    นกุลปิตาคหบดีตอบว่า “ท่านผู้เจริญ ทำไมจะไม่เป็นอย่างนี้เล่า บัดนี้ พระ
    ผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมตธรรมรดกระผมด้วยธรรมีกถา”
    “คหบดี พระผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมตธรรมรดท่านด้วยธรรมีกถาอย่างไร”
    “ท่านผู้เจริญ กระผมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว
    นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นผู้ชรา สูงอายุ
    เป็นผู้เฒ่า ล่วงกาลมามาก ผ่านวัยมามาก มีกายกระสับกระส่าย เจ็บป่วยประจำ
    พระผู้มีพระภาคและภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจ ข้าพระองค์ก็ไม่ได้เห็นเป็นนิตย์
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดโอวาท โปรดสั่งสอนข้าพระองค์ด้วยพระดำรัสที่เป็นไปเพื่อ
    ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด’
    เมื่อกระผมกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับกระผมดังนี้ว่า
    ‘คหบดี เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น ความจริง กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟองไข่ มีเปลือกหุ้มไว้ อนึ่ง บุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่
    พึงรับรองความไม่มีโรคได้แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไรเล่า นอกจากความโง่เขลา
    เพราะเหตุนั้น ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิต
    จักไม่กระสับกระส่าย’ ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้
    ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมตธรรมรดกระผมด้วยธรรมีกถา
    อย่างนี้”
    “คหบดี ก็ท่านไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคให้ยิ่งขึ้นหรือว่า ‘ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และชื่อว่า
    มีจิตกระสับกระส่าย และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับ
    กระส่าย แต่ไม่ชื่อว่ามีจิตกระสับกระส่าย”
    “ท่านผู้เจริญ แม้กระผมมาจากที่ไกลก็เพื่อจะทราบเนื้อความแห่งพระภาษิต
    นั้นในสำนักท่านพระสารีบุตร ขอโอกาส เฉพาะท่านพระสารีบุตรเท่านั้นที่จะ
    อธิบายเนื้อความแห่งพระภาษิตนั้นให้แจ่มแจ้ง”
    “คหบดี ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว”
    นกุลปิตาคหบดีรับคำแล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวเรื่องนี้ว่า
    “คหบดี บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และมีจิตกระสับกระส่าย
    เป็นอย่างไร
    คือ ปุถุชน๑ในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ๒ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของ
    พระอริยะ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาด
    ในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ พิจารณาเห็นรูปโดย
    ความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป พิจารณาเห็นรูปในอัตตา หรือ
    พิจารณาเห็นอัตตาในรูป ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นรูป รูปเป็นของเรา’
    เมื่อเขาดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นรูป รูปเป็นของเรา’ รูปนั้นแปรผัน
    เป็นอย่างอื่น เพราะรูปแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ
    (ความคร่ำครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ) และอุปายาส
    (ความคับแค้นใจ) จึงเกิดขึ้นแก่เขา
    พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีเวทนา
    พิจารณาเห็นเวทนาในอัตตา หรือพิจารณาเห็นอัตตาในเวทนา ดำรงอยู่ด้วยความ
    ยึดมั่นว่า ‘เราเป็นเวทนา เวทนาเป็นของเรา’ เมื่อเขาดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    ‘เราเป็นเวทนา เวทนาเป็นของเรา’ เวทนานั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น เพราะเวทนา
    แปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดขึ้นแก่เขา
    พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสัญญา
    พิจารณาเห็นสัญญาในอัตตา หรือพิจารณาเห็นอัตตาในสัญญา ดำรงอยู่ด้วย
    ความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสัญญา สัญญาเป็นของเรา’ เมื่อเขาดำรงอยู่ด้วยความ
    ยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสัญญา สัญญาเป็นของเรา’ สัญญานั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น
    เพราะสัญญาแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
    จึงเกิดขึ้นแก่เขา
    พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสังขาร พิจารณา
    เห็นสังขารในอัตตา หรือพิจารณาเห็นอัตตาในสังขาร ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
    ‘เราเป็นสังขาร สังขารเป็นของเรา’ เมื่อเขาดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็น
    สังขาร สังขารเป็นของเรา’ สังขารนั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น เพราะสังขารแปรผัน
    และเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดขึ้นแก่เขา
    พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
    พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา หรือพิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ ดำรงอยู่ด้วย
    ความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นของเรา’ เมื่อเขาดำรงอยู่ด้วยความ
    ยึดมั่นว่า ‘เราเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นของเรา’ วิญญาณนั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น
    เพราะวิญญาณแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
    จึงเกิดขึ้นแก่เขา
    คหบดี บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และมีจิตกระสับกระส่าย
    เป็นอย่างนี้แล

