การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    :cool::cool::cool:
     
  2. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    จากคำถามตอบตามทัศนะผมเห็นว่า
    1 แบบที่หนึ่ง ก่อนรับผัสสะไหม่ใจก้อยู่เช่นเดียวกับขณะรับผัสสะไหม่ คือมีอาการเช่นเดียวกันเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นเวทนา สัญญา หรือสังขารธรรม โดยมีวิญญานรับรู้ สภาวะใจจึงอยุ่อย่างนี้มาแสนนานเพราะไม่มีการปล่อยวาง แบบที่สอง สำหรับใจที่มีปัญญา มี ผัสสะ มีเวทนาสัญญาสังขารและวิญญานผุดเกิดดับเช่นเดียวกับใจแรกแต่มีอาการที่แตกต่าง คือไม่จับยึดไว้ เพราะรู้และเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง ก่อนเกิดผัสสะใจ อยุ่ในสภาวะ ยึด กับสภาวะไม่ยึด แตกต่างกันตามคุนธรรมของบุคคลจะเหมารวมเอาเหมือนกันไม่ได้ และความยึดก้ไม่เท่ากัน นั้นคือสิ่งที่ต่างส่วนสิ่งที่เหมือนคือการเกิดดับนั้นเป็นธรรมดาจะยึดหรือไม่ยึดก้มี ธรรมมารมเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว

    จิงๆก่อนนี่ไม่รู้คนถามไปฟังใครมานะแต่ มันมีความแตกต่างของก่อนอยู่อย่างมากเหมือนกันแต่จริงๆแล้วไม่มีก่อนหรอกมีแต่ปัจจุบัน มันเป็นการยึดของสัญญาและสังขารธรรมตัวที่เป็นอวิชาผุดเกิดและรู้ไม่เท่าทันจึงยึดว่ามีก่อนมีหลังมันจึงยังไม่เป็นปัจจุบันมันเลยไม่จบซะทีเพราะมันมีตันหาส่งอยู่ มันมี2สิ่งที่ยึดเอาวงจรปติจสุมปบาทเอาไว้ ไม่คลายก้คือตันหา และความยึดมั่นของบุคคลนั้นๆ

    2ขนะเกิดผัสสะใจไหวอย่างไร มีผัสสะย่อมมีอาการทางใจเกิดแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงของใจนี้เป็นธรรมดาหากรู้เท่าทันจริงๆจะรู้ว่ามีการเปลี่ยบนไปมาเป็นธรรมดาจริงๆ ทั้งทุขสุขอทุขสุข และธรรมมารมต่างๆ ทั้งกุศลอกุศล อพยากตา รวมถึงความสานต่อกันในอดีตสัญญา อนาคตสัญญา ปัจจุบันสัญญา ท่ายึดตัวใดตัวนึงจึงมี จึงไม่เรียกว่าวางใจไม่เรียกว่ารู้ใจ แต่ไปจับไปยึดใจไว้ว่ามี การไปเห็นการเปลี่ยนและการไหว จึงยังคงเห็นต่างกันอยู่ 2แบบ ไม่เหมือนกันอีกสำหรับผู้ที่มีปัญญาและผู้ไม่มีปัญญา ความไหวมีอาการธรรมดาในอนิจจังทุขขังอนัตตา แต่มีสิ่งที่แตกต่างคือยึดหรือไม่ยึดกับส่งออกรึไม่ส่งออก แต่ความธรรมดาที่ยังมี จึงมี

    3ผู้ปติบัติย่อมตอบได้บ้างไม่ได้บ้างตอบได้แตกต่างบ้างเหมือนบ้างตามคุณธรรมที่มีแต่ก้เรื่องเดียวกัน

    คำถาม3อันนี้เป็นเรื่องเดียวกันที่ใจมีสภาวะของอนิจจังทุขขังอนัตตา ส่วนความแตกต่างอยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่นและปัญญาของแต่ละบุคคลว่ามีมากน้อยเพียงใดทำให้แตกต่างกันไป

    คำตอบส่วนตัวของผมเอง :boo::boo::boo:
     
  3. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    มขอเรียนถามง่ายๆ......ครับ

