จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ลูกถีบหลวงพ่อชา : อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น"
    พระอาจารย์ญาณธมฺโม
    วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


    [​IMG]


    อาตมาอาจจะเป็นพระองค์เดียวในวงลูกศิษย์หลวงพ่อชา"ที่โดนท่านถีบ" แต่ว่าซาบซึ้งที่ท่านถีบอาตมา และเพราะความซาบซึ้งนั้น จะมาเล่าให้ญาติโยมฟัง
    คือตอนนั้นอาตมาบวชใหม่ๆ พรรษาแรกอยู่ที่วัดหนองป่าพง ปีนั้นพระเณร ๗๐ กว่ารูป พระเยอะ ญาติโยมเข้าวัดกันมาก วันนั้นได้ไปบิณฑบาต ตอนกลับจากบิณฑบาตมีพระองค์หนึ่งมาคุยด้วย และพระองค์นั้นก็เพิ่งบวชใหม่เหมือนกัน ทั้งสององค์ต่างยังมีนิสัยแบบฆารวาส และพระองค์นั้นก็ได้ไปตำหนิติเตียนพระที่อยู่ในวัดที่ไม่ถูกใจ อาตมาฟังแล้วคิดในใจว่า บวชเป็นพระทำไมมาจับผิดกัน ทำไมท่านตำหนิพระองค์นั้นองค์นี้ ก็เลยเดินหนีไม่อยากคุยด้วย แต่ไม่ได้เดินหนีอย่างเดียว เดินหนีตำหนิท่านในใจยังคิดเรื่องท่าน พอดีเดินเข้ามาในวัด เดินก้มหน้าคิดถึงเรื่องพระองค์นี้องค์นั้นอยู่ ได้ยินเสียงหลวงพ่อชา พูดขึ้นมาว่า "กูดมอนิ่ง" ก็มองขึ้นไป เห็นหลวงพ่อชาก็อยู่ใกล้ๆ ท่านยิ้มใส่เรา พูดภาษาอังกฤษ "กูดมอนิ่ง" แปลว่าสวัสดีตอนเช้า เราก็ดีใจ ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยยกมือไหว้ท่านและตอบท่านว่า "กูดมอนิ่ง หลวงพ่อ"


    หลวงพ่อชาท่านพูดภาษาอังกฤษได้ ๒ คำ "กูดมอนิ่ง" สวัสดีตอนเช้า กับ "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที" แปลว่า คุณต้องการน้ำชาไหม เพราะหลวงพ่อท่านเคยไปประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษเขากินน้ำชากันทั้งวันทั้งคืนและเขาจะถามตลอดเวลา "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที" หลวงพ่อเลยท่องไว้จำไว้ เพราะท่านว่ามันจำง่ายดี เพราะว่าเหมือนพระสวดให้พร ยถาวริวะหา อุปปะกัปปาติ แต่ท่านไม่ได้ถามอาตมา "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที" เรายกมือไหว้ท่านรู้สึกดีใจอารมณ์เปลี่ยน ฉันเสร็จก็กลับกุฏิ เดินจงกรมนั่งสมาธิถึงหกโมงเย็นก็คิดว่าเดี๋ยวจะไปกุฏิหลวงพ่อชา


    ถ้าใครเคยไปวัดหนองป่าพง จะเห็นกุฏิเก่าของท่านข้างๆ โบสถ์ ซึ่งหลวงพ่อมักจะนั่งบนเก้าอี้หวาย อาตมาเข้าไปก็กราบท่าน ขอนวดเท้า เพราะเราเคยฝึกนวดเท้า บางครั้งท่านจะให้เราไปนวด วันนั้นพระเณรเยอะ ประมาณทุ่มหนึ่งเขาตีระฆัง ท่านก็ไล่พระเณรขึ้นโบสถ์หมด พระเณรประมาณ ๗๐ รูป
    ท่านบอกว่า ท่านญาณอยู่นี่ ก็นั่งสองต่อสองกับท่านก็จับเท้าท่านไว้ ท่านก็ไม่ได้พูดท่านนั่งหลับตาภาวนา เราก็นวดเท้าท่าน อากาศเย็นสบายช่วงฤดูหนาว พระเจ็ดสิบรูปเริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น เราฟังพระสวดมนต์เจ็ดสิบรูป เหมือนเทวดา เหมือนเทพกำลังจะโปรดเรา เราก็นั่งคิด เรากำลังนั่งกับพระอรหันต์ กำลังสร้างบุญกุศล ถวายการนวดแก่พระอรหันต์อยู่ เทวดากำลังสวดอนุโมทนาด้วย จิตใจขึ้นสวรรค์เลย พอดีจิตใจขึ้นสวรรค์


    หลวงพ่อใช้เท้าถีบหน้าอกอาตมาจนหงายหลัง หัวกระแทกพื้น เราก็ช็อกอยู่ งงเลย..!!!
    หลวงพ่อชี้หน้า นั่นตอนเช้าพระองค์หนึ่งพูดไม่ถูกใจเรา เราก็เสียใจ อีกองค์หนึ่งพูดแค่ "กูดมอนิ่ง" ดีใจทั้งวัน อย่าไปดีใจ เสียใจกับคำพูดคนอื่น อย่าไปฝากหัวใจไว้กับคนอื่น ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม


    ทีนี้ท่านก็เทศน์กัณฑ์ใหญ่ เราก็ยกมือไหว้ท่าน น้ำตาไหล เพราะอะไร ซาบซึ้งในเมตตากรุณาของท่าน ท่านก็คงเห็นเราตอนเช้า ว่าพระองค์นี้ตกนรก จิตเป็นทุกข์ เพราะคำพูดคนอื่น ท่านก็เลยพูดแค่ "กูดมอนิ่ง" ให้ดึงเราขึ้นจากนรก และตอนเย็นท่านก็ปล่อยให้เรานวดเท้าท่านให้ขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์แล้ว ต้องถีบลงมาถึงแผ่นดิน เพราะเทวดาสอนธรรมไม่ได้ต้องมนุษย์ เพื่อให้จดจำไว้




    "อย่าฝากหัวใจไว้กับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราจะผิดหวัง
    ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม
    ก็เลยได้จดจำคำพูดหลวงพ่อ..."​


    ที่มา : "ลูกถีบหลวงพ่อชา : อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น (ญาณธมฺโม)"




    เราอย่ารอเวลาให้ใครมาเตือนสติเรา
    เราต้องมีสติที่ดีคอยเตือนจิตตนเองมิให้หลงเสมอ
    ก่อนโดนใครถีบ..เย้ย!! ใครเตือนนะจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตัววิปัสสนาญาณเห็นไม่ต้องพูดกัน
    เห็นว่าศีลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์ จิตมันทรงมันกดอารมณ์ของความชั่วไม่ให้ฟูขึ้น
    นี่ตัวนี้เป็นตัวที่มีความสำคัญที่สุด เป็นด่านแรกที่เราจะกดอารมณ์ของเราไม่ให้เกิดขึ้น
    ในเมื่อกดกันได้แล้วก็ฟันมันเสียด้วยปัญญา ห้ำหั่นคือไม่มีเจตนาต้องการอะไรทั้งหมด
    ร่างกายของเราๆก็ไม่ต้องการ ร่างกายของบุคคลอื่นเราก็ไม่ต้องการ คนที่มีสามีภรรยาแล้ว ก็อยู่กันตามหน้าที่
    แต่ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ ไม่มีกับเราต่อไป ในชาตินี้ ในชาติหน้า มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เราก็ไม่ต้องการ
    อารมรณ์ที่เราต้องการก็คือ พระนิพพานอย่างเดียว ถ้าอารมณ์สมาธิเต็ม เรื่องวิปัสสนาญาณง่ายนิดเดียว
    ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ง่าย


    ขอให้ทุกคนต้องทรงตามนี้ ๑.อานาปานุสสติอย่าทิ้ง ๒.พรหมวิหาร๔ อย่าทิ้ง
    ถ้าไม่ทิ้ง ๒ อย่างนี้ คำว่าชั่วจะไม่มีกับใครเลย

