ขอเล่าไว้เป็นกรณีศึกษาบ้างค่ะ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Pruksanusak, 21 พฤษภาคม 2014.

  1. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    หลังจากไปให้พี่พยาบาลสแกนวิญญาณครั้งที่ 1 และทำตามที่เธอบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรร้องขอมา ผ่านไป 1 อาทิตย์ อาการป่วยเจ็บกระดูกสันหลังของดิฉันก็หายดีเหมือนไม่เคยเป็นมาก่อน (งงมาก ขอบอก)

    ตอนสแกนวิญญาณ พี่พยาบาลจะให้ดิฉันนอนบนเตียงที่จัดไว้ ทีแรกนอนหงาย ฝ่ามือหงาย จากนั้นนอนคว่ำฝ่ามือหงาย ตอนที่นอนคว่ำ คอดิฉันจะหันไปด้านข้างไม่ค่อยถนัด หน้าจมลงในหมอนเกือบทั้งหมด

    เมื่อไปหาพี่พยาบาลให้สแกนวิญญาณครั้งที่ 2 คอที่เคยหันไม่ถนัดสามารถหันไปด้านข้างได้เต็มที่จนหน้าไม่ต้องจมลงในหมอน ดิฉันประหลาดใจมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่า การหันคอตอนนอนคว่ำได้แค่นั้นคืออาการผิดปกติ และระหว่างหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้สังเกตสนใจหรือหาทางรักษาอาการคอหันไม่ถนัดนี้เลย

    ตอนที่พี่พยาบาลช่วยสแกนวิญญาณให้เสร็จ เธอได้บอกว่า เทพประจำตัวของดิฉันคือท้าวเวสสุวรรณ ดิฉันประหลาดใจมาก เพราะไม่เคยเคารพบูชาเทพองค์นี้มาก่อน รู้จักก็แค่ชื่อ แต่คิดว่าเพราะได้ท้าวเวสสุวรรณท่านช่วย ถึงได้รู้ตัวเร็วว่าปีนั้นดวงตกมรณะ (รู้ตัวก่อนวันเกิด 10 เดือน มีเวลาในการเตรียมรับมือและแก้ไขมากมายเหลือเฟือ) และหาทางแก้ไขจนรอดพ้นมาได้อย่างไม่ทุลักทุเล (แต่ก็ทำเอากระเป๋าเบาไปอักโข)

    ครั้งที่ 1 ที่ไปหา พี่พยาบาลบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณมาในปางเทวดา แต่ครั้งที่ 2 ที่ไปหา มาในปางยักษ์

    ดิฉันไปหาพี่พยาบาลทั้งสิ้น 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 อาทิตย์ เพื่อให้ช่วยตรวจดูผล ซึ่งในครั้งที่ 2 พี่พยาบาลบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรปิศาจทั้ง 2 ตนและกองทัพผีได้เงินได้บุญได้ของ ก็พากันจากไปจนหมดแล้ว แต่ในการสแกนวิญญาณครั้งที่ 2 พี่พยาบาลบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณสั่งให้เธอเปิดสัมผัสของดิฉันที่ถูกปิดไปเมื่อ 9 ปีก่อน เพื่อที่ท่านจะได้ติดต่อช่วยเหลือให้ดิฉันผ่านปีนั้นได้สะดวกขึ้น

    บอกตามตรงเมื่อรู้ว่าสัมผัสถูกเปิดอีกครั้ง (สังหรณ์ใจตั้งแต่โดนพี่เขาเอามือตบๆ ที่หูซ้ำหลายรอบมากแล้ว T T) ดิฉันกลัวและเซ็งมาก อุตส่าห์มีชีวิตสงบสุขมาได้ตั้ง 9 ปีโดยไม่เจอเรื่องไม่พึงประสงค์มาแผ้วพาน วันเวลาอันสงบสุขดันจะจบลงเสียแล้ว กลับบ้านวันนั้นเกร็งมากว่าจะได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์ที่ไม่ได้ยินมานานอีกครั้ง แต่ไม่ยักได้ยิน

    และแล้วในระหว่างวันเวลาที่เผากระดาษกงเต็กให้เหล่าผู้ร้องขอ วันหนึ่ง เป็นวันฝนตก ดิฉันนอนกลางวันช่วงบ่าย อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคนดังมาจากนอกหน้าต่าง (ห้องดิฉันอยู่ชั้น 1) ว่า
    "พี่ครับขอยืมเงินหน่อย จะเอาไปเป็นค่ารถกลับบ้าน"

    ดิฉันนึกในใจว่าพูดอะไรฟะ ได้ยินไม่ค่อยถนัด เสียงนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงอู้อี้จับความไม่ได้ จากนั้นก็มีเสียงเหมือนแม่บ้านมาไล่เขาไป ดิฉันตื่นเต็มตาในตอนนี้ และได้ตระหนักว่า

    1. ข้างนอกฝนตก ใครฟะจะมายืนตากฝนพูดอยู่นอกหน้าต่าง

    2. ที่บ้านเลี้ยงหมาตั้ง 5-6 ตัว แถมเห่า + กัดคนแปลกหน้าเก่งกันทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะมีคนแปลกหน้าที่ไหนมายืนพูดอยู่นอกหน้าต่างโดยไม่ถูกหมาเห่า + กัดอย่างแน่นอน

    3. บ้านนี้ไม่มีแม่บ้าน

    เมื่อรวม 3 ข้อนั้นแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า

    1. นี่ตูอัพเลเวลจากได้ยินเสียงสนุกเกอร์เป็นได้ยินเป็นเสียงพูดชัดเจนฟังรู้เรื่องแล้วเรอะ? (ถึงจะเป็นแค่ช่วงเคลิ้มๆ ก็เถอะ)

    2. นี่คือมาขอเงินสินะ โอเค จะเผาแบ่งไปให้ ถึงยังไงก็กำลังอยู่ในช่วงเผาแบงค์กงเต็กอยู่แล้ว

