@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    http://www.watthummuangna.com/home/
    วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) : สมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    " รูปแบบการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยะธิกะ ก็เป็การย้ำๆของเดิม เพียงแต่ระยะเวลาในการสร้างต่างกัน โพธิสัตว์ไม่ค่อยกลับมาเสวยบุญหรอก เกิดมาก็สร้าง ทำๆๆๆๆ แล้วก็ที้งไว้ รอไปเก็บชาติเดียวเลย บารมีเต็มแล้วถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ต้องทำไปก่อน พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียว ต้องรอคิวไปก่อน

    ใครอธิฐานปุ๊บก็ต่อแถวเลยนะ แต่ต้องสร้างไม่งั้นก็ไม่ไปใหน เพรามันไม่ครบองค์ประกอบของกรรม คิดอย่างเดียวยังไม่ได้นั่งนะ มีแต่มโนกรรม ยังขาด กายกรรม วจีกรรม ทำทุกอย่างก็จะมีพลังงานไม่สูญไปใหน"

    ธรรมะหลวงตาม้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 สิงหาคม 2015
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    <iframe width="640" height="480" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/qOfG8CqtAic?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    [​IMG]



    "คนที่เขาเก่ง เมื่อเขารู้ว่ายังมีการปฏิบัติที่สูงกว่านี้ ท่านก็ปรึกษาจากพระที่ท่านทำ (ปฏิบัติ) ถ้าคนเราลองมีทิฐิว่าข้าแน่ ก็จะไม่เจอของดี"

    คติธรรมคำสอนโดย... หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _45_178.jpg
      _45_178.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.8 KB
      เปิดดู:
      509
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ]xf2.JPG
      ]xf2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      118.4 KB
      เปิดดู:
      459
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    โอวาทของหลวงพ่อวัดปากน้ำ 2498

    [​IMG]



    ผู้เทศน์เกิดวันศุกร์ ปีวอก   บวชมา 50 พรรษา  ค้นคว้าธรรมะเรื่อยมา

    การออกธุดงค์  ใจเป็นมรรคผล   สงบ สมาธิ เป็นทาง    รู้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญา [ไม่ใช่ธรรม]

    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพุทธรัตนะ ผู้เทศน์รู้จักเกือบ 50 ปี [ตำราไม่มี] โดยการค้นคว้าทางปฏิบัติ


    ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า 

    ชั่วที่สุด คือ มาร  


    ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้วว่า ต้นธาตุ [คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก ขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน] ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร [ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย]   ถ้ามารไม่แพ้ ผู้เทศน์ยอมตายอยู่วัดปากน้ำ

    มารปล่อยสายมาปกครองมนุษย์  มนุษย์ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของโลภะ โทสะ โมหะ  [ผลคือ ความเสียหาย]  มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เช่นสงครามที่แล้วมา เกิดจาก โลภะ คือความโลภ เป็นเหตุให้คนเจ็บ คนตาย    ลูกชายลูกหญิงมีความหลง  โมหะ  ว่าตัวเก่งแล้ว  พ่อแม่ว่าไม่ได้   มี โทสะ  โมโหโต้เถียง ไม่กลัวเกรง

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาย โลภะ โทสะ โมหะ เขาปกครอง  เขาสั่งให้ทำเช่นนั้น  เอาบ้านเมืองมาล่อ  เอาความเจ็บความตายมาให้  ปราบมารเหล่านี้ลงเสียได้  มนุษย์จะได้อยู่เป็นสุข   เจ้าตัวมารเหมือนผีเที่ยวสิงบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของเขา

    เราต้องเข้าวิชชาธรรมกายจึงรู้ เห็นหมด  เพราะธาตุธรรมไม่เหมือนกัน

    วัดปากน้ำช่วยเหลือแก้คนป่วยไข้ ให้หายไม่ต้องกินยา   มารมันยอมให้คนไข้หาย  แต่มันไม่ยอมแพ้  มันแพ้หลอก ๆ [ตามวิสัยของมาร]

    มนุษย์ชายหญิง  เป็นพระก็มาก  เป็นมารก็มาก

    เป็นธรรมกาย  ดูเป็น รักษาตัวได้   เราจับสายธรรมะเสีย เขาก็ไม่รบกัน  เก็บสมบัติให้หมด เก็บอาวุธให้หมดตามจุด เขาก็ไม่รบกัน  [จับ หรือ เก็บ  ในที่นี้ หมายความว่า จัดหรือเก็บ ในทางปฏิบัติธรรมะ]

    กวดขันอย่างนี้  25 ปีแล้ว   แยกพระ แยกมาร ไม่ให้ปนกัน  ไม่ให้กระทบกัน   ต่างฝ่ายต่างเป็นสุข [เหมือนรัฐกันกระทบในมนุษยโลก]

    จะให้สัญญา ไม่รังแกกัน   ถ้าไม่ยอมก็เก็บฤทธิ์เสีย   ที่ไม่ตกลงกัน เพราะเขาลองฤทธิ์กัน

    ผู้เทศน์ปล่อยชีวิต [ยอมตายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า] ถึง 2 คราว  จึงได้พบ “ธรรมกาย”  [พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ]

    ชายหญิงผู้ปฏิบัติธรรมะ ถึง "ธรรมกายโคตรภู"   เท่ากับได้บวชข้างใน   เป็นหญิงถือว่าได้บวชข้างใน  หากเป็นชายที่บวชพระ ถือว่าบวชทั้งนอกและข้างใน เป็น 2 ชั้น

    ความอยากเป็นเหตุให้เกิด  เกิดเป็นผล

    หยาบดับได้ ดับเป็นชั้นๆ   ดับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบจนถึงธรรมกาย   ความเกิดเป็นของจริง ละได้ก็เห็นดับ   ดับนั้นเป็นนิโรธ   นิโรธมีขึ้นได้เพราะศีล สมาธิ ปัญญา

    ดับหยาบไปหาละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไป  จนเป็นพระโสดา   ตาดีก็เห็น ญาณดีก็รู้  มีบาลีรับรอง

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย   “ธรรมกาย” นั่นแหละเป็นผู้รักษาความสงบ

     ------------------------------------------------------------

    * โอวาทของเจ้าคุณพ่อ บันทึกโดย นางแฉล้ม อุศภรัตน์  เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2498  ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งคล้ายกับวันเกิดของเจ้าคุณพ่อ   เจ้าคุณพ่อเทศน์เป็นการให้โอวาทและสั่งสอนลูกๆ    ตีพิมพ์ในหนังสือ เรื่องธรรมกาย  ของพระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พ.ศ.2499.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ พระอภิญญาล้านนา ผู้มั่นคงในพระโพธิญาณ

    อย่าเข้าใจว่า มาทำบุญที่นี่จะตัดบาปตัดกรรมตัดเวรได้นะ
    ตัดไม่ได้ เว้นแต่กรรมที่เบาที่อโหสิกรรมตัดได้ พวกนั้นตัดได้
    ก็พระพุทธเจ้ายังจะตัดไม่ได้ พระมหาโมคคัลลาน์มีฤทธิ์สุดขีด
    ไม่มีองค์จะมาเทียมถึง ก็ตัดไม่ได้
    จึงขอฝากไว้ อย่าหลับหูหลับตาฟัง แต่คนไม่รู้
    หาว่าท่านครูบา หลวงพ่อวัดพระพุทธบาท จะมาตัดกรรมตัดเวร
    ตัดไม่ได้หรอก
    แต่ถ้าเป็นอโหสิกรรม ได้ทำผิดพูดผิดต่อใครๆ
    เจ้าตัวเองต้องขอตัดเอาเอง
    อโหสิกรรมถือว่าตัดได้ ก็ต้องตัดเอง จะต้องขอเอง ให้คนอื่นไปขอไม่ได้
    ไม่พ้นจากกรรม
    เราต้องขอเอง ต้องอ่อนน้อมกล่าวคำสารภาพกับตัวเขา
    เขาจึงจะอโหสิงดโทษให้เรา



    **********************
    หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา



    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    การอธิษฐานรวมกำลัง ผ่านรูปลักษณ์ที่สร้างไว้

    <iframe width="853" height="480" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/C4VCFUuj_s4?&autoplay=1&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    [​IMG]



    สวดไปเรื่อยๆ จิตก็จะละเอียด ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นพรหม (นิ่งๆสบายๆ) จะสร้างบารมี หรือจะไม่เกิด มันก็ไม่ยาก


    " มันไม่ยากหรอก ไอ้ที่ยากน่ะ มันไม่ทำ"
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    “ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง
    ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    ศูนย์ของภพต่างๆ ศูนย์ของเครื่องต่างๆ ที่เป็นเครื่องควบคุม
    ใหญ่ของภพ หรือเครื่องย่อยๆ ตลอดจนเครื่องย่อยที่ควบคุมอยู่
    ในธาตุธรรมทั่วกายมนุษย์ แต่ละคนก็มีศูนย์อยู่ตรงกัน (ดังนั้น
    ถ้าสามารถเข้าสู่ศูนย์กำเนิดเดิมของตัวเราเองได้ เราจะสามารถ
    เข้าสู่ศูนย์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ จะสามารถรู้เห็นสรรพสิ่งนานา
    ตลอดไตรโลกธาตุนานาจักรวาลอนันตจักรวาลนี้ได้

    ความรู้เรื่องธาตุธรรม 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายขาว (บุญ) ฝ่ายกลาง
    ๆ และฝ่ายดำ (บาป), เรื่องการแย่งกันสอดวิชชาของฝ่าย
    ต่างๆ เข้าปนเป็นในธาตุธรรมของสัตว์โลก เพื่อแย่งกันปกครอง
    บังคับบัญชาสัตว์โลกให้เป็นไปตามปิฎกของตน, เรื่องของภพ
    และการปกครองภพ, เรื่องของเครื่องควบคุมภพ และควบคุม
    สัตว์ให้เป็นไปตามความประสงค์ของฝ่ายตน ตลอดจนเรื่อง
    ของการเกิดดับของสัตว์โลกในภูมิต่างๆ ทั่วไปทั้งหมด และ
    อื่นๆ อีกมากมายซึ่งเปรียบได้กับใบไม้ในป่าที่ได้เพิ่มเติมขึ้นไป
    อีก จากใบไม้ในกำมือ (ที่หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับความจำ
    เป็นเพื่อการพ้นทุกข์)

    วิชชาที่จะชี้แนวทาง หรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้เราได้รู้เห็น และ
    เข้าถึงศูนย์กำเนิดเดิมของ มนุษย์คือตัวเราเองได้นั้นที่เห็น
    ชัดเจนที่สุดในขณะนี้ก็คือ วิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ที่
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุนี (สด จัน
    ทสโร) ได้ค้นพบ และนำมาสั่งสอน ถ่ายทอดสืบกันมานั่นเอง
    วิชชานี้สอนให้ตั้งจิตในการทำสมาธิไว้ ณ ศูนย์กลางกายซึ่ง
    ตรงกับศูนย์กำเนิดเดิม เมื่อจิตหยุดนิ่ง และละเอียดพอก็จะ
    สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาได้ตามความสามารถในการ
    ปฏิบัติของเราเอง ที่สำคัญคือ ต้องสามารถทำจิตให้หยุด ให้
    เห็น จำ คิด รู้ ของเราหยุดนิ่งเป็นจุดเดียวกัน ณ ศูนย์กลางกาย
    ได้หยุดเป็นตัวสำเร็จ ต้องหยุดนิ่งได้ดีจึงจะสำเร็จ

    ในเบื้องต้นเมื่อจิตหยุดได้ถูกส่วนพอดีจะเห็นดวงธรรมที่
    หลวงพ่อเรียกว่าดวงปฐมมรรค หรือดวงธรรมของกายมนุษย์
    ถ้าจิตสามารถหยุดนิ่งได้ยิ่งขึ้น จิตละเอียดยิ่งขึ้นจะสามารถเห็น
    กายต่างๆ ผุดซ้อนกันขึ้นมาตามลำดับจนถึงกายธรรม หรือที่
    หลวงพ่อเรียกว่า “ธรรมกาย” ซึ่งพระเดชพระคุณท่านได้นำมา
    เป็นชื่อวิชชาธรรมกายนั่นเอง ถ้าสามารถปฏิบัติได้แค่ เพียง
    ระดับขั้นต้นนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติได้อำนาจสมาธิที่เพียงพอที่จะ
    ปฏิบัติต่อทางวิปัสสนาได้เป็นอย่างดี หากปรารถนาเพียงแต่พ้น
    ทุกข์ได้เหมือนกับการฝึกสมาธิโดยวิธีการอื่นๆ เช่นการกำหนด
    กสิณ หรือการกำหนดลมหายใจเพื่อให้จิตเกิดสมาธิก่อนแล้วทำ
    วิปัสสนาในภายหลัง ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ถ้าเราจะต้องการได้
    แค่ใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้น