    จากหนังสือ ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๓๔ หน้า ๕๗
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    ***ขอขอบพระคุณ คุณณัฐชยา เป็นอย่างสูง***
    ที่ส่งถ้ำมาให้ เอ๊ย หนังสือธรรมปฎิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2013
  3. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ปัญญาทางโลก-ปัญญาทางธรรม"

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗​


    [​IMG]

    หมาตัวนี้มันสอนเราถึงขีดนะ เราเลยรักมัน ตามเอารองเท้าจนได้นะตามเรื่อย เอารองเท้าไว้นี้มันก็ตามไปเอา เอาไว้ที่นั่นมันก็เอา แสดงว่าปัญญานี่สู้หมาไม่ได้ ขยับขึ้นไว้ที่สูงถึงสี่ห้าครั้งนะ จนกระทั่งเอาขึ้นไว้บนกุฏิแล้วปิดประตูมันถึงหยุด อย่างนั้นถึงเรียกว่าปัญญาหมาดีจริง คงหมายว่าอย่างนั้นนะ โห หมาก็สอนคนเก่งเหมือนกันนะ สอนเราเสียด้วย เราเลยเรียกมันว่าอาจารย์ใหญ่ เดี๋ยวนี้เรียกอาจารย์ใหญ่แล้ว เรียกหมาเรียกอาจารย์ใหญ่



    คือเราเอารองเท้าไว้ มันเคยเอาไปกินน่ะ เราเอารองเท้าไว้ตรงนี้มันก็เอาไปเงียบ ทีหลังเอาไว้ตรงนี้มันก็ตามขึ้นไปเอา เอาไว้ที่ ๓ เอาไว้ติดกับพื้นกุฏิ มันก็ตามขึ้นไปเอา เอาไว้ที่ ๔ เอาขึ้นบนพื้นกุฏิเลยแต่ไม่ได้ปิดประตูมันก็ตามไปเอา มันสอนตลอดนะ แสดงว่าปัญญานี้สู้ฉันไม่ได้ไปสอนคนทำไมคงว่างั้น คือคนโง่ ๆ แบบหลวงตาบัวนี่สอนคนหาอะไรสู้ปัญญาหมาไม่ได้ ๔ หนมันเอาไปกิน พอครั้งที่ ๕ นี้ก็เอาขึ้นไว้บนพื้นนะแล้วปิดประตู ทีนี้ไม่เอา



    นี่แสดงว่าปัญญานี้ใช้ได้ ให้เอาปัญญานี้ออกใช้สอนโลกนะ คงว่างั้นนะ เราเลยเรียกมันอาจารย์ใหญ่หมาตัวนี้น่ะ มันสอนถึงขั้นปริญญาเทียวนะ มันติดตามเอาไม่ลืมนะ ๔ -๕ พัก เอาไปไว้ที่ไหนมันก็เอาไป ๆ มาคราวนี้หมดรองเท้าไป ๔ คู่ ๕ คู่ มันเอาไปทีละข้างเท่านั้นแหละ เอาไปข้างเดียวมันก็ใส่ไม่ได้ละซิ ทีนี้พอขึ้นพอลงนี้ปิดประตูแจเลยเทียวเดี๋ยวนี้ มันสอนให้ระมัดระวัง



    นั่นฟังเอาซิ ความดีได้จากทุกอย่างนั่นแหละถ้าเราคิดให้ดีนะ ถ้าคิดไม่ดีแล้ว หมาตัวนี้มาเอารองเท้าข้าไป ไล่ตีหมาแล้วเป็นบ้าอีก ๒ ชั้น ๓ ชั้น เราเลยเรียกมันอาจารย์ใหญ่ มันสอนเราถึง ๕ พักเทียว มองเห็นมันแล้วอดยิ้มไม่ได้นะ มองเห็นหมาแล้วยิ้มละ โห สอนขนาดนี้นะ นั่นท่านเรียกว่าปัญญา ปัญญาทางธรรมเป็นอย่างนั้น ปัญญาทางธรรมไม่เป็นภัยนะ ปัญญาทางโลกนี้เป็น ล่อแหลมต่อภัย เพราะปัญญาทางโลกเป็นกิเลสนำออกใช้ ปัญญาทางด้านธรรมะนี่ธรรมะนำออกใช้จะเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ๆ เลย เห็นสัตว์ตายก็เป็นประโยชน์



    อย่างพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช ก่อนจะทรงผนวชเสด็จออกทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ไปเจอคนเกิดเด็กเกิด ทรงทอดพระเนตรแล้วเสด็จกลับ ได้คติแล้ว เสด็จไปครั้งที่ ๒ ทอดพระเนตรคนแก่ นี่คนนี้เป็นอะไร คนแก่เป็นอย่างนี้ อ๋อ เด็กเกิดใหม่ ๆ เป็นอย่างนั้น แล้วเวลาแก่มาเป็นอย่างนี้ ทอดพระเนตรแล้วเสด็จกลับ ดูอีกที่ ๓ นี่ คนเจ็บดิ้นรนกระวนกระวาย ทอดพระเนตรก็ได้คติอีก เสด็จกลับ ครั้งที่ ๔ ไปดูคนตายอีก อ๋อ วันนั้นเกิดวันนี้มาตาย แน่ะฟังซิท่านคิดน่ะ วันนั้นพบเด็กเกิดใหม่ ๆ เป็นอย่างนั้น ๆ ทีนี้มาพบคนตายเฒ่าแก่มาโดยลำดับแล้วมาตาย ท่านก็ทรงย้อนพระทัยมาถึงท่านเอง เสด็จกลับ ครั้งที่ ๕ เสด็จไปพบสมณะ ก็คงเป็นพวกฤาษีดาบสผู้บำเพ็ญธรรม นี่เป็นเพศอะไร เพศสมณะ อ๋อ สมณะนี่สงบ ท่านคงนั่งสงบ อ๋อ เพศสมณะเป็นอย่างนี้ ๕ หน



    นั่นละปัญญา เราพูดถึงเรื่องปัญญา ไปเห็นเด็กก็ได้ปัญญา เด็กเกิดใหม่ ๆ ก็ได้ปัญญา เห็นคนแก่ก็ได้ปัญญา เห็นคนเจ็บกระเสือกกระสนกระวนกระวายก็ได้ปัญญา เห็นคนตายก็ได้ปัญญา เห็นเพศสมณะก็ได้ปัญญา จนกระทั่งปัญญาทะลุเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เพราะปัญญาทางธรรมเป็นอย่างนั้น นั่นละจำเอานะ ไปเห็นอะไรก็คอยแต่จะเป็นบาปเป็นกรรมไปกับความเห็นความได้ยินไม่ดี เห็นก็ให้ได้เกิดประโยชน์ ได้ยินก็ให้เกิดประโยชน์ถึงถูก จึงเรียกว่าปัญญาหาความดีใส่ตัว ต้องหาอย่างนั้น




    คนพาลเอาแต่ปัญญาฆ่าตัวเองสังหารตัวเองนะ ไปเจออะไรก็มีแต่ภัย ๆ แทนที่จะเป็นภัยต่อเขาตามที่ตนตั้งใจไว้ เช่น จะไปฆ่าเขานั่นก็คือฆ่าเรา จะไปทำลายเขาก็คือทำลายเรา เพราะเรื่องของกรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้นี้ประสานปุ๊บทันที พวกเราไม่เห็น จะมีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเท่านั้นเห็นเรื่องความไหวของกรรมที่จะแสดงออก ประสานกันปุ๊บปั๊บ คือจะไปฆ่าเขาก็เท่ากับฆ่าเรา แน่ะ เข้าแล้วสวนแล้ว เราไปทำความดีก็ตามทำชั่วก็ตาม พอขยับที่จะทำความชั่วนี้อันนี้ขยับจะประสานกันแล้ว พอทำความชั่วปั๊บประสานปุ๊บแล้ว เข้าแล้ว ความชั่วเข้าเจ้าของ ทำความดีเหมือนกัน พอเคลื่อนปั๊บออกทำความดีปั๊บความดีเข้าแล้ว ๆ