    บุคคลแม้ชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่ไม่ชื่อว่ามีจิตกระสับกระส่าย
    เป็นอย่างไร
    คือ พระอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ผู้ได้สดับ ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดใน
    ธรรมของพระอริยะ ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาด
    ในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ไม่พิจารณาเห็นรูปโดย
    ความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป ไม่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา หรือ
    ไม่พิจารณาเห็นอัตตาในรูป ไม่ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นรูป รูปเป็น
    ของเรา’ เมื่อพระอริยสาวกนั้นไม่ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นรูป รูปเป็น
    ของเรา’ รูปนั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น เพราะรูปแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้น
    ไม่พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีเวทนา
    ไม่พิจารณาเห็นเวทนาในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในเวทนา ไม่ดำรงอยู่
    ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นเวทนา เวทนาเป็นของเรา’ เมื่อพระอริยสาวกนั้นไม่
    ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นเวทนา เวทนาเป็นของเรา’ เวทนานั้นแปรผัน
    เป็นอย่างอื่น เพราะเวทนาแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้น
    ไม่พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสัญญา
    ไม่พิจารณาเห็นสัญญาในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในสัญญา ไม่ดำรงอยู่
    ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสัญญา สัญญาเป็นของเรา’ เมื่อพระอริยสาวกนั้นไม่
    ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสัญญา สัญญาเป็นของเรา’ สัญญานั้น
    แปรผันเป็นอย่างอื่น เพราะสัญญาแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
    โทมนัส และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้นไม่พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสังขาร
    ไม่พิจารณาเห็นสังขารในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในสังขาร ไม่ดำรงอยู่
    ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสังขาร สังขารเป็นของเรา’ เมื่อพระอริยสาวกนั้นไม่
    ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นสังขาร สังขารเป็นของเรา’ สังขารนั้นแปรผัน
    เป็นอย่างอื่น เพราะสังขารแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้น
    ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
    ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา หรือไม่พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ ไม่ดำรง
    อยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นของเรา’ เมื่อพระอริยสาวก
    นั้นไม่ดำรงอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า ‘เราเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นของเรา’ วิญญาณ
    นั้นแปรผันเป็นอย่างอื่น เพราะวิญญาณแปรผันและเป็นอย่างอื่น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
    โทมนัส และอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้น
    คหบดี บุคคลแม้ชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่ไม่ชื่อว่ามีจิตกระสับ
    กระส่าย เป็นอย่างนี้แล”

    ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวอย่างนี้แล้ว นกุลปิตาคหบดีมีใจยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของท่านพระสารีบุตร
     
  6. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    สมัยหนึ่ง นกุลบิดาคฤหบดีล้มป่วยลง มีทุกข์เป็นไข้หนักมาก นกุลมารดา เมื่อไม่สามารถจะจัดยาระงับพยาธิของสามีได้ ก็คิดที่จะระงับโรค โดยการบันลือสีหนาทกระทำสัจกิริยา ดังนั้นนางจึงนั่งลงใกล้สามี แล้วกล่าวเตือนเพื่อให้สามีที่ป่วยหนักได้เบาใจไม่ต้องเป็นกังวลเสียก่อนว่า

    ถ้านกุลบิดาเป็นห่วงว่านางจะไม่สามารถเลี้ยดูบุตรและปกครองบ้านเรือนต่อไปได้เมื่อ นกุลบิดาสิ้นชีวิตลงละก็ จงอย่าได้เป็นกังวลในเรื่องนั้นเลย เพราะนางเองก็สามารถประกอบวิชาชีพ เช่น ปั่นฝ้าย ทอขนสัตว์เป็นต้นได้ เพื่อเลี้ยงชีวิตต่อไป