    สำหรับทุกท่านที่มีคำถามและมีข้อสงสัย หรือที่มีความเห็นแย้งกัน

    คำถามง่ายมากสำหรับผู้ที่ปฏิบัติจริง โดยไม่ได้คิดเอง หรือ่านจำจากที่ใด



    คำถามเป็นระดับกลางๆ ในชั้นที่ปฏิบัติมาจนพอสมควรเข้มงวดมาพอสมควรแล้วครับ

    ง่ายเป็นอย่างยิ่ง สำหรับทุกท่านที่ตอบกระทู้ในขณะนี้ นะครับ


    ถามว่า........ก่อนที่ใจจะผุดรับผัสสะภายนอก แล้วปรุงให้เกิดอารมณ์

    ที่เรียกว่า วงจรปฏิจสมุปบาทนั้น ก่อนเกิดใจอยู่อย่างไร ,ขณะเข้าไปรับผัสสะ

    ใจไหวอย่างไร และเมื่อเข้าไปปรุงให้เกิดอารมณ์แล้ว ใจเปลี่ยนไปอย่างไร

    **********************************************************


    ขอบคุณครับ.....ที่กรุณาตอบกัน

    คำตอบก็เป็นไปตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน ซึ่งท่านที่ปฏิบัติถึงขั้นตอนนี้

    ท่านย่อมตอบได้ และรับรู้อาการต่างๆ เหมือนกัน เพียงแต่

    ถ่ายทอดเป็นคำพูดต่างกันเท่านั้น ซึ่งบางท่านก็ไม่ตอบเสียดื้อๆ

    หรือเงียบหายไปเฉยๆ บางท่านก็ตอบอย่างสละสลวย งดงาม

    ก็ขอขอบคุณครับ วงจรปฏิจสมุปบาทเป็นวงจรการเกิดอารมณ์ของจิต

    ปรุงแต่งเป็นภพชาติ วงจรทั่วไปของปถุชนธรรมดา จะไล่เรียงตั้งแต่มีสิ่งเร้าภายนอก

    เข้ามาทางตา หู จมูก กาย ใจ และจิตไหวตัวออกไปปรุงแต่งกับสิ่งเร้านั้น

    แล้วเกิดอารมณ์กับสิ่งนั้น เป็นโกรธ เกลียด ไม่ชอบใจ ซึ่งวงจรนี้บุคคลทั่วไปไม่เห็น

    และไม่รู้ แต่ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นตั้งแต่ อาการของใจที่ อยู่ว่างๆ ไหววูป เกิดความทึบ

    ของจิต แล้วพุ่งพรวด ส่งเหมือนงวงช้างออกจากจิต เข้าไปจับกับสิ่งเร้า แล้วปรุงต่อ

    จนเกิดอารมณ์นั้นเทียว วงจรนี้ผู้ปฏิบัติืจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าไม่เท่ากัน แล้วแต่บุคคล

    สำหรับบุคคลที่จิตรู้อยู่แล้วว่า ส่งจิตอกนอกไปจับสิ่งเร้า จะทำให้เกิดทุกข์ จิตจะไม่ออก

    ไปจับ จะอยู่กับจิต โดยไม่ต้องบังคับ อยู่กับจิตตัวเองและรู้ทีละน้อยว่าจิตตัวเองนั้นไม่เที่ยง

    จนกระทั่งจิตรวมและตัดสินความรู้ครั้งใหญ่ .....
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    รู้สึกว่าคุณโปกำลังคุยคนละประเด็นกับผมนะครับ อย่างไรก็อนุโมทนาในปัญญาที่มีครับ

    วิปัสสนาญาณมันก็ไม่ได้บังคับอยู่แลัวครับ แต่ก็ไ่ม่ได้หมายความว่าเกิดเอง การไล่ไปตั้งแต่ญาณสี่ รูปนามที่เห็นอะไรจะเกิดมันก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ ตรงนี้ในเบื้องต้น ส่วนความรู้ในปัญญาที่เห็นมาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ สังขาร(ปรุงกิเลส)นี่

    ผมก็ลังสื่อสารกับผู้ที่คุยอยู่ว่า อำนาจวิปัสสนาต้องฝึกฝน ต้องเอาสมาธิมาใช้ มาช่วยเป็นอย่างมาก กำลังไม่พอก็โดนลาก และไม่เห็นจริง

