จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพยายามนั่งสมาธิตลอดเวลาโดยไม่ได้ไหว้พระก่อนค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Nanpri, 5 พฤษภาคม 2011.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมะ นั้น เป็นเรื่องการ ทวนกระแสโลก ไปตามหลักของความเข้าใจต่อการเห็นอริยสัจจ

    การเห็นอริยสัจจนั้น ไม่ใช่เรื่องเห็นกันง่ายๆ ดังนั้น ต้องพากเพียรด้วยจิตตั้งมั่น และ
    ผ่องใส ยังกุศลให้ถึงพร้อม

    การข่มใจ เป็นวิธีหนึ่ง ที่ควรนำมาใช้ด้วยปัญญาอันยิ่ง หากทำถูกต้อง จะเป็นไปเพื่อ
    ความผ่องใสของจิต เพื่อความตั้งมั่นของจิตต่อการเห็นทุกข์(ไม่ใช่หนีการเห็น) จึงไม่ต้อง
    หลับตา เพราะทุกข์นั้นเกิดที่ใจ อย่าไปสำคัญว่าตาจะนำสุขมาให้ เมื่อรับรู้ที่ใจ ทุกข์
    เกิดที่ใจ ทุกข์เองก็ดับที่ใจ ใจจึงเป็นตัวหยุด เป็นตัวสำเร็จ เป็นตัวเผิกถอน และยังอาจ
    จะเป็นตัวไปคว้าทุกข์กลับมาเป็นได้อีก หากยังไม่เข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาโลก
    เว้นแต่จะเข้าถึงวิมุติสุขตามความเป็นจริง ก็จะอยู่เหนือโลกผ่องใส โดยไม่ต้องหนีโลกด้วย
    อุบายใดๆอีก เพราะไม่มีเรื่องไหนที่แสงสว่างของปัญญาจะไม่สาดส่องถึงให้จิตยังกุศลถึงพร้อม

    ก็ขอให้ศึกษาธรรมะ หมั่นสดับ แล้วค่อยๆ วิจัยธรรมะ ไปเรื่อยๆ

    ผู้ไม่ทอดทิ้งธรรมะ ธรรมะก็ย่อมไม่ทอดทิ้งผู้นั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
    และยังรักษาผู้เกี่ยวข้องกับผู้ประพฤติธรรมโดยมีเราเป็น เนื้อนาบุญที่ถูกต้อง คือไม่เลือก
    ไม่แบ่ง ไม่แยก ไม่ลำเอียง ได้อีกด้วย

    * * * * * * *

    จะอีกนานแค่ไหน?

    หากเข้าใจเพียงแค่ วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เวลานั้นจะแค่เสี้ยววินาที ไม่กี่ขณะจิต.....นานไหม ไม่นานเลย

    เมื่อเข้าถึงธรรมะแล้ว อมตะธรรมก็ย่อมมีแก่ผู้นั้น เวลานาน หรือ สั้น ไม่ใช่เรื่องของผู้มีอมตะธรรมจะไปคำนึงถึง

