ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    ท่านผู้อ่าน กรุณาอ่านสักสองสามเที่ยว มีคำตอบแล้วในนี้ โดยเฉพาะวรรคทอง"มีเพียงบางท่านที่ปฎิบัติผิดทาง ออกจากงาน เรียกว่าปล่อยวางทางโลกทั้งหมด สุดท้ายก็ทุกข์" นะครับ ถ้าจำไม่ผิดได้ข่าวว่าเป็นคนเดียวกับที่ออกมาตอบแทนคุณสุด ตลอดเลยมิใช่เหรอครับ ถือเป็นคนคอยปกป้องตัวแทนกลุ่ม ได้รับคำตอบแล้วนะครับ ว่าปฏิบัติผิดทาง แล้วอะไรคือถูกทางดีหละครับ ทำไมเขาต้องเสียสละตอบแทนทุกครั้ง เสียสละแม้แต่รถส่วนตัวก็ให้ใช้ อันนี้หลงผิดด้วยหรือเปล่า ป่านนี้คืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ระบบของคุณไม่มีทางช่วยให้เขาปฏิบัติถูกทางเลยเหรอ แล้วจะปล่อยให้สมาชิกผิดทางอีกนานเท่าไหร่ ปล่อยให้คนซื่อสัตย์ ศรัทธากลุ่ม ให้อยู่สภาพหลงผิดได้ยังไงหละ หรือว่ายอมรับว่าระบบมีจุดอ่อน หรือคนนำนำผิดเสียเอง ไม่ต้องตอบผมนะครับ ฝากไว้ให้คิดก็พอแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  2. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    ขอบพระคุณ คุณสมจิตเขากะลาที่กรุณาทักทายดิฉันค่ะ

    ดิฉันว่าสิ่งสำคัญที่ท่านควรให้ความสนใจมากตัวดิฉันคือ

    จะตอบคำถามที่เป็นปัญหา ในขณะนี้อย่างไร ...........

    ท่านคงเข้าใจว่าอะไรคือปัญหา และสาเหตุเกิดจากอะไร ได้ดีที่สุด ............

    การใช้ความจริงตอบปัญหาที่เกิดขึ้นจะง่ายกว่า การเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่อยๆนะคะ

    ด้วยความเคารพค่ะ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  3. สมจิตรเขากะลา

    สมจิตรเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +162

    ข้อความจากกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

    มีขึ้นมาได้ก็โดย "ระบบ" ต้องการ "แจ้งเพื่อทราบ" ไว้เป็นหลักฐานสำหรับมนุษย์โลก

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    กิจกรรมการประสานงาน การใช้เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว การเรียนรู้เรื่องเวฟ (ทั้งเวฟ

    เพื่อการเรียน และเวฟเพื่อการทำงาน) "ระบบ" ย่อมมีวัตถุประสงค์แต่เราไม่อาจเข้าใจได้

    ทุกเรื่องในวันนี้

    "ระบบ" ยังดำเนินการต่อไป คนที่ผ่านมารับทราบข้อมูลอาจผ่านมาแล้วผ่านไป

    การ "แจ้งเพื่อทราบ" ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามวัตถุประสงค์ของ"ระบบ"

    มีการดำเนินการ "แจ้งเพื่อทราบ" ในหลากหลายรูปแบบ เป็นเวลาหลายปี และยัง

    ไม่รู้ว่า ในปีหน้า จะเป็นการ "แจ้งเพื่อทราบ" ในรูปแบบใด

    สำหรับท่า่นที่ทำงานกับ"ระบบ" ขอให้ "ไปทำงาน เหมือนไปเที่ยว" เพราะถ้าเรา

    "ไปทำงาน เหมือนไปทำงาน" หลังจากเสร็จงาน เราอาจอยากรับ....เหมือนการทำงานทาง

    โลกทั่วไป และเมื่อทำไปหลายๆงาน เราอาจอยากสะสมผลงาน ลงแฟ้ม/พอร์ทฟอริโอ

    เหมือนการทำงานทางโลกทั่วไป และเมื่อแฟ้มของเราใกล้เต็ม เราอาจอยากเลื่อนขั้น

    เหมือนงานทางโลกทั่วไป และความหายนะจากความหลงผิด จะทำให้เราทุกข์ใจ

    เพราะ "ระบบ" ไม่จ่าย....ให้เรา เหมือนงานทางโลก

    เพราะ "ระบบ" ไม่นับผลงานของเราลงแฟ้ม/พอร์ทฟอริโอ

    เพราะ "ระบบ" ไม่มีขั้นที่จะเลื่อนให้ เหมือนงานทางโลก

    แจ้งเพื่อทราบ ขอให้ "ไปทำงาน เหมือนไปเที่ยว" เถิด

    เพราะหลังจากเสร็จงาน เราจะไม่้เรียกร้อง.... จะไม่สะสมเป็นผลงานลงแฟ้ม

    และจะไม่สนใจเป็นนักท่องเที่ยวขั้น 1 2 หรือ 3

    "ไปทำงาน เหมือนไปเที่ยว" เสร็จแล้วกลับบ้านนอน มีความสุขที่ได้ทำประโยชน์"ท่าน"

    มีความสุขที่รักษาประโยชน์ตนไว้ได้โดยการรู้ทันกลไกการสะสม มีความสุขที่ได้ดูรูป

    บันทึกเหตุการณ์ทางเวปไซต์ บางงานของ"ระบบ" ไม่รู้สึกอยากไปเที่ยวก็ไม่ต้องไป

    รอดูรูปเพื่อนๆ ในเวปไซต์ก็ปิคนิคได้ แซวบ้าง อะไรบ้าง คนอ่านก็อมยิ้มมีความสุข


     
  4. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368

    เรียนคุณเกษม

    ดิฉันเคารพในความคิดส่วนตัวของท่านค่ะ .........

    แต่ดิฉันขอค้านในประโยคที่ท่านกล่าวว่า .........

    ซึ่งผมคิดว่าคนที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ก็อยากรู้ แต่เรื่องนี้เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าทางกลุ่มเขากะลา จะมีวิธีฝึกจิตอย่างไร

    สมาชิกเว็ปพลังจิต ที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ และไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด ยังมีอยู่ค่ะ .......

    ด้วยความเคารพ
     
  5. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    ขอโมทนากับข้อความของคุณ นาคา และคุณ whitenaga ด้วยนะคะ
     
