ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต วัดกุฎีทอง อยุธยา

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  5. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  6. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    อานิสงส์ของการสร้างรั้วหรือกำแพงวัด
    อานิสงส์สำหรับวัด คือ
    1.อานิสงส์การก่อสร้างกำแพงวัดทำให้ผู้สร้างมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ทรัพย์สินที่มั่นคงแข็งแรง ปลอดจากจากอันตรายทั้งปวง ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า ทั้งยังเป็นการคำ้ชูพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
    2. โจรขโมยเข้ามาขโมยของหรือเข้ามาทำร้าย
    คนในวัดได้ยากขึ้น
    3. ทำให้วัดดูมีขอบมีเขตสวยงาม เป็นสัดเป็นส่วน
    4. หมาจรจัด สัตว์เลี้อยคลานเข้ามาในวัดได้ยาก
    ขึ้น
    5. วัดไม่ต้องเสียเงินสร้างรั้วกำแพงเอง ฯลฯ
    อานิสงส์สำหรับคนมาทำบุญ
    1. รู้สึกปลอดภัยเพราะโจรขโมย หรือสัตว์เลี้อย
    คลานเข้ามาวัดยากขึ้น
    2. มองแล้วสวยงาม จิตใจเบิกบาน ฯลฯfficeffice" />>>
    อานิสงส์สำหรับตัวคุณ
    1. อิ่มเอิบใจ มีความสุขลึก ๆ ในใจ ที่ได้ช่วยเหลือ
    คนอื่น (วัด) ส่งผลให้ความเครียดลดลง
    2. ยินดีเวลาที่มีคนรู้ว่า เราเป็นผู้สร้างกำแพงให้
    วัด ฯลฯ
     
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เล่าขานตำนานเจ ตอน พระอมิตาภพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแห่งสุขาวดี(ข้อมูลสมาคมเต็กก่าจีจิงเกาะ)
    [​IMG]
    พระอมิตาภพุทธะ เป็นพระธยานิพุทธะ 1 ใน 5 องค์ ประทับอยู่ทางตะวันตกของพุทธมณฑล พระกายสีแดงก่ำ เป็นต้นตระกูลของพระโพธิสัตว์ตระกูลปัทมะ หมายถึงปัญญาที่ทำให้มนุษย์รู้จักผิดชอบชั่วดี และเลือกปฏิบัติในทางที่ถูก สัญญาลักษณ์คือดอกบัว พระพุทธเจ้าในตระกูลนี้ทั่วไปใช้บัวแดง พระโพธิสัตว์ปางดุใช้บัวขาว ภาพวาดของพระองค์มักวาดให้พระหัตถ์ยาวหมายถึงความสามารถที่จะเอื้อมพาสรรพ สัตว์เข้าสู่แดนสุขาวดี มีพระชิวหายาวตระหวัดได้รอบโลกหมายถึงความสามารถในการแสดงธรรมได้ทั่วโลก ทรงนกยูงเป็นพาหนะ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าในสุขาวดีพุทธภูมิห่างจากโลกมนุษย์ ทางทิศตะวันตกสิบล้านล้านกิโลเมตร ใช้เวลาสร้าง 5 กัป จึงสำเร็จเป็นอาณาจักรหนึ่ง ชื่อ แดนสุขาวดี (เก็กลกซือไก) จุดประสงค์ในการสร้าง เพื่อเป็นที่อยู่ของสัตว์โลกที่สำเร็จธรรม ขอเพียงมีปณิธานแน่วแน่จริงใจและสวดคำว่า อามีทอฝอ (แต้จิ๋ว: อามิทอฮุก) อยู่เสมอ ยามใกล้จะสิ้นใจพระอดีตพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ จะเสด็จมารับไปยังแดนสุขาวดี

    พระอมิตาภะพุทธเจ้า (ออมีท้อฮุก หรือ อามีท้อฮุดโจ๊ว) นั้นได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระธยานิพุทธเจ้าในแบบวัชรนิกาย โดยในรูปแบบนี้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง พระธรรมกาย

    พระอมิตาภะพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีแสงรัศมีเปล่งประภาสออกมาโดยประมาณมิได้ (無量光佛, 無邊光佛) ทรงมีอีกพระนามคือ พระอมิตายุพุทธเจ้า ที่แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีอายุขัยยาวนานไม่มีประมาณ (無量壽佛) แต่สาธุชนนิยมเอ่ยพระนามของพระองค์แบบทับศัพท์ว่า ออมีท้อฮุก (阿彌陀佛) อันหมายถึง พระอมิตาพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งคำว่า “อมิตา” แปลว่า มากมายเกินกว่าจะประมาณค่า เข้าใจว่าเป็นการเรียกขานพระนามของพระพุทธองค์ในความหมายทั้ง 2 คือ