    ถ้าอย่างไร ลอง หาบทว่าด้วย "คุณของธรรมะ" มาอ่าน และ พิจารณาดูให้มากๆ จะทำให้ อธิษฐาน เกิด
    ความถูกต้องเข้ามาทีละน้อยๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2011
  2. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    เลิกงานกลับถึงบ้าน ก็มานั่งนึกถึงคำแนะนำของคุณเอกวีร์ นึกละอายตัวเองนัก ก่อนนอนก็สวดมนต์ นั่งสมาธิเหมือนเคย นึกพิจารณาสังขารควบคู่ไป พยายามตัดความแค้นกับผู้ชายคนนั้นให้ได้ เพราะตัดสินใจแล้ว ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนๆนี้อีกในชาติ ภพหน้า... นั่งสมาธิใกล้จะออก ก็ตั้งจิตแน่วแน่ อธิษฐานไปถึงดวงวิญญานของสามี ถามเค้าว่าทำไมเงียบหายไปเป็นเดือนเเล้ว จะทิ้งกันไว้แบบนี้จริงๆหรือ พอถึงตรงนี้น้ำตามันก็ไหลออกมาอีก ทั้งๆที่เรายังอยู่ในสมาธิอยู่ ออกจากสมาธิเสร็จก็นอนแล้วกำหนดลมหายใจเข้า-ออกอีกครั้งตั้งจิตคิดถึงเค้า สุดท้ายก็หลับไปพร้อมน้ำตา ก่อนรุ่งสางฝันคล้ายคลับคลาว่า เค้ามานอนข้างๆบนเตียงเช่นเคย แต่ไม่ชัดเจนเหมือนแต่ก่อน คุยอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ตื่นมาอารมณ์ถวิลหาจากความฝันมันยังค้างคาอยู่รู้สึกหดหู่ยังงัยบอกไม่ถูก ก็เลยเปิดเพลงฟังเพื่อให้ใจสงบขึ้น อาบน้ำเสร็จไปใส่บาตรกับแม่ เสร็จก็มาสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิครึ่งชั่วโมง ค่อยรู้สึกโล่งใจและสบายใจขึ้นมาก...แปลกแท้ใจเรา ที่แท้ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าก็ใจเรานี่เอง ที่กำหนดมัน
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แปลกแท้ใจเรา ที่แท้ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าก็ใจเรานี่เอง <DEL>ที่กำหนดมัน</DEL>

    แก้เป็น ที่แปรผันไปตามผัสสะ ที่กระทบ

    ไม่มีสิ่งใดในโลก ควบคุม ผัสสะ ที่จะมากระทบได้ เพราะมันผันแปร
    ไปตามกฏแห่งกรรมที่ต่างทำกันมายาวนาน

    แต่เราสามารถอบรมจิตให้ ตั้งมั่น รู้ตื่น เบิกบาน ต่อการเห็นการกระทบ
    ผัสสะ แจ้งถึงการดับเของหตุเหล่านั้นได้โดยการ "มีกัลยาณมิตร"
    "มีโยนิโสมนสิการ" และ "ไม่ประมาท"

    ค่อยๆพิจารณา กายใจ ของเราไปนี่แหละ ดูห่างๆ แล้วจิตใจจะ
    ค่อยๆแข็งแรง ตั้งมั่น เป็นกลาง ผ่องแผ้ว และ ยังกุศลสูงสุดให้ถึงพร้อม
    ได้แน่นอน

    * * * * *

    บทเสริม

    "ดร.วรภัทร" กล่าวว่า ฐานะของ ผู้เนื่องกันด้วยจิตจะเปลี่ยนไปทันที
    จะเปลี่ยนจากฐานะผู้รับกรรม เป็นผู้รับอานิสงค์ใหญ่ กล่าวคือ ฐานะเขา
    จะผลิกไปเสมือนพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานให้กับเรา หากเราสามารถ
    เจริญจิตแจ้งถึงความสุขอันแท้ได้โดยอาศัยเรื่องราวที่เนื่องกันนั้น เป็น
    ผัสสะที่เราฝึกรู้ฝึกดูกายใจของเราจนตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว

    และจะทำให้เขามีวาสนาได้พบกระแสพระธรรม อย่างที่คุณได้เริ่มสัมผัสและ
    ทำความเข้าใจ เขาก็จะรับโอกาสอย่างนี้ในกาลข้างหน้าเช่นกัน

    เพียรพิจารณาหยิบสิ่งที่มีประโยชน์ เพื่อประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องเนื่องกันไว้เนืองๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  4. ุเพตารี

    ุเพตารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,048
    ค่าพลัง:
    +800
    การปฏิบัติธรรมเป็นการเผชิญหน้ากับความทุกข์โดยตรง เรียนรู้ และหาทางดับทุกข์นั้นๆ มิใช่การหลบซ่อนจากทุกข์หรอกครับ

    คุณทำดีแล้วชอบแล้วละครับ สมาธินี่ฝึกได้ 24 ชั่วโมง ถ้ายังไม่สบายใจก็ตั้งนะโม 3 จบระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าในใจ สะดวกก็พนมมือ ไม่สะดวกก็เอากายในพนมมือนมัสการพระพุทธเจ้าแทนกายนอก(นึกเอานี่แหละ) อยู่บ้านค่อยทำชุดใหญ่เต็มรูปแบบ