    อันนี้โลกไม่เห็น พระญาณของพระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบหมด นำสิ่งที่หยั่งทราบแล้วนี้มาสอนโลก โลกไม่เห็นโลกไม่รู้พระพุทธเจ้าเห็นพระพุทธเจ้ารู้ เพราะฉะนั้นจึงควรเป็นศาสดาของโลกละซี ถ้าเป็นสติปัญญาหูตาธรรมดาอย่างพวกเรานี้จะไปสอนโลกได้ยังไง โลกเขามีทุกคนสมบูรณ์บริบูรณ์ ตาเขาก็มี หูเขาก็มี จมูกมี ลิ้นมี กายมี ใจมี ปัญญาเขามี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า คิดดูซิไปทอดพระเนตรเด็กเกิดใหม่พวกเราจะว่ายังไง ไปเห็นเด็กเกิดใหม่ ก็จะมีความตื่นเต้นดีใจไปกับเด็ก ทั้ง ๆ ที่เด็กคลอดออกมานั่นรอดตายนะ สลบไสลออกมาจากช่องแคบ แล้วก็ดีใจพวกเรา พระพุทธเจ้าไม่ทรงเป็นอย่างนั้น นั่นปัญญาของธรรมต่างกันอย่างนั้น นี่พระญาณที่หยั่งทราบกรรมของสัตว์



    เพราะฉะนั้นศาสนาจึงสอนเรื่องกรรมลงเป็นอันดับหนึ่งเลย สัตว์เคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลานี้คือการทำกรรมของสัตว์แล้ว จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ความเคลื่อนไหวของสัตว์ทางดีทางชั่ว เป็นความเคลื่อนไหวที่จะเป็นไปทางบาปทางบุญแล้ว ทีนี้พอมีสติสตังขึ้นมาก็ให้กำกับความเคลื่อนไหวของใจเรา มันจะเคลื่อนไหวไปทางไหน เคลื่อนไหวทางวาจา เคลื่อนไหวทางกายความประพฤติ ติดตามมันเรื่อยแล้วก็เอาประโยชน์จากนี้ รักษาเจ้าของได้ด้วยความเคลื่อนไหวของเจ้าของเองนั้นแล



    ถ้าไม่มีสติปัญญาแล้วความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นโมฆะ อย่างไปฆ่าเขาก็จะดีใจว่าเราได้ฆ่าเขาสมใจ แต่ความจริงความชั่วประสานเข้าแล้วนั่น เข้าไปถึงตัวแล้ว ๆ ใจนี่เป็นผู้เก็บเอาไว้หมดเลย นั่นท่านจึงเรียกว่ากรรม วิบากกรรมออกจากนี้แหละที่นี่ ออกทำลายเจ้าของ ความชั่วทำลงไปแล้วประสานเข้ามาแล้ว ออกจากนั้นก็ระเบิดในเจ้าของนั่นแหละ มันเหมือนลูกระเบิดนั่น ประสานปั๊บเข้าไปเป็นระเบิดเวลาก็มี ไม่มีเวลาก็มี ช้าก็มีเร็วก็มีอยู่ในนั้นหมด ทีนี้ความดีก็เหมือนกัน เวลาก็มีไม่มีเวลาก็มี เวลาสั้นเวลายาวมีผลของกรรมดี พอทำลงไปปั๊บเข้าแล้ว ๆ บรรจุไว้ในนี้แล้ว ท่านจึงสอนให้ทำกรรมดี



    ให้ระมัดระวังความคิดความอ่านของตัวเอง นั้นแหละมันจะเป็นภัยและเป็นคุณแก่ตัวเอง คือความคิดความอ่านของตัวเอง ท่านสอนให้พิจารณาอย่างนี้ นี่จึงเรียกว่าชาวพุทธ ไม่ใช่เอะอะอยากทำอะไรก็ทำ ตามความชอบใจ ๆ ความชอบใจมันกลายเป็นความเสียใจเข้ามาแล้วในตัวของมันเอง ชอบใจในทางที่ชั่วมันก็เป็นความเสียใจเวลาผลมันแสดงขึ้นมา เราทำยังไงเราอยู่ดี ๆ ทำไมเป็นอย่างนั้น ๆ คราวก่อนมันไม่อยู่ดีนี่นะ



    เช่น วันนี้อยู่ดี เมื่อวานนี้อยู่ไม่ดี มันก็เป็นกรรมมาจากเมื่อวานนี้ต่างหากมาแสดงในวันนี้ เช่นอย่างผลไม้นี่ เวลาเราปลูกไม่เห็นมันมีผลนี่นะ พอเราบำรุงลำต้นขึ้นมาแล้วมันก็มีผลออกมา ทำไมผลไม่เห็นเกิดพร้อมกับการปลูกเราไม่เห็นว่า เราก็รู้ตามเรื่องของมัน มันเจริญเติบโตขึ้นมามันก็แสดงออกมา ผลนี้เหมือนกันมันเหมือนผลไม้นี่แหละ ผลกรรม ผลบาปผลบุญนี่ อันออกเร็วก็มีอันออกช้าก็มี เรื่อย ๆ ไปก็มี จึงให้พากันระมัดระวัง



    เรื่องกรรมนี่สำคัญมากทีเดียว พระญาณของพระพุทธเจ้าเท่านั้นหยั่งทราบกรรมประสานกัน เวลาเคลื่อนไหวออกทางชั่วกับความเคลื่อนไหวของผลเข้ามาสู่ใจเจ้าของ จะประสานกันปั๊บ ๆ ตรงนี้ละเอียดมากที่สุด สัตว์โลกไม่มีรายใดรู้ได้เลย นอกจากพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ท่านรู้ได้ ปิดไม่อยู่ เพราะธรรมเหนือกิเลส การทำกรรมนี้ก็เป็นประเภทหนึ่ง ทั้งธรรมทั้งบาปทั้งบุญอยู่ในนั้น ทราบหมด ๆ พระพุทธเจ้า ท่านจึงสอนพวกเราซิ ท่านไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้านี่ สอนจริงสอนจัง สอนถึงพระทัย พระเมตตาเต็มส่วน




    เวลาจะปรินิพพานก็ทรงสลดสังเวชถึงพวกสัตว์ทั้งหลาย ขนได้เพียงเท่านี้ขนสัตว์ แล้วทรงสงสารมากกว่านั้นอีกก็ทอดบันไดเอาไว้ เช่น ประทานธรรมะไว้ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั่น นั่นแหละคือพาดบันไดเอาไว้ เอ้า ขึ้นนะ ๆ เราตถาคตไปก่อนแล้ว ให้ขึ้นตามนี้จะถึงตถาคต ขนาดนั้นละความเมตตาของพระพุทธเจ้า ให้พากันจำให้ถึงใจนะ




    ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ถึงพระทัยถึงใจ เวลาสอนสัตว์โลกสอนให้ถึงพระทัยทีเดียว ไม่ได้สอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านสอนจริง ๆ ด้วยพระเมตตา ธรรมะทุกส่วนออกมาจากพระเมตตาล้วน ๆ เพราะพระองค์ทรงตะเกียกตะกายมาแทบล้มแทบตาย มองดูสัตว์เสือกคลานอยู่ทั่วดินแดน เจ้าของไม่รู้ว่าสัตว์เหล่านี้เป็นกรรมมายังไงต่อยังไง พระองค์รู้หมดน่ะซีถึงได้สอนด้วยพระเมตตา วิธีการแก้ไขดัดแปลงสิ่งเหล่านี้ ถอดถอนสิ่งเหล่านี้พระองค์ก็ทรงทราบหมด สอนไว้เรียบร้อยอย่าพากันประมาทนะ



    ใจเป็นของสำคัญมากนะใจน่ะ ให้ถือเป็นอันดับหนึ่ง ใจต้องเป็นหลักเสมอ เป็นประการใดก็ตาม ทุกข์ดีมีจนก็ตามอย่าลืมใจนี้เป็นอันดับหนึ่ง สิ่งเหล่านี้อาศัยชั่วกาลเวลา สังขารร่างกายของเรารู้แล้วว่าโลกนี้มีป่าช้า ยังไงก็ต้องตายไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่งต้องตาย แล้วใจไม่ตายใจจะต้องพึ่งความหวังนี้ตลอด ยังมีชีวิตอยู่ก็หวัง ตายไปแล้วก็หวัง แล้วพึ่งอะไร เราหวังสิ่งที่สมหวังมีไหม ถ้าสร้างคุณงามความดีเอาไว้ไม่ต้องบอก อันนั้นแหละเข้ามาสนองความสมหวังเรา ให้จำนี้ไว้ให้ดี