    ต่อมาอีกไม่กี่วัน ก็ฝันประหลาด ฝันว่าอยู่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่กำลังเกิดโรคระบาด มีคนตายรายวัน วันละ 1-2 ราย เมื่อคนตายแล้ว ศพจะถูกนำมาเผาที่ลานกลางหมู่บ้าน มีหมอผีมาทำพิธีตอนโพล้เพล้ และเมื่อทำพิธีเสร็จ ศพนั้นจะดันฟื้นคืนชีพกลายเป็นซอมบี้มาไล่ฆ่าไล่กินชาวบ้าน

    ในฝัน เป็นวันที่มีชาวบ้านตาย 2 ศพ ศพวางอยู่กลางลาน หมอผีนั่งอยู่ข้างศพ ดิฉันก็ดันไปนั่งอยู่ข้างศพด้วยในตอนโพล้เพล้ (ไปนั่งทำบ้าอะไรอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน - -") แล้วดิฉันดันรู้เสียด้วยว่าเดี๋ยวศพสองศพนี้ก็จะลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้ไล่ฆ่าชาวบ้าน แต่รู้แล้วก็ยังดันนั่งแช่อยู่อีก จนกระทั่งศพเริ่มลุกขึ้น ดิฉันก็เผ่นขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์หนี อาศัยว่าซอมบี้เดินต้วมเตี้ยม ไล่ตามรถมอเตอร์ไซค์ไม่ทันเห็นๆ

    ดิฉันขี่รถหนีซอมบี้มาตามถนนจนถึงเวลาราวๆ สองทุ่ม ก็พบโรงขายอาหารใหญ่โตโอ่โถงพอสมควรแห่งหนึ่ง จึงแวะเข้าไปซื้อเสบียง (ยังอุตส่าห์มีแก่ใจแวะซื้อ ประมาณกะว่าซอมบี้ยังต้องเดินอีกนานเป็นชั่วโมงกว่าจะตามมาถึงที่นี่) แต่เพราะค่ำแล้ว ร้านข้าวแกงขายอาหารหมดไปหลายร้าน เหลืออยู่แค่ไม่กี่ร้าน ดิฉันก็เดินไปดู เห็นร้านหนึ่งมีกับข้าว 2 อย่างที่ยังเหลือเต็มหม้อ คือแกงส้มปลากับผัดผักกาดขาว จึงเลือกซื้อสองอย่างนี้

    เมื่อตื่นจากฝัน ก็จำกับข้าวสองอย่างนี้ได้แม่นมาก ตอนไปใส่บาตรเช้าวันนั้นจึงมองหากับข้าวสองอย่างนี้ (ดิฉันจะขยันใส่บาตรทุกวันเวลาเจอเรื่องแบบนี้ พอเรื่องซาก็จะเริ่มขี้เกียจ เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้) แต่มีแต่แกงส้มกุ้งฝอย ไม่มีแกงส้มปลาและผัดผัก (ก็แหงแหละนะ กับข้าวที่แม่ค้าทำมาขายคนใส่บาตรชุดละ 30 บาท จะไปมีของแพงได้ยังไงกันล่ะ) เที่ยงวันนั้นจึงแวะมาที่บ้านคุณแม่ สั่งกับข้าวสองอย่างในฝัน แกงส้มปลากะพงและผักกาดขาวผัดหมู ไปถวายเพลที่วัด โดยชวนพี่สาวไปด้วย

    ตอนขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดที่บ้านแม่ ที่จอดรถเป็นแผ่นเหล็กพาดอยู่เหนือคูระบายน้ำขนาดใหญ่ ก็ได้กลิ่นหนูตายลอยมา แต่กลิ่นไม่แรง ดิฉันไม่แปลกใจนัก เพราะนึกว่าคงมีหนูตายอยู่ในคูระบายน้ำ จากนั้นเมื่อขี่รถไปซื้อขนมหวานที่ร้านซึ่งอยู่ห่างออกไป พอจอดรถแล้วเดินลงมา กลิ่นหนูตายก็โชยมาอีกแล้ว หนนี้ชักสงสัย หรือเราจะไปเหยียบอะไรเข้า เลยติดรองเท้ามา? หงายรองเท้าขึ้นดู...ก็ไม่มีนี่หว่า แล้วเลิกสนใจ

    หลังจากถวายเพลเสร็จ กลับมาบ้านแม่ เอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่เหนือคูน้ำ พบว่ากลิ่นหนูตายหายไปแล้ว...เลยค่อยเข้าใจว่ามีผู้ตามมารอกินของที่อุตส่าห์หาทางเนรมิตฝันเพื่อจะออเดอร์กับข้าวสองอย่างนั้นโดยเฉพาะเมื่อคืนนี้นั่นเอง...
     
  2. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ก่อนพี่เขยดิฉันจะเสียราวๆ 1 ปี พี่ชาย 4 ของดิฉันเคยล้มป่วยเป็นไข้สูงโดยที่หมอตรวจหาสาเหตุไม่พบ ทั้งตรวจน้ำลาย เจาะเลือด เพราะไม่ทราบสาเหตุ จึงไม่สามารถรักษาให้ตรงกับโรคได้ นอกจากพยุงอาการไปเรื่อยๆ ซึ่งมีแต่ทรุดหนักจนเข้าขั้นโคม่า

    คุณแม่ของดิฉันจึงพึ่งทางอื่น โดยการไปถามคนทรงเจ้าพ่อเห้งเจียที่หาดใหญ่ (ที่เดียวกับของน้องอ้อนนั่นแหละค่ะ) ได้คำตอบว่า เวลานั้นพี่ชายดิฉันคนนี้คุมโรงงานแห่งหนึ่งอยู่ ในโรงงานมีศาลพระภูมิ ซึ่งเขาไม่เคยไหว้เองเลย ให้แต่คนงานไหว้แทนตลอด พระภูมิเจ้าที่ท่านจึงไม่พอใจเล่นงานเอา ประจวบกับชะตาถึงฆาต เจ้ากรรมนายเวรจะมาตามเอาชีวิต จากนั้นเจ้าพ่อก็ช่วยทำพิธีแก้ไขให้ พร้อมกับบอกให้พี่สะใภ้สี่ไปจุดธูปไหว้ขอขมาศาลพระภูมิแทนสามี และบอกว่าหลังจากหายป่วย พี่ชายสี่ต้องบวชให้เจ้ากรรมนายเวร