    ถ้านกุลบิดาเป็นห่วงว่าเมื่อตนสิ้นชีวิตลง นางจะได้คนอื่นเป็นสามีละก็ จงอย่าได้เป็นกังวลในเรื่องนั้นเลย เพราะตลอด ๑๖ ปีที่ร่วมชีวิตกันมา นางได้ประพฤติพรหมจรรย์ของคฤหัสถ์ อย่างสม่ำเสมอไม่มีด่างพร้อยเลย

    ถ้านกุลบิดาเป็นห่วงว่าเมื่อตนสิ้นชีวิตลง นางจะเป็นผู้ไม่ต้องการเห็นพระผู้มีพระภาค ไม่ต้องการเห็นพระภิกษุสงฆ์ละก็ จงอย่าได้เป็นกังวลในเรื่องนั้นเลย เพราะนางนั้นเป็นผู้ต้องการเห็นพระผู้มีพระภาคอย่างยิ่งและต้องการเห็นพระภิกษุสงฆ์อย่างยิ่ง

    นางคฤหปตานี ผู้เป็นมารดาของนกุลมาณพ ครั้นได้ได้บันลือสีหนาทโดยองค์ ๓ กล่าวถ้อยคำที่ให้นกุลบิดาเบาใจเหล่านี้แล้ว นางก็ได้ทำสัจกิริยา โดยอ้างพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสักขีพยาน ปรารภคุณความดีของตน มีศีลเป็นต้น ด้วยองค์ ๓ เหล่านี้.ว่า

    ในบรรดาสาวิกาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ที่ยังเป็นคฤหัสถ์นุ่งห่มผ้าขาว กระทำให้บริบูรณ์ในศีลมีประมาณเท่าใด นางก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนสาวิกาเหล่านั้น ถ้าสงสัยในข้อนี้ก็ขอจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดูเถิด

    ในบรรดาสาวิกาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ที่ยังเป็นคฤหัสถ์นุ่งห่มผ้าขาว ได้ความสงบใจ ณ ภายใน มีประมาณเท่าใด นางก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนสาวิกาเหล่านั้น ถ้าสงสัยในข้อนี้ก็ขอจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดูเถิด

    ในบรรดาสาวิกาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ที่ยังเป็นคฤหัสถ์นุ่งห่มผ้าขาว ได้ถึงการหยั่งลง ได้ถึงที่พึ่ง ถึงความเบาใจ ข้ามพ้นความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ในธรรมวินัยนี้ ไม่มีความเชื่อถือต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา มีประมาณเท่าใด นางก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนสาวิกาเหล่านั้น ถ้าสงสัยในข้อนี้ก็ขอจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าดูเถิด

    ด้วยความสัตย์จริงเหล่านี้ ขอพยาธิในร่างกายของนกุลบิดาจงเหือดหายไป กลายเป็นความสำราญด้วยเถิด

    ครั้งนั้นแล เมื่อนกุลบิดาคฤหบดี อันนกุลมารดาคฤหปตานีกระทำสัจกิริยาแล้ว ความเจ็บป่วยนั้นได้สงบระงับไปโดยพลัน

    คฤหบดีนี้นับแต่ได้เห็นพระศาสดา ก็ได้เกิดความรักดุจว่าตนเป็นบิดา ฝ่ายอุบาสิกาของท่านก็ได้เกิดความรักดุจตนเป็นมารดา.ท่านทั้งสองเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศาสดาว่า บุตรของเรา ทั้งนี้เนื่องจากความรักของท่านทั้งสองนั้นมีมาแล้วในภพอื่น ๆ ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน

    ได้ยินว่าอุบาสิกานั้นได้เป็นมารดา ส่วนคฤหบดีนั้นได้เป็นบิดาของพระตถาคต ๕๐๐ ชาติ.อุบาสิกาเป็นยาย และเป็นป้า-น้า อุบาสกเป็นปู่ และเป็นอา ตลอด ๕๐๐ ชาติอีก รวมความว่า พระศาสดาทรงเจริญเติบโตในมือของท่านทั้งสองนั้นเองสิ้น ๑,๕๐๐ อัตภาพ

    ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านทั้งสองนั้นจึงสามารถนั่งพูดในสำนักของพระศาสดาและใช้คำที่ใคร ๆ ไม่สามารถจะพูดกับพระผู้มีพระภาคในสนิทสนมอย่างนั้นได้

    ก็ด้วยเหตุนี้นี่แล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งท่านทั้งสองนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสกสาวกที่สนิทสนมของเรา นกุลปิตา คฤหบดีจัดเป็นเลิศ บรรดาอุบาสิกา สาวิกา ที่สนิทสนมของเรา นกุลมาตาคหปตานี เป็นเลิศ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ขอบพระคุณท่าน อ แซม ที่ทําให้พวกเรารื่นเริงในธรรมคําสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุโมธนาสาธุๆๆๆค่ะ catt1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    @ วันออกพรรษา ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ เ ดื อ น ๑ ๑
    คือวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษาหรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝนตลอด ๓เดือน
    @ วันออกพรรษา เรียกอีกอย่างว่า "วันมหาปวารณา" แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอม" ย่อมเปิดโอกาสให้พระภิกษุทั้งมหาเถระ เถระ พระใหม่ ว่ากล่าวตักเตือนกันและกันได้ ในข้อที่ผิดพลาดล่วงเกินกันระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน โดยอาศัยความเมตตาปรารถดี เพื่อความเจริญงอกงามในธรรมวินัย
    @ ความเป็นมาของประเพณีตักบาตรเทโว สมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่๗ เมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ สังกัสสะนคร การเสด็จลงมาจากสวรรค์ เรียกว่า "เทโวโรหณะ" ในครั้งนั้นพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      120.9 KB
      เปิดดู:
      94
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    . .
    [​IMG]
    สาธุธรรมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    . .
    [​IMG]
    ขอให้ปลอดภัยและเจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ร่วมใจกันน้อมรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล อันหาประมาณมิได้ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ที่มีต่อลูกหลานและศิษยานุศิษย์ ในวโรกาสครบรอบวันมรณภาพของหลวงพ่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕

    ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ วันมรณภาพหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    เกิด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรีในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช

    อุปสมบท วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี
    อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท
    อายุ ๒๓ ปี สอบได้นักธรรมเอก

    ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่น หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน(วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

    พ.ศ.๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมาสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด

    พ.ศ.๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่

    พ.ศ.๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุธรรมยานเถร

    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

    มรณภาพ ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษี) ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    ปฏิปทา ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษี) ได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

    ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน จัดตั้งธนาคารข้าว ออกเยี่ยมเยียนทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และแจกอาหาร ยา อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ

    ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย วาจา ใจ ในทาน ในศีล ในบารมี ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี

    ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร

    ทางด้านพระมหากษัตริย์ ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯนี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย การให้ทุนนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ

    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษี) เป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณาเป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งที่เป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาล สมกับเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง. ลูกขอน้อมจิตกราบบูชาแทบเท้าพ่อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ สาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      273.5 KB
      เปิดดู:
      82
  12. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    การสำเร็จมรรคสำเร็จผล ไม่ได้สำเร็จที่อื่นที่ไกล
    สำเร็จที่ดวงใจของเรา

    ธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านวางไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
    ท่านก็ไม่ได้วางไว้ที่อื่น วางที่กาย ที่ใจของเรานี้เอง
    นี่เรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมวินัย

    ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า คือ ใจเราไม่ทุกข์ แปลว่า พ้นทุกข์
    เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วให้พากันน้อมเข้าภายใน

    ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมไว้ในจิตดวงเดียว
    เอ กํ จิตฺตํ ให้จิตเป็นของเดิม จิตฺตํ ความเป็นอยู่
    ถ้าเราน้อมเข้าถึงจิตแล้ว ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
    ถ้าเราไม่รวมแล้ว มันก็ไม่สำเร็จ
    ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องรวมถึงจะสร็จ
    ถ้าไม่รวมเมื่อไรก็ ไม่สำเร็จ

    เอกํ ธมฺมํ มีธรรมดวงเดียว
    เวลานี้เราทั้งหลายขยายออกไปแล้วก็กว้างขวางพิสดารมากมาย
    ถ้าวิตถารนัยก็พรรณนาไปถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
    รวมเข้ามาแล้ว สังเขปนัยแล้ว มีธรรมอันเดียว
    เอ กํ ธมฺมํ เป็นธรรม อันเดียว เอกํ จิ ตฺตํ มีจิตดวงเดียว
    นี่ เป็นของเดิมให้พากันให้พึงรู้พึงเข้าใจต่อไป