    1. ทรงมีแสงรัศมีเจิดจรัสมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้
    2. ทรงมีอายุขัยยาวนานมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้

    วันคล้ายวันพุทธสมภพ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า คือ วันที่ 17 เดือน 11
    พระสูตรของมหายานกล่าวว่า “หากผู้ใดภาวนาพระนามของพระองค์อย่างแน่วแน่ตลอดเวลา 1 วันจนถึง 7 วัน 7 คืนได้ เมื่อเวลาใกล้จะสิ้นใจพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระอริยเจ้า ก็จะเสด็จมารับดวงวิญญาณของผู้นั้นไปเกิดยังดินแดนสุขาวดีอันสุขารมณ์” อันแดนสุขาวดี (極樂世界) นี้ เป็นชื่อเฉพาะของพุทธเกษตร หรือ ดินแดน เฉพาะของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรานี่เองในคัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวว่า ครั้นหนึ่งเมื่อหลายอสงไขยกัลป์มาแล้ว มีพระภิกษุรุ)หนึ่งนามว่า “ธรรมการะ” ได้ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์พระโลเกศวร แล้วเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงได้กราบทูลให้พระองค์ทรงแสดงหลักธรรมอันจะนำไปสู่การเป็นสัมมาสัมพุทธ เจ้าผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสและบริบูรณ์ด้วยธรรมอันประเสริฐ พระตถาคตเจ้าทรงใช้เวลาแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุธรรมการอยู่เป็นเวลานานหลาย ปี หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พระภิกษุธรรมการะ เริ่มลงมือปฏิบัติธรรมและเพ่งสมาธิไป ณ ดินแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ในอนาคตถึง 5 กัลป์

    ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทำไม ดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะพุทธเจ้านั้นจึงเป็นดินแดนที่ชาวพุทธนิกายมหายานให้ความสำคัญ มาก และใฝ่ฝันอยากไปเกิดที่นั่น เพราะ เป็นที่สถิตของพระอมิตาภะพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง

    ในพระสูตรกล่าวว่า แดนสุขาวดีเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรที่สุดยิ่งกว่าแห่งใดๆ ทั้งทศทิศ ผู้ที่ได้มาอุบัติยังพุทธเกษตรแห่งนี้จะเป็นผู้ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวง จะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด จนดวงวิญญาณของเขาผู้นั้นได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วกลับมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นๆ ต่อไป

    การจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดีนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่ระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่เสมอ โดยการสวดพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอ ว่า “นำ มอ ออ มี ท้อ ฮุก” (南無阿彌陀佛) และเพียรบำเพ็ญกุศลผลกรรมความดีงามทั้งปวง กตัญญูรู้คุณ ฯลฯ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานมุ่งไปเกิดยังพุทธเกษตรของพระองค์ด้วย ความตั้งมั่นอันนี้ จะทำให้ได้ไปอุบัติยังแดนสุขาวดี ได้เสวยความสุขารมณ์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นพรหมโลก และแดนสุขาวดีนั้นก็มีความวิจิตรงดงามยิ่งกว่าที่ประทับของเหล่าเทวดาเสียอีก คุณสมบัติของแดนพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้น ผู้ที่มีจิตมุ่งมั่นไปอุบัติ หากแม้นได้หมั่นเพียรบำเพ็ญจนได้ไปอุบัติสมปรารถนาแล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องหวนกลับมาสู่ภพภูมิเบื้องต่ำอีกซึ่งต่างกับการไปเกิดบนสวรรค์ชั้นกามภูมิ หรือ พรหมภูมิชั้นต่างๆ ที่หากสิ้นบุญเมื่อใดก็จะต้องหวนกลับมาสู่ภูมิเบื้องต่ำ เช่น มาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง ตามแรงกรรมเฉพาะตน พระปฏิมา หรือ ภาพวาดของพระองค์จะประดิษฐานอยู่เบื้องขวาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทรงมีปัทมบัลลังก์ (ที่ใส่ดอกบัว) อยู่บนพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ บางแห่งจะทรงแบพระหัตถ์ขวาออกมาเบื้องหน้าแสดงกิริยารับดวงวิญญาณของสรรพ สัตว์ที่ประกอบบุญกุศล พร้อมกับระลึกถึงพระองค์เพื่อมาอุบัติ ณ ยังแดนสุขาวดี
     
  10. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  11. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ยังเปิดรับร่วมบุญกฐิน อีกไหมครับ