    การดูธรรม รูป สัญญา วิญญาณ สังขาร เวทนา เป็นรอบ ๆ ถ้าเห็นได้ช่วงแรก ๆ ก็เห็นช่วงปลายที่ลงไปสู่เวทนาทุกข์แล้ว ทุกข์มาก ๆ แล้วก็สู้ ทวนกระแสมันต่อไป ก็เห็นได้เร็วขึ้น พัฒนาอีกหน่อยก็สติก็เห็นว่าแท้จริงเราไปจับมันไว้ยึดมันไว้นี่น่า ที่นี้เริ่มหายโง่ ก็พยายามปล่อยให้เร็วขึ้น จนไปถึงต้นสาย พอถึงต้นสายปล่อยอย่างไรก็เท่านั้น ปัญญาเกิดอีกว่า สุดท้ายแล้วมันต้องปรุงซิ รู้เท่าทันอย่างแท้จริงว่าธรรมชาติของกิเลสมันต้องปรุง จะหลังขันธ์เวทนา หลังรูป หลังวิญาณ หลังสัญญา (ไม่ได้เรียงให้ขี้เกียจ) สัก 2 - 3 ขณะ ก็จะถึง จุดที่ไร้การปรุงแต่ง ไม่มีอะไรจะเกิด ไม่มีอะไรจะดับ บางท่านเรียกจิตเดิมแท้

    ซึ่งตรงจิตเดิมแท้นี้ยังไม่ได้เป็นที่สิ้นสุด เพราะมันยังทรงไว้อยู่ อะไรมาลากมันก็ยังไปได้ แต่เมื่อมีช่องว่างของสายทุกข์ จะเหลือแต่ลมหายใจ ตรงนี้ถ้ายอมตายแลกได้ ดับลม ดับกายมันซะเลย มันก็หักสงสาร

    ขอย้อนไปช่วงแรก ก่อนจะดูธรรมได้ วิธีที่ใช้ ก็หมั่นทำสมาธิ กำหนดตามลม หรือจะท้อง หรือจะบริกรรม เพื่อให้กำลังเกิด เพื่อลดนิวรณ์ในระดับแรก แล้วค่อยเอาวิปัสสนาละนิวรณ์เป็นลำดับถัดมา แล้วค่อยพิจารณาขันธ์ในลำดับถัดไป

    ก็จะบอกเท่านี้ ไม่ใช้มาถึง ดูจิต เกิดเอง ไม่บังคับ อันนี้เรียกสักแต่พูด จ้องแต่จะแย้ง

    อีกอย่าง คำถามที่ถามนะ บ่งบอกอะไรหลายอย่าง มันบอกภูมิคุณ ฐานที่สัมปยุต ก็บอกชาติภพที่เหลือได้ เพราะมันแจ้งในลำดับไม่เหมือนกัน

    หน่อยแน่ะ ที่ตัวเองถาม คนอื่นไม่ตอบ หาว่าไม่ตอบดื้อ ๆ ที่คนอื่นถาม ตัวเองไม่ตอบ ทำนิ่ง

    พิจารณาให้เจริญธรรมแล้วกัน ผมไม่รบกวนคุณแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  5. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ขอบคุณ ครับ คุณ jinny 95

    ผมเพียงชี้ให้เห็นทางกันว่า ธรรมแท้ย่อมไหลลงที่เดียวกัน

    และที่ผมอ่านหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์ท่่านตั้งแต่ ปี ๒๕๔๖ นั้น

    สอดคล้องต้องกันทุกประการ ไม่มีอะไรแตกต่าง ทุกสายธรรมล้วนลงในจิต

    จะเห็นธรรมก็อยู่ในจิต มิได้อยู่ที่ใดเลย จะเห็นหรือจะได้อย่างก็แล้วแต่บุคคลนั้น

    ตามที่สั่งสมมา ชาตินี้ไม่ได้ ก๋สั่งสมตามติดตัวไปภพหน้า ใครทำดีก็ควรสนับสนุน

    ดีกว่าเขาทำผิดศีล จ้องมองคนอื่นเขา แล้วมองย้อนมาในตัวเองบ้าง


    ขออนุโมทนา
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนากับคุณโป และขออนุญาตนำข้อความของคุณโป ที่#964

