ขออนุญาต ประกาศ สัก 2 3 วัน

ถ้าคนหลายคนคิดว่าพระพุทธรูปคือตัวแทนของพระพุทธเจ้า แล้วนั้น

งั้น ผม อยากรู้ว่า พระธาตุ ของพระพุทธเจ้า หมายถึงสิ่งใด ควรเก็บเอาไว้ บูชา ณ ตำแหน่งใด ของ พระพุทธรูป

ท่านเมรัย ขอเชิญเข้ามาตอบครับ หรือท่านอื่นๆ ก็ตอบได้ครับ

 

งั้นผมตอบเอง

พระธาตุนั้น คือ กระดูกของพระพุทธเจ้า...ไม่ควรมีสิ่งใดเลยที่จะอยู่เหนือ สิ่งนี้ แม้แต่พระพุทธรูปที่เป็น ตัวแทน......เพราะพระพุทธรูปเป็นแค่ตัวแทน และคนสร้างก็ไม่ได้เป็นพระ คนสร้างพระพุทธรูปกลับเป็นโยม ดังนั้น พระพุทธรูปที่โยมสร้าง รองรับ หรือ ไม่มีค่าสูงกว่าพระธาตุหรอกครับ

พระธาตุควรจะเอาไว้ เหนือกว่า สูงกว่าพระพุทธรูป ทั้งหลาย ยกเว้น เอาไว้ เท่าเทียมเสมอกันได้ ก็ต่อเมื่อ พระพุทธรูปนั้น ถูกสร้างด้วยพระ ผู้มีศีล 227 ข้อ ผู้เป็นสาวก เท่านั้น

เช่นพระที่ สามารถบรรจุ พระธาตุของพุทธองค์ ควรอย่างยิ่ง ที่จะถูกสร้างจาก พระ ไม่ไช่ สร้างจากโยม

 

ผมได้เตือนท่านทั้งหลายแล้วว่า ถ้าหากท่านไม่คิดร่วมสละทาน ก็ขอให้ปล่อยผ่านเลยไป ดั่งสายลมและแสงแดด อย่าได้ คิด วิจารณ์ ใดๆ ทั้งสิ้น

ผมเตือนทุกท่านแล้วครับ โทษผมไม่ได้นะครับ ท่านเมรัย อิอิ

 

ถ้าที่ใด มีพระธาตุ ของ พุทธองค์ จริงๆ ใครหน้าไหนก็ เหาะผ่าน ข้ามพระธาตุนี้ไม่ได้ ยกเว้น ตัวพุทธองค์เอง
นั่นเพราะ พระธาตุ ของพุทธองค์ก็คือ ต้นธาตุ แห่งการสร้าง จักรวาล นี้...
เป็นดั่งแก้วจักรพรรดิ์ เป็นดั่งพระเจ้า ของจักรวาลธาตุ นั่นเพราะจักรวาลธาตุทั้งหลาย ก็ เกิดมาจากธาตุนี้

ดังนั้น ใครที่ ได้รับ พระธาตุนี้ จาก พุทธองค์โดยตรง ได้มาโดยไม่อยากได้ ได้มาโดยไม่ลุ่มหลงใน ความวิเศษอันยิ่งใหญ่ของพระธาตุ..ได้มาโดยไม่ได้ขอ จากใคร หรือจากพุทธองค์ พระธาตุนั่นแหล่ะ....ดีจริง

 

ที่ผมต้องมาประกาศในเวปนี้ก็เพราะว่า เวปนี้ มีเจตนา ในการดูแลพระศาสนา
และเป็นการวัดศรัทธา ของ ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นพุทธศาสนิกชน พุทธบริษัท ว่าเขามีศรัทธาแค่ไหน
ถ้าหากว่า โอกาสที่ผม เอามา ให้กับทุกท่าน ให้กับทางเวปนี้ ได้คำตอบอย่างไร ก็ไม่เห็นว่า จะมีอะไรมากกว่านี้

เพราะทางพระพุทธเองท่านก็ให้โอกาส กับทุกท่านที่ร่วมสละทานในครั้งนี้ ได้ ถามคำถามมา คนละ 1 คำถาม ถ้าหากท่านไม่เห็นโอกาสของตัวเอง...ก็ไม่มีใครผิดหรอกครับ

ผมก็ทำดีที่สุด แล้ว

ผู้สละทานห้ามอธิฐานใดใด
ผู้สละทานถามได้ 1คำถาม ที่อยากถาม ถ้าไม่อยากถามก็ไม่ต้องถาม
ผู้สละทานต้องแจ้งชื่อจริงนามสกุลจริงกับผม นอกจากท่าน ไม่ปรารถนาอะไรไม่บอกก็ได้ เพราะ อานิสงค์ จะได้ รับเต็มๆ ตามชื่อสมมุติที่เป็นอยู่ของท่าน