    ใจนี่เป็นหลักสำคัญมากทีเดียว สัตว์โลกเกิดแก่เจ็บตายมากี่กัปกี่กัลป์ก็เพราะใจนี้เองไม่ตาย ท่องเที่ยวท่านว่าสัมภเวสี ท่องเที่ยวหาที่เกิดที่ตายตลอดเวลา หาที่เกิดกับหาที่ตายก็อันเดียวกันแหละ



    อยู่ให้มีที่พึ่ง ใจให้มีที่พึ่งเสมอ ไปไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ภายในใจ และอย่าลืมระลึกถึงบาปถึงบุญ ความเคลื่อนไหวของเรานี่มันเสาะแสวงหาบาปหาบุญนะ ความเคลื่อนไหวของกายวาจาใจนี่ เสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเจตนา หลักธรรมชาติของธรรมไม่ลำเอียง ไปทางชั่วก็ชั่ว ไปทางดีก็ดี อย่างเราเผลอไปนี้เหยียบไฟก็มี เหยียบหนามก็มี เผลอไม่ได้ ต้องระวังเสมอถ้าอยากปลอดภัยในตัวของเราเอง



    อยากให้ใจปลอดภัยก็ต้องระมัดระวังรักษากันนะ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว เห็นเป็นความรื่นเริงบันเทิง มีแต่กิเลสหลอกเรานั่นแหละความรื่นเริงบันเทิงพาไปในทางที่ชั่วเราไม่รู้ แต่เวลาโกยผลเข้ามาเผาเรานั่นซี ไม่มีใครร้อนยิ่งกว่ามนุษย์

    เอาละเทศน์เท่านี้เหนื่อยแล้ว



    ที่มา "ปัญญาทางโลก-ปัญญาทางธรรม"
     
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "สติจับไว้ ปัญญาฟัน" : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    [​IMG]

    ไม่มีอะไรเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสตินะการฆ่ากิเลส กิเลสกลัวสติ ใครสติดีแล้วผู้นั้นจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้


    สติเป็นสำคัญมาก กิเลสจะมีมากมีน้อยข้ามสติไปไม่ได้ สติเอาอยู่ๆ ทีเดียว
    จึงได้มาเป็นคำบอกเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง หรือเป็นคำสอนก็แล้วแต่จะพิจารณาเอง
    ถ้าว่าคำสอนมันจะหนักไป ถ้าว่าเป็นคำบอกเล่าก็แล้วแต่ผู้ใดจะยึดไปปฏิบัติยังไงๆ



    เรื่องสตินี่สำคัญนะในความพากเพียร ท่านทั้งหลายอย่าเผลอสติ จับสติให้ดีให้ติด
    อุบายวิธีการต่างๆ ที่ได้รับความทุกข์ความลำบากทรมานนี้ก็เพื่อบำรุงสติ
    ถ้าสติดีแล้วกิเลสจะขึ้นได้ลำบากและจะขึ้นไม่ได้
    แล้วปัญญาฟันละที่นี่ สติดี ปัญญาฟันขาดสะบั้นๆ ไปเลย


    ปัญญานะแก้กิเลส สติจับให้ ปัญญาเป็นผู้ฟัน สำคัญที่ตรงนี้



    ที่มา : "สติจับไว้ ปัญญาฟัน" : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับน้องคิมด้วยครับ

    น้องคิมเธอหายไปไหนมาเนี๊ย! เพิ่งกลับจากเกาหลี?
    อย่าเอาอย่างน้องออนมัวหันซ้ายหันขวาเลยน่ะ
    เอาน่ะ! มาช่วยกันทำมาหากินหน่อยนะ

    "ลูกถีบหลวงพ่อชา : อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น"
    สู้ "เซมากูเตะ" ไม่ได้หรอก สะใจกว่า..อิอิ

    (เอ๊ะจะเกี่ยวกันไหมเนี๊ย!)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2013
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ฮ่าๆ... ขออภัยค่ะ
    หลายเดือนมานี้ไปฝึกงาน
    พอกลับมาก็ยุ่งกับการนำเสนองาน
    (ใกล้วันจบ ป.ตรี อย่างเป็นทางการ
    เข้ามาทุกทีแล้ว!!!)


    หลังๆ มา เลยไม่ได้แวะเข้ามา
    โพสท์ธรรมทานในกระทู้เลยค่ะ
    ไว้มีอะไรดีๆ จะแวะมาโพสท์ใหม่นะคะ

    ใกล้หน้าร้อนแล้ว.. น้ำแข็งใสสักถ้วยกันไหมคะ? คิคิ

    ปล. ใครอยากทานมาก แสดงว่าจิตปรุงแต่งมาก ฮ่าๆ




    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]



     
  7. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +10,246
    [๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๖ อีกหมวดหนึ่ง
    แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของ
    พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเข้าไปตั้งกายกรรม ประกอบด้วย
    เมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ อยู่เพียงใด พึงหวังได้
    ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา
    ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่ง
    ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเข้าไปตั้งมโนกรรม ประกอบด้วย
    เมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ อยู่เพียงใด พึงหวังได้
    ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้แบ่งปันลาภอันเป็นธรรม ที่ได้
    มาโดยธรรม โดยที่สุดแม้มาตรว่าอาหารอันนับเนื่องในบาตร คือเฉลี่ยกันบริโภค
    กับเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลทั้งหลาย อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว
    ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักมีศีลเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์
    ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ในศีลอันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
    เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาทิฐิไม่ลูบคลำแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิ
    อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
    ๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักเป็นผู้มีทิฐิเสมอกันกับเพื่อนพรหม-
    *จรรย์ทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ในทิฐิอันประเสริฐนำออกไปจากทุกข์ นำผู้
    ปฏิบัติตามเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
    อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรมทั้ง ๖ นี้ จักตั้งอยู่ในหมู่ภิกษุ และ
    หมู่ภิกษุจักสนใจในอปริหานิยธรรมทั้ง ๖ นี้ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญ
    อย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ


    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ดูกรอานนท์ เราได้บอกเธอไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ
    ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น
    จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่ง
    แล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น อย่าทำลายไปเลย
    ดังนี้ มิใช่ฐานะจะมีได้ ก็สิ่งใดที่ตถาคตสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว
    วางแล้ว อายุสังขารตถาคตปลงแล้ว วาจาที่ตถาคตกล่าวไว้โดยเด็ดขาดว่า ความ
    ปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จัก
    ปรินิพพาน อันตถาคตจะกลับคืนยังสิ่งนั้น เพราะเหตุแห่งชีวิต ดังนี้ มิใช่ฐานะ
    ที่จะมีได้


    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ลพ สนอง กตปุญโย จิตสุดท้าย.
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6YGroDNCJSY&feature=player_embedded]Movie ลพ สนอง กตปุญโย จิตสุดท้าย.wmv - YouTube[/ame]

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ถึงผู้ที่กำลังเดินมรรคปฏิบัติธรรมอยู่ทุกๆท่าน.. โปรดอ่าน

    ขอโมทนาสาธุกับบทความและธรรมะดีๆที่สอดแทรกในบทความด้วยครับ
    สาธุครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2013
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์
    หรือ ผู้มาใหม่
    โปรดอ่านทางนี้!
    พี่ภูขออนุโมทนากับคุณวีรพันธุ์(อ๊อด)
    และครูเกษ ครูลูกพลัง ครูก้อง ครูปุ้ย และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆท่านด้วยครับ

    ครูหรือผู้สอนอย่าลืม แนะจิตบุญที่จบใหม่ เรื่องการวางกำลังใจด้วย
    ผู้ปฎิบัติท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ใครอ่านก็น่าชื่นใจแทนเจ้าของดวงจิต และครูผู้สอนด้วยจริงๆ
    ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ปฎิบัติใหม่ได้เป็นอย่างดี ดูจากผลของการปฎิบัติได้