    ไปเผยแพร่ต่อครับ
     
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ข้อความด้านบนที่บอกว่าเป็นความเห็นของผม มันไม่ใช่นะครับ นั่นพี่ภูตกล่าวไว้ต่างหาก

    พี่โปอย่าสับสนครับ...
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ เห็นพูดคุยกันทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้งนั้น
    ทั้งๆที่ปฏิจจสมุปบาทธรรมมีทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ

    ปุถุชนคนทั่วไปที่ศึกษาอ่านธรรมอยู่นี่ รู้แต่ปฏิจจสมุปบาทธรรมฝ่ายเกิดเท่านั้น
    ส่วนกัลยาณปุถุชน ย่อมเรียนรู้ทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ
    การเกิดขึ้นและดับไปรวดเร็วมาก ไม่มีเวลามาลำดับอาการหรอก
    ที่ยังลำดับอาการนั้น เป็นการนำมาพิจารณาในภายหลังทั้งสิ้น

    การฝึกฝนอบรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนานั้น
    เพื่อฝึกจิตให้มีสติกำกับ ให้จิตสงบตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
    พอกระทบอารมณ์ปั๊บ จิตเพียงแค่ไหวตัวเล็กน้อย ก็รู้ทัน สลัดอารมณ์ทิ้งซะ

    ท่านครับ ใครที่อ่านตำรามาก็ตอบท่านได้อยู่แล้ว
    ส่วนจะรู้ว่าใครปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาจริงหรือไม่จริงง่ายนิดเดียว
    ให้ดูว่ารู้เรื่องจิตมั้ย??? แค่จิตเรื่องเดียวก็บอกได้ถึงภูมิธรรมของคนนั้นแล้ว

    เมื่อสมัยยังเป็นฆราวาส นำธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเขียน มาพิมพ์
    พอเป็นพระ กล่าวหาว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์กล่าวธรรมคลาดเคลื่อน
    แสดงธรรมที่ขัดกับที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนไว้

    อย่างนี้จะให้เชื่อได้หรือว่าของแท้ ในเมื่อพูดกลับไปกลับมา

    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ใครอยู่กับจิตตัวเอง(ใช่จิตตัวเองมั๊ย?...ถ้าไม่ใช่แล้วใครล่ะ?)

    ใครรู้ทีละน้อยว่าจิตตัวเองไม่เที่ยง(ใช่จิตตัวเองมั๊ย?...ถ้าไม่ใช่แล้วใครล่ะ?)

    รู้ทีละน้อยว่าจิตตัวเองนั้นไม่เที่ยง
    งั้นแสดงว่ารู้ตรงนี้เที่ยงสินะ เพราะรู้ตลอดเวลาใช่มั๊ย ใช่จิตตัวเองมั๊ยที่รู้

    เพราะถ้ารู้ตรงนี้ก็ไม่เที่ยง งั้นแสดงว่าที่บอกว่ารู้ก็ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
    แสดงว่ามั่วเดาสวดขึ้นมาสินะว่าจิตรวมและตัดสินความรู้ครั้งใหญ่