    นี่แหละต่อไปพากันให้รวมเข้ามาได้
    ถ้าเราไม่รวมนี่ไม่ได้ เมื่อใด จิตเราไม่รวมได้เมื่อใด มันก็ไม่สำเร็จ

    นี่แหละให้พากันพิจารณาอันนี้ จึงได้เห็นเป็นธรรม
    เมื่อเอาหนังออกแล้วก็เอาเนื้อออกดู
    เอาเนื้อออกดูแล้ว ก็เอากระดูกออกดู เอาทั้งหมดออก
    ดู ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ตับไตออกมาดู มันเป็นยังไง มันเป็นคนหรือเป็นยังไง
    ทำไมเรา ต้องไปหลง เออนี่แหละพิจารณาให้มันเห็นอย่างนี้แหละ
    มันจะละสักกายทิฐิแน่ มันจะละวิจิกิจฉา ความสงสัย
    จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเลยไม่มี
    สีลพัตฯ ความลูบคลำ มันก็ไม่ลูบคลำ
    อ้อจริงอย่างนี้ เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว จิตมันก็ว่าง

    เมื่อรู้จักแล้วก็ตัด นี่มันจะได้เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้น

    อันนี้เรามีสมาธิแน่นหนาแล้ว
    ทุกขเวทนาเหล่านั้น มันก็เข้า ไม่ถึงจิตของเรา
    เพราะเราปล่อยแล้ว เราวางแล้ว เราละแล้ว

    ในภพทั้งสามนี้ เป็น ทุกข์อยู่เรื่องสมมติทั้งหลาย
    จิตนั้นก็ละ ละภพทั้งสาม มันก็เป็นวิมุตติหลุดพ้นไปหมด
    นี่ละเป็นวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้
    จิต นั้นจะได้เข้าสู่ปรินิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสารไม่ต้องสงสัยแน่
    เวียนว่ายตายเกิดในโลกอันนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้
    วัฏสงสาร ทำไมจึงว่า วัฏ คือ เครื่องหมุนเวียน สงสาร คือ ความสงสัยในรูป
    เฮอ ในสิ่งที่ทั้งหลายทั้งหมด มันเลยไม่ละวิจิกิจฉาได้ซี

    เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วไม่ต้องวนเวียนอีก เกิดแล้วก็รู้แล้วว่ามันทุกข์
    ชราก็รู้แล้วมันทุกข์ พยาธิก็รู้ แล้วว่ามันทุกข์ มรณะก็รู้แล้วมันทุกข์

    เมื่อเราทุกข์เหล่านี้ ก็ทุกข์เพราะความเกิดเราก็หยุด
    ผู้นี้ไม่เกิดแล้วใครจะเกิดอีกเรา
    ผู้นี้ไม่เกิดแล้ว ผู้นี้ก็ไม่แก่ไม่ตาย
    ผู้นี้ไม่ตายแล้วอะไรจะมาเกิด
    มันไม่เกิดจะเอาอะไรมาตาย
    ดูซิ ใจความคิดของเรา
    เดี๋ยวนี้เราเกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด
    เกิดแล้วก็ตายอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นทุกข์ไม่แล้วสักที

    ธรรมคำสอนของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      169.5 KB
      เปิดดู:
      106
  13. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ในอนาคตพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในประเทศฝั่งตะวันตก ยุโรป

    นั่นเพราะฝรั่งจะมีอุปนิสัยชอบค้นคว้าหาคำตอบ แยกแยะเหตุผล จะไม่เชื่ออะไรๆเลยทันที หรือเชื่อแบบมักง่ายเหมือนคนไทยส่วนใหญ่

    คนไทยส่วนใหญ่จะเชื่ออะไรแบบมักง่าย ไอ้ที่ควรเชื่อกลับไม่เชื่อไอ้ที่ไม่ควรเชื่อกลับเชื่อ