    ขอให้พวกเราหมั่นระลึกหรือนึกถึงคุณงามความดีของสมเด็จองค์ปฐม และหลวงพ่อฤาษีลิงดำกันด้วย
    เพราะเป็นที่มาของจิตเกาะพระ และเป็นทางลัด ตัด ตรงเข้าสู่มรรค ผล นิพพานเร็ว
    มีจุดเด่นก็ย่อมมีจุดด้อย จุดเด่นก็คือทรงฌานได้ตลอดและต่อเนื่อง จนจิตเขาเข้าวิปัสสนาเอง
    ไม่มีผู้ใดไปยกจิตแทนกันได้ แม้นกระทั่งครูยกจิตแทนลูกศิษย์ก็ทำไม่ได้
    เพราะครูเป็นแค่ผู้ที่ชี้แนะแนวทางการปฎิบัติให้เท่านั้น ที่เหลือผู้ปฎิบัติจะต้องทำเอง
    ที่นี่รับรองจิตยกให้ชั่วคราว เพราะผู้ที่จะมารับรองดวงจิตของมนุษย์ ก็คือ พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ที่เป็นสายบุญของท่านเอง

    ส่วนจิตจะพัฒนาไปถึงไหน ผู้ปฎิบัติเองเท่านั้น ที่จะตอบได้เป็นอย่างดี
    แต่ถ้าใครไม่ปฎิบัติเองก็จะไม่ทราบ อย่าคิดเข้าข้างตนเอง หรือแอบทำคนเดียวเพราะไม่ได้ผล
    ผมไม่ได้ดูถูก เพราะเวลาเดินมรรค เราต้องมีครูนำทางให้ก่อน
    ดูตัวอย่างพระอริยเจ้า ท่านก็มีครูบาอาจารย์เหมือนกัน กว่าจะมาถึงจุดนี้กันได้
    การเรียนธรรมะ จึงต่างกับการเรียนในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย

    โดยเฉพาะเรียนรู้เรื่องสติกับจิต แต่ถ้าใครไป(แอบ)เรียนเอง แล้วจะเห็นตัวตน(อัตตาหรือมานะ)
    ได้ดีเท่ากับครูเขาไหม
    ผลของการปฎิบัติก็เป็นเรื่องปัจจัตตัง!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มีนาคม 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันนี้ขอแนะหลักธรรมสำคัญ​
    "โพธิปักขิยธรรม"
    เป็นธรรมเกื้อกูลสำหรับการปฎิบัติโดยตรง ได้แก่
    สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8


    นอกจากผู้ปฎิบัติธรรมที่ดี จะต้องมีวินัยตนเองและไม่ดูจริยาผู้อื่น
    เน้นปฎิบัติมากๆ ปริยัติแค่เสริม
    รักษาศีลและทำภาวนาเป็นนิจ เน้นทรงอิทธิบาท ๔
    แต่ถ้าใครไม่เน้น ก็จะปฎิบัติไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายปลายทาง
    เวลามันเหลือน้อยเต็มที ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น หรือมรรคผลนิพพานของตน

    ในขณะเจริญสติภาวนา ให้เจริญสมถะและวิปัสสนาไปพร้อมๆ กันด้วย
    เมื่อมีสิ่งกระทบจิต หรือความคิดผุดขึ้นมา ให้หัดวิปัสสนาและตัดลงไตรลักษณ์ทุกครั้งไป

    ผู้เขียนอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และน้อมจิตปฎิบัติตามทันที มิให้เสียโอกาส
    จึงอยากแนะพวกเราปฎิบัติตามหลวงพ่อฯ เพราะได้ผลดี
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความรู้รอบเอว ทบทวน!
    โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37
    เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการคือ
    สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8​

    ๑. สติปัฏฐาน ๔ (ฐานเป็นที่กำหนดของสติ)
    ๑.๑การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย (กายานุปัสสนา) ๑.๒การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา(เวทนานุปัสสนา) ๑.๓การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนา) ๑.๔การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม (ธรรมานุปัสสนา)

    ๒.สัมมัปปธาน (หลักในการรักษากุศลธรรมไม่ให้เสื่อม)
    ๒.๑การเพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในตน (สังวรปธาน) ๒.๒การเพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว(ปหานปธาน) ๒.๓การเพียรสร้างกุศลให้เกิดขึ้นในตน(ภาวนาปธาน) ๒.๔การเพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ไม้ให้เสื่อมไป(อนุรักขปธาน)

    ๓.อิทธิบาท ๔ (เป้าหมายของความเจริญ)
    ๓.๑ความชอบใจทำ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น(ฉันทะ) ๓.๒ความแข็งใจทำ เพียรหมั่นประกอบในสิ่งนั้น(วิริยะ) ๓.๓ความตั้งใจทำ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่ทอดทิ้งธุระ(จิตตะ) ๓.๔ความเข้าใจทำ การใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลในสิ่งนั้น(วิมังสา)

    ๔.อินทรีย์ ๕
    ๔.๑ให้เกิดความเชื่อ (ศรัทธา) ๔.๒ให้เกิดความเพียร (วิริยะ) ๔.๓ให้เกิดความระลึกได้ (สติ) ๔.๔ให้เกิดความตั้งมั่น (สมาธิ) ๔.๕ให้เกิดความรอบรู้ (ปํญญา)

    ๕.พละ ๕ (กำลัง)
    ๕.๑ความเชื่อ (ศรัทธา) ๕.๒ความเพียร (วิริยะ) ๕.๓ความระลึกได้ (สติ) ๕.๔ความตั้งมั่น (สมาธิ) ๕.๕ความรอบรู้ (ปํญญา)

    ๖.โพชฌงค์ ๗ (องค์แห่งการตรัสรู้)
    ๖.๑มีความระลึกได้ (สติ) ๖.๒มีความพิจารณาในธรรม (ธัมมวิจยะ) ๖.๓มีความเพียร (วิริยะ) ๖.๔มีความอิ่มใจ (ปีติ) ๖.๕มีความสงบสบายใจ (ปัสสัทธิ) ๖.๖มีความตั้งมั่น (สมาธิ) ๖.๗มีความวางเฉย (อุเบกขา)

    ๗.มรรค ๘ (หนทางดับทุกข์)
    ๗.๑ใช้เพื่อเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ (สัมมาทิฏฐิ) ๗.๒ใช้เพื่อดำริชอบ คือ ดำริละเว้นในอกุศลวิตก (สัมมาสังกัปปะ) ๗.๓ใช้เพื่อเจรจาชอบ คือ เว้นจากวจีทุจริต(สัมมาวาจา) ๗.๔ใช้เพื่อทำการงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต (สัมมากัมมันตะ) ๗.๕ใช้เพื่อทำอาชีพชอบ คือ เว้นจาก การเลี้ยงชีพในทางที่ผิด(สัมมาอาชีวะ) ๗.๖ใช้เพื่อเพียรชอบ คือ สัมมัปปธาน (สัมมาวายามะ) ๗.๗ใช้เพื่อระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔(สัมมาสติ) ๗.๘ใช้เพื่อตั้งใจมั่นชอบ คือ เจริญฌานทั้ง ๔ (สัมมาสมาธิ)