    อย่าละความเพียรครับ

    อนุโมทนา
     
  5. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    ค่ะ ก็คิดว่าจะอโหสิกรรมให้เค้าจากใจจริง และขอให้เค้าได้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ จริงๆแล้วเค้าเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่แต่เค้าทำให้พ่อแม่เค้าเสียใจมากไม่น้อย ถูกคนอื่นกล่าวหาพ่อแม่เค้าว่าไม่สั่งสอนลูก เพราะเค้าเกเร เคยขับรถชนคนตายมารวมแฟนโบกะลุงเค้าก็น่าจะ 5 แล้ว แถมเคยเอามีดไปแทงคนดอยอีก พ่อแม่หมดเงิน เป็นทุกข์ และเค้าเคยเอายาพิษให้ย่าแท้ๆกิน เพราะแกป่วยเรื้อรัง ที่ทราบเกี่ยวกับเขาเพราะอยู่ในตัวอ.เชียงแสนเหมือนกัน (บ้านไม่ไกลกันค่ะ) ก็อยากให้เค้าคิดได้ ทำตัวให้เป็นประโยชน์และทำสิ่งๆที่ดีๆ อย่างน้อย การตายของแฟนและลุงของเขา ถ้าทำให้เค้ากลับตัวได้เพราะเค้ารู้สึกผิด ผลบุญกุศลก็คงส่งไปถึงวิญญานของทั้งสองคนนั้นบ้างใช่มั้ยคะ?
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออภัย ที่จะต้องกล่าวว่า คุณกำลังทำบาป พอๆกับที่เขาทำมาทั้งหมด

    แต่ เราทำด้วยการพูดลอยๆ แต่ จะต้องรับผลกรรม เสมอที่เขาทำด้วยกาย

    ทั้งนี้เพราะว่า มันเสมอกันด้วยความเป็น สังขาร

    เขาทำกรรมต่างๆด้วย กายสังขาร

    คุณทำกรรมต่างๆแบบเดียวกับเขา แต่ทำด้วย วจีสังขาร

    จะต้องรับกรรม เสมอด้วย "กรรม" เหมือนๆกัน แน่....

    ดังนั้น อย่าประมาท ในธรรม อย่าไปเสียคำ เสียกรรม โดยไม่จำเป็น

    ผลบุญส่งไป แต่ไม่มีกำลัง เพราะ "จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมไม่มีกำลัง"

    ให้แก้ ที่ตัวเราก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  7. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48

    ...:':)':)':)':)':)':)'(


    เฮ้อ!!!! ขอบคุณมากนะคะคุณเอกวีร์ที่สละเวลามาสอนบัวใต้น้ำอย่างโบ..ยิ่งเปิดหู เปิดตา เปิดใจ มากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกตัวเองต่ำต้อยลงเรื่อยๆ ขอเวลาโบซักพักนะคะ คิดว่าคงอีกไม่นาน โบคงหลุดพ้นจากสภาพตัวเองตอนนี้แน่นอนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สำรวจ ตรวจทานได้นะ

    ดูที การให้ อภัยทาน จะเห็นว่า ทำไปแล้ว มันไม่เกิดผล แถมยังล้มไม่เป็นท่า
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ใช่ไหมที่มัน "ขาดกำลัง"

    ถ้าใช่ ก็ไม่มีอะไรมาก ให้พิจารณาตามไปได้เลยว่า "ตั้งจิตไว้ผิด"
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตั้งจิตให้ดีๆ

    ถ้า ตั้งไม่ได้ ส่วนใหญ่ เขาจะใช้วิธีที่เรียกว่า หยิบยืมบารมี

    ซึ่งบุคคลธิษฐานที่เราหมายจะหยิบ ดีที่สุด บริสุทธิที่สุด มีกำลังที่สุด ก็มีของพระพุทธองค์