    ที่แตกต่างกันคือ ในวิชชาธรรมกาย หลวงพ่อได้สอนและชี้
    ช่องทางวิธีที่จะไปเก็บใบไม้ในป่าไว้ให้อีก ในขั้นตอนวิธีการ
    ปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายระดับสูงๆ ขึ้นไป โดยการฝ่าย
    ทางศูนย์กลางกำเนิดเดิมนี้ไปสู่มหาหิมพานต์ เพื่อให้เราเก็บ
    ใบไม้ของความรู้ต่างๆ ของเรื่องราวในอนันตโลกธาตุไม่เพียง
    แต่ได้รู้เห็นเท่านั้น เราอาจที่จะเป็นผู้เข้าไปบังคับบัญชาควบคุม
    เครื่องบังคับต่างๆ เสียด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามความ
    ประสงค์ของตัวเราเองเป็นการแก้ไขเหตุของตัวเองด้วยตนเอง
    แต่จะสามารถทำได้เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับบารมีของแต่ละคน เป็น
    หนทางที่ทำให้เราได้เห็นได้รู้เหตุ และผลที่อยู่เบื้องหลังของ
    เรื่องราวของสรรพสิ่ง ที่เราจะได้นำมาแก้ไขตนเองให้ดีถึงที่สุด
    ได้ต่อไป วิชชาธรรมกายจึงนับว่าเป็นสุดยอดวิชชาของพระ
    พุทธเจ้าฝ่ายขาวบริสุทธิ์วิชชาหนึ่ง ที่นอกจากจะช่วยให้เราหลุด
    พ้นจากการเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะทุกข์แล้ว ยังจะช่วยให้เราหลุด
    พ้นเป็นอิสระอย่างไพบูลย์ถึงที่สุดได้อีกด้วย รวมทั้งสามารถที่
    จะนำมาช่วยผู้อื่นที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายได้อย่างดี
    ยิ่ง



    มวลมนุษย์พึงสังวร สิ่งที่ได้ สิ่งที่เป็น
    ใครให้สมบัติ ใครให้อำนาจ ใครให้ฤทธิ์
    อายตนะต่ออายตนะ
    ภพต่อภพ
    เหตุต่อเหตุ
    คือขาว หรือกลาง หรือดำ



    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    คำสอนของหลวงตา : อธิษฐานสัจจะบารมี

    [​IMG]





    หลวงตาท่านเมตตาสอนว่า “เราทั้งหลายควรหมั่นอธิษฐานสัจจะไว้บ้าง แต่ต้องดูเค้าของตัวเองก่อนว่าจะทำได้ไหม โดยให้อธิษฐานจากสิ่งรอบกายที่พอจะทำได้ก่อน เมื่อทำได้แล้ว ก็ให้ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น การอธิษฐานสัจจะบารมีนี้ เป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง เพราะสัจจะบารมีที่เราอธิษฐานนี้ เราสามารถทำได้แล้ว จะได้บารมีอื่นๆ อีกหลายบารมีตามมา เช่น ขันติบารมี ทานบารมี ฯลฯ นอกจากนี้แล้ว ยังทำให้เราเกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นอีก เวลาจะตั้งอธิษฐานจิตให้กล่าวว่า “อิมัง สัจจะวาจัง อธิษฐานมิ”

    หลวงตายังบอกอีกว่า “นักปฏิบัติควรจะมีการตั้งจิตอธิษฐาน แต่ก่อนที่จะเริ่มตั้งจิตอธิษฐานนั้น อย่าลืมพิจารณาก่อนว่า สิ่งนั้นๆ เราต้องแน่ใจว่าเราสามารถทำได้ เราต้องเข้มแข็งพอกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และการตั้งจิตอธิษฐานนี้ ท่านให้เริ่มจากทีละน้อยก่อน เช่น เริ่มจาก ๓-๗ วันก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็น ๑-๓ เดือน แล้วค่อยเป็นปี ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ ตามที่เราตั้งจิตอธิษฐานแล้ว บารมีของเราก็เพิ่มมากขึ้นมหาศาลนะ ถ้าทำได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ก็ต้องไปเริ่มต้นที่ ก ไก่ ใหม่ คือทุกอย่างที่เราเคยสร้างไว้ ทำไว้ เป็นอันว่าสูญนะ แต่ทุกคนต้องทำนะ อย่ามัวแต่รอช้า

    เริ่มจากง่ายๆ ก่อน อย่างเช่น เราตั้งจิตอธิษฐานขอถือธรรมะตลอดชีวิต ข้อนี้นักปฏิบัติต้องทำกันได้อยู่แล้ว หรือจะตั้งจิตอธิษฐานว่าชาตินี้เราจะไม่แต่งงาน อันนี้สำคัญนะ เวลาตั้งจิตอธิษฐานข้อนี้ดูเอาเองแล้วกัน ไม่รู้ใครต่อใครมาจากที่ไหนๆ มาหากันเป็นโขยงเลย รับกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่เชื่อก็ไปลองทำดูเอง แรงอธิษฐานและบารมีเป็นสิ่งสำคัญ เช่น คน ๒ คน อธิษฐานด้วยกันอย่างไร ก็ต้องเจอกัน เพราะการอธิษฐานนี้เป็นการเชื่อมต่อจิตให้ถึงกัน การอธิษฐานนี้ให้เลือกช่วงที่เรามีจิตใจที่สบาย ปลอดโปร่ง จะช่วยให้การอธิษฐานนี้สำเร็จผล เหมือนกับการที่เราทำบุญ พอเริ่มตั้งจิตอธิษฐานตอนที่เราทำบุญนั้น เราเกิดความศรัทธา ความสบายใจ มันพร้อมไปหมด คำอธิษฐานนั้นก็ได้ผล อย่างหลวงตาพอเริ่มอธิษฐานปั๊ป ให้สังเกตเลย ไม่รู้คนมาจากไหน จนสร้างไม่ทัน เดี๋ยวก็มีโน่น เดี๋ยวก็มีนี่ ด้วยแรงอธิษฐานผู้ที่เกี่ยวพัน เกี่ยวข้อง จะต้องมาช่วยกัน ที่เห็นๆ อยู่นี้ ก็ด้วยแรงอธิษฐานทั้งนั้น ไม่ใช่เที่ยวไปหา ไปแจกซอง ใช้แรงอธิษฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวพันเท่านั้น แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันทั้งหลายก็ต้องมา ไม่งั้นอยู่ได้ที่ไหน เร่าร้อน หงุดหงิด ต้องมา”

    หลวงตาเล่าว่า “เคยให้พระชัชวาลท่านลองอธิษฐานจิตดู ตอนที่ท่านจะกลับไปบ้านท่าน โดยบอกให้ท่านอธิษฐานถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับท่าน ให้มาหาท่าน หลังจากนั้น พระชัชวาลได้กลับมาเล่าให้หลวงตาฟังว่า เห็นผลเลย เขาอยู่กันไม่ได้ อยากจะมาหา แล้วก็จะมาหาอีก เพื่อนท่านจากกรุงเทพฯ อยู่ๆ ก็ต้องขับรถมาเลย”

    หลวงตาบอกว่า “หลวงปู่ดู่ท่านให้อธิษฐานโดยตั้งบารมี ๑๐ ได้แก่

    ๑. ทานบารมี ความพอใจในการให้ทานอยู่เสมอ เป็นการตัดโลภ
    ๒. ศีลบารมี พยายามรักษาศีลให้ครบ เป็นการป้องกันอบายภูมิ
    ๓. เนกขัมมบารมีพยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้น ป้องกันความวุ่นวายของจิต
    ๔. วิริยะบารมี ความพากเพียรต่อสู้กับกิเลส
    ๕. ปัญญาบารมี การทรงปัญญายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    ๖. ขันติบารมี ต้องมีความอดทน
    ๗. สัจจะบารมี ความตั้งใจจริง
    ๘. อธิษฐานบารมี
    ๙. เมตตาบารมี
    ๑๐.อุเบกขาบารมี อดทนต่อความอดกลั้นทั้งหลาย และให้รู้จักละวาง

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราอธิษฐานตามใครสักคน ก็ต้องตามตลอดเลยหรือ”

    หลวงตาบอกว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องของบารมี ไม่ใช่ว่าบารมีคนจะเท่ากัน อย่างเช่น เราเกิดมาในภพนี้ เราอัดบุญกัน ๒ คน พร้อมๆ กัน บุญที่ได้ยังไม่เท่ากันเลย บารมีคือกำลังใจ อย่างคนนั่งสมาธิ ๒ คน คนหนึ่งนั่งแค่ ๒ นาทีก็เมื่อยแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งนั่ง ๒ ชั่วโมง ไม่เป็นไร นั่งเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือนกัน ยังได้ไม่เหมือนกันเลย บุญที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน อย่างเรื่องของการพิจารณา ให้พิจารณาให้รอบคอบ พิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ลึกๆ ในคำสอนแต่ละข้อๆ ลูกศิษย์ ๕ คน สอนในบทเดียวกันยังใช้ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะอยู่ที่ความตั้งใจ เจตนา และความเชื่อของแต่ละบุคคล

    ผลออกมาจึงย่อมไม่เท่ากัน ต้องรู้หลักอธิษฐานและหลักของการทำบุญ ผู้ที่ไปแล้วก็เยอะแยะ ผู้ที่ยังตามอยู่นี่ก็มี พวกที่ไปแล้ว อย่านึกว่าจะตามอีก บางคนก็ไม่ตาม เขาไม่ตามก็เพราะเขาถึงแล้ว เขารู้แล้วว่า เกิดนี่ทุกข์ขนาดไหน เขาก็ไม่ตามอีก” (คำว่า “ถึง” ในที่นี้ หลวงตาหมายถึง พระนิพพาน)

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราอธิษฐานขอถึงพระนิพพานนี่เรามีโอกาสจะถึงไหม”

    หลวงตาบอกว่า “ถ้าเราปฏิบัติจริงก็ถึง ถ้ากำลังใจเราถึง ดูอย่างพระมหาวีระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) สิ พอท่านละสังขาร ลูกศิษย์ท่านมาเยอะเลย หลวงตาพูดจริงไหมละ การลานี่ไม่ใช่ลากันง่ายๆ เพราะความผูกพันกับพรรคพวก หมู่คณะ ไหนๆ มาด้วยกันไม่รู้กี่ภพต่อกี่ชาติ กี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็ตามกันมา เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาศรัทธา ศีล ทาน การศึกษา ปัญญา หลวงปู่ดู่ท่านสอนไว้อย่างนี้แหละ ว่ามีครบ ปรารถนาไปไหนก็ได้”

    ๑. ศรัทธา คือ ความเชื่อ เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อว่านรก สวรรค์มีจริง เชื่อเรื่องมีเกิด มีแก่ มีตาย
    ๒. ทาน คือ การให้
    ๓. ศีล คือ การรักษา
    ๔. อศิตะ คือ การศึกษาจากพระไตรปิฎก หนังสือ คณาจารย์

    เวลาไปวัดไหนก็ตาม ท่านสอนก็ฟัง ฟังแล้วก็เอามาพิจารณาว่าเท็จจริงอย่างไร ถูกไหม แล้วก็รวมเข้าเป็นปัญญาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อแรก อย่างเราเชื่อว่าเราต้องตายแน่ เมื่อตายแล้วเราต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วเราอยากสวย อยากหล่อ อยากรวย อยากเป็นใหญ่ เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องรักษาศีล ไม่เป็นคนขี้โกรธ หมั่นให้ทาน เกิดมาก็สวย ไม่โกรธ เพราะโกรธแล้ว ให้ไปส่องกระจกดู หน้าจะหงิก เมื่อหน้าหงิกเพราะความโกรธ จิตก็อัดเข้าไปแล้ว ยิ่งโกรธบ่อยเท่าไร เกิดใหม่ก็ไม่สวยเท่านั้น ถ้าไม่โกรธ เกิดอีกทีก็เป็นใหญ่ สวย รวย นี่มีในพระไตรปิฎก อย่างนางวิสาขา ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ๗ นาง ที่ปรารถนาพร้อมกัน ตั้งแต่นางอุบลวรรณา นางเขมา นางผกาจารา ฯลฯ พอถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ดูซิทุกข์ไม่เหมือนกันเลย เพราะช่วงที่เวียนว่ายตายเกิด ไปทำกรรมไว้ นางผกาจารานี่ทุกข์กว่าใครเพื่อน ทั้งๆ ที่ปรารถนาพร้อมกัน นางวิสาขาสบายกว่าเพื่อน ฉะนั้น เมื่อเรารู้หลีกแล้วจะทำอย่างไร ก็เลือกกันเอาเอง เกิดมานี่ทุกข์มากเห็นๆ กันอยู่ ถ้าเรามองว่าเกิดมาแล้วเป็นอย่างไร แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ก็ใกล้เคียงกัน เวลาเขาให้ทาน ก็ไปกินเหล้าซะ ไม่โมทนา แค่โมทนาเท่านั้น หรือเวลาเขาทำบุญ ก็มัวแต่ไปขัดซะ ให้ดูเราโชคดีเท่าไร หลวงปู่ดู่ท่านสอนให้เตรียมตัวไว้ เพราะเราตายแน่ๆ ตายแล้วจะไปไหนนั่นคือปัญหา เราจะเอาพ้นทุกข์ หรือตามหลวงปู่ หรือจะปรารถนาสูงกว่านั้นก็ได้ ให้เราตั้งความปรารถนาไว้ ตั้งไว้แล้วก็ต้องทำ ไม่ใช่ตั้งแล้วก็ไม่ทำ อย่างนี้ก็จบกันเท่านั้น”