    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1
     
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้เป็นวันพระ และเป็นวันสําคัญของพระศาสนามาช้านานเพราะพระสงฆ์ท่านจะมาลงสวดปาติโมกข์ในวันพระนั้นเอง...การสวดก็จะทําเพื่อคอยเตือนสติในธรรมของท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความมีวินัยให้ท่านได้ผลและได้ระลึกรู้ถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นว่าเป็นที่พึงเป็นสรณะ และพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็จะถือเป็นการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามแบบฉบับมาจนทุกวันนี้ และเป็นวันที่เราชาวพุทธได้ตระหนักถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าได้ไปทําบุญให้ทานและรักษาศีลในวันพระด้วยจึงถือว่าเป็นวันสําคัญทางพระศาสนาที่ชาวพุทธไปทําบุญและรักษาศีลและทําความสงบใจคือ"เจริญภาวนานั้นเอง"เพราะการภาวนาเป็นเหตุให้เกิดแห่งปัญญา และปัญญาก็จะรักษาเราผู้ปฏิบัติธรรมเพราะปัญญาไม่มีบารมีก็เกิดได้ยากเพราะบารมีต้องอาศัยปัญญาเป็นตัวพาดําเนินด้านความคิดอ่านและการอยู่ในสังคมที่มีแต่ความวุ่นวายอยู่ตลอดเพราะโลกก็เป็นอย่างนี้...เพราะกระแสดึ่งดูดของกิเลสนั้นมีมาก เราจึงต้องปฏิบัติเพื่อตัดกระแสของสิ่งที่มีความเหนียวแน่นมาช้านาน ก็มีแต่ธรรมของพระศาสดาเท่านั้นแหละที่จะเป็นสิ่งขจัดความวุ่นวายลงได้ จึงขอให้ทุกๆท่านจงได้ปฏิบัติธรรมและวันนี้ก็เป็นพระขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงมาปกป้องคุ้มครองท่านให้ท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เหตุที่ทําให้ไม่เกิดความสงบได้นั้น...ก็เพราะว่าเรายังมีความคิดเห็นที่เห็นผิดอยู่คือยังไม่เป็น"สัมมาทิฏฐิ"นั้นเอง...เราจึงต้องทําให้เกิดเป็นความเห็นชอบก่อน และความสงบก็จะเกิดขึ้นได้ เราต้องพร้อมด้วยการมี"ศีล สมาธิ ปัญญา" ในขณะที่เรานั่งให้เกิดความสงบนั้น จิตก็จะน้อมไปดูพิจารณาธรรมก็จะอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด ก็เหมือนเราจะไปเข้าห้องนํ้านั้นแหละพอเปิดประตูเห็นห้องนํ้าสกปรกก็ไม่อยากเข้าก็จะไปเปิดดูห้องอื่นก็ยังคงสกปรกอยู่ก็จะต้องหาไปเรื่อยๆ ถ้าเราเห็นมันสกปรกแล้วก็ล้างมันชะมันก็จะสะอาดขึ้นแล้วเราก็เข้าไปใช้ได้เพราะห้องนํ้ามันสะอาดแล้วก็เหมือนจิตเรานั้นแหละถ้าไม่ขัดเกลาและไม่มีศีลจิตก็ยังคงจะหาหาความสงบไม่เจอ เพราะเรายังไม่เป็นสัมมาทิฏฐินั้นเอง...
    ที่มาได้ยินได้ฟังจากเทปธรรมะเทศน์ในงานมุทิตาหลวงปู่ชา สุภทฺโท
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2013
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ


    "ตนเองเป็นที่พึ่งของตนเองนั้น ก็คือตนเองจะต้องลืมตาขึ้นมองดูทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงส่องประทีปให้มองเห็น และตนเองก็ต้องเดินทางที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็นนั้น ไปด้วยตนเอง จึงจะบรรลุถึงความสวัสดีด้วยตนเอง เหล่านี้ต้องพึ่งตัวเองทั้งนั้น ถ้าหากว่าตนเองมีจักษุบอด เพราะความเป็นอันธพาลที่แปลว่าเป็นผู้เขลา เหมือนอย่างคนตาบอด ก็เป็นอันว่าไม่สามารถจะมองเห็นทางได้ ก็ไม่ได้รับประโยชน์ จากความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า เพราะความเป็นอันธพาลของตนเอง แต่ว่าถ้าละความเป็นอันธพาลได้ จึงจะสามารถมีจักษุคือดวงตาที่จะมองเห็นทาง

    และแม้ว่าบุคคลที่ตาดี มีจักษุคือดวงตาที่สามารถจะมองเห็นทางได้ แต่ถ้าหลับตาเสียไม่มอง ก็ไม่สามารถจะเห็นทางที่พระพุทธเจ้าทรงส่องประทีปให้เห็นได้เช่นเดียวกัน ก็เป็นอันว่าไม่ได้รับประโยชน์จากความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า

    ส่วนบุคคลที่มีตาดีและไม่หลับตา ลืมตามองดูทางที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็น เห็นทาง และก็ได้เห็นได้รู้ว่าเป็นทางที่มีความสวัสดี มีผู้ที่เดินทางไปแล้วบรรลุถึงความสวัสดีคือพระสงฆ์ เป็นพยานหลักฐาน จึงดำเนินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็นนั้น ดั่งนี้เรียกว่าพึ่งตน และพึ่งพระธรรมด้วย ก็คือดำเนินไปตามทางอันถูกต้องที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็น และก็ได้ชื่อว่าพึ่งพระพุทธเจ้าด้วย เพราะว่าได้อาศัยประทีปที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็น คือคำสั่งสอนของพระองค์ และได้ชื่อว่าพึ่งพระสงฆ์ด้วย เพราะว่าพระสงฆ์เป็นผู้ที่ได้เดินทางไป บรรลุถึงความสวัสดีแล้ว เท่ากับว่าพระสงฆ์ได้เดินนำหน้าอยู่ในทางอันสวัสดีนั้น ก็เดินไปตามที่พระสงฆ์ได้เดินไปนั้น นั้นเอง

    ฉะนั้น จึงต้องพึ่งพระพุทธเจ้า ต้องพึ่งพระธรรม ต้องพึ่งพระสงฆ์ และต้องพึ่งตนเองดังกล่าว ทุกคนจึงจำเป็นจะต้องมีที่พึ่งเหล่านี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง และมีตนเองเป็นที่พึ่ง"


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

    ที่มา ..FB ปัจจัตตัง ฯ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่อง จริยาพระ​

    โดยเฉพาะผู้บวชจิตอย่างพวกเรา ก็เลยนำมาฝากกัน
    ตอนนี้ขอให้พวกเรามุ่งเน้นไปที่ภายในคือจิตใจ ภายนอกเราไม่เน้น`
    ข้าพเจ้าจะยกขึ้นมาเฉพาะที่เกี่ยวข้องฆราวาสอย่างเราๆท่านๆที่สามารถประพฤติ ปฎิบัติตามได้
    เพราะไม่ว่าจะบวชเป็นพระหรือบวชใจอย่างเดียวก็ตาม
    สุดท้ายผู้ปฎิบัติทุกท่านจะต้องเข้าให้ถึงสมาธิจิตตนให้ได้ก่อน

    หลวงพ่อท่านกล่าวว่า...บวชเป็นพระก็ต้องประพฤติปฎิบัติให้ถึงความเป็นพระ
    ไม่ใช่ว่าโกนหัว ห่มผ้าเหลืองแล้วก็เป็นพระ อย่างนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า สมมุติสงฆ์
    หลวงพ่อฯบอกว่า เป็นสมมุติสงฆ์ ถ้าไม่รักษาพระธรรมวินัยให้ครบถ้วน
    ยกตัวอย่างที่พระที่เดินขบวน หรือพระที่พอใจอยู่กับโลกธรรม
    ไม่ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิืแค่ไหน ก็คุ้มนรกไม่ได้
    ไม่เคารพคำสั่งสอนในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ แสดงหลอกชาวบ้านก็ยิ่งไปใหญ่
    หรือยังมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เหมือนกันไม่ดีแน่
    ส่วนใหญ่พระที่เข้าถึงความเป็นพระได้ ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป เพราะอารมณ์ใจดี

    บวชกันเข้ามแล้วต้องตัดความโลภ โกรธ หลง เพื่อมุ่งหวังเอาความดี
    พระวินัยนี่อดพลาดไม่ได้ แต่ผิดพลาดเล็กน้อยพอ
    แต่ถ้ามีอารมณ์จริงพลาดพระธรรมวินัยก็ไม่มี เพราะรักพระธรรมวินัย

    ต่อไปฯ ทำตามพระพุทธเจ้าประสงค์ ก็คือ ต้องทำศีลให้บริสุทธิ์
    การทรงพระวินัยให้บริสุทธิ์ ศีลก็บริสุทธิ์ เพราะศีลกับพระธรรมวินัยตัวเดียวกัน