  6. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก
    ๒๙ ธันวาคม ๒๔๙๖

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (๓ หน)
    <TABLE style="COLOR: #666666" width="65%"><TBODY><TR><TD width="28%"></TD><TD width="30%">ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
    ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก
    นิกฺขิปิตฺวา ครุ ํ ภารํ
    สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห
    </TD><TD width="42%">ภารหาโร จ ปุคฺคโล
    ภารนิกฺเขปนํ สุขํ
    อญฺญํ ภารํ อนาทิย
    นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโตติ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เราจำเป็นอยู่แล้วจะต้องวางต้องทิ้งขันธ์ ๕ นี่ถึงไม่ทิ้งเราก็ต้องทิ้ง ใครล่ะจะไม่ทิ้งได้ ถ้าไม่ทิ้ง แก่เข้าๆ ถึงเวลาก็ตายจะเอาไปได้หรือ ขันธ์ ๕ น่ะ คนเดียวก็เอาไปไม่ได้ ... แต่ของตัวก็ยังเอาไปไม่ได้ จะเอาของลูกไปได้อย่างไร พี่น้องวงศ์วานว่านเครือจะเอาไปบ้าง ไม่ได้หรือ เอาไปไม่ได้ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด ตายๆ คนเดียว เกิดๆ คนเดียว เราอยู่คนเดียวน่ะนี่น่ะ ไม่ได้อยู่หลายคนนะ อยู่กี่คนก็ชั่ง ตายไปด้วยกันไม่ได้ เกิดคนเดียวตายคนเดียวทั้งนั้น ก็แฝดกันมาไม่ใช่ด้วยกันดอกหรือ จะแฝดหรือ จะติดกันอย่างไรก็ตามเถอะ คนละจิตละใจทั้งนั้น ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา แก้ด้วยขันธ์เป็นภาระอันหนัก ตามวาระพระบาลีและคลี่ความเป็นสยามภาษา
    เพราะว่าเราท่านทั้งหลายเกิดมาหญิงชายทุกถ้วนหน้า ล้วนแต่แบกภาระขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนัก ไม่ใช่ของเบา หนักอย่างไร หนักตั้งแต่อุบัติตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่เกิดในท้องมารดา หนักเรื่อยมา นั่นบังคับให้มารดาผู้ทรงครรภ์นั้นหนักแล้ว ตัวเองก็หนักไปไหนไม่ค่อยไหว ติดอยู่ในอู่มดลูกนั่นเอง เจริญวัยวัฒนา เป็นลำดับๆ ไป เมื่อคลอดก็หนักถึงกับตายได้ ถ้าว่าขันธ์ที่เกิดนั้นไม่ตาย ขันธ์ของมารดาที่ให้เกิดนั้นถึงกับตายลำบากยากแค้นนัก หนักด้วย ลำบากด้วย ฝืดเคืองด้วย คับแค้นด้วย คับแคบด้วย ลำบากทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนักจริงๆ ไม่ใช่ของเบา ไปไหนก็ไปเร็วไม่ได้ อุ้ยอ้าย เมื่อเจริญวัยวัฒนาเป็นลำดับแล้วก็ไปได้ด้วยตนของตนเอง แต่ว่าเป็นกายหนัก เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ไปเร็วไม่ได้ ต้องไปตามกาลสมัยตามกาลของขันธ์นั้น ไม่ใช่หนัก พอดีพอร้าย หนักกาย ต้องบริหารมากมาย
    ผู้เกิดมานั้นต้องบริหารขันธ์ ๕ นั้นด้วย ต้องดูแลรักษา ครั้นเจริญวัยวัฒนาตัวของตัว เมื่อหลุดจากมารดาบิดาบริหารรักษาแล้ว ตัวของตัวต้องรักษาตัวเองอีก ตัวของตัวเองรักษาตัวเองก็ไม่ค่อยไหว บางคนถึงกับให้คนอื่นเขารักษาให้ ต้องให้เขาใช้สอยไปต่างๆ นานา รักษาขันธ์ ๕ ของตัวไม่ได้ ต้องบากบั่นตรากตรำมากมาย ในการเล่าเรียนศึกษา กว่าจะรักษาขันธ์ ๕ ของตนเองได้ จนกระทั่งรักษาขันธ์ ๕ ของตนได้ พอรักษาขันธ์ของตัวได้ ขันธ์ ๕ ก็เก่าคร่ำคร่า หนักเข้าขันธ์ ๕ ของตัวเองก็พยุงตัวเองไม่ไหว พยุงตัวไม่ไหวต้องอยู่กับที่ ขยับได้บ้าง ไปโน่นมานี่ได้บ้าง แต่หนักเข้าก็ลุกไม่ขึ้น หนักเข้าก็หมดลมอัสสาสะปัสสาสะเข้าโลงไป ๔ คนนั่นแหละต้องหาม ๔ คนก็เต็มอึดเชียวหนา มันหนักขนาดนี้ หนักอย่างโลกๆ ไม่ใช่หนักอย่างธรรมๆ
    หนักอย่างทางธรรมน่ะนั่นลึกซึ้ง แบกขันธ์ทั้ง ๕ นำขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ในมนุษย์โลกนี้แบกขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ภาระคือ ขันธ์ ๕ นี้หนัก ไม่ใช่หนักแต่ในมนุษย์โลกนี้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็หนักอีก ไปเกิดเป็นพรหมก็หนักอีก ไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็หนักอีก หนักทั้งนั้น ไม่ใช่เบา ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์นรก หนักขึ้นไปกว่านั้นอีก ในสัญชีวะ กาฬสุตตะ สังฆาตะ โรรุวนะ มหาโรรุวนะ ตาปะ มหาตาปะ อเวจี หนักขึ้นไปกว่านั้น หรือไปเกิดในบริวารนรก รวมนรก ๔๕๖ ขุม ขุมใดขุมหนึ่ง หรือไปเกิดเป็นเปรตก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดเป็นอสุรกายก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดสัตว์ดิรัจฉาน ก็หนักอีกเหมือนกัน เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ก็หนักทั้งนั้น ขันธ์ ๕ นี่เป็นของหนัก
    ท่านจึงได้ยืนยันตามพระบาลีว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก ภารหาโร จ ปุคฺคโล บุคคลผู้นำขันธ์ ๕ ที่หนักนั้นไป ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก การถือมั่นในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ นั้นหนัก เป็นทุกข์ในโลก ภารนิกฺเขปนํ สุขํ สละขันธ์ ๕ ปล่อยขันธ์ ๕ วางขันธ์ ๕ ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้เป็นสุข นิกฺขิปิตฺวา ครุ ํ ภารํ การทิ้งภาระที่หนักอันนั้นเสียได้แล้ว อญฺญํ ภารํ อนาทิย ไม่ถือเอาของหนักอื่นอีกต่อไป สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห ชื่อว่าเป็นผู้ถอนตัณหาทั้งรากได้ นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต หมดกระหาย ไปนิพพานได้ หมดกระหาย หมดร้อน หมดกระวนกระวาย ไปนิพพานได้ ให้ทิ้งขันธ์ ๕ เสีย ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้แล้ว ได้ชื่อว่าถอนตัณหาทั้งรากได้ นี้เป็นตัวสำคัญ ให้รู้จักดังนี้
    เราจำเป็นอยู่แล้วจะต้องวางต้องทิ้งขันธ์ ๕ นี่ถึงไม่ทิ้งเราก็ต้องทิ้ง ใครล่ะจะไม่ทิ้งได้ ถ้าไม่ทิ้ง แก่เข้าๆ ถึงเวลาก็ตายจะเอาไปได้หรือ ขันธ์ ๕ น่ะ คนเดียวก็เอาไปไม่ได้ หมดทั้งสากลโลก ขันธ์ ๕ ของตัวเอาไปไม่ได้ ขันธ์ ๕ ของสามีภรรยากันล่ะ เอาไปไม่ได้ แต่ของตัวเอาไปไม่ได้แล้ว นี่จะเอาของคนอื่นไปอย่างไรล่ะ เอาของลูกไปบ้างไม่ได้หรือ ไม่ได้ แต่ของตัวก็ยังเอาไปไม่ได้ จะเอาของลูกไปได้อย่างไร พี่น้องวงศ์วานว่านเครือจะเอาไปบ้าง ไม่ได้หรือ เอาไปไม่ได้ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด ตายๆ คนเดียว เกิดๆ คนเดียว เราอยู่คนเดียวน่ะนี่น่ะ ไม่ได้อยู่หลายคนนะ อยู่กี่คนก็ชั่ง ตายไปด้วยกันไม่ได้ เกิดคนเดียวตายคนเดียวทั้งนั้น ก็แฝดกันมาไม่ใช่ด้วยกันดอกหรือ จะแฝดหรือ จะติดกันอย่างไรก็ตามเถอะ คนละจิตละใจทั้งนั้น ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด
    เมื่อรู้ชัดดังนี้ วิธีจะละขันธ์ ๕ ถอดขันธ์ ๕ ทิ้ง วิธีจะถอดสละขันธ์ ๕ วางขันธ์ ๕ นั้น ต้องเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวรกถา ที่จะตั้งอยู่ในสังวรกถาได้ ต้องอาศัยมีความรู้ความเห็นแยบคาย เห็นแยบคายอย่างไร ? รู้เห็นแยบคาย ความยินดีในรูปในอารมณ์นั้นๆ ต้องปล่อยวาง ต้องละต้องทิ้งความยินดีในอารมณ์นั้นๆ ถ้ายังยึดความยินดีในอารมณ์อยู่ ปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ได้ การยึดอารมณ์ยินดีในอารมณ์ท่านยกเป็นตำรับตำราไว้เป็นเนติแบบแผน เป็นภาษามคธว่า <TABLE style="COLOR: #0000ff" width="65%"><TBODY><TR><TD width="28%"></TD><TD width="30%">สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
    โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญุ ํ
    ตํ เว ปสหตี มาโร
    </TD><TD width="42%">อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ
    กุสีตํ หีนวีริยํ
    วาโต รุกฺขํ ว ทุพฺพลํ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แปลเป็นสยามภาษาว่า สุภานุปสฺสึ ผู้ที่เห็นอารมณ์งาม รูปารมณ์ก็ดี สัทธารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ผู้เห็นอารมณ์งาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั่นแหละเรียกว่า สุภานุปสฺสึ ผู้เห็นอารมณ์งามอยู่ ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร มีความเกียจคร้าน กุสีตํ จมอยู่ในอาการอันบัณฑิตพึงเกลียด หีนวิริยํ มีความเพียรเลวทราม ตํ เว ปสหตี มาโร มาร ย่อมประหารบุคคลผู้นั้นได้ วาโต รุกฺขํ ว ทุพฺพลํ เหมือนลมประหารต้นไม้ อันมีกำลังทุพพลภาพได้ฉันนั้น นี้พระคาถาต้น คาถาสองรองลงไป <TABLE style="COLOR: #0000ff" width="65%"><TBODY><TR><TD width="28%"></TD><TD width="30%">อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
    โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุ ํ
    ตํ เว นปฺปสหตี มาโร /td>
    <TD width="42%">อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ
    สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
    วาโต เสลํ ว ปพฺพตํ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้ที่เห็นอารมณ์อันไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารหรือโภชนาหาร มีความเชื่อ ปรารภความเพียรอยู่ มารย่อมประหารบุคคลผู้นั้นไม่ได้ เหมือนอย่างลมประหารภูเขาอันล้วนแล้วด้วยศิลาเขยื้อนไม่ได้ ฉันนั้น <TABLE style="COLOR: #0000ff" width="65%"><TBODY><TR><TD width="28%"></TD><TD width="30%">จกฺขุนา สํวโร สาธุ
    ฆาเนน สํวโร สาธุ
    กาเยน สํวโร สาธุ
    มนสา สํวโร สาธุ
    สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ
    </TD><TD width="42%">สาธุ โสเตน สํวโร
    สาธุ ชิวฺหาย สํวโร
    สาธุ วาจาย สํวโร
    สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
    สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แปลเนื้อความว่า สำรวมตาได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมหูได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมจมูกได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมลิ้นได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมกายได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมวาจาได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมใจได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมในที่ทั้งหมดปรากฏว่า ยังประโยชน์ให้สำเร็จโดยแท้ ผู้ศึกษาธรรมวินัยเป็นผู้สำรวมแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายในอินทรีย์ทั้งสิ้น เมื่อสำรวมได้เช่นนี้ตัดสินว่า สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปด้วยประการดังนี้ นี่สังวรกถา แสดงการสำรวม
    แต่ว่าที่กล่าวมานี้ ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ถ้าจะอรรถาธิบายขยายความในการที่ปล่อยขันธ์ ๕ เป็นลำดับไป ขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เราแบ่งเป็นภาระหนักอยู่ในบัดนี้ แล้วอวดดีด้วยนะ ภาระของตัวหนักพออยู่แล้ว ยังอวดดีไปแบกภาระของคนอื่นเขาเข้าอีกด้วย เอากันละตรงนี้ อวดดีแบกภาระของคนอื่นเขาเข้าด้วย ไม่ใช่แบกน้อยด้วย บางคนแบกหลายๆ ขันธ์ แอบไปแบกเข้า ๕ ขันธ์อีกแล้ว หญิงก็ดีชายก็ดีแอบไปแบกเข้าอีก ๕ ขันธ์ แล้วรวมของตัวเข้าเป็น ๑๐ ขันธ์ แล้วหนักเข้า ก็หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์ เป็น ๑๕ ขันธ์ แล้วแบกเอาไป แบกเข้าไปเฮอะ เอ้าหนักเข้าๆ หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์แล้ว เป็น ๒๐ ขันธ์แล้ว นานๆ หลายๆ ปีเข้า หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์ แล้วเป็น ๒๕ ขันธ์ นานๆ หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์แล้ว เอ้าเป็น ๓๐ ขันธ์ ดังนี้แหละ บางคนแบก ถึง ๔๐-๕๐-๖๐-๗๐-๘๐-๙๐ บางคนถึง ๑๐๐ ขันธ์ สมภารแบกตั้ง ๑,๐๐๐ ขันธ์เชียวนา ไม่ใช่น้อยๆ นั่นอวดดีล่ะ ถ้าอวดดีอย่างนี้ต้องหนักมาก เขาจึงได้ชื่อว่าสมภาร สัมภาระ แปลว่าหนักพร้อม หนักรอบตัว พ่อบ้านแม่บ้าน พ่อครัวแม่ครัว ก็เหมือนกัน หนักใหญ่อีกเหมือนกัน หนักรอบอีกเหมือนกัน เพราะแบกขันธ์ทั้งนั้น ที่ทุกข์ยากลำบากกันหนักหนา ทีเดียว เพราะแบกขันธ์เหล่านี้แหละต้องปลูกบ้านเป็นหย่อมๆ เป็นหลังเป็นพืดไป นั่นเพราะอะไร บริหารขันธ์แบกขันธ์ทั้งนั้น แบกภาระที่หนักทั้งนั้น ไม่ใช่เล็กน้อย ไม่ใช่พอดีพอร้าย เพราะเหตุดังนั้น การแบกภาระของหนักนี่แหละ ถ้าปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ละก้อ เป็นทุกข์หนักทีเดียว บุคคลผู้แบกของหนักไป บุคคลผู้แบกขันธ์ ๕ ที่หนักไป ถ้าว่าปล่อยวางขันธ์ ๕ ไม่ได้ ก็เป็นทุกข์แท้ๆ ถ้าปล่อยวางขันธ์ ๕ เสียได้ก็เป็นสุขแท้ๆ เหมือนกัน ตรงกันข้ามอย่างนี้
    แต่ว่า วิธีปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นของปล่อยง่าย ถ้าปล่อยไม่ได้ ก็เป็นทุกข์ ปล่อยได้ก็เป็นสุข แต่ขันธ์ ๕ จริงๆ เราก็ไม่รู้จักมันเสียแล้วนะ ปล่อยมันอย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณน่ะ เอาเถอะ แก่เฒ่าอยู่วัดอยู่วาไปตามกัน บวชแล้วก็ตาม ไม่บวชก็ตาม ถามจริงๆ เถอะว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จริงๆ น่ะคืออะไร เอาละอึกอักกันทีเดียว ไม่เข้าใจตัวของตัวแท้ๆ ไม่เข้าใจ รูปน่ะคือร่างกาย ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ผสมกันอยู่นี้ ถ้าว่าแยกออกไปก็เป็น ๒๘ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๔ เป็นรูป ๒๘ ประการดังนี้ นี่แหละมีรูปเท่านี้ เป็นเบญจขันธ์นี้ รูป ๒๘ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามขันธ์ ๔ โดยย่อ สังขาร ๓ วิญญาณ ๖ เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำ สังขาร ความคิด วิญญาณ ความรู้ เป็นดวงสีต่างๆ กัน ส่วนเวทนาก็เป็นดวง ถ้าสุขเวทนาก็ใส ถ้าทุกขเวทนาก็ขุ่น ดังนี้ เป็นดวงๆ ดังนี้ สัญญา ความจำก็เป็นดวงเหมือนกัน เป็นดวงต่างกัน ดีชั่วหยาบละเอียดเลวประณีต สังขาร ความคิดดีคิดชั่ว คิดไม่ดีไม่ชั่ว นี่ก็เป็นดวงอีกเหมือนกัน วิญญาณ ความรู้ ความรู้ก็เป็นดวงอีกเหมือนกัน ต้องรู้จักพวกนี้ ให้เห็น พวกนี้เสียก่อน ให้เห็นขันธ์ทั้ง ๕ เสียก่อน ให้เป็นปฏิบัติ
    ที่แสดงแล้วนั่นเป็นปริยัติ ถ้าปฏิบัติ ต้องเห็น เห็นขันธ์ทั้ง ๕ นั่น รูปเป็นดังนั้นโตเล็กเท่านั้น สัณฐานอย่างนั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อเห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว ก็ดูความจริงของมัน ขันธ์ ๕ เหล่านี้น่ะ ถ้าแม้ว่า ขืนไปยึดถือมันเข้าไว้ละก้อ เป็นทุกข์ ท่านถึงได้วางตำราเอาไว้ว่า ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา ยึดถือมั่นในเบญจขันธ์ ๕ นั่นเป็นทุกข์ ถ้าหากว่าปล่อยเบญจขันธ์ ๕ เสียได้ก็เป็นสุข แต่ว่าปล่อยไม่ใช่ได้ง่าย ปล่อยไม่ได้ง่ายเหมือนอะไร ปล่อยไม่เป็น ถ้าปล่อยเป็นปล่อยได้ง่าย ปล่อยไม่เป็นปล่อยได้ยาก ปล่อยไม่เป็นเหมือนอะไร เหมือนเด็กๆ กำไฟเข้าไว้ ยิ่งร้อนหนักเข้า ยิ่งกำหนักแน่นหนักเข้า ร้องใจหายใจคว่ำก็ร้องไป ปล่อยไม่เป็น คลายมือไม่เป็น ถ่านก้อนที่กำเข้าไว้น่ะ เมื่อเด็กกำเอาเข้าไว้แล้ว กำเสียดับเลยทีเดียว กำเสียมิดทีเดียว มือก็ไหม้ เข้าไปรูหนึ่งแล้ว นั่นเพราะอะไร เด็กมันปล่อยถ่านไฟไม่เป็น ปล่อยไม่เป็นหรือมันไม่ปล่อย ปล่อยไม่เป็นจริงๆ ถ้าปล่อยเป็นมันก็ปล่อยเหมือนกัน
    เหมือนพวกเรานี่แหละยึดมั่นเอาเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เข้าไว้ ปล่อยไม่เป็น ไม่รู้จะปล่อยท่าไหน วางท่าไหนก็ไม่รู้ วางไม่ออก ปล่อยไม่ออก ปล่อยไม่เป็น วางไม่เป็น หรือปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ไอ้ที่ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ อีกพวกหนึ่ง ไอ้ที่ปล่อยไม่เป็นน่ะพวกหนึ่ง
    ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้น่ะ รู้แล้วว่าปล่อยเท่านั้นวางเท่านั้น ไม่ยอมปล่อย ไม่อยากปล่อย เพราะอะไร เสียดายมัน นั่นอีกพวกหนึ่ง ไม่อยากปล่อยขันธ์ ๕ อยากจะได้ขันธ์ ๕ ให้มากขึ้น นั่นพวกหนึ่ง
    ไอ้ที่ปล่อยไม่เป็นน่ะพวกหนึ่ง ไม่ได้เล่าเรียนศึกษา ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนใจในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนใจในธรรมของพระพุทธเจ้า ไอ้พวกนั้นปล่อยไม่เป็น
    ไอ้พวกที่ได้ฟังแล้วจะปล่อยก็เป็น แต่ว่าเสียดายไม่ยอมปล่อย อีกพวกหนึ่งตั้งใจปล่อยจริงๆ แต่ปล่อยไม่ได้ ไอ้ที่ไม่อยากปล่อยน่ะ เหมือนอะไรล่ะ เหมือนพรานวางเบ็ด เมื่อปลาติดเบ็ดแล้ว ถ้าปลาตัวเล็กๆ พอจะปลดปล่อยได้ ถ้าปลาถึงขนาดเข้าปล่อยไม่ได้ เสียดาย ต้องใส่เรือของตัวไป ไอ้อยากปล่อยแต่ปล่อยไม่ได้น่ะเหมือนอะไร เหมือนนกติดแร้ว อยากปล่อย แต่เครื่องติดมันมี มันมีเหมือนอะไรล่ะ นี่แหละเหมือนอย่างเราครองเรือน อย่างนี้แหละ อยากจะปล่อยมัน แต่ว่าเครื่องติดมันมีเลยปล่อยไม่ได้ เสียดาย มันปล่อยไม่ได้ มันติดอยู่ดังนั้นแหละ ปล่อยไม่ถนัด เพราะเหตุฉะนี้แหละเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้าย ต้องถอดกัน ไม่ถอด ปล่อยไม่ได้
    วิธีถอดเบญจขันธ์เบื้องต้นต้องสำรวม ที่จะสำรวมน่ะ ต้องพิจารณาเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เสียก่อนว่าเป็นของไม่ดีไม่งาม เป็นของไม่ดีไม่งามนะ เป็นของหนักจริงๆ นะ รู้ว่าเป็นของหนักแล้ว เริ่มต้นทีเดียว เมื่อเห็นว่าหนักละก็เริ่มต้นสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลยทีเดียว สำรวมระวังไว้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในเวลาที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มากระทบ คอยระวังไว้สำรวมไว้ให้ดี เมื่อระวังให้ดีแล้วสละความยินดียินร้ายไม่ให้มากระทบ ไม่ให้ความชอบความไม่ชอบซึ่งเป็นกิเลสหยาบเข้ามากระทบได้ สละเสีย เมื่อสละเช่นนั้น ถ้าว่าเกียจคร้านไม่ได้นะ ต้องหมั่นขยันทีเดียว ต้องมีความเชื่อมั่นว่าปล่อยได้จริง แล้วขยันหมั่นเพียรจริงๆ นั่นแหละจึงจะปล่อยได้ ถ้าไม่สำรวมระวังปล่อยพลั้งเผลอละก้อ เหมือนดังคนเกียจคร้านมีปัญญาเลวทราม ก็ต้องรัดรึงตรึงตราอยู่ในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ก็บุคคลมีศรัทธา มีความเพียรดี มีความเพียรหมั่นขยัน กลั่นกล้านั้นแหละอาจปล่อยขันธ์ ๕ ได้ล่ะ แต่ว่าวิธีจะปล่อย ท่านชี้แจงแสดงย่อยออกไปเป็นตำรับตำราออกไปเป็นส่วนๆ ให้เป็นตำรับตำราออกไปว่า จกฺขุนา สํวโร สาธุ สำรวมตาได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ อย่างไร ความติดมั่นในรูปารมณ์ก็ไม่มี สำรวมหูได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำเร็จอย่างไร ความติดมั่นในสัททารมณ์ก็ไม่มี หยุดไปได้ สำรวมจมูกได้ ความติดมั่นถือมั่นในกลิ่นก็ไม่มี หลุดไปได้ สำรวมในลิ้นได้ ก็ไม่ติดในรส สำรวมในกายได้ ความสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็หลุดไป ยังประโยชน์ให้สำเร็จดังนี้ เมื่อสำรวมกายได้ สัมผัสก็หลุดไป สำรวมวาจาได้ ที่จะมีโทษทางวาจาก็ไม่มี หลุดไป สำรวมใจได้ โทษทางใจก็ไม่มี ยังประโยชน์ให้สำเร็จเป็นชั้นๆ ไป ดังนี้ ความสำรวมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นแหละ ทั้ง ๖ อย่างสำรวมได้แล้ว ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ทั้งหมด ปรากฏว่าผู้ศึกษาพระธรรมวินัยต้องเป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ เมื่อมีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้แล้ว ได้ชื่อว่าสำรวมดีในสิ่งทั้ง ๖ ประการ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมใจดีแล้วหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้จริงๆ นะ