    หลังจากทำพิธี วันรุ่งขึ้น (วันอังคาร) ก็ตรวจพบสาเหตุของอาการป่วยว่าเป็นปอดบวม จึงสามารถรักษาหายได้ วันพุธลุกจากเตียงได้ วันพฤหัสออกจากโรงพยาบาลได้ ทำให้หมองงมากว่าคนป่วยเข้าห้อง ICU เมื่อ 2-3 วันก่อนทำไมหายเร็วผิดปกติ ซึ่งไม่ใชปกติวิสัยของคนป่วยเป็นปอดบวมที่แม้เมื่อหายโคม่าแล้ว ก็ยังต้องนอนซมไปอีก 1 อาทิตย์

    เพราะเคยเกิดกรณีของพี่เขยที่ดวงตกมรณะแล้วไม่สนใจจะไปแก้ไขจนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อดิฉันถูกทักด้วยเรื่องดวงตกมรณะเหมือนกัน จากหลายๆ คนทั้งเพื่อนสนิทที่มีสัมผัสที่ 6 สองคน เจ้าอาวาสที่ช่วยดูดวงให้ (แม้ท่านจะไม่ได้บอกว่า "ดวงตกมรณะ" ตรงๆ) และเพื่อนพี่ชายที่นั่งทางในได้ ก็เกิดอาการปริวิตก

    ยิ่งเมื่อไปหาพี่พยาบาลสแกนวิญญาณครั้งที่สอง และพี่เขาบอกถึงคำทำนายเรื่องน้ำจะท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมิ.ย. ก.ค. และพ.ย. ของปีนั้น แต่ที่พี่เขาบอกคือท่วมหาดใหญ่ (มีบอกว่าท่วมที่อื่นด้วย แต่ดิฉันสนใจแค่หาดใหญ่) และดูจากดวงของดิฉัน ถ้าไม่มีการแก้ไขเคลียร์กับเจ้ากรรมนายเวร ดูท่าทางจะมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมนี้

    เมื่อได้ฟังพี่พยาบาลบอกแบบนี้ ดิฉันจิตตกมาก ตั้งสมาธิทำงานไม่ได้เลย ทั้งเครียดเรื่องเก็บเงินลูกค้ามาล่วงหน้า ถ้าเราตายไปโดยที่ทำงานยังไม่เสร็จ ก็จะกลายเป็นหนี้คนจำนวนมากติดค้างไปถึงชาติหน้า แต่ถ้าไม่มีสมาธิอยู่แบบนี้จนงานเสร็จไม่ทันที่วางแผน + แจ้งลูกค้าไว้แล้ว ก็จะโดนด่าเช็ด เรียกได้ว่าเครียดและกลุ้มใจจนร้องไห้ ถึงขนาดคิดจะแจ้งคืนเงินให้แก่ผู้สั่งซื้อสินค้าทุกคน เพื่อจะได้ไม่ติดค้างกัน และเขียนพินัยกรรมไว้ล่วงหน้า

    ช่วงนั้น (เดือนมีนาคม) ดิฉันโทรศัพท์ระบายกับเพื่อนบ่อยมาก เพราะเป็นช่วงที่ดิฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อการแก้ไขดวงเท่าที่พอจะทำได้แล้ว เหลือแต่รอดูผลลัพธ์สถานเดียวว่าดิฉันจะรอดหรือเปล่า โดยรอดูว่าเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เดือนมิ.ย. และก.ค. จะเกิดขึ้นหรือไม่

    พี่พยาบาลแนะนำให้ดิฉันสวดมนต์บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกวัน แต่เมื่อเห็นความยาว = คาถาชินบัญชร x 3 ของมนต์บทนี้แล้ว ดิฉันก็ถอดใจ ขอวิธีแก้ทางอื่นเถอะ...ถือศีล 8 ก็ไม่เอาอีกเหมือนกัน

    ช่วงนั้นดิฉันก็พยายามทำบุญใส่บาตรทุกเช้า + ถวายสังฆทานและผ้าไตรจีวร + หยอดเหรียญสะเดาะเคราะห์ + บริจาคโลง + ไหว้ศาลพระภูมิอย่างเคร่งครัด แถมช่วงเข้าพรรษายังไปถวายสังฆทาน + ผ้าไตร + เทียนพรรษาอีก 18 วัด

    รวมแล้วในปีนั้น ช่วงเดือนมี.ค.-ส.ค. แค่ 6 เดือน ดิฉันถวายสังฆทานไปราวๆ 50 ถัง กับผ้าไตรอีกหลายสิบผืน กระเป๋าเบาไปอักโข แต่ก็มองว่ามันคือการซื้อชีวิต เพื่อให้เราสามารถอยู่รอดทำงานที่ดิฉันรักไปได้จนแก่

    ในราวเดือนพฤษภาคมของปีนั้น หลังจากแก้ไขกรรมทุกวิธีเท่าที่พี่พยาบาลบอกครบหมดแล้ว เพื่อนคนหนึ่งได้โทรศัพท์มาเล่าเรื่องหมอดูทางโทรศัพท์ให้ฟัง ด้วยความอยากลอง ก็โทรหาให้เขาดูดวงให้ ถามเรื่องดวงตกมรณะ

    ผลคือหมอดูทั้งสองบอกว่าปีนี้ดิฉันไม่ได้ดวงตกมรณะสักหน่อย ทำให้ดิฉันรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า หมอดูไม่แม่น หรือเพราะเราแก้กรรมไปแล้ว ดวงจึงเปลี่ยน? เพราะก่อนจะมาดูกับสองรายนี้ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนั้นดิฉันดวงตกมรณะ ก็ประหลาดดี