    ให้ระลึกไปเลยว่า หากเป็นพระพุทธองค์ จะตั้งจิตกับเรื่องนี้อย่างไร เราใคร่ครวญไปมา
    แล้วลองสมาทานมาเป็นกริยาของเราดู ถ้าเราสมาทานได้อย่างถูกต้อง ไม่กลับกรอก
    ศรัทธาแต่พอดี เน้นะว่า แต่พอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ก็จะทำให้ จิตตั้งมั่น ได้ถูก
    ต้องทันที แถมพระพุทธองค์ยังระบุด้วยว่า อาจจะสำเร็จโสดาบันได้ด้วย หากสมาทาน
    สิกขาได้

    พอสมาทานสิกขาได้ คราวนี้เราไม่ต้องหยิบยืมของใคร เพราะว่า คนที่สมาทานสิกขาได้
    จะมี "ธรรม" เป็นที่พึ่งเฉพาะตนได้ พระพุทธองค์เองยังมี "ธรรม" เป็นที่พึ่งเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  10. Nanpri

    Nanpri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +48
    "รู้สึกใจนิ่งเฉยไปมาก เพราะสังเกตุได้จากเมื่อซักครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อนร่วมทีมงานที่ทำงานพิเศษร่วมกัน เค้าทำให้เราเสียความรู้สึกมากๆ เพราะไว้ใจเค้า แต่วันนี้จับได้ว่าเค้าไม่จริงใจกับเรา รวมทั้งเงินที่เราเคยให้เค้าไป โชคดีที่คราวนี้ยังไม่ได้ลงทุนลงไปอีก ไม่งั้นแย่ๆแน่ พอจับได้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเค้า หรือเสียใจอะไรเลย ทีแรกเสียความรู้สึกนิดหน่อยแต่แป๊บเดียวก็เกิดความรู้สึกเฉยๆ ...ให้เป็นแบบนี้ซะดีกว่า ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเป็นบัวใต้น้ำตลอดไป :VO
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นั่นแหละ พอ จิตตั้งมั่นแลเห็นกายและใจตน ด้วยความเป็นกลาง มีสมาธิอินทรีย์
    หนุนให้พอรู้รสแห่งความสงบนั้นมีคุณกว่าปล่อยให้ไหลไปกับการคิด(ที่เป็นอกุศลมูล)
    จิตก็ตั้งมั่นเป็นกลาง มีศีล หิริโอตัปปะเข้ามาประชุมกัน ยังกุศลจิตให้ถึงพร้อม
    ( สติ อารักขา จิต ก็เรียก ศีลหนึ่งก็เรียก )

    เมื่อจิตตั้งมั่นรู้ทุกขสัจจ จิตรู้ว่านั้นคือ ทุกขสัจจ จิตก็จะได้รับการอบรมให้ปล่อย
    จิตที่ไหลไปคิด จรมาทำให้เศร้าหมองออกไป ต่างคนต่างอยู่ ไม่โทษจิตที่ไหล
    ไปคิด และไม่คว้าจิตสงบเพื่อหนีการเห็นทุกข์ จิตก็เกิดความตั้งมั่น เป็นกลาง อยู่ในทาง
    สายกลาง เห็นการเกิดดับของสังขารทั้งปวง(ทั้งความคิดที่ไหลจร และ สมาธิที่
    เข้ามาต้านไว้) ไม่ได้ยึดข้างใดข้างหนึ่งไว้(พ้นทั้งกุศล แลอกุศล) จิตก็เบากายก็เบา
    เรียกว่า เกิดสัมมาสติ

    ที่เหลือก็เพียรแต่ ให้สติชนิดนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ภาวนา(ทำให้เจริญ)ไปเรื่อย เนืองๆ

    จนกว่าจิตจะไม่ติดข้อง เพราะกำจัดอภิชญา และ โทมนัส ในกาลก่อนๆลงได้ ถึงที่
    สุดคือสิ้นตัณหาเพราะเกิดสัมมาสมาธิ ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้ว่าพ้น รู้ว่าพ้นแล้ว รู้ว่าไม่มี
    อย่างอื่นให้พิจารณาอีก