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าอย่างนี้เราอธิษฐานไว้สองอย่างได้ไหม คือ ถ้าเราไปไม่รอด ก็ขอตาม แต่ถ้าเราไปรอดก็ขอแยก”

    หลวงตาบอกว่า “ได้ เราต้องเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ หลวงปู่ดู่ท่านก็สั่งพระเล็กกับหลวงตาไว้ว่า ถ้าไปได้ให้ไปเลย และหลวงปู่ดู่ยังสั่งอีกว่า ให้ลูกศิษย์ทุกคนรีบปฏิบัติกลัวไม่ทันกัน หลวงปู่ดู่บอกว่า “ให้รีบทำเข้าไว้” โลกกำลังเปลี่ยนแปลง เราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้”

    หลวงตาท่านยังบอกอีกว่า “การตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ถูกแล้ว ให้ทำกันอย่างจริงจัง จะได้ทั้งวิริยะ ได้ทั้งศีล ได้ทั้งทาน ได้ทั้งขันติ ได้ทั้งอธิษฐาน ได้เกือบครบบารมี ๑๐ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องทำให้ได้จริงๆ เอาเท่าที่กำลังใจเราจะทำได้ การตั้งสัจจะอธิษฐานในการนั่งสมาธินั้น ให้อธิษฐานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายใน ๗ วัน ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิทุกวัน แล้วก็ว่า อิมัง สัจจะวาจัง อธิษฐานมิ แต่อย่าบอกว่ากี่ชั่วโมง อย่าเจาะจงจนกว่าเราจะแน่น"

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐานอะไรก็แล้วแต่ เกิดเราทำไม่ได้นี่ขอลาได้ไหม”

    หลวงตาบอกว่า “การตั้งสัจจะอธิษฐานนี้ ถ้าเราทำได้ เป็นการเพิ่มกำลังใจ ถ้าเราเสียสัจจะ เราก็เสียกำลังใจนะ ถ้าขอลาก็ได้ แต่กำลังใจเราจะคงที่หรือ การเสียสัจจะนี่ ทำให้บารมีไม่เต็ม ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐานสมมุติตั้งไว้ว่า เราจะนั่งสมาธิ พอถึงเวลาเราก็ต้องนั่งนะ ถึงแม้ว่าเราจะนอนก็ต้องคิดว่าเรานั่งสมาธิอยู่ หมายถึงเอากายใน (กายทิพย์) นั่งก็ได้ เพราะเราไม่ได้ระบุว่า เราจะใช้กายไหนนั่งสมาธิ นอนเราก็นึกว่าเรานั่ง ถ้าเราอธิษฐานว่าใช้กายนอก (กายเนื้อ) นั่ง เราก็ต้องนั่ง แต่ถ้าเรากลัวก็ให้อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะภาวนาทุกวัน นี่คือการใช้วิจารณญาณเป็นที่ตั้ง ถ้าเราทำได้ กำลังใจเราจะเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อเกิดบารมี ก็เกิดสัจจะและกำลังใจ เวลาเราภาวนาเราก็ใช้กายใน (กายทิพย์) ภาวนา ไม่ใช่กายนอก (กายเนื้อ) หลับตาก็นึกว่าเรากำลังนั่งภาวนาข้างหน้าพระ ทำไปเรื่อยๆ จิตกับกายจะสัมพันธ์กันตลอด จะไม่ละเมอ เพราะช่วงที่จิตกับกายปฏิสนธิอยู่จะติดคำภาวนา จะไม่มีการละเมอ ถ้าละเมอจะรู้เลย ถ้าเอาสติคุม จะรู้ทันทีว่านี่คือความฝัน จิตยังมีกิเลสตัณหา แต่กายนี้สามารถแยกได้ เราเอากายออกมาแล้ว เอาศีลคุมกรรมฐาน หลวงปู่ดู่ท่านว่า “พอตื่นขึ้นให้ทำเลย” คือลืมตาขึ้นทำเลย จะเอาวิปัสสนา หรือจะเอากรรมฐาน ๔๐ เราก็ต้องทำจนกว่าจะหลับ ให้คุมอยู่ตลอด มันจะโผล่บ้างก็ช่วงที่เราคุยกันอยู่”


    . . .

    เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
    พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
    (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
    (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
    อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    [​IMG]



    "พลังงานกระทบที่จิตออกที่ธาตุ จะใช้พลังได้ต้องนึกถึงพระบ่อยๆนานไป... ก็จะสามารถอธิษฐานได้ทั้งทางโลกและทางธรรม"


    "สวดแล้วไม่คิดอะไรเลย มีแค่เรากับจักรพรรดิ ใช้ใจสบายๆ
    สะสมไปหนึ่งปี ถึงจะใช้ได้ แต่ถ้าจะคิดให้นึกถึงหลวงปู่ก่อน
    แล้วค่อยนึกถึงปัญหาที่เราติด ก็จะมีทางออก
    ทุกอย่างอยู่ที่อยู่ที่จะพิจารณาเอาพลังงานมาใช้"


    "พระโพธิสัตว์... มีมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทร"

    "อารมณ์ จิต สติ ถ้าพิจารณาไปด้วย ก็จะดีมาก"






    "อยู่ที่การบันทึกพลังงาน ต้องบันทึกให้แน่น
    จึงจะนำพลังงานที่บันทึกมาใช้ได้"


    "ส่อเสียด นินทา ผิดศีล เป็นตัวตัดพลังงาน"


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    "ขี้เกียจก็สวด ขยันก็สวด ให้สวดไปเรื่อยๆ บันทึกที่จิตไปเรื่อย
    สวดบ่อยๆ เหมือนเราเก็บเงินไว้วันละหนึ่งบาท สิบปี ก็มากขึ้นเรื่อยๆ
    ถ้าสิบปี เราบันทึกพลังงานเข้าไปในจิต พลังงานจะหนาแน่นมากแค่ไหน
    ลองคิดดู แล้วเราจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ง่ายขึ้น เพราะเราเริ่มมีกำลัง"




    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    "เวลาขี้เกียจสวด ก็ให้นึกว่าสวดเพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เป็นการได้ความกตัญญู"


    "อย่าลืมสัพเพ ส่งบุญให้กับสรรพสัตว์ที่เรากินไปตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน
    และในอนาคต ทำให้กระแสของกรรม กระแสของโรคเบาบางมากขึ้น
    เพราะเวลาเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์มันก็มีความอาฆาตแค้น ก็ให้ส่งบุญไป
    ความโกรธจะเบาบางลง สัตว์ถึงแม้จะโดนแยกชิ้นส่วนขนาดไหน
    จิตมันก็ยังจำได้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนบ้าง ก็เหมือนกับเรานึกถึงบ้าน
    ของเรา เราก็นึกออกว่า... ส่วนไหนของบ้าน... มีอะไร...
    มันก็เหมือนกัน ให้สัพเพ...ไป"


    "พลังงาน คือ กรรมที่เราทำทุกวัน กระแส คือ สิ่งที่บันทึกในจิตเรา
    ความระลึกรู้ที่มีอยู่บันทึกในจิต พอนึกถึงความสุขก็นึกไปสุข
    พอนึกถึงเรื่องที่เป็นทุกข์ มันก็ทุกข์ นี่แหละคือกระแสและพลังงาน"


    "จิตสบาย... ก็สวด จิตไม่สบาย... ก็สวด ได้ครึ่งหนึ่งก็ยังดี
    อย่างน้อยก็ยังได้บันทึกกระแสอยู่"



    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    เสียงเทศนา หลวงปู่ดู่

    " เสียงเทศนา หลวงปู่ดู่ "

    " มีคนส่งเทปเสียงหลวงปู่ดู่มาให้เป็นเสียงหลวงปุ่ดู่สนทนาธรรมหน้ากุฎิท่านพูดเรื่องจับองค์พระ เรื่องแผ่บุญ เรื่องพระโปฐิละเถระ ประมาณนี้ ฯลฯ สอนเหมือนหลวงตาสอนเลยพูดแนวเดียวกันเลยครับ "

    " หลวงปู่ดู่ท่านสอนศิษย์ตามจริต คนที่ไม่เคยได้ยินท่านสอนนอกเหนือจากที่สอนตน ก็ใช่ว่าท่านไม่เคยสอน....เพราะเรื่องบางเรื่องท่านจะสอนเฉพาะคนบ้างคนเท่านั้น "

    " ขึ้นชื่อว่าธรรมะล้วนเป็นของกลาง มีอยู่แล้วตั้งอยู่ก่อนเราเกิด วาระเกิดเหตุปัจจัยครบผู้พบผู้เห็นธรรมแล้วก็หยิบมาบอกเล่าตามความเป็นจริงที่พบเจอ จงอย่าไปยึดว่าเป็นของตัว เดี๋ยวจะเสียเวลา...เกิดเป็นอัตตาของตู... "

    ๐ ลุงขอบอก ๐

    - ขอขอบคุณเจ้าของเทปเสียงนี้
    - ขอขอบคุณน้องนิกน้องชายลุง ผู้แปลงไฟล์และอัพโหลดไฟล์ให้พวกเราได้ฟังกันโดยถ้วนหน้า...
    - ขอขอบคุณผู้ฟังทุกท่าน

    ขอบคุณ https://www.facebook.com/Ruamkongboon?fref=photo


    ----------------------------------------------------------



    " ต่อจากนี้ไปจะเป็นข้อความที่ถอดจากไฟล์เสียง "