    ;aa24
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ที่คุณโปคิดและเข้าใจมาทั้งหมดหนะดีแล้วครับ อนุโมทนาเพียงแต่หลายท่านหรือแม้กระทั่งตัวผมเองนั้น เห็นว่าการจะนำจิตเข้าสู่วงจรหรือกระแสปฏิจจสมุทบปาทนั้น จะต้องมีความตั้งมั่นของจิต และความตั้งมั่นของจิตมีได้ก็เพราะจิตมีสมาธิ และจิตมีสมาธินั้นมีได้เพราะมีสติ และองค์รวมคือความสงบ แต่สิ่งที่เป็นหลักๆในการเข้าสู่การรับรู้ของจิตนั้น คือสติ ล้วนๆ คนอื่นกังขาแต่ผมไม่กังขา เพราะไอ้ที่ว่ารวมลงที่เดียวกันคือ รู้สภาวะความเป็นจริงของธรรมทั้งหลาย และจริงๆ อาจจะรู้ด้วยซ้ำว่านั่นแหละคือการฝึกสติเบื้องต้นคือการเพ่งอาการของจิต เพียงแต่บัญญัติผิดไปจากคนอื่นก็ตามความเข้าใจและภูมิธรรมที่มีแต่ละคน ตอบมากก็เหมือนบ้าน้ำลาย เพราะอาการของการเห็นนั้นแตกต่างกันหลายลักษณะ ตามแต่จริตของคนที่จะมักยึดติดต่อสิ่งใด ติดตำราก็เห็นเป็นลำดับญาณอะไรทำนองนั้น ติดคำสอนครูบาอาจารย์ก็เห็นว่าต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นจึงถูกต้อง แท้จริงเพียงแต่เปิดจิตเปิดใจรับข้อคิดและผลของปฏิบัติของแต่ละคนแล้วนั่งวินิจฉัยว่า ก็ที่ว่ากรรมเป็นของบุคคลนั้น พระศาสดาตรัสนั้นถูกต้องและจริงทุกประการ เพราะคำว่า กรรม มีหลายความหมาย โดยนัยหมายถึงเหตุและผลของการกระทำสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะถ้าทุกคนมองเห็นกันจริงๆก็จะเกิด ความเห็นอกเห็นใจเข้าใจในสภาวะต่างๆ และเรียนรู้ไปพร้อมกับแก้ไขสิ่งต่างๆ ถ้าในทางธรรมหรือเพื่อความหลุดพ้น ก็จะเห็นและทราบได้ด้วยจิตใจตนเองนั่นแหละว่า นั้นหมายถึงอะไร ไม่ว่าคุณจะส่งจิตออกนอกหรือรับเข้ามาก็ตาม หากคุณไม่สร้างเกราะป้องกันคือสติ อันเป็นที่พึ่งแรกและที่พึ่งสุดท้ายของจิต คุณจะไม่มีทางเห็นความเคลื่อนไหวของจิตที่แท้จริง เพราะคุณคงรู้ดีว่าหมายถึงจากการที่ศึกษาและอ่านตำรามา มันเกิดดับไวมาก และมันก็เป็นธรรมชาติแท้ๆของจิต ที่หลอกลวงเรามาตลอดหลอกว่ามีหลายตัวหรือว่ามีตัวเดียวก็ตาม ผมเองพอจะเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่นิพพานแล้วก็ดีที่ยังอยู่ก็ดี ต่างล้วนผ่านการฝึกฝนสติ สมาธิ ขัดเกลา ปัญญา มามากมายมหาศาล ไม่ว่าจะสมมุติบัญญัติอย่างไร ต่างก็ต้องเป็นไปตามนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะความง่ายของคนหนึ่งอาจเป็นของยากของอีกคนหนึ่ง ล้วนเป็นของเฉพาะบุคคล มันจึงต้องมีการฝึกปฏิบัติเพื่อจุดยืนของตนหรือจุดที่เหมาะสมกับตน และที่สำคัญมันมีเหตุมีผลที่รับได้ด้วยกันทุกฝ่าย และจากที่ฟังๆมาก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่เพราะต้องใช้เวลาเป็น ปีๆ เลยทีเดียวที่จะสร้างสติ เพียงแต่กล่าวข้ามไป ก่อนหน้านั้น0-กี่ปีก็ตาม การตามรู้ตามดูก็คือการฝึกสติและมันก็ติดอยู่ตรงที่ ส่วนใหญ่ไหลไปกับกระแสนั้นแหละ ต้านไว้ไม่ไหว กลายเป็นคนหลง คนโกรธ คนโลภ และอีกหลายๆลักษณะ เพราะอะไร เพราะขาดการฝึกสมาธิ สติ ที่ดี ที่ถูกต้องตามที่พระศาสดาบัญญัติไว้ให้มีมากมายเหลือเกินแต่มองไม่เห็นความสำคัญ ผมไม่แย้งความคิดใครครับดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี แต่สิ่งที่เป็นอยู่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีครับของคุณโป อย่าไปเทียบกับบุคคลซึ่งเป็นอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ไม่ว่าเจโตวิมุติหรือปัญญาวิมุติล้วนดำเนินไปตามองค์อริยะมรรค ผมจะแนะแค่นิดเดียวปัญญาวิมุติมีกำลังสมาธิน้อยก็จริง แต่รู้จักใช้หมายถึง นำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มประสิทธิภาพ มันไม่เหมือนกันกับคนที่ไม่มีเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ ฝ่ายเจโตวิมุตติไม่ต้องพูดถึงมากมายอยู่แล้ว อย่าคิดว่าไม่มีแล้วทำได้ข้อนี้สำคัญมากจริงๆครับ สมาธิสติ หรือ สติสมาธิ
    อนุโมทนาครับคุณโป
     