    จะเห็นว่า การปฏิบัตธรรมะ ก็คือ การพิจารณารู้กายใจลงปัจจุบันขณะ ไปเรื่อยๆ
    ไม่มีอะไรมากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ เรารู้ของเราได้ทันทีว่า เราได้ปฏิบัตธรรมะ
    แล้ว ผลเกิดขึ้นกับใจนี้ได้ โดยไม่ต้องถามใครเพื่อรับรองว่า ใจเราพ้นหรือไม่พ้น

    แต่อย่างไรก็ดี เพื่อให้ถูกต้อง เราก็ควรสดับธรรมที่เป็น พุทธวัจนะ ไว้ เพื่อทรง
    ธรรมวินัย คือ ใช้เฉพาะพุทธพจน์เท่านั้น เพื่อการสาธยายให้กว้างขวาง ทั้งนี้ก็
    ขึ้นกับวาสนา แรงใจที่จะมุ่งประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่โดยหลักการแล้ว หากมุ่งเข้า
    ถึงที่สุดลำพังเฉพาะตน ก็ถือว่า เป็นบุคคลชั้นเลิศแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธัมมานุปัสสนา<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>[​IMG]
    ขันธบรรพ<O:p></O:p>
    [ ๒๙๑ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ อุปาทานขันธ์ ๕ <O:p></O:p>
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไร ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือ อุปาทานขันธ์ ๕ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ( ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ) <O:p></O:p>
    อย่างนี้ รูป ( สิ่งที่ทรุดโทรม ), อย่างนี้ความเกิดขึ้นของรูป, อย่างนี้ความดับไปของรูป,
    อย่างนี้ เวทนา ( ความเสวยอารมณ์ ), อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของเวทนา, อย่างนี้ ความดับไปของเวทนา <O:p></O:p>
    อย่างนี้ สัญญา ( ความจำได้ หมายรู้ ), อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสัญญา, อย่างนี้ ความดับไปของสัญญา <O:p></O:p>
    อย่างนี้ สังขาร ( สภาพปรุงแต่ง ), อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสังขาร อย่างนี้ ความดับไปของสังขาร <O:p></O:p>
    อย่างนี้ วิญญาณ ( ความรู้ในอารมณ์ต่างๆ ), อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ,อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ ดังนี้

    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง <O:p></O:p>
    ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
    ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
    ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้ง ความเสื่อมไปในธรรมบ้าง
    ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่าธรรมมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง สักว่าเป็นที่อาศัยระลึก
    เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย <O:p></O:p>
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อย่างนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททกนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า

    สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค
    เจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระ
    ทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า

    "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง"

    บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระ
    บัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำ
    แล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารี บุตร

    พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า

    พวกกระผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะ ทำยังไงขอรับ

    พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ 5
    ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5
    ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพต
    ปรามาส เมื่อปลงขันธ์ 5 อย่างเดียวสังโยชน์ 3 มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์ 3 ขาดลง
    ไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน

    พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะ ทำยังไง

    ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามแบบนั้นแหละพิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระ
    สกิทาคามีเอง

    พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะ
    ทำยังไง

    ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์ 5 นั่นเองทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการ
    กระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี

    ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร
    ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ 10 ก็
    จะขาดไป

    พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป้นพระอรหันต์ละสังโยชน์ 10 ได้แล้วการพิจารณาขันธ์ 5 ไม่
    ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ

    พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข
    พิจารณาขันธ์ 5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว

    ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง
    กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้ง
    หลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็น
    ธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อม
    พิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็น
    อย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สุดท้าย เราไม่มีพรใดๆให้ เจ้าของกระทู้

    หากจะมี ก็คงจะเป็น


    ขอแสดงความศรัทธาต่อท่านเจ้าของกระทู้ ที่จะ
    รักษาการปฏิบัติธรรมนี้สืบไปไม่ทิ้งการแจ้งในธรรม

    [music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22684[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  15. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    ผมว่านั่ง ได้นั่งเลยครับ จำเป็นไหมต้องสวดมนก่อน ไม่เกี้ยวนะ ความคิดส่วนตัวนะ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...