ผู้ไม่สละทาน ให้ ปล่อยผ่าน เลยไป เหมือนปกติธรรมดา

 

พรุ่งนี้คือ วันพุธ วันสุดท้าย ที่ผม จะรับการสละทานของ ผู้ต้องการสละทาน
เพราะ จะถวายเงินที่สละทานทั้งหมด วันพฤหัสครับ

 

ผมเข้าใจว่า การสร้างพระพุทธรูปนั้น ท่านเป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่สาธุชนมีจิตอยากจะสร้าง และสร้างขึ้นมา แต่การเบิกเนตร ไม่น่าจะเป็นพิธีที่ถูกต้อง ผมก็แค่ยกคำพระที่เคยอ่านเจอมาให้พิจารณาดู ไม่ได้ตำหนิถึงการสร้างพระพุทธรูปเลย มีแต่อยากขออนุโมทนาด้วย

ส่วนเรื่องพระธาตุ ผมไม่ค่อยมีความรู้ จึงไม่อาจจะอธิบายอะไรได้

 

มีอยู่อย่างหนึ่ง ที่ผมได้เรียนรู้ มาด้วย ชีวิตและจิตใจ นั่นก็คือ....อะไรก็แล้วแต่ ที่ถูกสร้าง ด้วยน้ำมือของคน สิ่งที่ถูกสร้างมานั้น จะเจือปนด้วยอารมณ์หรือความคิดของ คนที่สร้างมันด้วย...นั่นก็คือ คนดีทำ อะไร สร้างอะไร สิ่งที่สร้างที่ทำก็จะ เจือปนด้วยความดี ของคนสร้าง.....แต่ถ้าคนอารมณ์เสีย อารมณ์ร้าย จิตขุ่นมัว สร้างสิ่งใด ทำสิ่งใด สิ่งที่ทำ สิ่งที่สร้าง ก็จะเจือปนอารมณ์ ของคนที่ไม่ดีนั้นด้วย

ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธรูป ใครอยากสร้างก็สร้างได้ พูดง่ายๆ คนดีแค่ไหน สร้างออกมาก็ดีได้แค่นั้น...ตามเจตนา อารมณ์ ของผู้สร้าง

แม้แต่สิ่งของ บางสิ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วย เพราะต้องการ กำไร หรือ เพื่อพาณิชย์ มันล้วนเจือปนด้วยความอยาก ของคนสร้าง ทั้งนั้น ซึ่งถือเป็นอารมณ์แห่งความอยากได้ อยากมี พอมีคนซื้อไปใช้ ก็ เป็นการ ซื้ออารมณ์ ความอยากได้อยากมี ไปเพิ่มพูล ความอยากได้อยากมีของตนด้วย

นี่แหล่ะ ทุกวันนี้ ทำไมคนถึงพากัน วิ่งไล่ ตามความอยาก วิ่งไล่กระแสโลก ก็เพราะ ทุกสิ่งที่ได้มา ซื้อมานั้น ล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ ความอยากได้อยากมีของคนสร้าง ทั้งสิ้น ..ไม่งั้น สมัยพุทธกาล พุทธองค์ก็ไม่สอนให้สาวก ไปเก็บเอาเฉพาะผ้าห่อศพที่ไม่มีใครอยากได้ มานุ่งห่มหรอก เพราะจะได้ไม่เจือปนอารมณ์ ความอยากของใครๆ...และที่ให้บิณฑบาตร ก็ไม่ได้ขอใคร ไม่บังคับใคร เป็นทานที่ทานด้วยความเต็มใจของผู้ให้ทั้งสิ้น แล้วยังต้องไปอยู่ป่าก็เพื่อจะได้ไม่ต้องรับอารมณ์ ของคนทั่วไป แค่อยู่กับความเป็นกลางของธรรมชาติ อยู่กับความไม่มีอารมณ์ของธรรมชาติ นั่นแหล่ะ

ทุกวันนี้ คนทั้งโลก พากัน สะสมอารมณ์ ความอยากได้อยากมีทั้งของตนเองและคนอื่นกันเต็มที่แล้ว จนความอยากมัน ระเบิดไปนอกโลก ออกไปสู่จักรวาล ความอยากออกจากความเป็นภพภูมิโลก อยากไปถึงภพภูมิอื่น จนเดือดร้อนกันทั่ว....แล้วทีนี้เป็นไงล่ะ....นรก สวรรค์ ทุกภพภูมิ ก็ ต้องมารวมกันที่โลกมนุษย์จนได้ นั่นเพราะ มนุษย์พากัน อยากได้ อยากมี จน พากันร้อนทุกภพภูมิ