  11. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ยังไม่ต้องสาวลงไปในวงปฏิจจสมุปบาทหรอกเด๋ยวจะติดอยู่แค่สมมุติมั่วแต่นั่งไล่ไปไล่มาติดอยู่แค่ความคิด วิถีของจิตมันรวดเร็วกว่าจะมานั่งคิดติดกับสัญญา

    เพียงแค่ให้รู้จักกับผู้ที่รู้อารมณ์กับอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้เอาแค่นี้ให้ได้ก่อน

    เมื่อจิตหลุดออกจากอารมณ์ได้ ปล่อยวางอารมณ์ได้ชั่วคราว หลุดพ้นชั่วคราว แล้วจะรู้เลยว่าที่บอกว่าดูจิตๆน่ะแค่วิ่งไล่ตะครุบเงาแล้วปล่อยตะครุบเงาแล้วก็ปล่อย ก็แค่ติดอยู่กับอารมณ์หาได้แยกจิตออกจากอารมณ์ได้จริงๆเลย แท้จริงแล้วที่แยกกันว่าวิปัสนาว่าสมถะ มันก็ต้องการผลอันเดียวกันนั่นแหละ คือความสงบ

    ถ้าเมื่อมีปัญญาก็คงจะหลุดพ้นได้ถาวร สงบได้อย่างถาวร
    ปล.ส่วนตัวยังไม่มีปัญญาเลยยังไม่รู้จักคำว่าถาวร หรือคำว่าเที่ยง
     
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    คนเรามองถึงแต่ผล

    พระพุทธเจ้าสอนเหตุไว้แล้วคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้รวมกันลงเป็นหนึ่ง เป็นมรรคสมังคี

    ถ้าไปนั่งแยกจะเอาแต่อย่างหนึ่งอย่างเดียวมันก็ไม่จบ
     
  13. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    อืม....
    แล้วสติของคุณขวัญ เป็นแบบ หยดน้ำ
    หรือเป็นแบบ สายน้ำ ครับ
     
  14. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    ความจริง แม้แต่ขั้นเริ่มต้น จนกระทั้งครั้ง ตัดสิน ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ
    ของจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอก
    มันรวบรัดตัดตอนเกินไป
    เหตุก็ไม่เคลียร์
    ผลก็ไม่เคลียร์
    พยายามเอ่ยเพื่อสร้างความคลุมเครือเท่านั้น
    คนไม่รู้ไม่เห็นก็เชื่อเป็นตุ เป็นตะ

    ธนบัตรปลอม ต่อให้มีซักร้อยซักพันใบก็ตาม ก็ไม่มีค่่านะ
    ธนบัตรจริงใบเดียว พอแล้วนะ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หยดน้ำ

    กิเลสกับสติ มันเกิดที่เดียวกัน

    มีสติกิเลสก็ครอบงำไม่ได้ เป็นสัมมาทิฏฐิ หน้าสว่างชั่วคราว

    ขาดสติกิเลสก็ครอบงำไป เป็นมิจฉาทิฏฐิ หน้ามืดชั่วคราว

    มีซ้อมเจริญสติเช้าเย็นเป็นสนามซ้อม ที่เหลือออกสนามรบจริงทั้งวัน

    ดูมันเสื่อม ดูมันเจริญ เหมือน คนส่องกล้องดูนก

    ถ้ามันเจริญก็ดูเฉยๆได้ ถ้ามันเสื่อมแสดงว่าหลวมตัวไปเล่นกับนก พอนกมันจิกเอาก็จะรู้สึกตัวกลับมาเจริญอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  16. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    แล้วถ้าสติเป็นเหมือนสายน้ำล่ะครับ
    คุณขวัญคิดว่าจะเป็นยังไงต่อไป