    ถ้าโอนแล้ว sms ส่งไปที่เบอร์ 092-092-8283 ใช่ไหมครับ

    ขอบคุณครับ
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  13. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  14. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  15. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เล่าขานตำนานเจ ตอน พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าผู้รักษาโรคกายและโรคใจ
    พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต (藥師佛/薬師 ภาษาจีน Yàoshīfóทางจีนจะแปลความหมายของพระองค์ว่า เอียะซือหยูไล (藥師如來) หากจะแปลทับศัพท์ก็คือ “ปีซาแซลิวลูเผกลิวลีปอลาพอ - ออลาแซแย” (鞞殺社窶嚕薜琉璃鉢喇婆喝囉闍也) , ภาษาญี่ปุ่น Yakushi หรือ ภาษาญี่ปุ่น 薬師瑠璃光如来 Yakushirurikō nyorai)

    พระนามของพระองค์ มีความหมายว่า

    ไภษัชย (藥) อันหมายถึง ยา, โอสถรักษาโรค

    คุรุ (師) หมายถึง ครูอาจารย์, ผู้เชี่ยวชาญ, อาจารย์ทิพย์

    ไวฑูรยะ (琉璃) คือ แก้วอัญมณีชนิดหนึ่ง มีสีน้ำเงินใส ไทยเรียกว่า ไพฑูรย์

    ประภา (光) คือ แสงรัศมีที่ส่องสว่าง

    ตถาคต (如來) เป็นคำเรียก หมายถึง พระผู้เสด็จมาแล้วด้วยดีอย่างนั้น ซึ่งหมายถึงการเรียกขานพระพุทธเจ้า คล้ายๆ กับการเรียกว่าพระพุทธเจ้า (佛)

    พระโลกนาถ (世尊) สรุป ความหมายพระนามโดยรวมคือ “พระตถาคตเจ้าผู้เป็นครูที่เชี่ยวชาญทางโอสถรักษาโรค ผู้มีแสงรัศมีเจิดจรัดเป็นประกายสีน้ำเงินบริสุทธิ์ประดุจแก้วไพฑูรย์”พระ พระนามอื่นๆของท่านคือ พระไภษัชยคุรุตถาคต พระมหาแพทย์ราชาพุทธเจ้า พระมหาไภษัชยราชพุทธเจ้า เป็นที่นิยมนับถือในหมู่ชาวจีนและชาวทิเบต ในความเชื่อของชาวจีน รูปของพระองค์อยู่ในท่านั่งสมาธิ มีรัตนเจดีย์วางบนพระหัตถ์ ส่วนในความเชื่อของชาวทิเบต พระองค์มีกายสีน้ำเงินเข้ม นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือยาสมุนไพร (นิยมเป็นเห็ดหลินจือ)พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรวางบนพระเพลา ถือกันว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสัตว์โลก

    หลักฐานจากพระสูตร

    พระสูตรที่กล่าวถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระองค์เดียว คือ

    1.พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร เดิมเขียนด้วยภาษาสันสกฤต ต่อมาแปลเป็นภาษาจีนโดยพระถังซำจั๋งหรือ พระสมณะเสวียนจั้ง ในสมัยถังของจีน

    2.พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร ต่อมาแปลเป็นภาษาจีนโดยพระสมณะอี้จิง ในสมัยถังของจีน แต่กล่าวถึงพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ โดยพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นพระองค์ลำดับที่ 7 กล่าวถึงปณิธาน 12 ข้อของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าคือ...ช่วยให้สรรพสัตว์บรรลุโพธิญาณโดยเร็ว

    1. ช่วยให้สรรพสัตว์ตื่นจากความโง่เขลา

    2. ช่วยให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมด้วยของใช้ทั้งปวง

    3. ช่วยให้สรรพสัตว์หันมานับถือมหายานธรรม มุ่งสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า

    4. ช่วยให้สรรพสัตว์มีศีลบริสุทธิ์

    5. ช่วยให้สรรพสัตว์มีกายสมบูรณ์

    6. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากความยากจน

    7. ช่วยให้สตรีได้เป็นบุรุษตามปรารถนา

    8. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากอุบายของมาร

    9. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากโทษทัณฑ์ทางอาญา

    10. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากการทำชั่วเพื่อเลี้ยงชีพ