    ตอนถวายสังฆทานและเทียนพรรษา 9 วัดรอบที่ 2 ดิฉันได้ไปถวายวัดแห่งเดิมที่หลวงพี่เจ้าอาวาสเคยทำนายดวงเรื่องดาวเคราะห์สามดวงมาขัดกันอยู่ในดวง หลวงพี่เห็นหน้าก็ทักว่าหน้าตาผ่องใสขึ้นเยอะเลยนี่ ดิฉันจึงถามท่านว่า ครั้งก่อนที่มา (ครั้งที่ท่านดูดวงให้) หน้าตาดูหมองคล้ำหรือคะ? หลวงพี่ตอบว่า เปล่า ไม่ได้หมองคล้ำ แต่ครั้งก่อนที่มาหน้าซีดมาก ดิฉันก็อึ้ง

    เหตุที่ฟังแล้วอึ้งเพราะว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่แพคหนังสือ ประจำเดือนของดิฉันก็มา และไม่ยอมหยุด มาเยอะทุกวันติดต่อกันนาน 2-3 เดือน เมื่อเล่าให้พี่สาวฟัง เธอจึงพาไปหาหมอสูติฯประจำครอบครัว หมอให้ยามากิน ก็หายดีอยู่ราวๆ ครึ่งปี ซึ่งช่วงครึ่งปีที่หายดี คือช่วงที่พระท่านทักว่าหน้าตาดูผ่องใส

    แต่น่าแปลกที่ช่วงที่ดิฉันเมนส์มาเยอะทุกวันไม่หยุดนั้น ไม่มีใครดูออกเลยว่าดิฉันกำลังเสียเลือดจำนวนมากทุกวัน หน้าตาดูเป็นปกติไม่ได้มีอาการซีดเซียวแต่อย่างใด ดังนั้นสิ่งที่หลวงพี่ท่านเห็น จึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปมองเห็น

    อย่างไรก็ตาม เมื่อหลวงพี่ท่านทักมาดังนี้ และเดือนก.ค.ก็กำลังจะล่วงผ่านโดยไม่ปรากฏเหตุการณ์น้ำท่วม ดิฉันจึงคลายใจลง ไปให้พี่พยาบาลลองสแกนวิญญาณดูอีกครั้ง หนนี้พี่พยาบาลบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณกลับขึ้นสวรรค์ไปปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เทวดาเขาทำกันในช่วงเข้าพรรษา และส่งตัวแทนจากข้างล่างมาช่วยดูแลดิฉันชั่วคราว

    ดิฉันตีความว่า การที่ท่านให้ตัวแทนดูแล แปลว่าช่วงนี้ดวงของดิฉันไม่มีอะไรน่าห่วงขนาดต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดอีก จึงตัดสินใจขึ้นกรุงเทพฯไปเก็บตัวแปลนิยายให้เสร็จเร็วๆ

    เรื่องเทพประจำตัวนี้ ในเดือนกรกฎาคม ดิฉันได้ขึ้นกรุงเทพฯมาเก็บตัวแปลนิยาย ซึ่งในระหว่างนี้เคยไปหาหมอดูไพ่ยิปซีที่ท่าพระจันทร์ หน้าม.ธรรมศาสตร์ หมอดูชื่อพี่จอย ถามเรื่องดวงตกมรณะ เธอก็บอกว่าไม่ได้ดวงตกมรณะในปีนั้นแต่อย่างใด แต่เมื่อถามเรื่องเทพประจำตัว เธอตอบลักษณะมาตรงกับที่พี่พยาบาลพูด ว่าเป็นยักษ์ เพศชาย ศักดิ์ใหญ่มาก กายสีเขียว และดุมาก

    คำตอบนี้ทำให้ดิฉันที่ก่อนนี้เริ่มจะรู้สึกว่าการบอกเล่าหลังผ่านการสแกนวิญญาณขอพี่พยาบาลชักจะแฟนตาซีจนไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือ กลับมาไม่แน่ใจว่า เฮ้ย! ที่พี่พยาบาลพูดมานี่ตกลงเป็นความจริงหรือ?

    (แต่เอาเข้าจริง อดีตก็ไม่ได้สำคัญเท่าปัจจุบันหรอก ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด พยายามสร้างสมบุญ ลดละบาปและกิเลส วางตนอยู่ในศีลในธรรม หมั่นสวลมนต์แผ่เมตตา นึกคิดแต่ในทางบวก อย่าไปคิดร้ายทำร้ายใคร เท่านี้ก็พอแล้ว)

    นอกจากนี้ ช่วงที่ขึ้นมากรุงเทพฯ ดิฉันใช้จักรยานออกกำลังกายของอพาร์ตเมนต์เพื่ออกกำลังกาย ทั้งกะจะลดความอ้วน และกะจะพิสูจน์ดูว่า สาเหตุของอาการปวดกระดูกสันหลัง เป็นเพราะนั่งปั่นจักรยานออกกำลังกายนี้ใช่หรือเปล่า

    ผลปรากฏว่าปั่นไปได้เพียง 4 วันก็เริ่มเจ็บกระดูกสันหลังนิดๆ เหมือนครั้งก่อนเปี๊ยบ ดิฉันจึงหยุดออกกำลังกาย รอดูว่าครั้งนี้หากไม่หาทางรักษาเลย จะใช้เวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์ในการหายดีเหมือนครั้งก่อนหรือไม่ เพราะถ้าใช่ ก็แปลว่าความจริงแล้วเมื่อครั้งก่อน ดิฉันต้องหายดีเองอยู่แล้วโดยที่การสแกนวิญญาณไม่ได้ช่วยอะไร

    ผลปรากฏว่า กว่าจะหายดีใช้เวลา 2 อาทิตย์ ทั้งที่เจ็บกระดูกสันหลังครั้งนี้ ความรุนแรงของอาการอาการแค่ 30% ของครั้งก่อน...
     