    อืม....แล้วคุณขวัญใช้ day-cream กับ night-cream ของอะไรครับ
    เดี๋ยวหน้ามืด เดี๋ยวหน้าสว่าง
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าสติเป็นสายน้ำ คาดว่าจะเจริญปัญญาแบบข้ามวันข้ามคืน
    เหมือนที่หลวงตามหาบัว เทศน์เรื่องสติ มั้ง ถ้าได้ปฐมฌาณ ก็คงรู้เอง

    หน้ามืด-หน้าสว่าง ก็เปรียบเหมือนจิตมีสติ-จิตขาดสติ
    เห็นไตรลักษณ์ไปเนืองๆ จนกว่าจิตมันจะยอมรับกับตัวเองว่า
    กายใจ ไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเอากายใจ เป็นตัวเป็นตน
     
  18. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    แล้วคุณขวัญคิดว่า
    สติที่เป็นหยดน้ำ
    กับ สติที่เป็นสายน้ำ

    สติแบบไหน ที่พาให้พ้นทุกข์ได้ ครับ
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คำว่า สติ จะหยดน้ำก็ดี หรือ สายน้ำก็ดี มีคุณค่า
    ถ้าหากว่า สตินั้น ระลึกไปเพื่อน้อมไปในทางกำจัดกิเลส
    น้อมไปในทาง สงบ น้อมไปในทางเห็นไตรลักษณ์

    เช่นว่า ระลึกตัวได้ว่า เมื่อกี้นี้ที่พูดไป เราพูดไม่ถูก พูดส่งเดช เราก็จำเอาไว้ว่าเราต้องไม่ทำอีก แก้ไข การพูดส่งเดช แบบนี้แหละ เรียกว่า สติที่ถูกต้อง

    บางคน ไปมีสติอยู่กับ เรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่นว่า สติรู้อยู่กับการเดิน แต่พอใจไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ไม่มีสติ หรือ บางคนมีสติกับการขยับนิ้่วมือ มันก็มีสติอยู่กับขยับนิ้่วมือ แล้วถามว่า มันจะไปเสริมสร้าง ทัสนะแห่งปัญญาอย่างไร ดังนั้น เราจะมีสติอยู่กับอะไรก็ตาม จะต้องเป็น สติ ที่ระลึกเพื่อที่จะเสริมสร้างปัญญา หรือ สมาธิ เพื่อลดละกิเลส เพื่อเข้าใจ สภาพความจริง เพื่อรู้ว่าจิตกำลังหลงลืม เพิกเฉยในเรื่องใดที่สำคัญ อันเป็นเหตุให้ละลดกิเลส เท่าทันต่อกลมายา ของกิเลสได้

    นั่นแหละ ครับ สัมมาสติ อันจะนำไปสู่ ความสงบ และ ทรงภูมิ ทั้งปัญญา สมาธิ และ ศีล
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณคิดว่า คนที่รู้จักสติที่เป็นหยดน้ำ แล้วจะหยุดพัฒนาการยังงั้นรึ
    วันนี้มีสติเป็นหยดน้ำได้ ด้วยการภาวนามาแบบไหน มันก็ต่อยอดขึ้นไป
    กลายเป็นสติแบบสายน้ำได้ เมื่ออินทรีย์กล้า บารมีถึง ความเพียรมีผล
    คนที่รู้จักการพ้นทุกข์แบบชั่วคราวแล้ว ย่อมรู้วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการพ้นทุกข์
    ได้ถาวร แต่คนที่ไม่รู้จักอะไรเลยแล้วคิดว่ารู้เนี่ย ยังน่าเป็นห่วงกว่านะ

    การจะสอนให้คนที่ไม่รู้จักอะไรเลย ภาวนาไม่เป็น จนรู้จักการภาวนา
    เป็นของที่ทำได้ยาก สอนได้ยาก แต่หากภาวนาเป็นแล้ว ย่อมรู้ทางเดิน
    ขั้นต่อไปได้ด้วยตนเอง เมื่อรู้ทางแล้ว คนอื่นจะมาเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องยาก
    อีกเช่นกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งผิดและถูก จะเป็นครูที่เยี่ยมยอดของเรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...