    เขาทำกันอย่างไร ต้องทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายมนุษย์ที่เคยแสดงอยู่เสมอๆ เข้าสิบเข้าศูนย์ให้ดี ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ พอหยุดนิ่งก็เข้ากลางของกลางๆๆๆๆๆ เป็นลำดับไป เมื่อเข้ากลางของกลางเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
    • เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์หยาบหลุด หยุดอยู่ศูนย์กลางของธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ถูกส่วนเข้า เข้ากลางของกลาง หยุดเรื่อยไป ถูกส่วนเข้า ก็ถึงดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    • เข้าถึงกายทิพย์ กายมนุษย์ละเอียดก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายทิพย์ละเอียด กายทิพย์หยาบก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายรูปพรหม กายทิพย์ละเอียดก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด กายรูปพรหมหยาบหลุดไป
    • เข้าถึงกายอรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียดหลุดไป
    • เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบหลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรม กายอรูปพรหมละเอียดหลุดไป
    นี่หลุดไป ๘ กายแล้ว
    • เข้าถึงกายธรรมโคตรภูละเอียด กายธรรมโคตรภูหยาบก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหยาบ กายธรรมโคตรภูละเอียดหลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระโสดาละเอียด กายพระโสดาหยาบก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาหยาบ กายพระโสดาละเอียดก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาละเอียด กายพระสกทาคาหยาบก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระอนาคาหยาบ กายพระสกทาคาละเอียดก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายธรรมพระอนาคาละเอียด กายพระอนาคาหยาบก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายพระอรหัตหยาบหรือพระอรหัตตมรรค กายพระอนาคาละเอียดก็หลุดไป
    • เข้าถึงกายพระอรหัตละเอียดหรืออรหัตตผล กายพระอรหัตหยาบหรืออรหัตตมรรคก็หลุดไป
    • พอเข้าถึงอรหัตตผล เรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ เรียกว่าเข้าถึงวิราคธาตุวิราคธรรมจริงๆ หลุดจากธรรมที่ปะปนด้วยกิเลส สราคธาตุสราคธรรม หลุดหมด เบญจขันธ์ทั้ง ๕
    • ขันธ์ ๕ ของมนุษย์ ขันธ์ ๕ ของกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเข้าถึงกายทิพย์-กายทิพย์ละเอียดแล้ว ก็หลุด
    • ขันธ์ ๕ ของกายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด เมื่อเข้าถึงกายรูปพรหม-รูปพรหมละเอียด ก็หลุด,
    • ขันธ์ ๕ กายของรูปพรหม-รูปพรหมละเอียด เข้าถึงอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ก็หลุด, หลุดหมด หลุดเป็นชั้นๆ ไป
    ขันธ์ ๕ ของกายอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด ถึงกายธรรมเสียแล้ว ก็หลุด, ถึง กายธรรมพระโสดา ขันธ์ ๕ ของกายธรรมโคตรภูหยาบ-โคตรภูละเอียด หลุด, เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาแล้ว กายธรรมของโสดา-โสดาละเอียดหลุด, เข้าถึงกายธรรมของ พระอนาคาหยาบ-อนาคาละเอียดแล้ว กายธรรมของพระสกทาคาหยาบ-สกทาคาละเอียด หลุดออกไปเช่นนี้ เป็นชั้นๆ เช่นนี้เรียกว่ารู้จักสำรวมถูกส่วนเข้าแล้วหลุดเป็นชั้นๆ ไปดังนี้ เมื่อหลุดออกไปได้แล้วเห็นว่าหลุดจริงๆ ไม่ใช่หลุดเล่นๆ ถ้าว่าโดยย่อแล้วละก็ พอถึง กายธรรมหยาบละเอียดเท่านั้นไปนิพพานได้แล้ว แต่ว่าหลุดดังนี้เป็นตทังควิมุตติ ประเดี๋ยวก็ กลับมาอีก พอหลุดแค่พระโสดา นั่นเป็นโลกุตตระ ข้ามขึ้นจากโลกได้แล้ว เป็นอริยบุคคลแล้ว แต่ว่าไม่พ้นจากไตรวัฏฏ์ ต้องอาศัยไตรวัฏฏ์ เพราะยังไปนิพพานไม่ได้ ต้องอาศัยกามภพ รูปภพอยู่ แต่ว่าอาศัยอยู่แต่เปลือกนอก ข้างในล่อนจากเปลือกนอกเสียแล้ว อย่างนั้นก็พอ ใช้ได้ แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด ต้องถึงที่สุดคือพระอรหัตตผลนั่นแหละจึงจะพ้นขาดเด็ดเป็น วิราคธาตุวิราคธรรมจริงๆ หลุดได้จริงๆ เช่นนี้ อย่างนี้เอาตัวรอดได้ อย่างนี้ เมื่อรู้จักหลัก ความหลุดพ้นเช่นนี้แล้วก็ตั้งใจให้แน่วแน่ ต้องมีความสำรวมเบื้องต้น ที่ท่านได้ชี้แจงแสดงไว้ใน อารมณ์ที่ไม่งาม แล้วสำรวมระวังให้ดี รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร มีความเพียร มีศรัทธา กล้าหาญไม่ย่อท้อ นั่นแหละคงจะไปถึงที่สุดได้ ทว่าย่อท้อเสียแล้วถึงที่สุดไม่ได้ง่าย ให้เข้าใจ หลักอันนี้ หลักที่แสดงแล้ว ที่แสดงในทางขันธ์ ๕ เป็นของหนักแล้ว คิดสละขันธ์ ๕ นั่นได้ ด้วยความสำรวมระวัง นี้เป็นทางปริยัติ เป็นลำดับไปจนเข้าถึงถอดกายเป็นชั้นๆ ออกไปแล้ว จนกระทั่งถึงพระอรหัต ถึงวิราคธาตุวิราคธรรม กายพระอรหัตหยาบ-พระอรหัตละเอียดนั้น ในแนวนั้นเป็นทางปฏิบัติ ปฏิเวธก็เป็นชั้นๆ เคยแสดงแล้ว
    กายมนุษย์เมื่อปฏิบัติถูกส่วนเข้าแล้วเห็นกายมนุษย์ละเอียด นั่นเป็นนิโรธ เป็น ปฏิเวธ รู้แจ้งแทงตลอดของกายมนุษย์ เมื่อกายมนุษย์ละเอียดเข้าถึงกายทิพย์ ก็เป็นปฏิเวธ ของกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์เมื่อเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายทิพย์ รู้จักกายทิพย์ละเอียดแล้ว เมื่อกายทิพย์ละเอียดเข้าถึงกายรูปพรหม ก็เป็นปฏิเวธของ กายทิพย์ละเอียด, กายรูปพรหมเข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายรูปพรหม, กายรูปพรหมละเอียดเข้าถึงกายอรูปพรหม ก็เป็นปฏิเวธของกายรูปพรหมละเอียด, กายอรูปพรหมหยาบเห็นกายอรูปพรหมละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายอรูปพรหมหยาบ, กายอรูปพรหมละเอียดเห็นกายธรรม ก็เป็นปฏิเวธของกายอรูปพรหมละเอียด, กายธรรมเห็นกาย ธรรมละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมหยาบ, กายธรรมละเอียดเห็นกายธรรมพระโสดา ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมละเอียด, กายธรรมพระโสดาเห็นกายธรรมพระโสดาละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระโสดาหยาบ, เมื่อกายธรรมของพระโสดาละเอียดเห็นกายธรรม ของพระสกทาคา ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระโสดาละเอียด, กายธรรมพระสกทาคาเห็นกายธรรมละเอียดของพระสกทาคาเอง ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระสกทาคา, กายธรรมละเอียดของพระสกทาคาเห็นกายธรรมพระอนาคาหยาบ ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระสกทาคาละเอียด, กายธรรมพระอนาคาเห็นกายธรรมละเอียดของพระอนาคาเอง ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอนาคา, กายธรรมของพระอนาคาละเอียดเห็นกายธรรมของพระอรหัต ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอนาคาละเอียด, กายธรรมของพระอรหัตหยาบหรืออรหัตตมรรคเข้าถึงกายธรรมของพระอรหัตละเอียดหรือพระอรหัตตผล ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอรหัต นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นมาลำดับอย่างนี้ เมื่อรู้จักหลักดังนี้ละก็ การเล่าเรียนในทางพุทธศาสนา การแสดงก็ดี การสดับตรับฟังก็ดี ให้รู้จักทางปริยัติ ทาง ปฏิบัติ ทางปฏิเวธ จึงจะเอาตัวรอดได้ ถ้ารู้จักแต่เพียงทางปริยัติ ยังข้องขัดอยู่ในทางปฏิบัติ ต้องให้เข้าถึงทางปฏิบัติ ยังข้องขัดอยู่ในทางปฏิเวธ ให้เข้าถึงทางปฏิเวธนั่นแหละจึงจะเอาตัว รอดได้ ด้วยประการดังนี้ ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้น จนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย บรรดา มาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติ ธรรมีกถาโดยอรรถนิยมความด้วยเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.