  3. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ในเดือนสิงหาคม ดิฉันนัดไปเที่ยวกับเพื่อนที่อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เราไปด้วยกัน 4 คน A B พี่ N และดิฉัน โดยทริปนี้ไปเช้าวันเสาร์ กลับบ่ายวันอาทิตย์

    คืนวันศุกร์นั้น ดิฉันต้องส่งต้นฉบับนิยาย จึงเร่งปั่นให้จบก่อนไปเที่ยว คืนนั้นฝนตกหนัก และสาดใส่ประตูกระจกหลังห้องแรงมากจนยันต์จากศาลเจ้าปอเต็กตึ๊งที่ขอมาติดไว้ด้านนอกห้องฉีกขาดออกไป และหม้อแปรงระเบิดไฟดับทั้งซอยตอนสามทุ่มครึ่ง บรรยากาศให้อารมณ์หนังผีว่าผีกำลังจะโผล่มามาก แต่เนื่องจากต้องเร่งปั่นต้นฉบับ ดิฉันจึงเอาไฟฉายช่วยส่อง ตรวจต้นฉบับต่อไป ทำอยู่หนึ่งชั่วโมงก็ไปนอน

    เช้าวันเสาร์ ออกไปตามนัดกับเพื่อน ไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาตอนเย็น แล้วกลับเข้าที่พักซึ่งเป็นเรือนไทยหลังโดดมี 2 ห้องนอนคั่นด้วยฝาไม้บางๆ ดิฉันนอนห้องเดียวกับพี่ N ส่วน A B เป็นฝาแฝด นอนห้องเดียวกัน

    เพิ่งเข้าห้องพัก พี่ N ก็นอนพักเพราะเหนื่อยมาก จังหวะนี้ B เข้ามาเรียกข้าพเจ้าไปที่ห้องเธอ บอกว่าที่ห้องเธอมีกลิ่นส่าเหล้า ดิฉันจึงไปที่ห้องของ A B และได้กลิ่นเหล่าจางๆ ทันทีที่ก้าวเข้าไป แต่เดินสำรวจทั่วห้องแล้ว ก็หาที่มาไม่พบ

    A บอกว่าได้กลิ่นมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ท่าเรือ และได้กลิ่นตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือ แต่ตอนนั่งอยู่บนเรือ ดิฉันนั่งติดกับ B และนั่งชิดหลัง A ดิฉันกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย

    สุดท้ายพวกเราก็เลิกสนใจกลิ่นนี้ สี่คนไปนั่งดูทีวีเฮฮากันในห้องดิฉัน จากนั้นแยกย้ายกันไปนอน ดิฉันอ่านการ์ตูนที่ B หอบมาให้ เป็นนิยายฆาตกรรมปริศนาฆ่าหั่นศพยัดลงกล่อง 4 เล่ม อ่านจนเกือบจบแล้วเข้านอน นอนหลับสบายดี

    วันรุ่งขึ้นวันอาทิตย์ พวกเราไปเที่ยววัดโพธิ์ปรกกัน A ไปเสี่ยงเซียมซี และเอาใบนั้นมาให้ดิฉันอ่าน มีคำทำนายหนึ่งที่ดิฉันจำได้แม่นอย่างน่าประหลาด คือ "จะมีมิตรจากแดนไกลมาหา"

    ตกบ่าย พวกเรานั่งรถตู้กลับถึงบ้าน/อพาร์ตเมนต์กันโดยสวัสดิภาพ มาวันจันทร์ ดิฉันเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน เพิ่งโผล่ศีรษะออกจากห้องลงไปกดน้ำที่ชั้นล่างช่วง 1 ทุ่ม ตอนกลับขึ้นมาก็สังเกตเห็นว่า ประตูห้อง 603 ที่อยู่ตรงข้ามห้องของดิฉันเปิดอยู่ราวๆ 5 cm เวลานั้นห้อง 603 ไม่มีคนพักอยู่ ขนลุกเลยค่ะ

    ดิฉันเดินเข้าห้อง โทรศัพท์ลงไปที่ห้องธุรการข้างล่าง บอกผู้จัดการอพาร์ตเมนต์ว่าประตูห้อง 603 เปิดอยู่แน่ะค่ะ ผู้จัดการอพาร์ตเมนต์ตาลีตาเหลือกขึ้นมาโดยเร็ว เข้าห้องนั้นเปิดไฟสว่างและเข้าไปสำรวจดูว่ามีอะไรหายหรือเปล่า ก่อนจะปิดประตูล็อคเรียบร้อย และหันมาบอกดิฉันว่า เมื่อกลางวันคนทำคามสะอาดมาทำความสะอาดแล้วปิดไม่สนิทน่ะครับ

    ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ไม่ใช่ห้องฉันสักหน่อยนี่

    ต่อมาไม่แน่ใจว่าในคืนนั้น หรือเช้าวันถัดมา A ก็โทรมาเล่าว่า ตอนกลับไปถึงบ้าน เล่าให้น้องสาว (ซึ่งมีสัมผัสแรง มองเห็นผีค่อนข้างบ่อย) ฟังว่า ตอนพักโรงแรมที่อัมพวา ได้กลิ่นส่าเหล้าในห้องด้วย น้องสาวตอบว่า ก็ใช่ เขาตามพี่ A กลับมาด้วย เนี่ยตอนนี้กำลังเอาคางวางอยู่บนไหล่น้อง

    ดิฉันฟังแล้วก็บอกว่า "เพื่อนเธอแวะมาดูที่ห้องเราด้วย แต่ก็แค่แวะมาดู แล้วกลับไป" จากนั้นเล่าเหตุการณ์ประตูห้อง 603 เปิดเองทั้งที่ปิดล็อคให้ฟัง

    สรุปว่าประตูห้อง 603 เปิดเองทั้งสิ้น 3 ครั้ง ตอนพคของ 2 ครั้ง และครั้งนี้อีก 1 ครั้ง