    ที่ควรเอาเป็นสรณะไม่เอา ที่ไม่ควรเอาเป็นสรณะกลับนิยม

    ความเชื่อแบบมักง่าย คือ ไม่พยายามค้นคว้าเพื่อหาคำตอบความจริง

    บางคนไม่เชื่อเลย เมื่อมีอะไรเข้ามาจะปฏิเสธเลย นี่ก็แย่ไปอีกแบบ เรื่องศาสนาพุทธเรานั้น ควรต้องเชื่อไปก่อน และค่อยๆหาคำตอบด้วยวิธีที่ถูกต้อง เช่น มีสติเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ต้องปฏิบัติด้วย ปฏิบัติให้ถึงจุดด้วย ถึงจะรู้ได้ มิใช่นึกเอาคิดเอาหรือเดาเอาหรือฟังเขาว่ามา เป็นต้น

    ศาสนาพุทธเป็นความง่ายในการได้มาซึ่งสัญชาติ แต่น้อยคนจะรู้จักศาสนาพุทธที่ครบถ้วนแห่งการเป็นพุทธมามกะจริงๆ นั่นหมายถึงต้อง เข้าใจหลักการมรรคมีองค์8 ทาน ศีล ภาวนา ที่ว่าจะทำอย่างไรจึงถูกต้อง มิใช่มุ่งแต่เรื่องทาน เพราะในศาสนาอื่นก็มีทานเช่น กันแต่ต่างกันมากมายในรายละเอียดเท่านั้น

    แม้แต่เรื่องทาน ซึ่ง มีวัตถุประสงค์อันมีขึ้นเพื่อเป็นการจาคะ เสียสละ บริจาค ลดละความโลภ เรากลับให้ทานในฐานะการแลกเปลี่ยน จึงได้แค่สละความโลภอย่างหนึ่ง ไปเป็นการเพิ่มความโลภอีกอย่างหนึ่ง สรุปว่า ไม่ได้เข้าสู่เนื้อหาความเป็นชาวพุทธในส่วนนี้เลย.

    เป็นชาวพุทธ ต้องรักษาศีลเป็นสำคัญ ต้องภาวนาเพื่อให้ชีวิตเป็นไปโดยถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ การทำทานก็ต้องเข้าใจในองค์ประกอบแห่งทานให้ครบถ้วน จึงจะได้เป็นชาวพุทธจริงๆ ขอทุกท่านสุขกายสบายใจเจริญในธรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      256.3 KB
      เปิดดู:
      92
  14. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม
    เรื่อง กิเลสมารรบกวนเวลาปฎิบัติพระกรรมฐาน

    ผู้ถาม : เวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน พอจิตเริ่มสงบสงัด
    ความแค้นเกิดขึ้นทันที แล้วก็แก้ไม่ตกสักที ขอหลวงพ่อ
    แก้แค้นให้หน่อยเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : อ้อ ! ... นี่ไปแค้นใคร เอาชื่อมาให้ฉัน
    ฉันจะฝังดินให้

    ผู้ถาม : (หัวเราะ) พอจิตไม่สงบก็ไม่แค้น พอสมาธิสงบ
    แหม...มันก็แค้น!

    หลวงพ่อ : เรื่องนี้ดีมาก ที่ญาติโยมถาม ถามดี...
    การเจริญพระกรรมฐานต้องพิจารณาถึง
    "มาร ๕ อย่าง" ให้มาก

    ผู้ถาม : เป็นไงครับหลวงพ่อ มาร ๕ อย่าง

    หลวงพ่อ : มาร แปลว่า ผู้ฆ่า ใช่ไหม
    มาร ๕ อย่าง คือ
    ๑. กิเลสมาร
    ๒. มัจจุราช
    ๓. อภิสังขารมาร
    ๔. เทวปุตตมาร
    ๕. ขันธมาร

    มาร แปลว่า ผู้ฆ่าความดี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
    มี ๕ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความสำคัญๆ
    ก็คือ "กิเลสมาร" กับ "ขันธมาร" รบกวนเราเรื่อย

    ขันธมาร หมายความว่า เวลาจะทำความดี
    ปฏิบัติกรรมฐานทำสมาธิจิตหรือทำบุญทำทาน
    ไอ้ความป่วยไข้ไม่สบายมันเข้ามาขวาง อย่างนี้
    เรียกว่า "ขันธมาร"