    นำมาจาก �ѹ�� � ���������ѹ˹ѡ
     
  7. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="58%" align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#f0f0f0 vAlign=top align=left>“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจจ์ คือ ขันธ์ ๕ ที่คนเข้าไปยึดถือ เป็นทุกข์ ...
    สมุทัยอริยสัจจ์ คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ... นิโรธอริยสัจจ์ คือ ความดับทุกข์ ...
    มรรคอริยสัจจ์ คือ ทางไปสู่ความดับทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ”

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์

    รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f0f0f0 vAlign=top align=left>ดูกรสุภัททะ ! อริยมรรคประกอบด้วยองค์แปด เป็นทางประเสริฐ สามารถให้บุคคล ผู้เดินไปตามทางนี้ ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่เป็นทางเดินไปสูอมตะ ดูกรสุภัททะ ! ถ้าภิกษุหรือใครก็ตามจะพึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>หนังสือ พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

    อาจารย์วศิน อินทสระ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><MAP name=Map2><AREA href="ariyasaj.php" shape=rect alt="หน้าแรก : หมวดตรัสรู้อริยสัจสี่" target=_self coords=11,4,400,114></MAP></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center><TBODY><TR><TH scope=col><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#e0dede cellPadding=0 width=200><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 borderColor=#e0dede cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="70%" bgColor=#f0f0f0 align=center><TBODY><TR><TD align=middle>อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, และมรรค
    ชาร์ตแสดงความสัมพันธ์แห่งอริยสัจ ๔ โดยจับคู่เป็น ๒ คู่

    สมุทัยอริยสัจ เป็นเหตุ โดยมี ทุกข์อริยสัจ เป็นผล คู่หนึ่ง
    มรรคอริยสัจ เป็นเหตุ โดยมี นิโรธอริยสัจ เป็นผล คู่หนึ่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="19%"><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=146 background=images/ariyasaj_bg1took.gif><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD></TD><TD>[​IMG]</TD><TD vAlign=center></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle></TD><TD vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=140><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>ความทุกข์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=1 width=140 align=left><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=140><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>รูปเวทนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=140><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>อนิจจังทุกขังอนัตตา
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=22></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=140><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=left>- ทุกข์กาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=142><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=middle>ประเภทและอาการแห่งทุกข์ ตามหลักทั่วไป</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=142><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=middle>ทุกข์สรุปในปัญจุปาทานขันธ์ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=142><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#999999 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ariyatxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=middle>หลักเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับทุกข์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="81%" align=left><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="98%" align=center><TBODY><TR><TD class=subtitle bgColor=#a6a9ab vAlign=center align=middle>ชีวิตคืออะไร ?
    ขันธ์ ๕
    </TD></TR><TR><TD class=intro vAlign=center align=left>ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ (ทุกข์) เป็นอย่างไรเล่า?
    ภิกษุ ท. ! ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์
    ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์
    ความประสพด้วยสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์
    ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นทุกข์
    ความปรารภอยากได้อย่างใดแล้ว ไม่ได้อย่างนั้น เป็นทุกข์
    กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานักขันธ์ (ขันธ์ห้าอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน)
    เป็นตัวทุกข์ นี้ เรียกว่า ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ : พุทธทาสภิกขุ


    </TD></TR><TR><TD class=bodytxt vAlign=top align=left><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="98%" align=center><TBODY><TR><TD class=bodytxt vAlign=center align=left>ชีวิตคืออะไร : ขันธ์ ๕
    องค์ประกอบของร่างกาย ๕ อย่าง คือ
    </TD></TR><TR><TD class=bodytxt vAlign=top align=left>๑. รูป : รูปธรรมทั้งหมด ร่างกายและพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย
    ๒. เวทนา : สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
    ๓. สัญญา : ความกำหนดได้ หรือหมายรู้
    ๔. สังขาร : ความนึกคิดดีชั่วต่าง ๆ
    ๕. วิญญาณ : ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และใจ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=titletxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=left>[​IMG]อริยสัจจากพระโอษฐ์ : พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt vAlign=center align=left>ตอน ๑ : ว่าด้วย เบญจขันธ์โดยวิภาค

    </TD></TR><TR><TD class=titletxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=left>[​IMG]พุทธธรรม : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)</TD></TR><TR><TD class=ariyatxt vAlign=center align=left>บทที่ ๑ : ขันธ์ ๕

    </TD></TR><TR><TD class=titletxt bgColor=#e0dede vAlign=center align=left>[​IMG]ธรรมะบรรยาย</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TH class=bodytxt vAlign=center width="5%" scope=col align=left>คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม</TH></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    </TH></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD background=../images/table_top.gif>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top background=../images/table_left.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=bodytxt bgColor=#ffffff vAlign=center width="25%" align=middle>ฟังธรรมะบรรยาย
    (มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

    </TD><TD class=bodytxt bgColor=#f0f0f0 vAlign=center width=0% align=middle>[​IMG]</TD><TD class=bodytxt bgColor=#ffffff vAlign=center width="30%" align=middle>อ่านพระไตรปิฎก
    (คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
    </TD><TD class=bodytxt bgColor=#f0f0f0 vAlign=center width=0% align=middle>[​IMG]</TD><TD class=bodytxt bgColor=#ffffff vAlign=center width="30%" align=middle>อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
    (โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
    </TD><TD class=bodytxt bgColor=#f0f0f0 vAlign=center width=0% align=middle>[​IMG]</TD><TD class=bodytxt bgColor=#ffffff vAlign=center width="25%" align=middle>วิธีปฏิบัติธรรม
    (ธรรมะภาคปฏิบัติ)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top background=../images/table_right.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD background=../images/table_bot.gif>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=countertxt vAlign=center align=right><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=right>จำนวนผู้เข้าชม : 432 คน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <HR SIZE=1 width="100%"><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dedede>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
    [​IMG] ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
    จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
    หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
    [​IMG] ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
    ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย


    </TD></TR><TR><TD vAlign=center align=right>พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dedede>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
    ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล


    </TD></TR><TR><TD vAlign=center align=right>ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    __นำมาจาก http://www.thammapedia.com/ariyasaj/ariy1took0201.php________________
     
  8. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    ".....มีดเพียงเล่มเดียวก็สามารถฆ่าศัตรูได้ ธรรมเพียงบทเดียวก็สามารถ
    พ้นทุกข์ได้ จะแบกอาวุธมากมายกันไปทำไมไม่ได้ใช้ ของเพียงเห็นตัว
    ศัตรูเท่านั้น ศัตรูคือ กาย คือ อุปาทานขันธ์ ๕ พวกเราไม่เคย
    พิจารณาขันธ์ ๕ แล้วเราจะละได้อย่างไร เราไม่เคยรู้จักศัตรู แล้วเรา
    จะฆ่าได้อย่างไร.....เหมือนเราจะตัดต้นไม้ ต้นไม้จะมาหาเราหรือ?
    เราจะเอาต้นไม้เราต้องเดินเข้าป่า ต้นไม้มีเยอะแยะเราก็ต้องเลือกตัด
    ต้นใดให้โทษก็ตัดต้นนั้น ต้นที่ให้โทษมีอยู่ ๕ ชนิด
    คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเราตัดได้ก็ละได้


    ......รู้ขันธ์ ๕ เพื่อละ ขันธ์ ๕.......ดูความพอใจ-ไม่พอใจ ใน
    กายเป็นหลัก ดูไปเรื่อยๆ จะเห็น่วามันผ่านมา ผ่านไป ไม่เที่ยงแล้ว
    จะปล่อยวาง ละมันได้ พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็ดูขันธ์ ๕ นี่แหละ
    นักปฏิบัติทั้งหลาย ขันธ์ ๕ เป็นของใคร? แล้วพวกท่านจะยึดอะไร?
    ให้ถามตัวเองอยู่อย่างนี้ ถ้าเอาจิตจ่ออยู่กับขันธ์ ๕ พวกท่านทั้งหลายจะไปได้นานแล้ว....."
    (หลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรี)

    นิพพาน เป็นเรื่องไกลตัว จริงหรือ?
    http://www.watpachareongtham-chonburi.com <!-- / message -->
     
  9. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ขออนุญาต ทุกท่านร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


    [​IMG]

    ร่วมจิตอธิษฐาน กันนะ ตามลิ้งค์ไปเลย :cool:

    http://palungjit.org/threads/ร่วมกันอธิฐานถวายอายุขัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.216806/

    http://palungjit.org/threads/ร่วมลง...ระพลานามัยแข็งแรงและมีพระชนมายุ-120-ปี.96403/
     
  10. sodalith

    sodalith เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,083
    ขันธ์ ๕ คือภพ



    เราเข้าใจกันผิดว่า ต่อเมื่อตายเข้าโลงแล้วจึงจะมีภพ แท้จริง ขันธ์ ๕ นี้แหละ คือตัวภพ เมื่อใดเราเห็นขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตน เมื่อนั้นจิตเขายึดอารมณ์แล้ว ทำให้จิตเป็นภพเป็นชาติไปกับเรื่องที่ยึด ถ้ายึดเข้ากับอารมณ์หยาบ ก็เกิดภพหยาบขึ้น ถ้ายึดอารมณ์ละเอียดก็เกิดภพละเอียด ท่านจึงว่าอุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิดภพ
    เช่น



    อารมณ์ความ โกรธ ก็เป็นภพของ ยักษ์
    อารมณ์ อิจฉาริษยา ก็เป็นภพของ มาร
    ถ้าเพลินอยู่กับ กามคุณ อย่างไม่ลืมหูบืมตาก็เป็นภพ สัตว์เดียรัจฉาน
    ถ้าจิตใจมัน ร้อนรุ่มอยู่กับทุกข์ ก็เป็นภพของ สัตว์นรก




    ดังนั้นใครสะสมภพไว้อย่างไร ผลย่อมเป็นไปตามกรรมนั้น แต่เมื่อใดเห็นชัดว่าขันธ์ ๕ ตรงหน้ามันไม่ใช่ตัวตนของเราสักหน่อย จิตย่อมไม่ยึดอารมณ์




    เมื่อไม่ยึดอารมณ์ตัณหาก็ไม่มี
    ไม่มีตัณหาก็ไม่มีภพ
    ไม่มีภพก็เป็นนิพพาน



    สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมากถูกอวิชชา ครอบงำ หรือยินดีแล้ว ใน ขันธปัญจก ที่เกิดขึ้น(ย่อม) ไม่พ้นไปจากภพ



    บุคคลผู้เห็น ขันธปัญจก กล่าวคือ ภพตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ ย่อมละ ภวตัณหา ได้ ทั้งไม่เพลินเพลิน วิภวตัณหา เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายโดยประการทั้งปวงเป็นนิพพาน




    <!-- / sig -->
    ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด

    วิชาทางโลกเรียนไปสูงสุด แม้จบด๊อกเตอร์แล้วก็ยังไม่พ้นเป็นทาสของตัณหา เพราะวิชาทุกแขนงมันแก้จิตแก้ใจไม่ได้ มันซักฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ถือว่าวิทยาการต่างๆที่เราร่ำเรียนกันมาประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ความรู้ที่เรียนมาจนท่วมหัวก็ดีอยู่แต่ไม่เลิศ มันไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม มันดับทุกข์พ้นทุกข์ไม่ได้ (ทุกข์นี้คือทุกข์ทางใจ) เพราะไม่รู้ความทุกข์เกิดจากความคิด (ความคิดที่เห็นผิด เป็นที่มาของ ตัณหา และ ทิฏฐิ) แล้วปรุงแต่งดีชั่วท่วมทับจิตใจจึงเกิดความร้อนใจบ่อยๆ ผู้มีปัญญาดีย่อมทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุข โดยแก้ความคิดให้มันเห็นถูก เห็นอารมณ์เป็นเพียงสภาวธรรม จะสุขหรือทุกข์ก็แค่สภาวะอย่างหนึ่ง มันไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้สักอณูเดียว ถ้าไม่รู้แจ้งว่าเป็นสภาวะ มันก็หลอกเราให้เกิดความอยากเรื่อยไป อยากหาความสุขมากเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้หลุมถ่านเพลิงมากเท่านั้น

    ความทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกเป็นอันมาก ย่อมเกิดเพราะ อุปธิ เป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้แจ้งย่อมกระทำอุปธิ ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ

    เมื่อบุคคลรู้ชัด เห็นชาติว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่พึงกระทำอุปธิ พึงเป็นผู้มีสติดำเนินข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆในโลกเสียได้ จงบรรเทาความเพลิดเพลิน และความยึดมั่นในส่วนเหล่านี้เสีย วิญญาณ (ของท่าน) จะไม่พึงตั้งอยู่ในภพ


    -----------------
    คัดลอกจาก หนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 25 ประจำเดือนพฤษภาคม 2549
     
  11. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    ถูกต้องแล้วครับ ที่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเขาออกมาสอบถามความสงสัย และออกมาชี้แจงความจริงให้ได้อ่านกันดีกว่า

    ราๆท่านๆทั้งหลาย ที่ออกมาตอบโต้ ก็ไม่ใช่คนระบบ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงแต่เป็นผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านเข้ามาศึกษา ดังนั้น ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ก็ขอให้เลิกสงสัย เลิกสอบถาม เลิกเปิดประเด็นใหม่ๆ ให้ผู้ไม่หวังดีเติมเชื้อฟืนใส่

    เลิกทำตัวเป็นทนาย....เถอะครับ กระทู้นี้จะได้กลับสู่ความสงบเสียที
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กลับมาที่เรื่องของมนุษย์ต่างดาวกับการช่วยเหลือเรื่องของภัยพิบัติกันดีกว่านะครับ
    [​IMG]

    [​IMG]<HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><RTE_TEXT></RTE_TEXT>เรื่องของมิติ

    สำหรับเรื่องที่สงสัยว่าเรามองเห็นแต่ทำไมคนอื่นจึงมองไม่เห็นนั้น เป็นเพราะมีเรื่องของมิติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้จำนวนมากแล้วมาเล่าให้เราฟังจนได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วกับเรื่องมิติ

    สำหรับตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะใกล้เคียงกับเหตุการณ์ของคุณ ก็คือเหตุการณ์ที่คุณลดาวัลย์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประสบกับตนเองได้เล่าให้ฟังว่าประมาณปี 2549 ที่ผ่านมา ได้ไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดตอนเย็นกับสามีเมื่อไปถึงก็แยกกันเดินซื้อของตอนนั้นใกล้ค่ำแล้ว ขณะที่เดินซื้อของได้เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า เห็นวัตถุบินลำหนึ่งลอยอยู่กลางตลาดนัดสูงประมาณตึกชั้นที่ 3 มีขนาดใหญ่มาก เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเห็นชัดมีไฟใต้ฐานเปิดหมุนไปมาและเงียบสนิท คุณลดาวัลย์ก็หันมองซ้ายมองขวาว่าจะมีใครเห็นบ้างแต่ไม่เห็นมีใครสนใจ ซึ่งลำใหญ่และลอยต่ำขนาดนั้นน่าจะมีคนเห็นบ้าง จึงมองหาสามีที่เดินไปคนละทางในขณะนั้นแต่ก็ไม่เจอ วัตถุบินก็ลอยผ่านไปช้าๆจนหายไปซึ่งคุณลดาวัลย์ก็ได้มาบอกกับสามีให้ทราบด้วย (คุณลดาวัลย์ทำงานอยู่ที่บริษัทจากต่างประเทศบริษัทหนึ่งที่อยุธยา)

    อาจเป็นสิ่งที่พอเทียบเคียงได้กับของคุณ Aspn และตอบข้อสงสัยได้บางประการนะคะไหนๆ ก็คุยกันเรื่องมิติแล้วก็จะมีภาพการเปิด–ปิดมิติมาให้ชมกัน เพื่อพอเทียบเคียงและมีมุมมองเรื่องของมิติได้เปิดกว้างมากขึ้น

    ภาพที่บันทึกได้ตามที่แนบมานี้บันทึกด้วยกล้องวีดีโอ เป็นภาพเคลื่อนไหวจะเห็นการมาปรากฏอยู่และค่อยๆจางหายไปอย่างชัดเจน เป็นภาพมองจากเขากะลาไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งไกลมาก ปรากฏเป็นภาพวัตถุสีเงินสะท้อนแสงขึ้นบนยอดเขาปรากฏครั้งแรก วันที่ 5 กันยายน 2541 ปกติเราจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนเขากะลา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาตลอด 6 เดือนไม่เคยมีภาพวัตถุบนเขาให้เห็นแต่วันที่ 5 กันยายน 2541 คุณภัทรพลจากกลุ่มอภิจิต 2000 เดินทางไปเยือนเขากะลาวัตถุรูปร่างเป็นแท่งสีเงินนี้ก็ปรากฏขึ้นมาคุณภัทรพลและกลุ่มเขากะลา(ขณะนั้น) ได้บันทึกภาพไว้ทั้ง 2 กล้อง

    แต่พอวันรุ่งขึ้นภาพดังกล่าวกลับหายไป ซึ่งบนยอดเขานั้นมีวัดอยู่แต่ปกติจะมองไม่เห็นเพราะต้นไม้จะขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด แต่ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพแท่งวัตถุที่ใหญ่มาก ออกมาอยู่นอกต้นไม้และเมื่อหายไปเราก็จะเห็นแต่เพียงต้นไม้เท่านั้น หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็สื่อสารข้อความผ่าน จ.ส.อ. เชิด ชื่นสำนวน มาว่า ได้เปิดมิติให้เห็น "กองบัญชาการของมนุษย์ต่างดาว" ที่ตั้งอยู่บนยอดเขานั้น ตั้งทับซ้อนอยู่สถานที่เดียวกันกับวัดนั้น แต่เป็นคนละมิติกันคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณวัดบนยอดเขา ก็จะมองไม่เห็นเขามีมนุษย์ต่างดาวประจำการอยู่ที่นั่น 3,000 คนและที่เปิดมิติให้เห็นในวันนั้น เพราะมีผู้นำกลุ่มอภิจิต 2000 จากกรุงเทพฯทำงาน เกี่ยวกับเรื่องของภัยพิบัติเดินทางมาเยือนจึงอนุญาตให้บันทึกภาพ

    เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว

    - จะนำข้อมูลเกี่ยวกับ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" ที่ได้รับการสื่อสารข้อความผ่านมาและนำมาให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเรื่องของมิติเรื่องของอุปกรณ์ต่อเชื่อมกับสมอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีคล้ายกับโทรศัพท์มือถือของเรา แต่ไม่เป็นวัตถุเป็นกลุ่มพลังงานติดตั้งไว้แทน เป็นเทคโนโลยี่ มีหน้าที่รับการสื่อสารเหมือนกันรับรู้เรื่องราวข้อความต่าง ๆ แม่นยำเหมือนเราคุยกันทางโทรศัพท์ซึ่งผู้ผ่านการฝึกได้รับการติดตั้งแต่ละบุคคล จึงรับข้อมูลแตกต่างกันตามลักษณะการประสานงานของแต่ละบุคคล

    ซึ่งในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จะมีการใช้อุปกรณ์เช่นนี้ติดตั้งให้กับบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกแต่มีพื้นฐานต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในคราววิกฤตเพื่อใช้สื่อสารกัน เพราะโทรศัพท์ไม่สามารถใช้การได้