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เทศนาหน้ากุฏิ

    โยมผู้หญิง : วงในเราใช้พุทธคุณ
    หลวงปู่ : วงในไม่ได้ติดใจ มีไหม มีเท่าไร แบ่งเอาไปซิ อิทธิบาทใช้เนี่ยใช้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งทิ้งน้ำ อีกส่วนหนึ่งใช้
    หนี้เก่า อีกส่วนหนึ่งให้อสรพิษ อีกส่วนหนึ่งฝังดินไว้
    โยมผู้หญิง : ส่วนที่ฝั่งดินนี่
    หลวงปู่ : ก็คือการ(เจ้า)สร้างอะไรต่ออะไรเนี้ยให้อสรพิษ อีกคำพูดหนึ่งเนี้ยเรื่องเทวดาอะไรละ ใครเป็นถึง
    พระเจ้าแผ่นดิน คนไปตัดไม้ไป ตัดไม้ซะทุกปี ปีหนึ่งก็เยอะ เยอะ เยอะ ก็เลยลงมาถามว่าตัดเอาไปทำไมมากมาย
    ก็ผมมีกติกาอย่างนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน หนึ่งใช้หนี้เก่าคือบิดามารดา ให้กับอสรพิษลูกเมีย
    โยมผู้ชาย : ลูก เมีย เป็นอสรพิษหรือครับหลวงตา
    หลวงปู่ : ก็เขาฆ่าเราก็ได้ อะไรก็ได้
    โยมผู้หญิง : เพราะเรารักเขาอะ คนที่เรารัก
    หลวงปู่ : นี่คือการวางแบบแผนของพระ
    โยมผู้หญิง : คนที่เรารักนี่ทำเราได้นะ คนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจทำเราได้เพราะเราไม่ระวัง
    หลวงปู่ : ได้ทั้งนั้น เขาใส่เราแป๊บเดียวก็ตาย เรากินข้าวเขา ฝีมือเขา ยาพิษโรยไปหน่อยเราก็ตาย เขาจะแยก
    ให้เราไหมเล่า เขาไม่ได้แยก ด่ากันตีกันเขาไม่ได้แยก(หลวงปู่ดื่มน้ำ บอกกับโยมว่า “เทศน์ดีไม่รู้จักกินน้ำ”
    โยมผู้หญิงหัวเราะ พูดว่า “เทศน์ดี” โยมผู้ชายคุยกันว่ามี 4 (หมายถึง อิทธิบาท 4) มีพระเจ้าแผ่นดิน ทิ้งน้ำ
    ให้อสรพิษ แล้วมีให้ โยมผู้หญิงบอกโยมผู้ชายว่า "ฝั่งดิน" โยมผู้ชายพูดว่า "ฝั่งไว้นี่ก็หมายถึงว่าของตัวเอง"
    โยมผู้หญิง "สะสมไว้" )
    หลวงปู่ : ฝังไว้ของศาสนาไง อื้อก็ฝังไว้
    โยมผู้ชาย : แล้วอีกอันหนึ่ง
    หลวงปู่ : อันก็กินเข้าไป
    โยมผู้ชาย : อ๋อ กินเข้าไป
    หลวงปู่ : อือ ก็กินสิ
    โยมผู้ชาย : ก็คือใช้เอง
    หลวงปู่ : อืมใช้เอง ดีสุด นี่ให้ทองเท่าลูกฟัก
    โยมผู้หญิง : ทองเท่าลูกฟัก
    หลวงปู่ : พระราชาประกาศ แล้วได้เงินมานี่ แบ่งสรรปันส่วนอะไรต่ออะไร พวกนี้สัปปะดินอะไรต่ออะไรรู้หมดแหละ ก่อนนี้มีทนายหน้าหอ กล่าวที่นี่นะเขาก็แดงเป็นไฟไปเลย ก็รู้ว่าจะเผาคนอื่นก็เลยเล่าให้ฟัง คนนี้ ก็เลยจำไว้
    มาเถียงกันที่นี่อสรพิษนิ๊ เอ้า ก็คนบ้านเดียวกันก็คงจะไม่ฆ่ากัน อ้า กลัวใจแล้วแหละ อสรพิษ
    โยมผู้หญิง : คนบ้านเดียวกันน่ากลัวกว่าคนนอกบ้าน คนบ้านเดียวกันเราไว้ใจ มาก ทุกสิ่งเขารู้หมด
    หลวงปู่ : ก็เขาอาจแยกได้ เขาเห็นเราแก่ ฆ่ามันเสียเถอะ ให้สิ้น
    โยมผู้ชาย : เอามรดก
    หลวงปู่ : เอาใหม่ (น่าจะหมายถึงการหาคู่ใหม่)
    โยมผู้ชาย : อ๋อ หัวเราะ
    หลวงปู่ : ผู้หญิง เมีย เมียเขาคิด
    โยมผู้หญิง : งั้นก็โชคดีนะ ที่ได้เมียอย่างเนี้ยไม่เคยคิดฆ่าผัวเลย
    หลวงปู่ โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    หลวงปู่ : คนอื่นๆ เขามีเยอะแยะไปหมด คนดีๆ ตายซะหมดเรื่องเยอะเลย
    โยมผู้หญิง : คนดีๆ ตายซะหมด
    หลวงปู่ : อ้าว!! รุ่นก่อนไม่มีนิ๊นะ เขาทางไหนก็มีทางนั้น เทศน์ก็เทศน์อีกอย่าง
    โยมผู้หญิง : อย่างหลวงปู่เมื้อก๊้ อย่างเราทำอะไรไปก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ทำแบบซังกะตายอะไรอย่างเนี่ย คือจะทำทำเนี่ยแบบถึงที่สุดเลย เพราะว่ามีจุดมุ่งหมายว่าจะทำเพื่ออะไร แต่บางทีไม่ได้อยากทำแต่ก็ต้องทำ
    หลวงปู่ : อ้าวไม่ทำได้ไง เดี๋ยวไม่มีกิน
    โยมผู้หญิง : ใช่
    หลวงปู่ : เลือกเอานะ
    โยมผู้หญิง : มันเบื่อๆ แบบๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ คือ มนุษย์เนี่ยนะฮะ มนุษย์
    โยมผู้ชาย : แล้วอยากทำอะไร (ถามโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : อยากอยู่วัด
    โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : อยากอยู่กับสัตว์เดรัจฉาน
    โยมผู้ชาย : ก็ไปสิ นะ
    โยมผู้หญิง : ที่มันพูดหรือมันเห่าก็เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง มันก็สบายใจ
    โยมผู้ชาย : อยู่อย่างงั้นไม่ต้องใช้ตังค์ ก็ไปๆ
    โยมผู้หญิง : ก็ลูกยังเล็กอยู่
    โยมผู้ชาย : น่าน...
    โยมผู้หญิง : อยากหาความสุขที่แท้จริงหลวงปู่ ความสุขที่แท้จริง
    หลวงปู่ : ไม่มีอะ แท้จริง
    โยมผู้หญิง : ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ทรัพย์สิน ไม่ใช่หน้าตา ไม่ใช่ชื่อเสียงนะ
    หลวงปู่ : อืม ไม่อะ ไม่แท้ไม่แท้หรอก ไม่แท้ซักอย่าง
    โยมผู้หญิง : แล้วอะไรละคะ ถึงจะกำหนดเราได้ว่า
    หลวงปู่ : ฉันทะ ฉันทะ มีอย่างเดียวเท่านั้นเอง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราได้แล้วละก็ มันก็ เย็น
    โยมผู้หญิง : ศีลได้
    หลวงปู่ : ยังไม่แท้ ยังไม่ครบ
    โยมผู้หญิง : สมาธิบางอย่างยังไม่ได้เพราะว่าต้องทำงาน งานที่ทำนี่
    หลวงปู่ : นั่นแหละ เขาเรียก ศีล สมาธิ ปัญญา
    โยมผู้หญิง : งานที่ทำนี่...ใหญ่
    โยมผู้ชาย : ได้แต่ศีลตัวอย่างเดียว สมาธิยังไม่ได้ ปัญญายังไม่เกิด
    โยมผู้หญิง : ปัญญามี
    โยมผู้ชาย : สมาธินี่คืออะไรครับหลวงปู่
    หลวงปู่ : หือ ก็จิตมั่นไงเล่า (เสียงเหมือนหลวงตาม้ามากค่ะ)
    โยมผู้หญิง : สมาธิ ถ้าจิตมั่นละก็ อุ๊ก็มีจิต แต่ไม่ครบทุกมั่น มั่นอันนู้นมั๊ง ไม่มั่นอันนี้มั๊ง
    หลวงปู่ : นั่นสิ
    โยมผู้หญิง : ก็มี ก็เรียกว่ามีสมาธิแต่ไม่ทุกอย่าง
    หลวงปู่ : นี่มันทำสมาธิลมๆ สมาธิของพระพุทธเจ้าท่านเรียก ศีล สมาธิ เนี่ยมันใส ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
    โยมผู้หญิง : คืออย่างเมื่อก่อนเนี่ย ก็ไม่มีใครเลยพระ จนกระทั่งมาเจอะหลวงปู่ดู่ แล้วก็หลวงปู่ก็มาเล่าเรื่อง
    หลวงพ่อจันดีให้ฟัง หลวงปู่ก็บอกอย่าไปประมาทท่านนะ แล้วก็กลับไป เหมือนกับมีท่าน จริงๆ แล้วเนี่ย อุ๊เป็นคนมั่นใจ ไม่ชอบ เขาเรียกอะไร ข้าสองเจ้าบ่ายสองนายอะไรอย่างงี้ ไม่ชอบ ศิษย์หลายอาจารย์ก็ไม่ชอบ ไม่ได้เป็นคนชอบแบบนั้น
    หลวงปู่ : ซักพักเดินมาจะฟ้อง
    โยมผู้หญิง โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : ฟ้องเถอะ ฟ้องเถอะ เป็นคนไม่ชอบจริงๆ ฮะ อย่างแบบว่าที่กลับไปรับยอมรับว่าถ้าท่านมีอะไรล่วงรู้
    ก็ให้ท่านรู้ไปเถอะเพราะว่าบางทีเนี่ยขัดกับความรู้สึกเรา แต่ว่าโอเคเราตั้งใจจะทำบุญแล้วก็ช่วยหรือว่าคิดจะทำอะไร เพราะสงสารท่าน
    หลวงปู่ : เอาแล้ว ใช้ได้แล้ว มีดีซะอย่างก็จะคอยช่วย ของไม่ดีมันตามมาทีหลังเราก็ปัดทิ้งไป มันเป็นฝุ่นฝอย
    โยมผู้หญิง : คือมั่นใจไงฮะ มั่นใจในสิ่งที่เราเจอะ มั่นใจในสิ่งที่เราเห็น ก็มีความรู้สึกว่าในเมื่อสิ่งที่เรายึดเราเหนี่ยวเรายังปฏิบัติไม่ดีเลยแล้วยังไปหาอย่างอื่นเข้ามาอีกทำไม ความรู้สึกเป็นอย่างงี้
    หลวงปู่ : โอเค ใช้ได้แล้วละคราวนี้
    โยมผู้หญิง : โอเค เดี๋ยวนี้ซักเก่ง หัวเราะ เก่งภาษา
    หลวงปู่ : ของจริงอยู่ที่ละ (หรือพระไม่รู้คะ ฟังไม่ถนัด) ไม่มีใครละได้ จิตมันละ ละไง กาย วาจา ใจ นั่นจริง
    หลวงพ่อเกษม
    โยมผู้หญิง : อย่างเมื่อเช้าเนี่ย พอรู้ว่าท่านไม่ได้หยิบอะค่ะ ไม่รู้ใครหยิบลงมารองนอน อุ๊จะร้องไห้เลย
    โยมผู้ชาย : พี่รองนอน
    โยมผู้หญิง : ใครหยิบมาไม่รู้ คนนี้เป็นคนหยิบ อ๋อ ก็ยอมรับซิ
    โยมผู้ชาย : จะรับนั่นแหละ พูดอยู่ในรถ
    โยมผู้หญิง : ไม่พูดว่าพี่เองก็จบ
    โยมผู้ชาย : จะพูดก็หูอิ้อตั้งแต่เมื่อเช้า กิเลสเยอะ โลภะจัด
    โยมผู้หญิง : โลภะนี่ สามีสร้างหลวงปู่ อุ๊ไม่มีเลย
    หลวงปู่ : เขารับแล้ว หมดเรื่องกัน อโหสิ อโหสิกรรม
    โยมผู้หญิง : อโหสิคะ อโหสิ
    หลวงปู่ : อโหสิ หมดเรื่องกัน
    โยมผู้หญิง : เพราะว่าอุ๊หยิบ อุ๊หยิบมาเลยเนี่ยใส่รถมาด้วยเพราะอุ๊เป็นทุกข์ อุ๊ไม่สบายใจ
    หลวงปู่ : มีแต่คนจะขอแต่จีวรผ้า ไม่รู้จะเอาไปทำไม
    โยมผู้หญิง : ให้ผ้าขี้ริ้วไปซิ
    หลวงปู่ : หึ ของต่ำนะผ้าขี้ริ้ว
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ ทำได้ ก็แล้วแต่คน หลวงปู่ก็ดูเองคนที่จะเคารพบูชาจริงๆ ก็มีกำลังใจ ถึงน้อยก็ได้ยึดมั่นในพุทธศาสนา บางคนเอาไปเห็นปฏิบัติเกิดอะไรขึ้นมายิ่งทำให้เลื่อมใสมาก ยิ่งทำให้ยึดถือมาก แต่สามีว่าหลง เขาบอก
    อุ๊นะหลงอะ ไม่ได้นับถืออย่างเดียว หลง
    หลวงปู่ : เนี่ย เขากำลังถือให้ตรงกัน มันนับถือมากไปมันก็หลง
    โยมผู้หญิงกับโยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : หาว่าหลง คือหลวงปู่ อะไรก็ตามที่เราเห็นแต่ตัวเรา เราสามารถพูดได้ ไม่ใช่มีใครเขาเล่าว่า ในเมื่อเราเห็นแล้วเราเจอะแล้ว เราไม่ยึดถือสิ่งที่เราเห็นเราเจอะมายึดถือหรือว่ายึดมั่นเนี่ย ว่าโง่เต็มที คือใครจะพูดยังไง
    ก็เบนใจอุ๊ไม่ได้ อุ๊ก็เป็นคน
    หลวงปู่ : มี ที่นี่เขามีหัดกันนะมี เขาทำเป็นทุกอย่างๆ แต่เย็นก็อดที่จะหิ้วขวดไม่ได้
    โยมผู้หญิง : กลัวจะไม่เคยนะซิ ในชีวิตนี้
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่พูด ให้ฟัง ตัวอย่าง
    โยมผู้หญิง : เข้าใจคะ
    หลวงปู่ : มีแถวบ้านนี้ นั้นละ เขาก็บอกพวกเขา
    โยมผู้หญิง : ปฏิบัติแต่ตอนเย็นหิ้วขวด หัวเราะ (น่าจะหันไปพูดกับผู้ชาย)
    หลวงปู่ : เขาบอก เอ่อ ไปดี มันก็หิวขวดเรื่อยของมัน
    โยมผู้หญิง : แต่อุ๊นี่ทางทานนะฮะ ทานบารมี ศีล แต่ทางปฏิบัติเนี่ย ปฏิบัติคือที่อุ๊ทำอยู่เนี่ยก็ปฏิบัติแบบศีล 5 เมื่อมีเวลาก็เจริญภาวนา แต่ส่วนมากภาวนามากกว่านั่งสมาธิ เพราะนั่งสมาธิแล้วกลัวจ๊ะเอ๋อะ บางทีมีความรู้สึกจะจ๊ะเอ๋
    หลวงปู่ : เอ๋อะไร
    โยมผู้หญิง : จะจ๊ะเอ๋ใครในที่นั่งนะสิ
    หลวงปู่ : หือ อะไรจะมีมา มีมาเราก็ได้บุญมาก
    โยมผู้หญิง :เหรอค่ะ
    หลวงปู่ : อ้า หลวงพ่อเกษมก็ยัง เจอนิ๊ จ๊ะเอ๋ ตั้งแต่หัวค่ำถึงสว่าง
    โยมผู้หญิง : อ๋อ
    โยมผู้หญิง 2 : หลวงปู่ค่ะ หนูไม่เคยนั่ง นั่งเห็นสมเด็จเลย เมื่อกี้นั่ง เมื่อกลางวันนิ๊ฮะ ในถ้วยชา นั่งไปเห็นสมเด็จ แล้วก็เห็นนายหลวง
    หลวงปู่ : อ้าว ดีแล้วละ กำลังรวมนะ รวมพล
    โยมผู้หญิง :จะมีอะไรหรือฮะ ถึงได้กำลังรวมพล ที่จะไปเป็นพระศรีอริยเมตตรัยรึเปล่า
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ รวม รวม รวม มาทั้งหมด คณาจารย์ในคณะจะได้เจริญขึ้น ใครจะมารวมเอาคนเดียวเล่า ถวายเข้าพระ บูชาพระ อะไรพระเนี่ย รวมทุกอย่าง ทุกอย่าง แล้วเผื่อแผ่ถึงคนอื่น
    โยมผู้หญิง : อ๋อ เรื่องเผื่อแผ่ เผื่อแผ่ อะฮะ
    หลวงปู่ : อ่าว เผื่อแผ่ เผื่อแผ่ซิ ไม่ต้องกลัวว่า มันไม่หมดหรอก ทั้งจักรวาลนิ๊ ให้นิดๆ หน่อยๆ ได้
    โยมผู้หญิง : อย่างใส่บาตรหรืออุทิศส่วนกุศล ก็บอกขอพร
    หลวงปู่ : ไอ้นั่นมันก็ใส่บาตร ไอ้นี่เขาปฏิบัติกัน ขอความปฏิบัติให้เจริญขึ้น ก็แกตาเห็นละก็เท่ากับ 7 วันเท่ากับ
    แกนึกถึงข้า 7 วันละก็ ไม่ไปก็กลับมาด่า
    โยมผู้หญิง : ถ้าตายใช่ไหมคะ
    หลวงปู่ : ไม่ตายละ เป็นๆอย่างนี้แหละ อย่าทำเป็นหัวล่อ
    โยมผู้หญิง : ถ้าปฏิบัติ 7 วันใช่ไหมค่ะ ถ้าไม่ไปให้มาด่า เอาคนนี้แทนได้ไหม
    หลวงปู่ : เอาไม่ได้
    โยมผู้หญิง : ภารกิจหนูเยอะ
    โยมผู้หญิงกับโยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้ชาย : นั่งพูดอย่างเดียว หัวเราะ (ว่าโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : ไม่หลวงปู่ อุ๊ 4 บริษัท งานเยอะมากอะคนเดียว
    หลวงปู่ : ได้คนเดียวก็แบ่งได้จะเป็นไร
    โยมผู้หญิง : นอนยังไม่ค่อยมีเวลานอนเลย ใส่บาตรเดี๋ยวนี้เช้าๆ ก็สั่งเด็กให้เป็นคนใส่ อะไรอย่างเงี้ย แต่อย่าง
    หลวงปู่นี่ไม่ให้ใครมาเยี่ยมแทน มาเอง อย่างอื่นส่วนมากให้ไปแทนหมด
    โยมผู้หญิง 2 : หลวงปู่ฮะ อย่างที่หนูสงสัยเนี่ยคือปกติเนี่ยหนูจะเห็นแต่นายหลวง ไม่เคยเห็นสมเด็จเลย เพิ่งเห็นคู่ แล้วหนูก็ไม่ได้นึกถึงสมเด็จเลย มันทำไหมเป็นภาพ...
    หลวงปู่ : อู้ว มันเกิดเอง หลวงพ่อเกษมนี่ก็ติดไปกับพระเจ้าแผ่นดิน อะไม่เชื่อเช็คในนี้ได้ ไม่จริงก็ด่าแม่เลย
    โยมผู้หญิง : หนูไม่กล้าด่าท้าจังเลยตั้งวันแรกยันวันนี้ ใครเขาจะกล้าด่าคนที่มานี่ไม่ได้คิดมาด่าทั้งนั้น
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ให้ด่า
    โยมผู้หญิง : ท้าอย่างอื่นซิ
    หลวงปู่ : หึ
    โยมผู้หญิง : ท้าอย่างอื่นซิ
    หลวงปู่ : ท้าอย่างอื่น ก็ให้ไง
    โยมผู้หญิง : ไม่รู้
    หลวงปู่ : ไม่ดูแกจะได้หมดตัวสงสัย ไอ้ที่ให้ดูนี่นะ
    โยมผู้หญิง : ไม่สงสัยอะไรหรอกหลวงปู่ แต่ว่าที่หลวงปู่พูดอะไรนิ๊เชื่อหมด
    หลวงปู่ : ไม่แน่ซิเอ็งยังเดินผิวๆ อยู่เนี่ย ตามเรา หนุนบ้าง ยอบ้าง จะให้เราล้มเสียให้ได้
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ ไม่...
    หลวงปู่ : องค์ไหนท่านมาทั้งนั้น เราทำเป็นละก็
    โยมผู้หญิง : อ๋อ
    โยมผู้ชาย : ไอ้ที่ไม่เห็นนี่แสดงว่าทำไม่เป็นใช่ไหม
    หลวงปู่ : อ่าว เราจับองค์พระไม่ได้
    โยมผู้ชาย : ผมไม่เคย...
    หลวงปู่ : เด็กอายุห้าขวบมันยังจับกันได้เลย
    โยมผู้หญิง : คือหลวงปู่เดี๋ยวนี้นะฮะ พอตั้งจิตอธิษฐานหลับตานี่ยังเพียงแค่นึก ทำไมแม้กระทั่งหน้าหลวงปู่ หรือหน้าองค์ไหน ถ้าอย่างจะนึก แบบชัดมาก
    หลวงปู่ : นั่นไง ทำหนักเข้าดีมากขึ้น อยากจะได้ของ
    โยมผู้หญิง : เนี่ยบางองค์อุ๊นึกชัดเลยนะคะ
    หลวงปู่ : นั่นแหละของดีแล้ว แกเจอแล้ว แกไม่เอามากๆ แกกินนิดเดียวมันก็ได้นิดเดียวนะสิ
    โยมผู้หญิง : กินนิดเดียวก็อิ่ม เราคนมักน้อย
    หลวงปู่ : มักน้อยอะไรมันก็มีไม่พอนะซิ ขนเสบียงไม่พอ ไปทีหลังบอกจะไปขอเขา เขาไม่ให้นะ
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ
    หลวงปู่ : ได้ภาวนาอย่างหนึ่ง ทำสมาธิได้หลายๆ อย่างเนี้ยมันคนละอย่าง
    โยมผู้หญิง : คนละอย่าง
    หลวงปู่ : อืม การสาธยายอะ สาธยายไปให้ตลอดจบพระไตรปิฏก สวดทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ตลอด
    โยมผู้หญิง : ค่ะ
    หลวงปู่ : เจอพระอรหันต์ 7 องค์ มีครั้งพระพุทธกาล มีพระพุทธเจ้า ชื่อว่า โปฐิละ โปฐิละ ท่านเจอทั้งท่านเป็นอาจารย์สอนพระธรรมะ ทั้งนั้นด้วย วันหนึ่งก็เวลามันใกล้จะดี ก็มาเขาจะมาในวัดนี้ มาแล้วเขาก็มาผ่านพระพุทธเจ้าก่อน ซึ่งมาหกคำนบก่อน แล้วพระพุทธเจ้าทักว่าไง นี่โภฐิยะ ท่านไม่เรียก โปฐิละ อาจารย์ใบลานเปล่ามาหรือนี่
    โยมผู้หญิง :อาจารย์ใบลานเปล่า
    หลวงปู่ : เปล่า ไม่มีอะไรเลย
    โยมผู้ชาย : อาจารย์ใบลานเปล่า (พูดกับโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : ได้ยิน ได้ยิน แหม๋ หูดีจัง
    หลวงปู่ : แล้วทีนี้ก็ไป กลับไปคุยกับพวกกับอะไร แล้วทีนี้เย็นๆ จะกลับ ก็ไปลาอีกจะกลับ อาจารย์ใบลานเปล่า
    กลับรึนี่ ท่านว่างั้น ท่านก็ติดใจท่านซิ ท่านทัก เอ้ เราเป็นท่านอาจารย์สอนธรรมะตั้ง 8 หมู่ เป็นอาจารย์สอนเขา
    แต่ตัวไม่ได้ ครั้งนั้นมีพระสหพระพุทธเจ้า 3 องค์
    โยมผู้ชาย : ทำไม (น่าจะถามโยมผู้หญิง)
    หลวงปู่ : ไม่ได้ปฏิบัติ
    โยมผู้หญิง : ไม่ได้ปฏิบัติ คือได้แต่สอน ไม่ได้
    หลวงปู่ : สอนได้ แบบแผนได้หมดที่สอนๆ นะ พระเป็นอรหันต์ได้หมดนู้นนะ จะว่าไง ท่านทำให้พระ ท่านประมาทเอง พอกลับไปถึงที่อยู่ ที่อยู่ก็เดี๋ยวก็พระองค์นั้นก็มาหา องค์นี้ก็มาหา ผมลาไปป่าซักครึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่ง 30 รูปไป ออกเรือนไป อ่าว ลาไป อ่าว ไป ไป ไป หมู่ที่ 2 มาลาอีกละ แล้วก็มาลาอีกละ สามครั้ง เอ๊ะไปมั้งเถอะวะเรามันคงมีอะไรดีแน่ในป่า แล้วก็ใจโล่งๆ เชียว ก็อยากไปปฏิบัติในป่าเงียบๆ ภัยอันตรายมีรอบตัว นี่ไปถึงก็ ตอนหลังไปก็พระหมู่หลังนี่ต้องไปเจอก่อน ที่ไปอะ ไล่กันไป ไปก็ไปเจอหมู่นี่ ทีนี้ท่านบอก อ่าวผมจะมาขออะไรต่ออะไร เอ่า อาจารย์สอนผมมาผมก็มาทำตามแบบอาจารย์ นิมนต์อาจารย์ไปข้างหน้าเหอะ ก็ไปหาหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 ก็ไปเจอ ก็ไปอีกไปขอเรียนเขาอีก เขาก็บอกอย่างนั้นอีก แล้วก็ไปหมู่ที่ 1 ที่นั้น ที่ 1 ก็ไปขอเรียนอีก ก็ผมเอาจากอาจารย์มา อาจารย์ก็ให้ท่าผมทำงั้น งั้น งั้น แต่ท่านรู้เสร็จสรรพมันไม่ดี ถูกหลัก หมดเรื่อง ให้ไปต่อไปอีก
    ไปเจอโมคคัลลานะ สารีบุตร สององค์ท่านนั้นก็ เอ่า นั้นแตกฉานแล้ว ในกลุ่มท่านมีพระ 500 500 500 ทั้งนั้น ก็ไปถามเขา นั่นนะเข้าไปก็ไปเจอสามเณรองค์หนึ่งนั่งเย็บผ้าอยู่กลางหอสมุด ผ้าขาด นั่งถ่างขาถ่างแข้ง อายุ 8 ขวบ 9 ขวบ เททิ้งซะนี่ อะไร น้ำ
    โยมผู้หญิง : น้ำผึ้งขิง หัวเราะ
    หลวงปู่ : ก็ไปหาเณร เณรก็ อ่าว เณรขอผมเรียนไอ้นี่ซักหน่อยเหอะ เณรตอบว่า “ท่านเชื่อผมไหมละอย่างนั้น”
    ขึงขังอะ ท่านดูอีก เณณไม่ค่อยมีอะไรมากมาย แต่ท่านเป็นพระอรหันต์ เณรพูดว่า “เชื่อผมไหมเล่า” พระโปฐิละ “เอ่าเชื่อสิ อ่าวเชื่อ” เณรพูด “อ่าวท่านไปลุยโคลนโน้น” ให้ไปลุยโคลน พอเดิน ยอมแล้ว ทั้งขาทั้งแข้งอยู่ในน้ำ
    เณรบอก พอให้ทำท่านก็ทำได้ พอท่านมา อ่าว สมมุติว่ามีจอมปลวกอยู่นี้ จอมปลวกเกาะกลุ่มอยู่ ท่านต้องหมายว่าตัวของท่านนะ มีเหี้ยวิ่งเข้าวิ่งออก 5 รู
    โยมผู้หญิง : ตัวเงินตัวทอง
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ตัวเงินตัวทอง หายใจเข้า หายใจออก หู จมูก กาย อะไรต่ออะไรไล่ไปไล่มา
    โยมผู้หญิง : อ๋อ