    วันรุ่งขึ้น A จึงไปหาหมอดูไพ่ยิปซี หมอดูบอกว่ามีผีตามอยู่ และบอกวิธีทำบุญ + เชิญให้เขากลับไปที่เดิม

    นี่แหละคือ "สหายจากแดนไกลที่มาเยี่ยม" ของ A



    ดิฉันอยู่ปั่นเรื่องนิยายจนถึงเดือนตุลาคม ก็เริ่มมีข่าวลือเรื่องกรุงเทพฯน้ำจะท่วม คุณแม่ก็ให้พี่สาวและพี่ชายโทรมาตามดิฉันกลับบ้าน บอกว่าครั้งนี้จะท่วมหนักจริงๆ โทรมาตาม 2 ครั้ง ดิฉันบอกไม่กลับ เพราะตอนนั้นเชื่อสนิทใจว่ารัฐบาลไม่มีทางปล่อยให้เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯท่วมนานหรอก อย่างดี 2 อาทิตย์น้ำก็ลด และไม่น่าจะท่วมรุนแรงอะไร ดิฉันจึงไปซื้อเสบียงมาตุน กะเตรียมอยู่รอดูเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ

    แต่เมื่อคุณแม่โทรมาเรียกให้กลับครั้งที่ 3 ไม่ทราบอะไรดลใจให้ดิฉันรู้สึกว่า ไม่ควรอยู่กรุงเทพฯในช่วงนี้ ควรรีบกลับบ้านโดยด่วน ดิฉันจึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปซื้อตั๋วเครื่องบินที่สนามบิน แล้วบินกลับบ้านในวันมะรืน โดยที่เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้ว เพื่อเซฟชีวิตตัวเอง จึงไปขออาศัยอยู่ที่แมนชั่นของพี่ชายใหญ่ เก็บตัวอยู่แตในนั้นและคอยติดตามสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ

    น่าแปลกใจและน่าตกใจมากที่ในวันเกิดของดิฉัน น้ำได้ท่วมมาถึงตึกช้างซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน โดยท่วมสูง 80 cm และเมื่อน้ำลดไปได้ระยะหนึ่งจนกรุงเทพเริ่มเข้าที่ ดิฉันก็กลับขึ้นกรุงเทพฯมาทำงานต่อ

    วันที่กลับเข้ามาในห้องพัก รูดม่านเปิด ก็พบว่ายันต์แปดเหลี่ยมที่แม่พี่ N ซื้อหามาให้ร่วงตกลงมากองอยู่ตรงฐานประตู ดิฉันขนลุกเกรียว หยิบขึ้นมาแกะเทปใสแผ่นใหญ่ของเดิมที่ติดแบบกากบาทออก แล้วตัดเทปใหม่เอาขึ้นไปติดดังเดิม

    จากวันนั้นผ่านมาอีก 2 ปี เทปใสใหม่ไม่เคยเสื่อมคุณภาพ (ทั้งที่ก็ม้วนเดียวกัน) กระจกแปดเหลี่ยมไม่เคยตกลงมาอีกเลย จนดิฉันแกะมันออกมา เอาไปติดให้ที่ด้านหลังห้องของผู้ช่วย (น้อง T) ส่วนตอนที่ยันต์แปดเหลี่ยมร่วงตกลงมา เทปใสแปะมาได้ 10 เดือน
     
  4. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    เก็บตกเหตุการณ์ช่วงแพคหนังสือจนถึงช่วงรอดูผลว่าจะรอดดวงตกมรณะหรือไม่

    1. ตอนที่น้องๆ ซึ่งมาช่วยแพคหนังสือกลับกันไปหมดแล้ว และคืนห้อง 604 ไปแล้ว ดิฉันเคยเปิดประตูห้องตัวเอง (602) กับห้องตรงข้าม (603) ทิ้งไว้ แล้วเดินเข้าๆ ออกๆ 2 ห้องสลับกัน เพื่อพิสูจน์ดูว่า บรรยากาศต่างกันจริงหรือไม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ห้องดิฉันปลอดโปร่งปกติดี แต่ทันทีที่ก้าวเข้าห้อง 603 ขนละลุกเกียว บรรยากาศหนักอึ้ง ทั้งที่ห่างกันแค่ระเบียงทางเดินกว้าง 2 เมตรคั่นกลาง

    หลังจากส่งหนังสือครบหมดแล้ว ดิฉันก็ขนของที่เหลือมาไว้ในห้อง 602 ทั้งหมด จากนั้นคืนห้อง 603 ไป

    หลังจากแพคหนังสือเสร็จไม่นาน ดิฉันสังเกตเห็นว่า ในห้องธุรการที่ชั้น 1 ของอพาร์ตเมนต์ มีกุมารทองเพิ่มมา 2 องค์ จากเดิมทีไม่มี

    2. น้อง M ที่เป็นคนกระซิบบอกดิฉันที่หน้าลิฟต์ว่า มีผีตามดิฉันอยู่ เป็นผู้มีสัมผัสที่ 6 แรง และมีฝันบอกเหตุที่แม่นยำ โดยเฉพาะช่วงใกล้รุ่ง เธอเล่าว่า เธอเคยเป็นเหมือนดิฉัน คือถูกรบกวน ถูกตามรังควาน ถูกจะเอาชีวิต ไปให้พระรดน้ำมนต์ก็แล้ว ทำสารพัด ถึงขนาดไปปิดสัมผัสที่ 6 เหมือนที่ดิฉันทำ แต่สุดท้ายก็เอาไม่อยู่ โดนบังคับให้เปิด และพอเปิดอีกครั้งก็อัพเกรด เจอหนักกว่าเดิม เรียกว่าเจอมาเหมือนกันและเจอมาก่อนจนรู้ดี แต่วิธีแก้ปัญหาของเธอคือ เปลี่ยนศาสนา เนื่องจากแฟนของเธอ (K) นับถือคริสต์ และเทพประจำตัวเก่งมาก ทำให้ K ไม่เคยมีเซ้นส์และไม่เคยเจอผีเลย พลอยทำให้เธอที่อยู่ใกล้ปลอดจากผีไปด้วย เธอจึงตัดสินใจมานับถือคริสต์ตาม K และหลังจากนั้นก็ไม่เจอเรื่องผีรบกวนอีกเลย