    11. ช่วยให้สรรพสัตว์พบกับความสมบูรณ์ทั้งสิ้น

    ความเชื่อ

    พระไภษัชยคุรุเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธมหายาน แต่ไม่มีนิกายเป็นของตนเองอย่างพระอมิตาภะพุทธะ นอกจากนี้ในคัมภีร์พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานสูตร กล่าวว่าทรงเป็นหนึ่งในพระไภษัชยคุรุทั้ง 7 มีพระโพธิสัตว์เป็นสาวก 2 องค์ คือ พระสุริยประภาโพธิสัตว์และพระจันทรประภาโพธิสัตว์

    พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตทรงมีพุทธเกษตรของพระองค์เองอยู่ทางด้านทิศตะวัน ออกของโลกเราแห่งนี้ โดยพุทธเกษตรแห่งนี้มีชื่อว่า “ศุทธิไวฑูรย์” (淨琉璃世界) อันจะอยู่ตรงกันข้ามกับพุทธเกษตรแดนสุขาวดีที่อยู่ทางทิศตะวันตก ในพระสูตรบรรยายว่าดินแดนของพระองค์นั้นมีความสวยงามอลังการและวิเศษ ไม่แพ้กับแดนสุขาวดี มีความเพียบพร้อมทุกประการมิแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ไปอุบัติในพุทธเกษตรแห่งนี้ก็จะปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง ทั้งจะเป็นผู้มิเสื่อมถอยจากกุศลและภูมิธรรม จะได้บำเพ็ญตนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อกลับมาช่วยสรรพสัตว์ จนสำเร็จพระพุทธมรรคได้ ณ ศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น การจะไปเกิดก็โดยการตั้งปณิธานอธิษฐานจิตต่อพระองค์ และประกอบกุศลกรรมบำเพ็ญธรรมดีงามเพื่อมุ่งไปเกิด พร้อมกับการภาวนาพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอว่า ขอนอบน้อมแด่พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต เป็นจีนว่า

    นำ มอ หยก ซือ ลิว ลี กวง ยู ไล (南無藥師琉璃光如來) หรือ ขอนอบน้อมแด่พระนิรันตรายจิรายุวัฒนาไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นจีนว่ นำ มอ เซียว ไจ เอียง ซิวหยก ซือ ฟู (南無消災延壽藥師佛)

    ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่หมั่นสวดภาวนา มีสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน ปลอดภัยจากโรคร้ายที่คอยเบียดเบียนทั้งโรคกรรมโรคปีศาจทั้งปวง ทำให้ได้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ

    พระปฏิมาของพระองค์จะประดิษฐานทางเบื้องซ้ายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงถือรัตนเจดีย์ หรือบาตรบรรจุทิพยโอสถ หรือ บ้างก็ถือแจกันในพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ

    บางแห่งจะให้แบพระหัตถ์ขวาออกในกิริยารับดวงวิญญาณไปเกิด ธิเบตจะทรงถือต้นยาวิเศษชื่อ “อคทะ” ส่วนทางจีนนั้นจะทรงถือเห็ดหลินจือ ซึ่งชาวจีนโบราณเชื่อว่า เห็ดหลินจือเป็นของหายากที่สุดและเป็นยาอายุวัฒนะของเซียน

    หากเป็นภาพวาดของธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์เป็นสีน้ำเงินเข้ม และพระกริ่งที่นิยมกันแพร่หลายในประเทศไทยก็ได้แบบอย่างมาจากพระไภษัชยคุรุ พุทธเจ้านั่นเอง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เล่าขานตำนานเจ ตอน พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าผู้รักษาโรคกายและโรคใจ
    [​IMG]
    พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต (藥師佛/薬師 ภาษาจีน Yàoshīfóทางจีนจะแปลความหมายของพระองค์ว่า เอียะซือหยูไล (藥師如來) หากจะแปลทับศัพท์ก็คือ “ปีซาแซลิวลูเผกลิวลีปอลาพอ - ออลาแซแย” (鞞殺社窶嚕薜琉璃鉢喇婆喝囉闍也) , ภาษาญี่ปุ่น Yakushi หรือ ภาษาญี่ปุ่น 薬師瑠璃光如来 Yakushirurikō nyorai)

    พระนามของพระองค์ มีความหมายว่า

    ไภษัชย (藥) อันหมายถึง ยา, โอสถรักษาโรค

    คุรุ (師) หมายถึง ครูอาจารย์, ผู้เชี่ยวชาญ, อาจารย์ทิพย์

    ไวฑูรยะ (琉璃) คือ แก้วอัญมณีชนิดหนึ่ง มีสีน้ำเงินใส ไทยเรียกว่า ไพฑูรย์

    ประภา (光) คือ แสงรัศมีที่ส่องสว่าง

    ตถาคต (如來) เป็นคำเรียก หมายถึง พระผู้เสด็จมาแล้วด้วยดีอย่างนั้น ซึ่งหมายถึงการเรียกขานพระพุทธเจ้า คล้ายๆ กับการเรียกว่าพระพุทธเจ้า (佛)