    หลวงปู่ : แล้วท่านก็บอกว่า รู มันคือไอ้นี้ สมมุติไม่ออกเลย บอกว่าให้ไปปิดไอ้ 5 รูซะ จับเหี้ยในมโน
    คือจับเหี้ยอยู่ในใจ คือใจ ปั๊บๆ ท่านบอกอย่างงั้นปุ๊บๆ สำเร็จอรหันต์เป็นเลย เดี๋ยวนั้น ท่านพูดปราบ พูดแล้วเชื่อเลย (หมายถึงเณรพุดปราบพระโปฐิละ)
    โยมผู้หญิง : ที่พูดแล้วสำเร็จเลย พวกที่พอมีใครแนะนี่หมายถึง
    หลวงปู่ : อ่าว
    โยมผู้หญิง : หมายถึงติดอยู่นิดๆ ใช่ไหมค่ะ
    หลวงปู่ : เคยทำ เคยทำกันมา ดูองค์อื่นๆ ดูพระโมคคัลลานะ
    โยมผู้หญิง : ถ้าฆราวาสนี่สำเร็จได้ไหมฮะ
    หลวงปู่ : ได้ ได้เหมือนกันแต่มันช้าหน่อย
    โยมผู้หญิง : เพราะอะไรฮะ เพราะว่า
    หลวงปู่ : เพราะเราอยู่กับลูกกับหลานนะซี
    โยมผู้หญิง : อ่าวถ้าอยู่โดยที่ไม่มีลูกไม่มีหลาน ฆราวาส แต่ว่าไม่บวช สมมุติว่าถ้าเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงแล้วบวชไม่ได้
    หลวงปู่ : ผู้หญิงบวชไม่ได้มันไม่ยาก ....ฟังไม่ออกคะ

    อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พระโปฐิละ (Cr. @[NjQyMTgzOTU5MjA4MTA3Omh0dHBcYS8vd3d3LnRyaXBpdGFrYTkxLmNvbS85MWJvb2svYm9vazQzLzEwMVxiMTUwLmh0bTo6:mad:[NjQyMTgzOTU5MjA4MTA3Omh0dHBcYS8vd3d3LnRyaXBpdGFrYTkxLmNvbS85MWJvb2svYm9vazQzLzEwMVxiMTUwLmh0bTo6:http://www.tripitaka91.com/91book/book43/101_150.htm]])
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 118
    ๕. เรื่องพระโปฐิลเถระ [๒๐๘]

    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระ
    นามว่าโปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โยคา เว " เป็นต้น.
    รู้มากแต่เอาตัวไม่รอด
    ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของ
    พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดา
    ทรงดำริว่า " ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า ' เราจักทำการสลัดออก
    จากทุกข์แก่ตน; เราจักยังเธอให้สังเวช."
    จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระ-
    เถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า " มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณ
    ใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า, แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็
    ตรัสว่า " คุณใบลานเปล่า ไปแล้ว." พระโปฐิละนั้นคิดว่า " เราย่อม
    ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา, บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป
    ถึง ๑๘ คณะใหญ่, ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนือง ๆ
    ว่า ' คุณใบลานเปล่า ' พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มี
    คุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้." ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า
    " บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเอง
    ทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุ
    ทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนด
    ท่านว่า " อาจารย์." พระเถระไปสิ้นสองพันโยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 119
    ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า
    " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม."
    พระสังฆเถระ. " ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก, สิ่งอะไรชื่อว่า
    อันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้ ?
    พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้, ขอท่านจง
    เป็นที่พึ่งของกระผม.
    วิธีขจัดมานะของพระโปฐิละ
    ก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้น
    พระมหาเถระ ส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า
    " ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้." แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าว
    กะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่ง
    ท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบ ผู้ใหม่
    กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน.
    พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ ด้วยอุบายอย่างนี้.
    พระโปฐิละหมดมานะ
    พระโปฐิละนั้น มีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว จึง
    ประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ ขอท่าน
    จงเป็นที่พึ่งของผม."
    สามเณร. ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น, ท่านเป็น
    คนแก่ เป็นพหูสูต, เหตุอะไร ๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน
    พระโปฐิละ. ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้, ขอท่านจงเป็น
    ที่พึ่งของผมให้ได้.
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 120
    สามเณร. ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้,
    ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน.
    พระโปฐิละ. ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า ' จงเข้า
    ไปสู่ไฟ,' ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว.
    พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร
    ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระ ๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะ
    ท่านว่า " ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้."
    จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระ
    นั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า " พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้
    หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น. แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น.
    ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า " มาเถิด
    ท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า " ท่าน
    ผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง




     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    เสียงเทศนา หลวงปู่ดู่

    " เสียงเทศนา หลวงปู่ดู่ "

    " มีคนส่งเทปเสียงหลวงปู่ดู่มาให้เป็นเสียงหลวงปุ่ดู่สนทนาธรรมหน้ากุฎิท่านพูดเรื่องจับองค์พระ เรื่องแผ่บุญ เรื่องพระโปฐิละเถระ ประมาณนี้ ฯลฯ สอนเหมือนหลวงตาสอนเลยพูดแนวเดียวกันเลยครับ "

    " หลวงปู่ดู่ท่านสอนศิษย์ตามจริต คนที่ไม่เคยได้ยินท่านสอนนอกเหนือจากที่สอนตน ก็ใช่ว่าท่านไม่เคยสอน....เพราะเรื่องบางเรื่องท่านจะสอนเฉพาะคนบ้างคนเท่านั้น "

    " ขึ้นชื่อว่าธรรมะล้วนเป็นของกลาง มีอยู่แล้วตั้งอยู่ก่อนเราเกิด วาระเกิดเหตุปัจจัยครบผู้พบผู้เห็นธรรมแล้วก็หยิบมาบอกเล่าตามความเป็นจริงที่พบเจอ จงอย่าไปยึดว่าเป็นของตัว เดี๋ยวจะเสียเวลา...เกิดเป็นอัตตาของตู... "

    ๐ ลุงขอบอก ๐

    - ขอขอบคุณเจ้าของเทปเสียงนี้
    - ขอขอบคุณน้องนิกน้องชายลุง ผู้แปลงไฟล์และอัพโหลดไฟล์ให้พวกเราได้ฟังกันโดยถ้วนหน้า...
    - ขอขอบคุณผู้ฟังทุกท่าน

    ขอบคุณ https://www.facebook.com/Ruamkongboon?fref=photo


    ----------------------------------------------------------



    " ต่อจากนี้ไปจะเป็นข้อความที่ถอดจากไฟล์เสียง "