เทคโนโลยีทั้งหลาย ถ้าหาก มันถูกสร้างขึ้นมาด้วย อารมณ์ ความอยากได้ อยากมี หรือกิเลสชั่วๆ ของคนสร้างมันขึ้นมารวมอยู่ด้วย...แล้วล่ะก็ มันก็คือ เชื้อแห่งความอยากความชั่ว ดีดีนี่เอง เมื่อสะสมโดยไม่รู้ตัวเข้าไปมากมาก......ก็เลยพากันเห็นแก่ตัว กันทั่วหน้า นี่ยังไง

 

ดังนั้นพระพุทธรูป ที่สมบูรณ์ที่สุด ที่มองเห็นในโลก ก็ควรจะเป็นพระพุทธรูปที่ พระอรหันต์สร้างกับมือ....ไม่ไช่พระที่ต่ำกว่าพระอรหันต์สร้าง หรือ โยมสร้าง

แต่ถ้าจะให้ผมบอก ผมจะบอกว่า พระที่สมบูรณ์ที่สุดในจักรวาล ก็คือ พระที่ใจ...เพราะถ้าระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ใจได้เมื่อไหร่....นั่นแสดงว่า ใจของท่าน เป็นใจของพระพุทธะแล้ว

ถ้าในใจระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ เมื่อไหร่ ความชั่วร้ายทั้งหลาย ก็ไม่สามารถเข้ามา ในใจของท่านได้เลย นี่แหล่ะ สูงที่สุด ที่ควรระลึก แล้วครับ ...และถ้าจะให้ดีที่สุด ให้ มีสติระลึก กำกับ ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ ในใจตลอดเวลา นั้น รับรองว่า....หมู่มารไม่มีช่อง.....แน่นอน

 

โมทนาครับ...แสดงธรรมได้ลึกซึ้งถึงใจจริงๆครับท่านขจรศักดิ์...

 

การเบิกเนตร ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนได้รับรู้ในความเป็นจริงที่ว่า...การนั่งสมาธิที่แท้จริงนั้นไม่ไช่การนั่งหลับตา แต่เป็นการนั่งลืมตา ....พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พุทธบริษัททั้งหลายจะได้เข้าใจถูกต้องกันเสียที ว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ นั่งหลับตา

ท่านก็สอนสาวกทั้งหลายอยู่ นั่งตัวตรง คุดคู้บัลลังค์ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย กระดูกสันหลังตั้งตรง เอาสายตาวางที่ความว่างเหนือสันจมูก ไม่ส่งจิตรู้ออกไปเกินที่ว่างเหนือสันจมูก และไม่เอาจิตเข้ามาที่กาย แค่เอาสายตาวางที่ความว่างเหนือสันจมูก มีจิตรู้หรือสติคอยกำกับ อยู่ ระลึกอยู่ แต่กับความว่างเหนือสันจมูกนั้น ท่านจะพบกับความสงบ ที่รวดเร็ว....และ การที่ไม่หลับตา นั่นก็เพราะว่า ภาพที่เห็นทางตา แล้วไม่ได้ เอาจิตไปรับรู้ปรุงแต่งตามภาพที่ตาเห็น ภาพนั้นมันก็เป็นแค่ภาพ ไม่มีวิญญาณภาพ มาปรุงแต่งที่ใจได้

แล้วไม่ว่าเราจะงีบหลับ ตา อีกกี่ครั้ง ฝันกี่ที ลืมตาขึ้นมา มันก็เห็น เป็นภาพเดิมนั่นแหล่ะ แม้ว่า แสงจะน้อย แสงจะมาก มันก็ภาพเดิมนั่นแหล่ะ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน มันก็ภาพเดิมนั้นแหล่ะ ...และ ความจริงที่ตาเห็นภาพนี้ มันก็ เป็นจริงของเราด้วย และคนอื่น ก็มองเห็น เหมือนที่เราเห็นด้วย เรียกได้ว่า พูดเรื่องเดียวกันแน่นอน

แต่ถ้านั่งหลับตา พอหลับ ไปหรือ จิตมันปรุงแต่งมโนภาพ ตามความคิดความฝันแล้วล่ะก้อ สิ่งที่เห็นตามจินตนาการนั้น มันไม่เหมือนกันซักทีหรอกครับ นั่งหลับตาแต่ละครั้ง ไม่เหมือนเดิมสักครั้ง พอจะเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง ก็ไม่รู้จะเล่าตอนไหนดี เพราะ ไม่ซ้ำกันซักที แล้วก็เถียงกันไม่มีวันจบสิ้น เถียงกัน เรื่อง ความเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน จินตนาการ เวลาที่นั่งหลับตานั้น หลับตานั่งสมาธินั้น
แล้ว ถ้ามี 10 คน มานั่งหลับตา พร้อมๆกัน พอลืมตาขึ้นมา รับรองว่า มันคุยกันคนละเรื่องของตัวใครตัวมันแน่นอนครับ.....ไม่ฆ่ากันตายก็บุญแล้ว