    พระโลกนาถ (世尊) สรุป ความหมายพระนามโดยรวมคือ “พระตถาคตเจ้าผู้เป็นครูที่เชี่ยวชาญทางโอสถรักษาโรค ผู้มีแสงรัศมีเจิดจรัดเป็นประกายสีน้ำเงินบริสุทธิ์ประดุจแก้วไพฑูรย์”พระ พระนามอื่นๆของท่านคือ พระไภษัชยคุรุตถาคต พระมหาแพทย์ราชาพุทธเจ้า พระมหาไภษัชยราชพุทธเจ้า เป็นที่นิยมนับถือในหมู่ชาวจีนและชาวทิเบต ในความเชื่อของชาวจีน รูปของพระองค์อยู่ในท่านั่งสมาธิ มีรัตนเจดีย์วางบนพระหัตถ์ ส่วนในความเชื่อของชาวทิเบต พระองค์มีกายสีน้ำเงินเข้ม นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือยาสมุนไพร (นิยมเป็นเห็ดหลินจือ)พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรวางบนพระเพลา ถือกันว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสัตว์โลก

    หลักฐานจากพระสูตร

    พระสูตรที่กล่าวถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระองค์เดียว คือ

    1.พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร เดิมเขียนด้วยภาษาสันสกฤต ต่อมาแปลเป็นภาษาจีนโดยพระถังซำจั๋งหรือ พระสมณะเสวียนจั้ง ในสมัยถังของจีน

    2.พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร ต่อมาแปลเป็นภาษาจีนโดยพระสมณะอี้จิง ในสมัยถังของจีน แต่กล่าวถึงพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ โดยพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นพระองค์ลำดับที่ 7 กล่าวถึงปณิธาน 12 ข้อของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าคือ...ช่วยให้สรรพสัตว์บรรลุโพธิญาณโดยเร็ว

    1. ช่วยให้สรรพสัตว์ตื่นจากความโง่เขลา

    2. ช่วยให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมด้วยของใช้ทั้งปวง

    3. ช่วยให้สรรพสัตว์หันมานับถือมหายานธรรม มุ่งสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า

    4. ช่วยให้สรรพสัตว์มีศีลบริสุทธิ์

    5. ช่วยให้สรรพสัตว์มีกายสมบูรณ์

    6. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากความยากจน

    7. ช่วยให้สตรีได้เป็นบุรุษตามปรารถนา

    8. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากอุบายของมาร

    9. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากโทษทัณฑ์ทางอาญา

    10. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากการทำชั่วเพื่อเลี้ยงชีพ

    11. ช่วยให้สรรพสัตว์พบกับความสมบูรณ์ทั้งสิ้น

    ความเชื่อ

    พระไภษัชยคุรุเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธมหายาน แต่ไม่มีนิกายเป็นของตนเองอย่างพระอมิตาภะพุทธะ นอกจากนี้ในคัมภีร์พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานสูตร กล่าวว่าทรงเป็นหนึ่งในพระไภษัชยคุรุทั้ง 7 มีพระโพธิสัตว์เป็นสาวก 2 องค์ คือ พระสุริยประภาโพธิสัตว์และพระจันทรประภาโพธิสัตว์

    พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตทรงมีพุทธเกษตรของพระองค์เองอยู่ทางด้านทิศตะวัน ออกของโลกเราแห่งนี้ โดยพุทธเกษตรแห่งนี้มีชื่อว่า “ศุทธิไวฑูรย์” (淨琉璃世界) อันจะอยู่ตรงกันข้ามกับพุทธเกษตรแดนสุขาวดีที่อยู่ทางทิศตะวันตก ในพระสูตรบรรยายว่าดินแดนของพระองค์นั้นมีความสวยงามอลังการและวิเศษ ไม่แพ้กับแดนสุขาวดี มีความเพียบพร้อมทุกประการมิแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ไปอุบัติในพุทธเกษตรแห่งนี้ก็จะปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง ทั้งจะเป็นผู้มิเสื่อมถอยจากกุศลและภูมิธรรม จะได้บำเพ็ญตนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อกลับมาช่วยสรรพสัตว์ จนสำเร็จพระพุทธมรรคได้ ณ ศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น การจะไปเกิดก็โดยการตั้งปณิธานอธิษฐานจิตต่อพระองค์ และประกอบกุศลกรรมบำเพ็ญธรรมดีงามเพื่อมุ่งไปเกิด พร้อมกับการภาวนาพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอว่า ขอนอบน้อมแด่พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต เป็นจีนว่า