    <!-- / message --><!-- sig -->ภาพ UFO ที่ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่บันทึกไว้ได้ที่เขากะลาส่วนมากจะเป็นการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอ ซึ่งไม่สามารถตัดแต่งภาพได้มีจำนวนมากข้อมูลการฝึกฯ กับมนุษย์ต่างดาว เขาสอนอะไร? ฝึกอะไร? และผู้รับการฝึกได้อะไร? ทำไมต้องประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆและประสบการณ์เกี่ยวกับการรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวโดยใช้เครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ต่างดาว แทนการใช้การสื่อสารด้วยจิตนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หลายท่านเคยประสบด้วยตนเองมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรเท่านั้นเอง

    -สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)จะแจ้งข้อมูลต่อจากนี้ จะเป็นการ.....แจ้งเพื่อทราบ....เท่านั้น เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบทดลองได้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ต่างดาว นำมาให้เห็น และจำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤตของโลกใบนี้ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่นั่นเอง

    -ข้อความสำคัญ....แจ้งเพื่อทราบ.....เท่านั้น (มนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปก่อนเชื่อไม่เชื่อให้แจ้งไป...นี่คือหลักการการแจ้งข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวผ่านไปยังสื่อต่างๆ)

    - การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว เริ่มจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ...แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาซึ่งในระยะแรกไม่สามารถเชื่อถือได้เป็นธรรมดาเป็นกลุ่มคนบ้ากลุ่มหนึ่งที่มาทำเรื่องไร้สาระ เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะมีหลักฐานต่าง ๆทั้งพยานบุคคล และภาพถ่ายต่าง ๆ มายืนยันจึงพอที่จะเชื่อถือได้

    - การฝึกฯสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ...... แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 รวมระยะเวลาการฝึกฯ 1 ปีซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่บุคคลต่างๆ ก็เห็นว่ากลุ่มนี้ทำอะไรไม่เข้าเรื่องซึ่งจากวันที่ 1 เมษายน2547 เป็นต้นมาก็เข้าสู่ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวเต็มรูปแบบซึ่งได้มีการ...แจ้งเพื่อทราบ...ไปแล้ว ผ่านทางสื่อทีวี..รายการ V.I.P. ช่อง 9 (ไปบันทึกรายการวันที่ 16 ธันวาคม 2547ก่อนเกิดสึนามิ 10 วัน), รายการสารคดีUFO ในประเทศไทย , รายการย้อนรอย ITV, รายการชั่วโมงพิศวง ช่อง7, แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 8, 10, 12, พฤศจิกายน 2548 และ แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางบูธนิทรรศการ UFO ในประเทศไทย ซึ่งจัดร่วมกับศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาติครั้งที่ 11 วันที่8-11ธันวาคม 2549 .....

    เรามีหน้าที่แค่แจ้งเพื่อทราบ การมาปรากฏให้บุคคลต่างๆ ได้เห็นเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่หน้าที่ของเราแต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจึงทราบว่าเมื่อรายการทีวีทุกรายการ ก่อนการนำเสนออะไรสักอย่างหนึ่งจะมีการส่งทีมงานเดินทางไปบนเขากะลาก่อน เพื่อสังเกตการณ์ว่ามีมูลความจริงหรือไม่และต้องได้เห็นวัตถุบิน หรือลูกไฟวิ่งได้ หรือสิ่งอื่นๆที่มาปรากฏแล้วเชื่อได้ว่าไม่ได้มีการหลอกลวงประชาชน หัวหน้าทีมงานจะต้องได้เห็นเองจนแน่ใจ จึงจะข้อมูลเสนอต่อทางรายการขออนุมัติถ่ายทำ แล้วจึงจะนำทีมงานมาถ่ายทำได้ และนำออกอากาศต่อไป จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาวต้องนำวัตถุบินมาปรากฏให้ทีมงานเห็นเอง ...ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่าสิ่งที่แจ้งเพื่อทราบ....ก่อนหน้านี้เริ่มมีการปรากฏชัดเจนมากขึ้น และเริ่มออกสู่สาธารณชนเพื่อให้รับทราบทางช่องทางอื่น ๆได้มากขึ้น

    - และครั้งนี้ การถ่ายทอดข้อมูลเรื่องของ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ และเป็นรูปแบบเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังค้นคว้าไปไม่ถึง แต่ก็จะเป็นการ..แจ้งเพื่อทราบ...เช่นกัน เป็นเรื่องบอกไว้ก่อนเพื่อทราบเช่นเดิมแต่ขณะนี้ได้มีพยานบุคคลต่าง ๆได้มีโอกาสเห็นเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นทุกขณะไม่ว่าจะเป็นเข้า-ออกมิติโดยไม่รู้ตัว การเห็นสถานที่ต่างมิติ เห็นการย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือ แม้แต่การ copy รูปร่างเดียวกันไปอยู่อีกสถานที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน และพูดคุยสนทนาเหมือนกับเป็นบุคคลเดียวกันมีผู้ถูก copy เช่นนี้แล้วหลายบุคคลซึ่งได้มาเล่าให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ฟังซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก

    ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใด ๆ เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเทคโนโลยีของต่างดาว เขาบอกว่าก็เหมือนเครื่องถ่ายเอกสารของเราเมื่อ copy จากเครื่องถ่ายเอกสารอย่างดี ต้นฉบับกับสำเนาแทบไม่ต่างกันเลยจะ copy อีกสักกี่แผ่นก็เหมือนต้นฉบับ (เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของเราเพื่อเทียบเคียง)แต่เขามีความเจริญกว่าเรามากนัก การ copy จึงยกไปได้ทั้งมวลสาร

    ซึ่งต่อไปข้างหน้าจะต้องใช้เทคโนโลยีแบบนี้ เพื่อที่บุคคลที่ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จะไปปรากฏตัวในหลายๆที่ ในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น (อย่าลืมว่าในการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ การสื่อสารจะไม่สามารถติดต่อกันได้ คุณจะไปอยู่กี่สถานที่จะไม่มีใครทราบได้เลย แต่ทุกอย่างทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั้งสิ้น)

    - วันนี้ขอบอกเล่าเพียงเท่านี้ก่อนด้วยข้อความสำคัญคือคำว่า....แจ้งเพื่อทราบ

    ที่มา http://www.astroneemo.com/index.php?mo=14&newsid=69555

    หมายเหตุ

    เรื่องการเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือผู้คน จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องสำคัญมากในยามที่เกิดภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่นสึนามิเมื่อปลายปี 2547 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับแสนคน หรือพายุนากีสที่คร่าชีวิตชาวพม่าไปนับแสนคน หรือแผ่นดินไหวขนาด 8 ริกเตอร์ที่เมืองเสฉวนของจีน ก็คร่าชีวิตผู้คนไปเกือนแสนคนเหมือนกัน

    เพราะภัยพิบัติจะมาอย่างรวดเร็วมาก จนทำให้ผู้คนที่ประสบกับภัยพิบัติ ไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา จึงต้องจบชีวิตไปกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ อย่างน่าเวทนา แต่ถ้าเราได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนจากต่างดาว ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่มีความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี่กว่ามนุษย์โลก ก็จะสามารถเคลื่อนย้ายสสาร(คน สัตว์ สิ่งของ) จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ผ่านทางประตูของมิติต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เหมือนที่พวกเราได้เคยเห็นกันในภาพยนต์ที่ เกี่ยวกับการผจญภัยในห้วงอวกาศ หลายต่อหลายเรื่องมาแล้ว

    ซึ่งการช่วยเหลืออาจจะช่วยชีวิตคนได้เพียงคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น อาจะไม่สามารถช่วยได้มากมายเป็นแสนเป็นล้านคนก็ตาม แต่มันก็เป็นทางเลือกทางรอดอีกทางหนึ่ง ที่พวกเราควรให้ความสนับสนุนมิใช่หรือ แทนที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาคอยจ้องจับผิด เรื่องการทำงานของมนุษย์ต่างดาวกับกลุ่มเขากะลา อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ พวกเรามาให้ความสนใจเรื่องการช่วยเหลือผู้คนทั้งหลายให้รอดพ้นจากภัยพิบัติกันดีกว่านะครับ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085


    สำหรับท่านที่สนใจเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว อย่าลืมแวะไปฟังบรรยาย จาก ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน ในวันและเวลาดังกล่าว แล้วพบกันนะครับ
     
  14. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    อันนี้ต้องขอขยายความครับ รู้สึกว่าคุณเซี่ยมหล่อนั๊งจะไม่เข้าใจความหมาย ไม่อ่านข้อความทั้งหมด แต่ตัดตอนข้อความเอามาเป็นประเด็น อย่างว่าละครับ เด็กประถมจะเข้าใจเหมือนเด็กมัธยมก็คงเป็นไปไม่ได้ พระพุทธองค์ ถึงได้เปรียบเทียบคนเหมือนบัวสี่เหล่า

    คำว่า " มีเพียงบางท่านปฎิบัติผิดทาง ออกจากงาน เรียกว่าปล่อยวางในทางโลกทั้งหมด สุดท้ายก็ทุกข์ " มิได้หมายความว่า แนวทางของเขากะลาผิดทาง แต่ผู้ปฎิบัติเองนั่นแหละ ปฎิบัติผิดทาง หลงยึดติดมากเกินไป ปฎิบัติในแนวที่สุดโต่ง โดยไม่ใช้สติในการพิจารณา สุดท้ายก็ทุกข์ มีผู้ที่ปฎิบัติในแนวทางของเขากะลาหลายท่าน โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ไม่เห็นมีใครทุกข์

    ระบบของเขากะลานี่แปลก มีวิธีการฝึกคนที่แยบยล ถ้าผู้ปฎิบัติหลงและยึดติดสิ่งใด มักจะจัดสิ่งนั้นให้ เพื่อให้ผู้ปฎิบัติท่านนั้นหลงและยึดติดมากขึ้น ดังนั้นผู้ปฎิบัติเองจะต้องใช้สติในการพิจารณาเองว่าควรหรือไม่ มิใช่เชื่อไปตามเสียทั้งหมด โดยอ้างว่าเป็นเวฟหรือระบบสั่ง....สุดท้ายก็ทุกข์ แล้วก็โทษระบบ ถ้าผู้ที่ปฎิบัติตามแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ผิด ป่านนี้บรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็ทุกข์กันไปหมดแล้ว แต่นี่ไม่เห็นมีใครทุกข์ซักคน
     