    ต่อไปฯ ตั้งใจเจริญสมาธิจิต คือ ระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ
    ๑.ทำใจไม่ยุ่งอารมร์ของบุคคลอื่น ใครจะดีหรือชั่วช่างเขา เรามีอารมณ์เดียวคือชำระใจตน
    ระวังใจให้ตั้งอยู่กับศีล เป็นอันดับแรก
    ๒.ระมัดระวังความชั่วของจิต ๕ ประการ คือ ศัตรูของสมาธิ
    ๒.๑.ไม่สนใจในรูปสวย กลิ่นหอม เสียงเพราะ รสอร่อย
    สัมผัสตามที่ต้องการ อารมณ์ที่หมกมุ่นไปกามารมณ์ ไปกับความสวย ร่ำรวย
    ยศถาบรรดาศักดิ์ สรรเสริญเยินยอ
    ๒.๒.ระงับความโกรธ พยาบาท ด้วยอำนาจเมตตาบารมี
    ๒.๓.ไม่ให้ความง่วงเข้ามาในใจ
    ๒.๔.ภาวนาหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง รักษาอารมณ์ใจ คือฌานสมาบัติ
    ๒.๕.ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

    ส่วนการปฎิบัติก็อย่าทำให้ลำบากเกินไป ให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ให้ดี
    คือ ปฎิบัติสบายๆ หรือ มัชฌิมาปฎิปทา จะปฎิบัติท่าไหนก็ได้ นั่ง นอน ยืน เดิน
    วิธีรักษาอารมณ์ใจใหม่ๆ อย่าใช้เวลานาน เพราะเรากำลังฝึก
    เน้นทำบ่อย แต่อย่าทำนาน จงคิดว่าเราไม่ใช่ผู้แพ้ เราต้องเป็นผู้ชนะ

    ด้านวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ไม่ยาก วิปัสสนาไม่ยาก ยากตอนทำสมาธิ
    เพราะต้องคุมกำลังใจใหม่
    ตอนเราเจริญวิปัสสนา ก็ให้ดูในอริยสัจ หรือขันธ์๕ หรือวิปัสสนาญาณ
    คำว่าวิปัสสนายษณนี่ เราต้องยอมรับกฎของความเป็นจริง(กฎธรรมดา)
    ให้รู้ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะมันพังแน่ บังคับทุกสิ่งให้ไปตามใจเราไม่ได้
    ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เราคืออทิสสมานกายหรือจิตใจ ที่เข้ามาอาศัยกาย
    ร่างกายอันนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีกต่อไป
    จิตใจเราเบื่อร่างกาย คิดว่าเป็นของไม่ดี ดินที่ดีมีแห่งเดียวคือ พระนิพพาน
    จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ไม่มี

    (สำหรับพระ..จะต้องไม่มี)
    อารมณ์รักเพศตรงกันข้าม ความพอใจกามารมณ์
    หรือความต้องการจะสมสู่อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา
    อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
    ต่อไป...ความโกรธต้องไม่มี ใครด่าว่าช่างเขา ตัดอารมณ์หยาบให้ได้
    ต่อไป...อย่าหลงติดในฌาน(ทั้งรูปหรืออรูปฌาน) ให้ถือว่า เป็นบันไดเพื่อวิปัสสนาเท่านั้น
    แต่เรื่องฌานนั้น ทิ้งไม่ได้ ประคับประคองไว้ให้คู่อยู่กับวิปัสสนา
    มันคุมกำลังใจให้ยอมรับนับถือกฎแห่งความจริงหหหหรือกฎธรรมดา
    ต่อไป...มานะ การถือตัวถือตนว่าเราดีกว่า เสมอหรือต่ำกว่าคนอื่นเขา มันหมดไปหรือยัง
    มีอารมณ์ฟุ้งซ่านยังถือว่าใช้ไม่ได้ ให้จับอารมณ์พระนิพพานอย่างเดียว
    ต่อไป...ตัดความเกิด คือตัดฉันทะ ความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม
    ตัดราคะ ที่เห็นว่าโลกมนุษย์ เทวดา พรหม สวยสดงดงาม ตัดทั้งสามโลกนี้ทิ้งให้หมด
    สิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน แต่ถ้าทำได้อย่าง มันก็มีแค่ความสบาย ผ่องใส

    ธรรมปฎิบัติ ๓๔ หน้า ๕๙
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มีนาคม 2013
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า
    พระสายเหนือ

    เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านก็ป่วยมาตลอด ก็ให้จัดงานหล่อรูปหลวงปู่ปานกับรูปหลวงปู่ใหญ่ ที่อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถนั้น ๒ องค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จมาในงานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน

    ก่อนจะจัดงานนั้นขึ้น หลวงพ่อได้พาลูกศิษย์ไปกราบนมัสการพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สายทางเหนือ เรียกว่าสายพระเหนือ ท่านบอกว่า พระให้พาลูกศิษย์ไปรู้จักกับพระสายเหนือ โดยที่ท่านเจ้ากรมเสริม ได้พิมพ์หนังสือออกจำหน่ายในภายหลัง คือ หนังสือเรื่องล่าพระอาจารย์ มีอยู่แล้ว ถ้าเล่าไปก็อาจจะผิดพลาดบ้าง เพราะไม่ได้ไปในเหตุการณ์ ถ้าท่านทั้งหลายอยากทราบก็ไปหาซื้อหนังสือนี้อ่าน

    ก็ขอเล่าแต่เฉพาะที่ว่า เมื่อพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาที่วัดท่าซุง ก็มี

    หลวงปู่บุดดาถาวโร นี่พระอรหันต์องค์หนึ่ง

    หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล

    หลวงปู่คำแสนใหญ่ (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก

    ครูบาอินทจักรรักษา วัดบ่อน้ำหลวง

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง

    หลวงปู่กล่อม (พระธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม

    หลวงปู่ชุ่มโพธิโก วัดวังมุย และ

    ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง พร้อมด้วย

    ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม

    เมื่อ ท่านมาที่วัดพวกเราผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า เป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติความดี ก็มีความซาบซึ้งปิติยินดี เป็นอย่างมาก เมื่อนิมนต์ท่านมาแล้วนี่ หลวงพ่อให้จัดกุฏิ ๑๐ หลัง อยู่ที่ด้านหลังพระอุโบสถนั้นเป็นที่รับรอง จะมีเจ้าหน้าของวัด ขณะนี้บวชอยู่หลายองค์ ขณะนั้นยังไม่ได้บวชเป็นผู้มีความเลื่อมใส ปฏิบัติรับใช้ท่านประจำองค์ มีญาติโยมที่ขณะนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่หลายท่าน ที่มรณภาพไปแล้วก็หลายองค์ หลายท่านเป็นแม่ครัวจัดอาหารถวายท่านเป็นสำรับ เป็นชุดๆ

    เมื่อ พระสุปฏิปันโนมาตอนเช้าๆ มีการใส่บาตรกัน ท่านก็จะมารับบาตร มีหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เป็นต้น ท่านนั่งรับบาตรอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ พวกเราก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน ท่านก็นั่งกันเป็นแถว ไม่ได้ลุกเดิน นั่งเก้าอี้ถือบาตร พวกเราเป็นพระก็ดี เป็นญาติโยมก็ดี ก็ไปใส่บาตรตอนเช้า เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว ท่านก็ไปฉันภัตตาหารในกุฏิ มีลูกศิษย์ที่วัดจัดไว้ปรนนิบัติรับใช้ ก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน อย่างนี้เป็นประจำทุกวันตลอดงาน

    พวกเรานี่เป็นผู้มี ศรัทธา เคารพนับถือดีอยู่แล้วภัตตาหารของหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย ก็มีคนจัดมาถวาย แต่พวกเราลูกศิษย์ก็เยอะ เมื่อหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลายฉันภัตตาหารเสร็จ ก็มีพวกลูกศิษย์เอาไปรับประทานกัน หลังจากครูบาอาจารย์ฉันภัตตาหารเสร็จ ถือว่าของเหลือนั้นเป็นมงคล เป็นสิ่งที่เป็นทิพย์ เป็นมงคล เป็นกำไรชีวิต อิ่มด้วย คงจะรสเลิศ