    นำ มอ หยก ซือ ลิว ลี กวง ยู ไล (南無藥師琉璃光如來) หรือ ขอนอบน้อมแด่พระนิรันตรายจิรายุวัฒนาไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นจีนว่ นำ มอ เซียว ไจ เอียง ซิวหยก ซือ ฟู (南無消災延壽藥師佛)

    ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่หมั่นสวดภาวนา มีสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน ปลอดภัยจากโรคร้ายที่คอยเบียดเบียนทั้งโรคกรรมโรคปีศาจทั้งปวง ทำให้ได้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ

    พระปฏิมาของพระองค์จะประดิษฐานทางเบื้องซ้ายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงถือรัตนเจดีย์ หรือบาตรบรรจุทิพยโอสถ หรือ บ้างก็ถือแจกันในพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ

    บางแห่งจะให้แบพระหัตถ์ขวาออกในกิริยารับดวงวิญญาณไปเกิด ธิเบตจะทรงถือต้นยาวิเศษชื่อ “อคทะ” ส่วนทางจีนนั้นจะทรงถือเห็ดหลินจือ ซึ่งชาวจีนโบราณเชื่อว่า เห็ดหลินจือเป็นของหายากที่สุดและเป็นยาอายุวัฒนะของเซียน

    หากเป็นภาพวาดของธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์เป็นสีน้ำเงินเข้ม และพระกริ่งที่นิยมกันแพร่หลายในประเทศไทยก็ได้แบบอย่างมาจากพระไภษัชยคุรุ พุทธเจ้านั่นเอง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  17. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เล่าขานตำนานสยาม ตอน ตำนานปู่เยอ ย่าเยอ ต้นกำเนิดชาวลาวพวน
    [​IMG]
    ตามตำนานเกี่ยวกับปู่เยอย่าเยอนี้ได้กล่าวว่า นานมาแล้ว ณ เมืองแถน ได้มีเครือเขากาดยักษ์เครือหนึ่ง ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ปกคลุมลงมาบนพื้นดินทำให้บดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทั้งหมด ทำให้บ้านเมืองมืดมิด มืดมัวและหนาวเย็น ประชาชนเดือดร้อน ทำมาหากินไม่ได้ พระยาขุนบูลม ผู้เป็นเจ้าเมือง ได้เรียกเหล่ามหาเสนาอำมาตย์มาปรึกษาหารือกันว่า จะทำอย่างไรดี จึงจะตัดเครือเขากาดยักษ์นี้ลงมาได้ จึงให้ทหารป่าวประกาศให้รางวัลแก่ผู้ที่สามารถตัดเครือเขากาดยักษ์นี้ลงได้ ได้มีผู้อาสาเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จัดตัดเครือเขากาดยักษ์นี้ให้ขาดลงมาได้
    ต่อมาได้มีสองเฒ่าผัวเมีย ชื่อว่า ปู่เยอและย่าเยอ ได้เข้ามาขออาสาไปตัดเครือเขากาดยักษ์นั้น พระยาขุนบูลม จึงถามว่าหากสามารถตัดเครือเขากาดยักษ์ได้แล้ว ต้องการสิ่งของรางวัลอะไรบ้าง เฒ่าทั้งสองตอบว่าไม่ขอรับของรางวัล ทั้งสิ้น ขอแต่เพียงว่า ถ้าหากทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว ขอให้ประชาชนทุกคนอย่าลืมชื่อของพวกเขาทั้งสองคนและขอให้ทุกคนเคารพสักการบูชาด้วย พระยาขุนบูลมก็รับปากเฒ่าทั้งสองก็มุ่งหน้าถือขวานขนาดใหญ่เดินทางไปยังโคนต้นเครือเขากาดยักษ์ทันที และลงมือตัดทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลา 3 เดือนกับอีก 3 วัน ก็สามารถตัดเครือเขากาดยักษ์นั้นลงมาได้ แต่เครือเขากาดยักษ์นั้นใหญ่มาก เมื่อขาดแล้วจึงได้ล้มลงมาทับเฒ่าทั้งสองตายในทันที ความมืดมิดก็หายไป แสงสว่างก็กับมาสู่ผืนแผ่นดินอีกครั้ง ไพร่ฟ้าประชาชนก็ทำมาหากินได้ตามปกติ พระยาขุนบูลมพร้อมด้วยไพร่ฟ้าประชาชน ก็ได้นับถือสักการปู่เยอ ย่าเยอ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของปู่เยอและย่าเยอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชนชาติลาวพวน ก็ได้ทำรูปสัญลักษณ์แทนตัวของผู้เฒ่าทั้งสองไว้ให้เป็นที่สักการะ นับถือ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ลูกหลานชาวลาวได้มีการแต่งเป็นโขนเล่าเรื่องราวของปู่เยอย่าเยอนี้ ซึ่งจะมีการแสดงตามพิธีงานบุญต่าง ๆ เช่น ในงานบุญปีใหม่ งานบุญธาตุหลวง การสรงน้ำพระบาง และงานพิธีต่าง ๆ โดยจะให้มีพิธีการกราบไหว้ สักการะและถวายเครื่องทานแก่ปู่เยอย่าเยอ ตามพิธีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตามฮีตคองประเพณี ในโอกาสต่างๆนี้จะมีการแต่งกายเป็นรูปของปู่เยอย่าเยอออกมาฟ้อนรำ สร้างความสนุกสนานและเพื่อเป็นการเพิ่มความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ลูกหลานด้วยากการที่ให้มีการเคารพสักการะปู่เยอย่าเยอจากเรื่องที่เล่ามาข้างต้น คนลาวจึงเพิ่มคำห้อยท้ายว่าเยอๆ ในคำพูดของตนเสมอ เช่น ในคำว่า ไปเยอ เมือเยอ มาเยอ ทั้งได้ทำโขนหรือรูปสัญลักษณ์ของทั้งสองไว้ให้สักการะ นับถือสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านผู้นี้เป็นผู้รักษาเทวดาหลวงปีหนึ่งมีสองครั้งในโอกาสบุญปีใหม่ บุญธาตุหลวง ท่านจะเรียกเอาโขนปู่เยอ ย่าเยอ และสิงห์แก้วสิงห์คำ ออกจากหีบเพื่อเข้าร่วมพิธีต่างๆ ทุกๆ ปี ก่อนจะเริ่มพิธีฉลองปีใหม่ ได้เอาโขนปู่เยอ ย่าเยอ ออกจากหีบที่เก็บรักษาไว้ อยู่ที่หอเทวดาหลวงในบริเวณวัดอาฮาม เพื่อนำมาไหว้และถวายเครื่องทาน ปู่เยอย่าเยอจะเข้าร่วมทุกๆ พิธีที่จัดขึ้นตามฮีตคองประเพณี ในระยะบุญปีใหม่ โดยเฉพาะในการแห่หว่อ รดสรงพระบาง ในโอกาสนี้ ปู่เยอ ย่าเยอ จะออกมาฟ้อน เพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของประชาชน พิธีแห่ปู่เยอ ย่าเยอ และสิงแก้ว สิงคำ ไปตักน้ำในริมน้ำคานเพื่อเอาไป รดสงพระบาง น้ำที่เอามาจากน้ำคาน จะบรรจุไว้ในไหดิน ซึ่งจะให้เยาวชนแบกไปเพื่อไปสรงพระบาง ปู่เยอ ย่าเยอ จะลงไปตักน้ำคาน เพื่อไปสงพระบาง พร้อมขบวนแห่ ในพิธีนี้จะเอาน้ำใส่ไหดินให้เยาวชนแบก ได้ทำพิธีที่ริมน้ำคาน นำดอกไม้ ธูป เทียน บูชา กล่าวสูตรคำขวัญ เป็นประจำทุกปี พิธีจะทำในตอนเย็นก่อนวันที่จะมีการแห่หว่อ สิงห์แก้วสิงห์คำ เป็นสิงห์โตน้อยตัวหนึ่ง ที่ปู่เยอย่าเยอเอามาเลี้ยงและถือเป็นลูกนี้หมายความว่า มนุษย์พวกเราสามารถคุ้มครองบรรดาสัตว์และธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ เมื่อแห่หว่อหรือนางสังขาร เข้าพิธีสูตรขวัญ แต่งอาหาร บอกกล่าว คอบ ให้ปู่เยอ ย่าเยอ สิงห์แก้ว สิงห์คำ เตรียมพิธี ลงมาจากกุฏิ ฝึกซ้อมท่าเต้นตามจังหวะกลอง แล้วไปกราบไหว้ธาตุเข็ด ธาตุคำ ที่อยู่ด้านหน้าพุทธสีมา ก่อนออกเดินไปถึงวัดเชียงทอง ทำพิธีไหว้จุดธูปเทียนบูชาก่อนที่กำแพงวัดสุวรรณคีรีตรงทางเข้าวัดเชียงทองและบริเวณด้านข้างวัดเชียงทอง โดยมีขบวนของปู่เยอย่าเยอ เป็นนางหว่อน้อยเดินนำขบวน หนุ่มและสาวถือต้นหมากเบงแต่งกายเสื้อสีขาว นุ่งโจงกระเบน แม่หญิงนุ่งชุดลาวสวยงามตามด้วยขบวนทหารซึ่งกระผม ณัฏฐพล ตันมิ่ง ได้แต่งชุดทหารสีน้ำเงิน แดง ใส่หมวกสีแดง เข้าร่วมเดินขบวนปู่เยอย่าเยอด้วย ในบุญปีใหม่ แห่หว่อ นางสังขาร จากนั้นก็มีทหารแต่งชุดเขียวแดง แบกกลอง ตีกลองตามจังหวะหลังจากเลี้ยงปู่เยอย่าเยอแล้ว เทวดาหลวงทั้งสองและสิงห์แก้วสิงห์คำ จะลุกขึ้นมาฟ้อน ที่บริเวณวัดเชียงทอง ท่ามกลางเสียงฆ้อง เสียงกลอง เพื่อความอุดม มั่งมี ของประชาชน มีผู้คนวิ่งมาขอดึงป่านขนของปู่เยอย่าเยอ ไปเป็นของค้ำของคูน แต่ว่าดึงไม่ค่อยขาดเพราะป่านเหนียว เวลาเดินในขบวนนั้น ปู่เยอย่าเยอและสิงห์แก้วสิงห์คำนั้นจะถอดรองเท้าเดินด้วยเท้าเปล่าตลอด อากาศร้อน ถนนก็ร้อน ฉะนั้นจึงมีการเอาน้ำมารด มักจะรดน้ำลงไปที่เท้าเสมอเพื่อไม่ให้เท้าร้อนเกินไป และเท้าก็เต้นไป ตามจังหวะกลอง ต่อเนื่องกันไปเสมอและหยอกล้อกับประชาชมผู้เข้าร่วมงาน โดยการเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วร้องเสียงดังๆ ทำให้ผู้คนตื่นตกใจ สิงห์แก้วสิงห์คำ มีสองคน จังหวะการเต้น ลุกนั่ง ตั้งสัมพันธ์กันเสมอเพราะทำให้ดูสวยงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิงห์แก้วสิงห์คำ บางคนก็เรียกว่า สิงห์กรับ เพราะที่ปากจะกระทบกันดังกรับ กรับอยู่เสมอ ตามจังหวะเสียงกลอง ปู่เยอย่าเยอ เล่นเมืองชวา เมืองซัว เมืองหิมพานต์มาได้ สิงห์แก้วสิงห์คำ นำมาด้วย เจ้าจ้ำ คนเล่นสืบทอดสายเชื้อกันมานานแต่ก่อนจะนำออกมาปีละ 2 ครั้ง คือบุญปีใหม่ เดือน 5 ที่หลวงพระบาง กับบุญธาตุหลวง เดือน 12 ที่เวียงจันทน์ เล่นตอนกลางคืน แต่ต่อมาเกิดปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ของปู่เยอย่าเยอหัก เลยนำเอาออกมาแสดงเฉพาะบุญปีใหม่ เดือน 5 เท่านั้น ก่อนจะนำออกมาจะต้องแต่งอาหาร ผลไม้ ให้ก่อน ทำพิธีสูตรขวัญเชิญออกมา โดยเจ้าจ้ำ นางแต่ง ผู้ที่จะร่วมแสดง ออกมาลงทำการฝึกซ้อม จังหวะดนตรี เสียงกลอง ท่าเต้น ลงมาที่อยู่ข้างล่างกุฏิ ท้าวจันทะมาน พงษ์สุวรรณ์ เป็นผู้ที่รับมรดกการเต้น แต่ก่อนเต้นเป็นลูกสิงห์แก้วสิงห์คำ ต่อมาได้เต้นเป็นพ่อ การที่จะออกมาเต้นได้นั้น ต้องมีคำสูตร ให้พร ไถ่ถอน คอบ ก่อนถึงจะแสดงได้ ส่วนที่เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดห้อยไว้ด้วยลวดสองเส้น เส้นละข้าง ป้องกันหนูเข้าไปกัดเป็นกล่องไม้ขนาดใหญ่เก่าแก่แห้งมาก ดูที่ลวดลายและการแห้งของสีรักและเนื้อไม้ ชุดทหารสมัยเก่ามีทั้งสีน้ำเงิน แดง เขียวและหมวกทหาร
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440

แชร์หน้านี้

Loading...