  15. sutanee

    sutanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +3,248
    ไม่ได่เข้าอ่าน15วันแต่ก็ยังได้เห็นสิ่งเดิมๆ
    มีคนพยายามบอกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้องอยู่ในนี้
    แต่ก็มีคนที่ยังมองไม่เห็นโทษของมัน
    ก็บอกว่าคนที่มาชี้โทษนั้นผิด
    เราเคยเป็นเขากะลาแฟนคลับก็ไม่ได้สนใจต่างดาวอะไรมากมาย
    แค่ได้ยินว่ามีและเคยมีปรากฏการณ์บ้างแต่ไม่ได้ยึดถืออะไรมากนัก
    ช่วงก่อนมีการขอขมากรรมก็ชอบตามไปอยู่เพราะเชื่อว่าการขอขมากรรมเป็นสิ่งที่ดีเป็นการลดอัตตายอมรับผิดและขออโหสิกรรมเพื่อความสบายใจ
    และตั้งใจไม่ก่อกรรมใหม่
    เมื่อวานอ่านหนังสือแม่ชีทศพรในตอนกรรมที่พี่สาวเขียนบัตรสนเท่ห์ช่วยน้องชายแต่ไปทำร้ายคนที่ไม่มีความผิดเพียงแค่นั้นก็เกิดกรรมแก่ผู้กระทำอย่างยิ่งเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร
    ต้องมีผู้ได้รับกรรมแน่นอนแต่การทำให้คนหลงผิดก็คงมีกรรมหนักเหมือนกัน ดิฉันไม่ใช่ผู้รู้ในธรรมะจากคัมภีร์หรือตำราใดๆแต่ส่วนมากเกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านวันคืน
    ก็เคยหลงผิดบ่อยไปก็อธิษฐานจิตอยู่ทุกวันขอให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตามที่เป็นจริง
    แต่จากการสังเกตุที่ผ่านมาแม้จะตั้งใจทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน ให้ทุกระดับทั้งพระคนสัตว์แต่ที่มีบุญทุกวันนี้คือมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน
    แต่ไม่มีเงินก้อนใหญ่พอจะชำระหนี้ได้หมดก็เลยต้องยอมรับสภาพแต่ก่อนคิดว่าธรรมะเขากะลาใกล้เคียงตัวเราเคยคิดทิ้งงานไปปฏิบัติแบบคนเขากะลาแต่พอฟังบทสวดธรรมจักรที่กล่าวถึงมรรคมีองค์แปดก็สดุ้งใจนี่ข้าพเจ้าเกือบไปแล้ว
    วันนี้เลยตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบภาระอย่างมีความสุขเห็นธรรมก็เราก่อกรรมไว้ก็ไปยืมเงินเขามาก็ต้องใช้เขาเรื่องปกติจะหนีไปไหนไม่ถูก
    วันนี้ไม่ได้ทุกข์แม้ไม่ได้ร่วมกิจกรรมใดๆกับใครๆแถมไม่กลัวภัยพิบัติใดๆที่ไหนเพราะว่าภัยพิบัติที่เกิดจากตัวเราคิดผิดทำผิดน่ากลัวกว่าขอบคุณธรรมะของพระพุทธเจ้าและทางสายกลาง
    ทีตัดสินเข้ามาโพสต์ไม่ได้จะมาว่าใครที่สุดคือสติปัญญาของเราเท่านั้นที่จะช่วยเรา
     
  16. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    อ่านแล้วได้แต่เข้ามายิ้ม :)
     
  17. pornpana

    pornpana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +192
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สมจิตรเขากะลา [​IMG]
    ตอบข้อสงสัย ทำไมระบบตั้งชื่อมูลนิธิ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน

    1. เป็นบุคคลที่ระบบวางตัวเอาไว้ให้เกิดที่เขากะลา ได้รับมรดกเป็นที่ดินที่เขากะลา

    2. เป็นบุคคลที่ระบบวางตัวไว้ให้ทำหน้าที่สื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในยุคแรกเริ่ม

    จนนำมาสู่การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

    และพัฒนาเป็น กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ในปัจจุบัน

    3. เป็นบุคคลที่ให้กำเนิดผู้รับผิดชอบแผนก 3 แผนก ตามระบบ

    เพื่อให้งานของระบบดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

    4. เมื่อท่านสิ้นชีพไปแล้ว ลิขสิทธิ์รูปร่างหน้าตาตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ อุทิศให้ระบบ

    นำไปใช้ในการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในนาม จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน

    5. ท่านเป็นเจ้าของที่ดิน ที่สันคู เพื่อให้เป็นที่ตั้งในการดำเนินการของระบบในช่วง

    แรกเริ่ม ปัจจุบัน และในอนาคต

    6. ท่านเป็นเจ้าภาพใหญ่ที่ดิน 25 ไร่ ที่เขากะลา เมื่อมีผู้ประสงค์ซื้อที่ดินที่เขากะลา

    เพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรม ระบบให้ซื้อในราค
     
  18. สมจิตรเขากะลา

    สมจิตรเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +162
    ขอชี้แจงค่ะ ราคาประเมินที่ดินไร่ละ ห้าหมื่นบาท มีชื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 4 ชื่อ

    ชื่อคุณสุดใจ ถูกธนาคารฟ้องยึดที่เนื่องจากติดค้ำประกัน อีก 3 ชื่อไม่มีส่วน

    เกี่ยวข้อง แต่ที่ดินยังไม่ได้แบ่งแยกโฉนด และไม่ได้ติดจำนองใดๆ

    ธนาคารดำเนินการขายทอดตลาด เพื่อจะหักเงิน 1/4 ส่วน ของคุณสุดใจ

    โดยที่ส่วนแบ่งของคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้อง และหากราคาไม่เป็นที่พอใจ

    ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินยื่นทักท้วงได้ แต่เนื่องจากที่ดิน 25 ไร่ นี้ครอบครัว

    มีเจตนาจะให้ใช้งานเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ปี 2541 ซึ่งรุ่นเขากะลา

    1 ทุกคนทราบดี แต่ติดที่อยู่ในช่วงขายทอดตลาด ไม่มีคนซื้อมาหลายปี

    พอกลางปี 2548 มีคน ติดต่อซื้อ วางเงินค้ำประกันไว้ที่กรมบังคับคดี 5 หมื่นบาท

    สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ ทำให้ถูกยึดเงินประกันไป 5 หมื่นบาท

    คุณดิจิตอล มีความปรารถณามาหลายปี อยากสร้างสถานปฏิบัติธรรมเพื่อส่วนรวม

    ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์เดิมคือเพื่อส่วนรวม เมื่อมีการติดต่อซื้อขายที่ดิน โดยที่คุณ

    ดิจิตอลยังอยู่ต่างประเทศ ให้ใช้ชื่อคุณ No.9 รับโอนกรรมสิทธิ์แทนไปก่อน

    ผู้มีกรรมสิทธิ์ ที่เหลือ 3 ท่าน ยินยอมให้ขายได้ในราคาไร่ละ สองหมื่นห้าพันบาท

    โดยไม่ทักท้วงเพราะเห็นเจตนาดีให้ส่วนรวมได้ใช้ประโยชน์ และคิดว่าระบบคง

    ให้ขาย 1/2 ของราคาประเมิน เพื่อให้คุณพ่อ (เจ้าของที่ดินเดิม)ได้มีส่วนร่วม

    อุทิศที่ดินเพื่อส่วนรวม (ปัจจุบันราคาขายที่ดินไร่ละ หกหมื่นขึ้นไป ตามแต่ทำเล)

    จึงแจ้งมาเพื่อทราบ เรื่องของที่ดิน 25 ไร่ ที่มีการก่อสร้างแล้วปิดตัวลงไป







     
  19. ดาบจันทรา

    ดาบจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    986
    ค่าพลัง:
    +1,953
    ขอรายงานเรื่องบัญชีหนังสือธรรมะละวาง
    อัตตาตัวตน ครั้งที่ 2 ที่มีผู้ได้บริจาคกัน
    ไปแล้วนั้น ได้รับแจ้งมาจากอาจารย์จอห์นนี่
    ว่า สำหรับผู้ที่บริจาคหนังสือธรรมะ ครั้งที่ 2 นั้น
    ผู้ใดต้องการเงินคืน ทางอาจารย์จอห์นนี่จะ
    โอนเงินคืนให้ แต่ถ้าไม่ต้องการคืน จะนำเงินนั้น
    ไปทำบุญทั้งหมด และจะโพสใบอนุโมทนาบัตร
    มาให้ดูกันหน้ากระทู้ ซึ่งตอนนี้อาจารย์จอห์นนี่
    กำลังเช็คยอดบัญชีกับคุญกาญจนา (เลขา)
    ว่าเป็นยอดทั้งหมดเท่าไหร่ ซึ่งรายละเอียด
    ต้องรอเอกสารทางบัญชีจากเลขาคุณจอห์นนี่
    เสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะนำมาแจ้งที่กระทู้นี้
    อีกครั้งหนึ่งนะค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. ดาบจันทรา

    ดาบจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    986
    ค่าพลัง:
    +1,953
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไอยได้เตรียมเอกสาร
    ทางบัญชีเกี่ยวกับโครงการพ่อแม่บุญธรรม
    ที่ทุกคนอยากทราบตั้งแต่ครั้งแรกนำไป
    ที่พุทธธรรมสถานธนบุรีรมย์ เพราะ
    ได้ข่าวว่ามีคนอยากทราบบัญชีที่แท้จริง
    หลาย ๆ คน อาจจะสงสัย ว่าทำไม ไอย
    ไม่ยอมเปิดเผยบัญชีโครงการพ่อแม่บุญธรรม
    มาตั้งแต่ต้นมาวันนี้ไอยขอเฉลยด้วยตัวเอง
    เลยว่าหลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าพี่สุดใจ
    ว่าขอยกเลิกโครงการพ่อแม่บุญธรรม
    เพราะระบบแจ้งมาว่าให้ยกเลิก <!-- google_ad_section_end -->
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...