    อย่างที่โยมถามมาเมื่อกี้นี้เป็น "กิเลสมาร" ตัวนี้สำคัญ
    ต้องถือว่าคนนี้เป็นคนที่น่าชมมาก คนดีนะคนนี้
    เพราะอะไร...เพราะยามปกติไม่โกรธใช่ไหม
    แสดงว่าอารมณ์หยาบหมดไป ไอ้กิเลสหยาบ
    ที่โกรธหมดไป ที่นี้เวลาที่ทำจิตละเอียด
    เกิดความแค้นขึ้นมากระตุ้นขึ้นมา ตัวนี้ไอ้กิเลส
    ที่เป็น "อนุสัย" ตัวละเอียดอย่างนี้ถือว่า เขาชนะ
    มากแล้วนะคนนี้ อย่างนี้ถือว่าชนะหยาบต่อสู้กับ
    ละเอียดแล้ว ถ้าต่อสู้กับละเอียดชนะก็จะชนะเด็ดขาด
    วิธีทำแบบนี้ก็เคยมีมาด้วยกันทุกคนนะ ฉันก็เคยเจอมา

    ผู้ถาม : หลวงพ่อก็เคยมีเหมือนกันเหรอครับ...

    หลวงพ่อ : มี...ทุกอย่างที่ถามมามีทุกอย่าง

    ผู้ถาม : อ้อ...มีครบเลยนะ

    หลวงพ่อ : มีครบถ้วน...เพราะเลวมีครบถ้วน

    ผู้ถาม : เป็นพระมีเลวเหมือนกันหรือครับ

    หลวงพ่อ : เลว...ถ้าพระไม่เลว บวชอยู่ไม่ได้

    ผู้ถาม : เอ๊ะ ! เป็นยังไงครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ถ้าพระดีเขาไม่บวช ไปนิพพานเลย

    ผู้ถาม : อ้อ...

    หลวงพ่อ : ฉันมันเป็นกังหันนี่ หมุนดะ..แต่ว่าเมื่อกี้
    ถามว่ายังไงนะ วิธีแก้ใช่ไหม

    ผู้ถาม : ครับวิธีแก้

    หลวงพ่อ : ถ้ารู้สึกตัวมา ถ้าอารมณ์ระงับก็ถอยหลัง
    คิดว่า อารมณ์จิตอย่างนี้ไม่น่าจะมีแก่เรา เพราะว่า
    ตามปกติเราก็ให้อภัยอยู่แล้ว ทำไมเวลาจิตสงบสงัด
    จะต้องมาคิดอย่างนี้ ให้คิดว่าอันนี้ไม่ควร..

    อารมณ์อย่างนี้ ให้คิดแค่นี้ว่าไม่ควร อารมณ์อย่างนี้
    มันจะมีไม่นานนัก ถ้าเวลาเลิกจิตสบายแล้ว ก็คิดว่า
    อันนี้มันผิดไปแล้ว ไม่ควรจะทำให้เศร้าหมองแบบนี้
    ความดีที่มีอยู่จะคุ้มครองไม่ได้เมื่อเวลาตาย
    ถ้าเวลาตายจิตเศร้าหมองแบบนี้ เราต้องลงอบายภูมิ

    ๒-๓ ครั้งมันจะหาย ค่อยๆเรื่อยๆไป ไม่ช้ามันจะหาย
    อันนี้ดีมาก ต้องขอชม คนนี้กิเลสหยาบเฉพาะโทสะ
    ผ่านไปแล้ว ...กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      72 KB
      เปิดดู:
      72
  15. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตามาสอนต่อ มีจุดสำคัญโดยย่อ ดังนี้

    ก) “กฎของกรรม หลีกเลี่ยงกันไม่พ้นหรอก แต่พุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ทำให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่ก็ไม่ควรจักประมาทเป็นที่รู้อยู่ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ตถาคตสรุปลงไว้แค่ จงอย่าประมาทเท่านั้น”

    ข) “การต่อสู้เพื่อจรรโลงงานประกาศพระศาสนา เป็นการเอากายเข้าเสี่ยง การต่อสู้เพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นการเอาจิตเข้าแลก เพราะฉะนั้น เผลอเมื่อไร ประการแรกกายจักตาย ประการหลัง ถ้าเผลอจิตก็พลาดจากมรรคผลนิพพาน”