    เมื่อญาติโยมทุกท่านที่นำอาหารไปถวายพระสุปฏิปันโนที่มาในงานเสร็จ ก็จะยกสำรับมาคืนญาติ ก่อนจะถึงญาติผู้ใหญ่ พวกที่ถือมานั่นก็จะชิมเสียก่อนแล้ว ก่อนจะมาถึงปลายมือก็เหลือน้อยถือว่าเป็นยา เป็นทิพย์ เป็นมงคล ก็จะแบ่งกันกินกันถ้วนหน้า คนที่ถือต้นมือจะได้มาก คนที่ถือปลายมือก็จะได้น้อยหน่อย

    องค์ไหนที่เป็นพระ อรหันต์ ที่ครูบาอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์ ก็จะเป็นที่เพ่งเล็งเป็นจุดสนใจของบรรดาลูกศิษย์ที่มีศรัทธาแก่กล้า มีอยู่คราวหนึ่ง เป็นสำรับของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งลูกศิษย์ได้ยกมาหลังจากท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็มีอาหารที่เหลือจากท่านถือว่าเป็นมงคลอันสูง ก็ค่อยแบ่งกันกิน เหมือนพี่เหมือนน้อง แบ่งกันคนละเล็กละน้อย กว่าจะถึงแม่ครัวปลายมือก็จะเหลือน้อยแล้ว ก็บอกว่า

    นี่ นี่..สำรับของหลวงปู่บุดดา ใครจะเอาก็มา ใครจะเอาก็มาแบ่ง คนมาทีหลังได้อะไรก็เอาทุกอย่าง ก็มีอยู่ชามหนึ่งที่เหลืออยู่ คนส่วนมากก็จะ เข้าใจว่า เป็นน้ำลิ้นจี่ ลิ้นจี่กระป๋อง แต่เนื้อนั้นนะ มีผู้เอาไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่น้ำ แต่ถึงเหลือแต่น้ำ ก็ไม่ว่ากัน เป็นยา เป็นมงคล บางคนก็ดื่มไปบ้าง แบ่งให้คนอื่นดื่มบ้าง ดื่มไปหลายคน ไม่มีใครว่าอะไร

    พอมาถึงคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย พอดื่มเข้าไปหน่อย ก็ออกปาก นี่มันอะไรว่ะ น้ำลิ้นจี่อะไรวะ ไม่หวานเลย ทุกคนที่กินเข้าไปหลายคนแล้ว แต่ไม่มีใครปรารภขึ้น พอมีผู้อาวุโสทักว่า นี่น้ำอะไรวะ ไม่หวานเลยน้ำลิ้นจี่ ลูกศิษย์ที่อยู่ก้นกุฎิอยู่ในเหตุการณ์ก็ว่า ไหนไหนไหน ผมขอดูหน่อย เมื่อลูกศิษย์ก้นกุฏิที่ถือมาขอดู ก็บอกว่า นี่น้ำลิ้นจี่ที่ไหนครับ มันจะหวานได้อย่างไรละครับ ก็นี่มันน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่นี่ แต่พวกเราก็ซัดกันไปหลายอึ๊ก

    แล้วพอพูดว่าน้ำล้างฟัน ปลอมหลวงปู่เท่านั้น ผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า ถือว่าเป็นมงคลก็เกิดอาการลำไส้ปั่นป่วน ก็ดึงของเก่าที่กินอยู่เบื้องแรกออกมา พุ่งออกมา โอกอาก โอก พุ่งเป็นหลาวออกมาจากลำไส้ แสดงถึง (หัวเราะ) ศรัทธาที่มีอยู่นั้นมันปั่นป่วน จึงดึงน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่ออกมาหมด ท่านสาธุชนคิดดู ก็เป็นการที่ฮือฮา หัวเราะกันน้ำตาไหล ว่านี่นะ

    การดื่มน้ำฟันปลอมของหลวงปู่นั้นมีฤทธิ์มาก เขาวิจารณ์กัน บอกแล้วว่า กูนึกแล้ว น้ำลิ้นจี่อะไรวะ กูเห็นมีพริกลอยอยู่ กูนึกแล้วว่า มันทำไมถึงไม่หวาน แต่พวกที่ดื่มไปก่อนนั้นแล้วก็หลายคน ก็นึกหัวเราะว่า ศรัทธานั้นดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญ แต่ปัญญาน้อยไป เลยเป็นอย่างที่เล่ามานี้แหละ

    การทำบุญกับพระสุปฏิปันโน นั้น เราก็ทำกันเฉพาะกลางวัน ส่วนกลางคืนเราก็ปิดประตูสนทนากัน ไปกราบไปภาวนากันเป็นปกติ เมื่อหลวงพ่อท่านนิมนต์อย่างนี้ ท่านก็ถวายจตุปัจจัยทุกอย่างให้ท่าน ไปบูรณะวัดของท่านทุกองค์

    ฝั่ง พระอุโบสถปัจจุบันนั้น หลวงพ่อท่านสร้างพร้อมๆกัน เกือบทั้งหมด เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้ววางศิลาฤกษ์ แล้วก็สร้างกุฏิ ๑๐ หลัง สร้างอาคารธรรมสถิต สร้างศาลานวราช สร้างศาลาพระพินิจอักษร อยู่ในคราวเดียวกันเลย เมื่อขึ้นก่อสร้าง พร้อมๆกันเหล่านั้น ก็มีการใช้จ่ายมาก แต่ถึงกฐินที เราก็จะชำระหนี้สินครั้งหนึ่ง

    วัน อาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จครั้งนั้นอีกวาระหนึ่ง รายละเอียดนั้นหลวงพ่อเราเคยเล่าไว้ในหนังสือ พระเมตตา เมื่อท่านไปอ่านก็จะรู้ ประวัติที่ท่านคุยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นเช่นไร อาตมาอ่านมาเที่ยวเดียวก็จำไม่หมด หากท่านสนใจก็จะรู้ บ้านเมืองเราตอนนั้นยังไม่สงบมากนัก

    แต่ท่านก็รับรองกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บ้านเราไม่เป็นขี้ข้าใคร จะค่อยๆเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ขณะนี้ พ.ศ. ๒๕๓๘ เมื่อมองย้อนไปถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ ก็จะรู้ว่าขณะนั้นกับขณะนี้ บ้านเมืองเจริญขึ้นมามาก ก็จะตรงกับที่ท่านพูดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บ้านเมืองเราจะค่อยๆเจริญเหมือนแสงอาทิตย์เริ่มขึ้น

    เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ นั้น ที่มีความสำคัญก็เพราะว่า หลวงปู่ชุ่มโพธิโก ที่เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่เข้านิโรธสมาบัติ เป็นพระที่มีความสำคัญในสายเหนือองค์หนึ่ง หลวงปู่ชุ่มนั้น เป็นผู้ที่เคารพรักกับหลวงพ่อมาแต่อดีตกาล ตั้งแต่หลายแต่ชาติมาแล้ว ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อเราที่กุฏิ โดยที่ท่านขอไปเยี่ยมเอง ท่านเล่าว่า ได้ขึ้นไปบนกุฏิท่าน ท่านบอกว่า ห้องของน้องสวยงาม นั่งอยู่ก็มาเยี่ยม แต่จริงๆ แล้วท่านจะมาพูดธุระส่วนตัว

    หลวงพ่อเล่าให้รู้ภายหลังว่า ท่านมาหาแล้วก็บอกว่า น้องต้องอยู่ช่วยบ้านเมืองต่อไปอีก แต่พี่จะมรณภาพก่อน ขอมอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ที่เป็นของตระกูลเรา ที่รักษาไว้ให้น้องรักษาต่อไปจะได้บูรณะวัด สร้างวัดได้ตามประสงค์ ฉะนั้น หลวงปู่จึงได้มอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ให้หลวงพ่อได้สร้างวัดต่อไป

    ที่มา
    http://palungjit.org/threads/รวมหลวงพ่อตอบปัญหา-จากคำบอกเล่า.349901/page-6
     

แชร์หน้านี้

Loading...