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เทศนาหน้ากุฏิ

    โยมผู้หญิง : วงในเราใช้พุทธคุณ
    หลวงปู่ : วงในไม่ได้ติดใจ มีไหม มีเท่าไร แบ่งเอาไปซิ อิทธิบาทใช้เนี่ยใช้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งทิ้งน้ำ อีกส่วนหนึ่งใช้
    หนี้เก่า อีกส่วนหนึ่งให้อสรพิษ อีกส่วนหนึ่งฝังดินไว้
    โยมผู้หญิง : ส่วนที่ฝั่งดินนี่
    หลวงปู่ : ก็คือการ(เจ้า)สร้างอะไรต่ออะไรเนี้ยให้อสรพิษ อีกคำพูดหนึ่งเนี้ยเรื่องเทวดาอะไรละ ใครเป็นถึง
    พระเจ้าแผ่นดิน คนไปตัดไม้ไป ตัดไม้ซะทุกปี ปีหนึ่งก็เยอะ เยอะ เยอะ ก็เลยลงมาถามว่าตัดเอาไปทำไมมากมาย
    ก็ผมมีกติกาอย่างนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน หนึ่งใช้หนี้เก่าคือบิดามารดา ให้กับอสรพิษลูกเมีย
    โยมผู้ชาย : ลูก เมีย เป็นอสรพิษหรือครับหลวงตา
    หลวงปู่ : ก็เขาฆ่าเราก็ได้ อะไรก็ได้
    โยมผู้หญิง : เพราะเรารักเขาอะ คนที่เรารัก
    หลวงปู่ : นี่คือการวางแบบแผนของพระ
    โยมผู้หญิง : คนที่เรารักนี่ทำเราได้นะ คนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจทำเราได้เพราะเราไม่ระวัง
    หลวงปู่ : ได้ทั้งนั้น เขาใส่เราแป๊บเดียวก็ตาย เรากินข้าวเขา ฝีมือเขา ยาพิษโรยไปหน่อยเราก็ตาย เขาจะแยก
    ให้เราไหมเล่า เขาไม่ได้แยก ด่ากันตีกันเขาไม่ได้แยก(หลวงปู่ดื่มน้ำ บอกกับโยมว่า “เทศน์ดีไม่รู้จักกินน้ำ”
    โยมผู้หญิงหัวเราะ พูดว่า “เทศน์ดี” โยมผู้ชายคุยกันว่ามี 4 (หมายถึง อิทธิบาท 4) มีพระเจ้าแผ่นดิน ทิ้งน้ำ
    ให้อสรพิษ แล้วมีให้ โยมผู้หญิงบอกโยมผู้ชายว่า "ฝั่งดิน" โยมผู้ชายพูดว่า "ฝั่งไว้นี่ก็หมายถึงว่าของตัวเอง"
    โยมผู้หญิง "สะสมไว้" )
    หลวงปู่ : ฝังไว้ของศาสนาไง อื้อก็ฝังไว้
    โยมผู้ชาย : แล้วอีกอันหนึ่ง
    หลวงปู่ : อันก็กินเข้าไป
    โยมผู้ชาย : อ๋อ กินเข้าไป
    หลวงปู่ : อือ ก็กินสิ
    โยมผู้ชาย : ก็คือใช้เอง
    หลวงปู่ : อืมใช้เอง ดีสุด นี่ให้ทองเท่าลูกฟัก
    โยมผู้หญิง : ทองเท่าลูกฟัก
    หลวงปู่ : พระราชาประกาศ แล้วได้เงินมานี่ แบ่งสรรปันส่วนอะไรต่ออะไร พวกนี้สัปปะดินอะไรต่ออะไรรู้หมดแหละ ก่อนนี้มีทนายหน้าหอ กล่าวที่นี่นะเขาก็แดงเป็นไฟไปเลย ก็รู้ว่าจะเผาคนอื่นก็เลยเล่าให้ฟัง คนนี้ ก็เลยจำไว้
    มาเถียงกันที่นี่อสรพิษนิ๊ เอ้า ก็คนบ้านเดียวกันก็คงจะไม่ฆ่ากัน อ้า กลัวใจแล้วแหละ อสรพิษ
    โยมผู้หญิง : คนบ้านเดียวกันน่ากลัวกว่าคนนอกบ้าน คนบ้านเดียวกันเราไว้ใจ มาก ทุกสิ่งเขารู้หมด
    หลวงปู่ : ก็เขาอาจแยกได้ เขาเห็นเราแก่ ฆ่ามันเสียเถอะ ให้สิ้น
    โยมผู้ชาย : เอามรดก
    หลวงปู่ : เอาใหม่ (น่าจะหมายถึงการหาคู่ใหม่)
    โยมผู้ชาย : อ๋อ หัวเราะ
    หลวงปู่ : ผู้หญิง เมีย เมียเขาคิด
    โยมผู้หญิง : งั้นก็โชคดีนะ ที่ได้เมียอย่างเนี้ยไม่เคยคิดฆ่าผัวเลย
    หลวงปู่ โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    หลวงปู่ : คนอื่นๆ เขามีเยอะแยะไปหมด คนดีๆ ตายซะหมดเรื่องเยอะเลย
    โยมผู้หญิง : คนดีๆ ตายซะหมด
    หลวงปู่ : อ้าว!! รุ่นก่อนไม่มีนิ๊นะ เขาทางไหนก็มีทางนั้น เทศน์ก็เทศน์อีกอย่าง
    โยมผู้หญิง : อย่างหลวงปู่เมื้อก๊้ อย่างเราทำอะไรไปก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ทำแบบซังกะตายอะไรอย่างเนี่ย คือจะทำทำเนี่ยแบบถึงที่สุดเลย เพราะว่ามีจุดมุ่งหมายว่าจะทำเพื่ออะไร แต่บางทีไม่ได้อยากทำแต่ก็ต้องทำ
    หลวงปู่ : อ้าวไม่ทำได้ไง เดี๋ยวไม่มีกิน
    โยมผู้หญิง : ใช่
    หลวงปู่ : เลือกเอานะ
    โยมผู้หญิง : มันเบื่อๆ แบบๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ คือ มนุษย์เนี่ยนะฮะ มนุษย์
    โยมผู้ชาย : แล้วอยากทำอะไร (ถามโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : อยากอยู่วัด
    โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : อยากอยู่กับสัตว์เดรัจฉาน
    โยมผู้ชาย : ก็ไปสิ นะ
    โยมผู้หญิง : ที่มันพูดหรือมันเห่าก็เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง มันก็สบายใจ
    โยมผู้ชาย : อยู่อย่างงั้นไม่ต้องใช้ตังค์ ก็ไปๆ
    โยมผู้หญิง : ก็ลูกยังเล็กอยู่
    โยมผู้ชาย : น่าน...
    โยมผู้หญิง : อยากหาความสุขที่แท้จริงหลวงปู่ ความสุขที่แท้จริง
    หลวงปู่ : ไม่มีอะ แท้จริง
    โยมผู้หญิง : ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ทรัพย์สิน ไม่ใช่หน้าตา ไม่ใช่ชื่อเสียงนะ
    หลวงปู่ : อืม ไม่อะ ไม่แท้ไม่แท้หรอก ไม่แท้ซักอย่าง
    โยมผู้หญิง : แล้วอะไรละคะ ถึงจะกำหนดเราได้ว่า
    หลวงปู่ : ฉันทะ ฉันทะ มีอย่างเดียวเท่านั้นเอง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราได้แล้วละก็ มันก็ เย็น
    โยมผู้หญิง : ศีลได้
    หลวงปู่ : ยังไม่แท้ ยังไม่ครบ
    โยมผู้หญิง : สมาธิบางอย่างยังไม่ได้เพราะว่าต้องทำงาน งานที่ทำนี่
    หลวงปู่ : นั่นแหละ เขาเรียก ศีล สมาธิ ปัญญา
    โยมผู้หญิง : งานที่ทำนี่...ใหญ่
    โยมผู้ชาย : ได้แต่ศีลตัวอย่างเดียว สมาธิยังไม่ได้ ปัญญายังไม่เกิด
    โยมผู้หญิง : ปัญญามี
    โยมผู้ชาย : สมาธินี่คืออะไรครับหลวงปู่
    หลวงปู่ : หือ ก็จิตมั่นไงเล่า (เสียงเหมือนหลวงตาม้ามากค่ะ)
    โยมผู้หญิง : สมาธิ ถ้าจิตมั่นละก็ อุ๊ก็มีจิต แต่ไม่ครบทุกมั่น มั่นอันนู้นมั๊ง ไม่มั่นอันนี้มั๊ง
    หลวงปู่ : นั่นสิ
    โยมผู้หญิง : ก็มี ก็เรียกว่ามีสมาธิแต่ไม่ทุกอย่าง
    หลวงปู่ : นี่มันทำสมาธิลมๆ สมาธิของพระพุทธเจ้าท่านเรียก ศีล สมาธิ เนี่ยมันใส ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
    โยมผู้หญิง : คืออย่างเมื่อก่อนเนี่ย ก็ไม่มีใครเลยพระ จนกระทั่งมาเจอะหลวงปู่ดู่ แล้วก็หลวงปู่ก็มาเล่าเรื่อง
    หลวงพ่อจันดีให้ฟัง หลวงปู่ก็บอกอย่าไปประมาทท่านนะ แล้วก็กลับไป เหมือนกับมีท่าน จริงๆ แล้วเนี่ย อุ๊เป็นคนมั่นใจ ไม่ชอบ เขาเรียกอะไร ข้าสองเจ้าบ่ายสองนายอะไรอย่างงี้ ไม่ชอบ ศิษย์หลายอาจารย์ก็ไม่ชอบ ไม่ได้เป็นคนชอบแบบนั้น
    หลวงปู่ : ซักพักเดินมาจะฟ้อง
    โยมผู้หญิง โยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : ฟ้องเถอะ ฟ้องเถอะ เป็นคนไม่ชอบจริงๆ ฮะ อย่างแบบว่าที่กลับไปรับยอมรับว่าถ้าท่านมีอะไรล่วงรู้
    ก็ให้ท่านรู้ไปเถอะเพราะว่าบางทีเนี่ยขัดกับความรู้สึกเรา แต่ว่าโอเคเราตั้งใจจะทำบุญแล้วก็ช่วยหรือว่าคิดจะทำอะไร เพราะสงสารท่าน
    หลวงปู่ : เอาแล้ว ใช้ได้แล้ว มีดีซะอย่างก็จะคอยช่วย ของไม่ดีมันตามมาทีหลังเราก็ปัดทิ้งไป มันเป็นฝุ่นฝอย
    โยมผู้หญิง : คือมั่นใจไงฮะ มั่นใจในสิ่งที่เราเจอะ มั่นใจในสิ่งที่เราเห็น ก็มีความรู้สึกว่าในเมื่อสิ่งที่เรายึดเราเหนี่ยวเรายังปฏิบัติไม่ดีเลยแล้วยังไปหาอย่างอื่นเข้ามาอีกทำไม ความรู้สึกเป็นอย่างงี้
    หลวงปู่ : โอเค ใช้ได้แล้วละคราวนี้
    โยมผู้หญิง : โอเค เดี๋ยวนี้ซักเก่ง หัวเราะ เก่งภาษา
    หลวงปู่ : ของจริงอยู่ที่ละ (หรือพระไม่รู้คะ ฟังไม่ถนัด) ไม่มีใครละได้ จิตมันละ ละไง กาย วาจา ใจ นั่นจริง
    หลวงพ่อเกษม
    โยมผู้หญิง : อย่างเมื่อเช้าเนี่ย พอรู้ว่าท่านไม่ได้หยิบอะค่ะ ไม่รู้ใครหยิบลงมารองนอน อุ๊จะร้องไห้เลย
    โยมผู้ชาย : พี่รองนอน
    โยมผู้หญิง : ใครหยิบมาไม่รู้ คนนี้เป็นคนหยิบ อ๋อ ก็ยอมรับซิ
    โยมผู้ชาย : จะรับนั่นแหละ พูดอยู่ในรถ
    โยมผู้หญิง : ไม่พูดว่าพี่เองก็จบ
    โยมผู้ชาย : จะพูดก็หูอิ้อตั้งแต่เมื่อเช้า กิเลสเยอะ โลภะจัด
    โยมผู้หญิง : โลภะนี่ สามีสร้างหลวงปู่ อุ๊ไม่มีเลย
    หลวงปู่ : เขารับแล้ว หมดเรื่องกัน อโหสิ อโหสิกรรม
    โยมผู้หญิง : อโหสิคะ อโหสิ
    หลวงปู่ : อโหสิ หมดเรื่องกัน
    โยมผู้หญิง : เพราะว่าอุ๊หยิบ อุ๊หยิบมาเลยเนี่ยใส่รถมาด้วยเพราะอุ๊เป็นทุกข์ อุ๊ไม่สบายใจ
    หลวงปู่ : มีแต่คนจะขอแต่จีวรผ้า ไม่รู้จะเอาไปทำไม
    โยมผู้หญิง : ให้ผ้าขี้ริ้วไปซิ
    หลวงปู่ : หึ ของต่ำนะผ้าขี้ริ้ว
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ ทำได้ ก็แล้วแต่คน หลวงปู่ก็ดูเองคนที่จะเคารพบูชาจริงๆ ก็มีกำลังใจ ถึงน้อยก็ได้ยึดมั่นในพุทธศาสนา บางคนเอาไปเห็นปฏิบัติเกิดอะไรขึ้นมายิ่งทำให้เลื่อมใสมาก ยิ่งทำให้ยึดถือมาก แต่สามีว่าหลง เขาบอก
    อุ๊นะหลงอะ ไม่ได้นับถืออย่างเดียว หลง
    หลวงปู่ : เนี่ย เขากำลังถือให้ตรงกัน มันนับถือมากไปมันก็หลง
    โยมผู้หญิงกับโยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้หญิง : หาว่าหลง คือหลวงปู่ อะไรก็ตามที่เราเห็นแต่ตัวเรา เราสามารถพูดได้ ไม่ใช่มีใครเขาเล่าว่า ในเมื่อเราเห็นแล้วเราเจอะแล้ว เราไม่ยึดถือสิ่งที่เราเห็นเราเจอะมายึดถือหรือว่ายึดมั่นเนี่ย ว่าโง่เต็มที คือใครจะพูดยังไง
    ก็เบนใจอุ๊ไม่ได้ อุ๊ก็เป็นคน
    หลวงปู่ : มี ที่นี่เขามีหัดกันนะมี เขาทำเป็นทุกอย่างๆ แต่เย็นก็อดที่จะหิ้วขวดไม่ได้
    โยมผู้หญิง : กลัวจะไม่เคยนะซิ ในชีวิตนี้
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่พูด ให้ฟัง ตัวอย่าง
    โยมผู้หญิง : เข้าใจคะ
    หลวงปู่ : มีแถวบ้านนี้ นั้นละ เขาก็บอกพวกเขา
    โยมผู้หญิง : ปฏิบัติแต่ตอนเย็นหิ้วขวด หัวเราะ (น่าจะหันไปพูดกับผู้ชาย)
    หลวงปู่ : เขาบอก เอ่อ ไปดี มันก็หิวขวดเรื่อยของมัน
    โยมผู้หญิง : แต่อุ๊นี่ทางทานนะฮะ ทานบารมี ศีล แต่ทางปฏิบัติเนี่ย ปฏิบัติคือที่อุ๊ทำอยู่เนี่ยก็ปฏิบัติแบบศีล 5 เมื่อมีเวลาก็เจริญภาวนา แต่ส่วนมากภาวนามากกว่านั่งสมาธิ เพราะนั่งสมาธิแล้วกลัวจ๊ะเอ๋อะ บางทีมีความรู้สึกจะจ๊ะเอ๋
    หลวงปู่ : เอ๋อะไร
    โยมผู้หญิง : จะจ๊ะเอ๋ใครในที่นั่งนะสิ
    หลวงปู่ : หือ อะไรจะมีมา มีมาเราก็ได้บุญมาก
    โยมผู้หญิง :เหรอค่ะ
    หลวงปู่ : อ้า หลวงพ่อเกษมก็ยัง เจอนิ๊ จ๊ะเอ๋ ตั้งแต่หัวค่ำถึงสว่าง
    โยมผู้หญิง : อ๋อ
    โยมผู้หญิง 2 : หลวงปู่ค่ะ หนูไม่เคยนั่ง นั่งเห็นสมเด็จเลย เมื่อกี้นั่ง เมื่อกลางวันนิ๊ฮะ ในถ้วยชา นั่งไปเห็นสมเด็จ แล้วก็เห็นนายหลวง
    หลวงปู่ : อ้าว ดีแล้วละ กำลังรวมนะ รวมพล
    โยมผู้หญิง :จะมีอะไรหรือฮะ ถึงได้กำลังรวมพล ที่จะไปเป็นพระศรีอริยเมตตรัยรึเปล่า
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ รวม รวม รวม มาทั้งหมด คณาจารย์ในคณะจะได้เจริญขึ้น ใครจะมารวมเอาคนเดียวเล่า ถวายเข้าพระ บูชาพระ อะไรพระเนี่ย รวมทุกอย่าง ทุกอย่าง แล้วเผื่อแผ่ถึงคนอื่น
    โยมผู้หญิง : อ๋อ เรื่องเผื่อแผ่ เผื่อแผ่ อะฮะ
    หลวงปู่ : อ่าว เผื่อแผ่ เผื่อแผ่ซิ ไม่ต้องกลัวว่า มันไม่หมดหรอก ทั้งจักรวาลนิ๊ ให้นิดๆ หน่อยๆ ได้
    โยมผู้หญิง : อย่างใส่บาตรหรืออุทิศส่วนกุศล ก็บอกขอพร
    หลวงปู่ : ไอ้นั่นมันก็ใส่บาตร ไอ้นี่เขาปฏิบัติกัน ขอความปฏิบัติให้เจริญขึ้น ก็แกตาเห็นละก็เท่ากับ 7 วันเท่ากับ
    แกนึกถึงข้า 7 วันละก็ ไม่ไปก็กลับมาด่า
    โยมผู้หญิง : ถ้าตายใช่ไหมคะ
    หลวงปู่ : ไม่ตายละ เป็นๆอย่างนี้แหละ อย่าทำเป็นหัวล่อ
    โยมผู้หญิง : ถ้าปฏิบัติ 7 วันใช่ไหมค่ะ ถ้าไม่ไปให้มาด่า เอาคนนี้แทนได้ไหม
    หลวงปู่ : เอาไม่ได้
    โยมผู้หญิง : ภารกิจหนูเยอะ
    โยมผู้หญิงกับโยมผู้ชาย : หัวเราะ
    โยมผู้ชาย : นั่งพูดอย่างเดียว หัวเราะ (ว่าโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : ไม่หลวงปู่ อุ๊ 4 บริษัท งานเยอะมากอะคนเดียว
    หลวงปู่ : ได้คนเดียวก็แบ่งได้จะเป็นไร
    โยมผู้หญิง : นอนยังไม่ค่อยมีเวลานอนเลย ใส่บาตรเดี๋ยวนี้เช้าๆ ก็สั่งเด็กให้เป็นคนใส่ อะไรอย่างเงี้ย แต่อย่าง
    หลวงปู่นี่ไม่ให้ใครมาเยี่ยมแทน มาเอง อย่างอื่นส่วนมากให้ไปแทนหมด
    โยมผู้หญิง 2 : หลวงปู่ฮะ อย่างที่หนูสงสัยเนี่ยคือปกติเนี่ยหนูจะเห็นแต่นายหลวง ไม่เคยเห็นสมเด็จเลย เพิ่งเห็นคู่ แล้วหนูก็ไม่ได้นึกถึงสมเด็จเลย มันทำไหมเป็นภาพ...
    หลวงปู่ : อู้ว มันเกิดเอง หลวงพ่อเกษมนี่ก็ติดไปกับพระเจ้าแผ่นดิน อะไม่เชื่อเช็คในนี้ได้ ไม่จริงก็ด่าแม่เลย
    โยมผู้หญิง : หนูไม่กล้าด่าท้าจังเลยตั้งวันแรกยันวันนี้ ใครเขาจะกล้าด่าคนที่มานี่ไม่ได้คิดมาด่าทั้งนั้น
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ให้ด่า
    โยมผู้หญิง : ท้าอย่างอื่นซิ
    หลวงปู่ : หึ
    โยมผู้หญิง : ท้าอย่างอื่นซิ
    หลวงปู่ : ท้าอย่างอื่น ก็ให้ไง
    โยมผู้หญิง : ไม่รู้
    หลวงปู่ : ไม่ดูแกจะได้หมดตัวสงสัย ไอ้ที่ให้ดูนี่นะ
    โยมผู้หญิง : ไม่สงสัยอะไรหรอกหลวงปู่ แต่ว่าที่หลวงปู่พูดอะไรนิ๊เชื่อหมด
    หลวงปู่ : ไม่แน่ซิเอ็งยังเดินผิวๆ อยู่เนี่ย ตามเรา หนุนบ้าง ยอบ้าง จะให้เราล้มเสียให้ได้
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ ไม่...
    หลวงปู่ : องค์ไหนท่านมาทั้งนั้น เราทำเป็นละก็
    โยมผู้หญิง : อ๋อ
    โยมผู้ชาย : ไอ้ที่ไม่เห็นนี่แสดงว่าทำไม่เป็นใช่ไหม
    หลวงปู่ : อ่าว เราจับองค์พระไม่ได้
    โยมผู้ชาย : ผมไม่เคย...
    หลวงปู่ : เด็กอายุห้าขวบมันยังจับกันได้เลย
    โยมผู้หญิง : คือหลวงปู่เดี๋ยวนี้นะฮะ พอตั้งจิตอธิษฐานหลับตานี่ยังเพียงแค่นึก ทำไมแม้กระทั่งหน้าหลวงปู่ หรือหน้าองค์ไหน ถ้าอย่างจะนึก แบบชัดมาก
    หลวงปู่ : นั่นไง ทำหนักเข้าดีมากขึ้น อยากจะได้ของ
    โยมผู้หญิง : เนี่ยบางองค์อุ๊นึกชัดเลยนะคะ
    หลวงปู่ : นั่นแหละของดีแล้ว แกเจอแล้ว แกไม่เอามากๆ แกกินนิดเดียวมันก็ได้นิดเดียวนะสิ
    โยมผู้หญิง : กินนิดเดียวก็อิ่ม เราคนมักน้อย
    หลวงปู่ : มักน้อยอะไรมันก็มีไม่พอนะซิ ขนเสบียงไม่พอ ไปทีหลังบอกจะไปขอเขา เขาไม่ให้นะ
    โยมผู้หญิง : หัวเราะ
    หลวงปู่ : ได้ภาวนาอย่างหนึ่ง ทำสมาธิได้หลายๆ อย่างเนี้ยมันคนละอย่าง
    โยมผู้หญิง : คนละอย่าง
    หลวงปู่ : อืม การสาธยายอะ สาธยายไปให้ตลอดจบพระไตรปิฏก สวดทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ตลอด
    โยมผู้หญิง : ค่ะ
    หลวงปู่ : เจอพระอรหันต์ 7 องค์ มีครั้งพระพุทธกาล มีพระพุทธเจ้า ชื่อว่า โปฐิละ โปฐิละ ท่านเจอทั้งท่านเป็นอาจารย์สอนพระธรรมะ ทั้งนั้นด้วย วันหนึ่งก็เวลามันใกล้จะดี ก็มาเขาจะมาในวัดนี้ มาแล้วเขาก็มาผ่านพระพุทธเจ้าก่อน ซึ่งมาหกคำนบก่อน แล้วพระพุทธเจ้าทักว่าไง นี่โภฐิยะ ท่านไม่เรียก โปฐิละ อาจารย์ใบลานเปล่ามาหรือนี่
    โยมผู้หญิง :อาจารย์ใบลานเปล่า
    หลวงปู่ : เปล่า ไม่มีอะไรเลย
    โยมผู้ชาย : อาจารย์ใบลานเปล่า (พูดกับโยมผู้หญิง)
    โยมผู้หญิง : ได้ยิน ได้ยิน แหม๋ หูดีจัง
    หลวงปู่ : แล้วทีนี้ก็ไป กลับไปคุยกับพวกกับอะไร แล้วทีนี้เย็นๆ จะกลับ ก็ไปลาอีกจะกลับ อาจารย์ใบลานเปล่า
    กลับรึนี่ ท่านว่างั้น ท่านก็ติดใจท่านซิ ท่านทัก เอ้ เราเป็นท่านอาจารย์สอนธรรมะตั้ง 8 หมู่ เป็นอาจารย์สอนเขา
    แต่ตัวไม่ได้ ครั้งนั้นมีพระสหพระพุทธเจ้า 3 องค์
    โยมผู้ชาย : ทำไม (น่าจะถามโยมผู้หญิง)
    หลวงปู่ : ไม่ได้ปฏิบัติ
    โยมผู้หญิง : ไม่ได้ปฏิบัติ คือได้แต่สอน ไม่ได้
    หลวงปู่ : สอนได้ แบบแผนได้หมดที่สอนๆ นะ พระเป็นอรหันต์ได้หมดนู้นนะ จะว่าไง ท่านทำให้พระ ท่านประมาทเอง พอกลับไปถึงที่อยู่ ที่อยู่ก็เดี๋ยวก็พระองค์นั้นก็มาหา องค์นี้ก็มาหา ผมลาไปป่าซักครึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่ง 30 รูปไป ออกเรือนไป อ่าว ลาไป อ่าว ไป ไป ไป หมู่ที่ 2 มาลาอีกละ แล้วก็มาลาอีกละ สามครั้ง เอ๊ะไปมั้งเถอะวะเรามันคงมีอะไรดีแน่ในป่า แล้วก็ใจโล่งๆ เชียว ก็อยากไปปฏิบัติในป่าเงียบๆ ภัยอันตรายมีรอบตัว นี่ไปถึงก็ ตอนหลังไปก็พระหมู่หลังนี่ต้องไปเจอก่อน ที่ไปอะ ไล่กันไป ไปก็ไปเจอหมู่นี่ ทีนี้ท่านบอก อ่าวผมจะมาขออะไรต่ออะไร เอ่า อาจารย์สอนผมมาผมก็มาทำตามแบบอาจารย์ นิมนต์อาจารย์ไปข้างหน้าเหอะ ก็ไปหาหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 ก็ไปเจอ ก็ไปอีกไปขอเรียนเขาอีก เขาก็บอกอย่างนั้นอีก แล้วก็ไปหมู่ที่ 1 ที่นั้น ที่ 1 ก็ไปขอเรียนอีก ก็ผมเอาจากอาจารย์มา อาจารย์ก็ให้ท่าผมทำงั้น งั้น งั้น แต่ท่านรู้เสร็จสรรพมันไม่ดี ถูกหลัก หมดเรื่อง ให้ไปต่อไปอีก
    ไปเจอโมคคัลลานะ สารีบุตร สององค์ท่านนั้นก็ เอ่า นั้นแตกฉานแล้ว ในกลุ่มท่านมีพระ 500 500 500 ทั้งนั้น ก็ไปถามเขา นั่นนะเข้าไปก็ไปเจอสามเณรองค์หนึ่งนั่งเย็บผ้าอยู่กลางหอสมุด ผ้าขาด นั่งถ่างขาถ่างแข้ง อายุ 8 ขวบ 9 ขวบ เททิ้งซะนี่ อะไร น้ำ
    โยมผู้หญิง : น้ำผึ้งขิง หัวเราะ
    หลวงปู่ : ก็ไปหาเณร เณรก็ อ่าว เณรขอผมเรียนไอ้นี่ซักหน่อยเหอะ เณรตอบว่า “ท่านเชื่อผมไหมละอย่างนั้น”
    ขึงขังอะ ท่านดูอีก เณณไม่ค่อยมีอะไรมากมาย แต่ท่านเป็นพระอรหันต์ เณรพูดว่า “เชื่อผมไหมเล่า” พระโปฐิละ “เอ่าเชื่อสิ อ่าวเชื่อ” เณรพูด “อ่าวท่านไปลุยโคลนโน้น” ให้ไปลุยโคลน พอเดิน ยอมแล้ว ทั้งขาทั้งแข้งอยู่ในน้ำ
    เณรบอก พอให้ทำท่านก็ทำได้ พอท่านมา อ่าว สมมุติว่ามีจอมปลวกอยู่นี้ จอมปลวกเกาะกลุ่มอยู่ ท่านต้องหมายว่าตัวของท่านนะ มีเหี้ยวิ่งเข้าวิ่งออก 5 รู
    โยมผู้หญิง : ตัวเงินตัวทอง
    หลวงปู่ : ไม่ใช่ตัวเงินตัวทอง หายใจเข้า หายใจออก หู จมูก กาย อะไรต่ออะไรไล่ไปไล่มา
    โยมผู้หญิง : อ๋อ