    ค) “พวกเจ้าจงหมั่นเอาจิตคุมกายกันไว้ให้ดี ๆ พยายามอย่าให้กายคุมจิตให้มากนัก ทุกข์กายเกิดจงหมั่นกำหนดรู้ แก้มันไปให้เร็วที่สุด จิตอย่าไปเกาะทุกข์ของกาย จิตหมั่นพิจารณาหาความจริงของกายให้พบ และยอมรับสภาพของกายตามความเป็นจริง โดยอาศัยปัญญาอันเกิดจากสมถะ วิปัสสนาเป็นกำลังใหญ่ เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยของการมีร่างกาย จิตไม่ดิ้นรน ยอมรับสภาพของกายว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปกติ เราคือจิตจักไม่สนใจในมัน ช่วยแค่ระงับทุกข์ชั่วคราว คิดไว้เสมอว่า ตายเมื่อไหร่เราจักเลิกคบมัน จิตตั้งมั่นอยู่แต่พระนิพพานจุดเดียว นาน ๆ ไปจิตจักคุมกายอยู่ คือ ชินในทุกข์ของกาย และวางเฉยได้ ไม่ทุกข์กับกายอีก จิตก็ทำหน้าที่เจริญสมณะธรรมไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าตอนนั้นกายจะทุกข์หรือสุขก็ตาม อารมณ์จิตที่แยกออกมาได้ กายส่วนกาย จิตส่วนจิตนี่แหละทำให้จิตคุมกายได้ เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณอย่างแท้จริง แม้ในวาระแรก ๆ นี้จักเป็นของใหม่อยู่ รบทั้งสงครามประกาศพระพุทธศาสนา รบทั้งสมครามภายในจิต ก็ต้องระมัดระวังตัวทั้งกายทั้งจิต ขอให้ทำกันไปเถิด อย่าละความเพียร ผลสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้แน่ ”

    ง) “มีอะไรเกิดขึ้น ก็จงอย่าตกใจกันเกินควร ให้ยอมรับนับถือกฎของกรรมว่า มันเป็นธรรมดา ตั้งสติกำหนดรู้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”
    กราบบูชาท่านพ่อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
    จากหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑
    เรียบเรียงโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน.

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      86 KB
      เปิดดู:
      84
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    คลายเครียดวันหยุดด้วยตลกฝาหรั่ง
    Better than a Flu Shot!
    Miss Beatrice,The church organist,Was in her eighties
    And had never been married. She was admired for her
    sweetness and kindness to all.
    One afternoon the pastor came to call on her and she showed him into her quaint sitting room.
    She invited him to have a seat while she prepared tea...
    As he sat facing her old Hammond organ, the young minister noticed a cut glassbowl sitting on top of it.
    The bowl was filled with water,
    and in the water floated of all things, a condom!

    When she returned With tea and scones, they began to chat
    The pastor tried to stifle his curiosity about the bowl of water and its strange floater, but soon it got the better of him and he could no longer resist.
    'Miss Beatrice', he said,
    'I wonder if you would tell me about this?
    Pointing to the bowl.
    'Oh, yes,' she replied, 'Isn't it wonderful?
    I was walking through the park a few months ago and I found this little package on the ground.The directions said to place it on the organ, keep it wet and that it would prevent the spread of disease.
    Do you know I haven't had the flu all winter.

    ;)hp_day;aa44
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    [​IMG]

    สาธุธรรมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ปล่อยวาง คือไม่ยึด ไม่ถือ รู้เท่ามัน
    เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันถึงจะสงบ
    จิตมันถึงจะมีความสุข ความสบาย จิตไม่ดิ้นรน
    จิตสงบนั่นแหละให้รู้ว่าจิตเราสงบ

    จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม
    ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่านิโรธะ
    ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย
    วางอันนี้ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ
    วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง..

    หลวงปู่ขาว อนาลโย..
    กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      225.2 KB
      เปิดดู:
      102
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    . .
    [​IMG]

    ขอบพระคุณที่มาท่าน ปูท่าพระค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpMunSick.jpg
      LpMunSick.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152.8 KB
      เปิดดู:
      1,424
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      90

แชร์หน้านี้

Loading...