    3. ฝันบอกเหตุที่ทำให้น้อง M ตัดสินใจบอกให้ดิฉันไปถวายสังฆทานคือ เธอฝันเห็นตัวเองยืนบนระเบียงทางเดินสีขาว เหมือนในโรงพยาบาล ข้างหน้ามีคนที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นดิฉันหรือ T ยืนหันหลังให้อยู่ (เธอคาดว่าน่าจะเป็นดิฉัน) บนไหล่ของเพื่อนที่เธอเห็น ข้างหนึ่งมีอะไรที่คล้ายๆ ปลิงทะเลเกาะอยู่ อีกข้างเป็นยันต์เขียนอักขระคล้ายตัวจีน เธอรู้ว่าทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งไม่ดี จึงจะเดินไปบอกเพื่อนคนนั้น แต่เดินได้กลางทาง ก็มีชายในชุดไทยราชปะแตนนุ่งโรงกระเบนเหมือนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สมัย ร.5 อายุประมาณ 60 ปี หน้าตาดุมาก โผล่มาจากประตูข้างทางมาจับแขนเธอไว้ไม่ให้เดินเข้าไปบอกเพื่อน แล้วเธอก็ตกใจตื่น โดยที่บนมือข้างที่ถูกจับ มีรอยช้ำเป็นรูปนิ้วมือคน เธอจึงตัดสินใจทักดิฉันใน MSN และบอกให้ไปถวายสังฆทาน โดยในตอนแรกยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มาเล่าในภายหลัง

    4. เมื่อดิฉันเล่าเรื่องที่ M ฝันให้พี่ N ฟัง พี่ N ก็ถามดิฉันว่า แถวบ้านดิฉัน มีศาลเจ้าจีนลักษณะนี้บ้างไหม? แล้วบรรยายให้ฟัง เมื่อดิฉันบอกว่ามี พี่ N จึงบอกว่า สงสัยฝันที่เธอเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ จะเป็นดิฉันเสียแล้ว

    เรื่องคือ ไม่แน่ใจว่าช่วงท้ายของการแพคหนังสือหรือเปล่า พี่ N ซึ่งมีฝันบอกเหตุที่แม่นยำเช่นกันเล่าให้ฟังว่าเธอฝันแปลก ฝันว่าไปต่างจังหวัดบ้านเพื่อนคนหนึ่งที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน นั่งอยู่ในร้านกาแฟลักษณะแบบนี้ๆ นั่งคุยกับเพื่อนที่เห็นหน้าไม่ชัด อยู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนล้อมโต๊ะที่เธอกับเพื่อนนั่ง มีทั้งตำรวจ ทั้งมุสลิมนุ่งโสร่ง บังเอิญบนผนังร้านมีกระจกติดอยู่ และพี่ N เห็นจากกระจกว่าคนเหล่านี้ไม่มีเงาทั้งหมด พี่แกกลัวผีมาก จึงกรี๊ด ล้มโต๊ะ แล้ววิ่งออกมาจากร้าน แวบตัดไปโผล่ในศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เพื่อนวิ่งตามเข้ามา ในศาลเจ้า ผีก็วิ่งตามมาเป็นพรวน แต่เข้ามาในเขตรั้วของศาลเจ้าไม่ได้ พี่ N วิ่งเข้าไปในตัวศาลเจ้า เห็นเทพประจำศาล (บรรยายลักษณะ) ลุกขึ้น ตัวขยายใหญ่ และชี้สั่งให้บริวารสองข้างประตูลากตัวเพื่อนพี่แกออกไป พี่ N พยายามร้องห้าม บอกว่าถ้าเพื่อนถูกลากออกไปให้ผีข้างนอกรุม เพื่อนคงตายแน่ แล้วพี่แกก็ตื่น

    จากคำบรรยายลักษณะของพี่ N ที่ไม่เคยมาแถวบ้านดิฉันมาก่อน ทั้งร้านกาแฟและศาลเจ้า รวมถึงเจ้าที่ในศาล มีลักษณะตรงกับแถวบ้านดิฉันทุกประการ

    5. ชื่อจริงของพี่ N เป็นชื่อที่แปลกมากไม่ซ้ำใคร พี่ N บอกว่าพระท่านตั้งให้ แต่ตอนตั้งพระท่านสนธิคำไม่ตรงกับความหมายที่ท่านต้องการสื่อ คำที่ได้จึงมีความหมายไปคนละทาง คือแปลว่า "ผู้เป็นที่รักของความตาย" หรือก็คือ ยมบาล, ยมทูต และพี่ N เล่าว่า ทุกคนที่ดูดวงให้พี่แก จะพูดตรงกันว่า มีกาลจักรสามดวง นี่มันดวงผู้ชาย แต่พี่ N ก็เป็นผู้หญิงแท้

    นอกจากนี้ A B เคยหัดนั่งสมาธิมาก่อน โดยเฉพาะ B ตอนที่เริ่มหัดนั่ง ได้เกิดนิมิตมองเห็นตัวเองในอดีตชาติ่าทั้งเธอและ A เคยเป็นทหาร เป็นพี่น้องกัน รู้ชื่อด้วย และตัวเธอเองตายในสงคราม ถูกตัดคอขาด เธอมองเห็นภาพตอนตาของตัวเอง สรุปคือ รู้ว่าชาติก่อนเป็นผู้ชายทั้งคู่