อิอิ

 

และการแสดงธรรมครั้งแรก แก่ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 นั้น ปัญวัคคีย์ ก็ นั่งลืมตาฟังธรรม นี่แหล่ะ
แล้วที่ เข้าใจธรรมมาได้ ก็เพราะการนั่งฟังที่สงบ จิตจับที่ พลังงานของเสียงพลังงานของธรรม พลังงานการรับรู้ที่ รับรู้ด้วยสัมผัสที่สงบ และ เต็มอารมณ์ แบบว่า ผู้ส่งพลังงานผู้แสดงธรรมก็ แสดงด้วยใจ...เต็มอารมณ์ ระบบเสียงเซอร์ราว 6อายะตนะ และผู้รับก็เปิดรับ ฟังเสียงแห่งพลังใจ ด้วยใจ ถึงใจ.......เปิดทั้งระบบ 6 อายะตนะ

นี่ไง ความเข้าใจ มันก็แค่นี้ ....ใจถึงใจ..ไม่ไช่ ปัจจุบัน พูดให้ตายยังไม่เข้าใจ

 

ตอนนี้ยอดสละทานอยู่ที่ 5200 บาทครับ
ผมก็รายงาน ตามจริงครับ

 

บอกตามตรงนะ ผมไม่เห็นถึงความลึกซึ้งเลยสักนิด
มีแต่เรื่องพระธาตุกับเรื่องพระพุทธรูป

ถ้าจะให้ดีท่านควรจะโพสหลักฐานการเคลื่อนย้ายองค์พระมาด้วยนะ

 

หลวงตามหาบัวก็อยู่ที่นิพพาน เหมือนกัน หลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว ท่านก็ เมตตา มาช่วยบางอย่างกับผมอยู่....เพราะถือว่า เป็น สาวก ของพุทธองค์เหมือนกัน


byๆๆๆๆๆ

 

ตอนนี้ยอดสละทานอยู่ที่ 5500 บาทครับ

ตอนนี้ มีคนสงสัยว่า ที่ผมประกาศนี้จริงหรือเปล่า หรือต้มตุ๋น กัน....เอาเป็นว่า ทางเวป อย่าพึ่งย้ายนะครับ แล้วผม จะพิสูจน์ หลักฐาน กับทุกท่านครับ

 

ท่านวีระชัยครับ ไม่ต้องย้ายกระทู้ผมหรอกครับ พรุ่งนี้ ผมจะลบมันเองครับ

ให้มันพ้นวันนี้ก่อนสิครับ...และคุณอย่ามาสงสัยผม เพราะ ได้ข้อมูลจากคนอื่นเลยครับ

คุณควรที่จะ ไปให้ถึงแดนพุทธภูมิที่คุณ ปรารถนาเถิด

 

การเบิกเนตรถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นตอนปลายอย่างผมแปลว่าแหกตา ถ้าโดยนัยทางพิธีกรรมแล้วเป็นแนวทางของลัทธิความเชื่ออื่นแล้วนำมาผูกโยงกับพุทธไม่เท่าแต่หลวงปู่มั่นเท่านั้นที่กล่าวเช่นนี้หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาสก็กล่าวแบบนี้เช่นกันโปรดอย่าลืมว่าพระพุทธรูปเป็นองค์แทนความเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิ์ญาณจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ที่น้อมจิตไปบูชาไม่ใช่ที่พิธีกรรมเพราะนี่คืออนุสติของจิตไม่ใช่ตุ๊กตากระป๋องที่ต้องใส่ถ่านและเปิดสวิทย์ทุกครั้ง
ปล. ขอแสดงความเห็นใจกับทุกท่านที่โดนเบิกเนตร

 

ครับ แล้วท่าน ไม่คิดแหกตาเดิน แหกตาดู บ้างเลยหรือครับ

หรือท่าน จะหลับตาเดิน หลับตาดู หลับตาแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจอะไรเลย

ท่านจงระวังรัษาความคิดของท่านไว้เถอะ...เชื่อได้เลยว่า เวรกรรมมีจริง กับ ความคิดที่ไม่ดีในใจตน

ผมรับรู้ว่าท่านมีอารมณ์ สร้างมโนกรรม จริง...อิอิ..ผมรู้ก็แล้วกัน

 

ขอให้ทุกท่านจงอยู่ในความสงบ ใจเย็นๆ นิ่งๆไว้นะครับ ใครทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น อย่าคิดแทนใคร อย่าเดือดร้อนแทนใคร กรรมจะเป็นผู้จัดสรรเอง เชื่อผมเถอะ...นะ