    หลวงปู่ : แล้วท่านก็บอกว่า รู มันคือไอ้นี้ สมมุติไม่ออกเลย บอกว่าให้ไปปิดไอ้ 5 รูซะ จับเหี้ยในมโน
    คือจับเหี้ยอยู่ในใจ คือใจ ปั๊บๆ ท่านบอกอย่างงั้นปุ๊บๆ สำเร็จอรหันต์เป็นเลย เดี๋ยวนั้น ท่านพูดปราบ พูดแล้วเชื่อเลย (หมายถึงเณรพุดปราบพระโปฐิละ)
    โยมผู้หญิง : ที่พูดแล้วสำเร็จเลย พวกที่พอมีใครแนะนี่หมายถึง
    หลวงปู่ : อ่าว
    โยมผู้หญิง : หมายถึงติดอยู่นิดๆ ใช่ไหมค่ะ
    หลวงปู่ : เคยทำ เคยทำกันมา ดูองค์อื่นๆ ดูพระโมคคัลลานะ
    โยมผู้หญิง : ถ้าฆราวาสนี่สำเร็จได้ไหมฮะ
    หลวงปู่ : ได้ ได้เหมือนกันแต่มันช้าหน่อย
    โยมผู้หญิง : เพราะอะไรฮะ เพราะว่า
    หลวงปู่ : เพราะเราอยู่กับลูกกับหลานนะซี
    โยมผู้หญิง : อ่าวถ้าอยู่โดยที่ไม่มีลูกไม่มีหลาน ฆราวาส แต่ว่าไม่บวช สมมุติว่าถ้าเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงแล้วบวชไม่ได้
    หลวงปู่ : ผู้หญิงบวชไม่ได้มันไม่ยาก ....ฟังไม่ออกคะ

    อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พระโปฐิละ (Cr. @[NjQyMTgzOTU5MjA4MTA3Omh0dHBcYS8vd3d3LnRyaXBpdGFrYTkxLmNvbS85MWJvb2svYm9vazQzLzEwMVxiMTUwLmh0bTo6:mad:[NjQyMTgzOTU5MjA4MTA3Omh0dHBcYS8vd3d3LnRyaXBpdGFrYTkxLmNvbS85MWJvb2svYm9vazQzLzEwMVxiMTUwLmh0bTo6:http://www.tripitaka91.com/91book/book43/101_150.htm]])
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 118
    ๕. เรื่องพระโปฐิลเถระ [๒๐๘]

    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระ
    นามว่าโปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โยคา เว " เป็นต้น.
    รู้มากแต่เอาตัวไม่รอด
    ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของ
    พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดา
    ทรงดำริว่า " ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า ' เราจักทำการสลัดออก
    จากทุกข์แก่ตน; เราจักยังเธอให้สังเวช."
    จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระ-
    เถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า " มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณ
    ใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า, แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็
    ตรัสว่า " คุณใบลานเปล่า ไปแล้ว." พระโปฐิละนั้นคิดว่า " เราย่อม
    ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา, บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป
    ถึง ๑๘ คณะใหญ่, ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนือง ๆ
    ว่า ' คุณใบลานเปล่า ' พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มี
    คุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้." ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า
    " บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเอง
    ทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุ
    ทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนด
    ท่านว่า " อาจารย์." พระเถระไปสิ้นสองพันโยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 119
    ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า
    " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม."
    พระสังฆเถระ. " ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก, สิ่งอะไรชื่อว่า
    อันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้ ?
    พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้, ขอท่านจง
    เป็นที่พึ่งของกระผม.
    วิธีขจัดมานะของพระโปฐิละ
    ก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้น
    พระมหาเถระ ส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า
    " ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้." แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าว
    กะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่ง
    ท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบ ผู้ใหม่
    กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน.
    พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ ด้วยอุบายอย่างนี้.
    พระโปฐิละหมดมานะ
    พระโปฐิละนั้น มีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว จึง
    ประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ ขอท่าน
    จงเป็นที่พึ่งของผม."
    สามเณร. ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น, ท่านเป็น
    คนแก่ เป็นพหูสูต, เหตุอะไร ๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน
    พระโปฐิละ. ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้, ขอท่านจงเป็น
    ที่พึ่งของผมให้ได้.
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 120
    สามเณร. ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้,
    ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน.
    พระโปฐิละ. ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า ' จงเข้า
    ไปสู่ไฟ,' ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว.
    พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร
    ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระ ๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะ
    ท่านว่า " ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้."
    จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระ
    นั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า " พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้
    หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น. แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น.
    ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า " มาเถิด
    ท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า " ท่าน
    ผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง




     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    เร่งปฏิบัติมากเกินไป ไม่ดี เพราะอะไร

    <iframe width="853" height="480" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/13zb6IKM74M?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,111
    ค่าพลัง:
    +70,450
    ทำไมสวดมนต์ถึงเป็นการทดแทนบุญคุณบิดามารดาได้

    <iframe width="853" height="480" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/9UPUZwpFuww?&autoplay=&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2015
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...