    ตอนไปหาพี่พยาบาลครั้งที่ 2 ดิฉันข้องใจมากว่า หากจะมีใครที่ชาติก่อนเคยทำงานข้างล่าง ก็น่าจะเป็นพี่ N มากกว่าดิฉัน ดิฉันจึงนำชื่อ + วันเกิดของพี่ N และ A B ไปถาม ได้คำตอบว่า ชาติก่อนเรา 4 คนอยู่แก๊งเดียวกัน ทำงานข้างล่างกันทั้ง 4 คน และร่วมกันทำผิด ทำเกินอำนาจหน้าที่กันทุกคน ดิฉันฟังแล้ว...เอ่อ...โคตรน่าเชื่อจังนะ

    แต่พอนำไปเล่าให้พี่ N กับ A B ฟัง ทั้งสามคนกลับมีแนวโน้มเชื่อมากกว่าดิฉัน ที่ A B เชื่อ เพราะ B เคยฝันว่า ตัวเองซึ่งอยู่ในร่างผู้ชายสวมชุดโจงกระเบนแดง เปลือยร่างท่อนบน เดินเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งลึกมาก และทอดลงต่ำไปเรื่อยๆ ซึ่งเธอรู้ดีว่า ปลายทางของถ้ำคือที่ไหน

    ส่วนพี่ N พี่เขาเคยฝันเห็นแม่น้ำอัตรภพ หรือบาโด ที่เป็นแม่น้ำคั่นระหว่างแดนคนเป็นและคนตายมาแล้วหลายครั้ง และมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่น้ำสายนี้ รวมถึงญาติสาวของเธอที่เป็นบุคคลมหัศจรรย์มากมาย (ญาติคนนี้ล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่อายุเพียง 20 ปี)

    6. เพื่อนที่นั่งทางในได้ของพี่ชาย 5 บอกว่า ชาติก่อนดิฉันเคยเกิดเป็นเทวดาผู้ชาย และอธิษฐานขอลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสะสมบุญบารมี ดังนั้นบุญจึงมี มีมากด้วย แต่เวลานี้เป็นช่วงเวลาดวงตก กรรมจึงส่งผลมากกว่า และการที่ผีชอบมาตามกันเยอะ เพราะมีบุญบารมี แต่เนื่องจากไม่เคยฝึกปฏิบัติ จึงเก็บงำรัศมีของตัวเองไม่เป็น เดินไปทางไหนจึงแผ่ออร่าล่อให้ผีตามมาขอส่วนบุญอยู่เรื่อย เหมือนต้นมะม่วงที่ยังโตไม่เต็มที่แต่ดันออกลูกสุกเต็มต้นโชว์ให้คนอื่นเห็น เขาก็แห่กันมาจะเก็บผลมะม่วงนี้ วิธีแก้คือฝึกปฏิบัติ เก็บออร่าตัวเองให้เป็น

    7. น่าจะเป็นตอนไปให้พี่พยาบาลดูครั้งที่ 2 หรือ 3 ก็ไม่แน่ใจ พอบอกคำทำนายจบ พี่เขาก็เปรยกับดิฉันว่า "น้องนี่เกี่ยวข้องกับผีเยอะมากเลยนะ"

    8. ตอนไปดูไพ่ยิปซี แม่หมอก็เปรยตบท้ายใส่ดิฉันว่า "คุณนี่ไปอยู่ที่ไหน ผีก็ตามไปอยู่ด้วยตลอดเลยนะ"

    9. ตอนไปหาพี่พยาบาลครั้งที่ 4 หลังพ้นช่วงดวงตกมรณะไปแล้ว เป็นวันหลังจากเห็นหัวหุ่นแขวนอยู่บนต้นไม้บนเกาะกลางถนนไม่กี่วัน พอพี่เขาสแกนเสร็จ ก็พูดทันทีว่า "ตาที่ 3 เปิดแล้วนี่" ดิฉันถามสวนไปเลยว่า "งั้นช่วยทำให้มันปิดลงอีกทีได้ไหมพี่?" น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ แต่พี่เขาบอกว่า ณ เวลานั้น เทพประจำตัวไม่ใช่ท้าวเวสสุวรณแล้ว เปลี่ยนเป็นพระฤาษีองค์หนึ่งซึ่งเคยเป็นพระอาจารย์ของดิฉันในอดีตชาติ น่าจะเป็นชาติที่เคยเกิดเป็นช้าง ซึ่งแสดงว่า ดิฉันจะต้องเริ่มฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง ตอนนั้นฟังแล้วก็คิดว่า รอไปก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ว่าง งานดีเลย์เพราะเรื่องพวกนี้มาเยอะแล้ว

    10. เมื่อเล่าเรื่องตาที่ 3 เปิดให้น้อง M ฟัง น้อง M แนะนำมาว่า ให้อธิษฐานขอกับเทพประจำตัว ว่าถ้าวิญญาณใดที่มาขอส่วนบุญ ให้มาในฝันเท่านั้น ไม่งั้นให้ช่วยบังไว้อย่าให้เรามองเห็น ดูเหมือนก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะมากันแต่เป็นเสียงเสียส่วนใหญ่ ซึ่งดูจะเป็นสื่อที่ดิฉันรับได้ดีที่สุด

    เรื่องที่มีคนบอกว่าเคยเกิดเป็นเทวดานี้ไม่แปลกใจนัก เพราะเคยคุยกับเพื่อนที่ศึกษาธรรม เขา/เธอต่างบอกตรงกันว่า เทวดาที่รักก้าวหน้า ต่างอยากจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสะสมบุญบารมีกันทั้งนั้น เพราะเทวดามีแค่ขันธ์ 4 ไม่ได้มีขันธ์ 5 ครบอย่างมนุษย์ การสร้างบุญบารมีและการจะไปให้ถึงนิพพานจึงยากกว่า

    นอกจากนี้ เป็นเทวดามันสบายเกินไป เสวยบุญจนติดสบาย ไม่ทำบุญเพิ่ม บุญหมดเมื่อไหร่มีหลายรายตรงดิ่งไปลงนรกเสวยกรรมต่อทันที ดังนั้นเมื่อยังมีชีวิต ยังมีโอกาส ให้พยายามทำบุญให้มาก ทาน ศีล ภาวนา ทั้งสามทาง ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...