Life flow smoothly with the teaching of the Lord Buddha

ในห้อง 'Buddhism' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 2 เมษายน 2011.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    The following Articles have been printed on the Thai newspaper called "Daily News" every Wednesday. My intention is to talk about the teaching of the Lord Buddha - the way I have absorbed and understand it. After my first article was printed, there was a request coming. A reader wanted to show the article to her foreigner friends to read. She believed that they might be very useful for them to understand "Dhamma" [The teaching of the Lord Buddha] much better.

    Therefore, I determined to translate them by myself, though my English is not quite good. It's only understandable. So forgive my weak English.

    ..........................................................



    สำหรับลงวันที่ 09 มีค 54
    เรื่อง : ธรรมะ - ไม่ยากอย่างที่คิด


    เมื่อพูดถึง “ธรรมะ” คนส่วนใหญ่จะส่ายหน้าไม่อยากพูดถึงกัน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของคนที่เข้าวัด ไม่ก็เป็นเรื่องของพระของชี พ่อแก่แม่เฒ่า “โอ๊ย! ธรรมะนะเหรอ... เข้าใจยากจะตาย น่าเบื่อ ล้าสมัย คนที่ปฏิบัติธรรมมีแต่พวกหมดความอยากหมดความทะเยอทะยาน ชอบทำตัวขวางโลก ไม่มีชีวิตชีวา...” สารพัดที่จะได้ยิน

    แต่จากมุมมองของคนที่ศึกษาธรรมะ... (เพราะธรรมะ คือ ธรรมชาติ ความเป็นจริงที่มีอยู่จริง ความธรรมดาของสรรพสิ่ง... เกิดกี่ล้านชาติก็เรียนรู้กันไม่มีวันจบ... เรียนจนกว่าจะเบื่อกันไปข้างหนึ่ง... เบื่อเมื่อไหร่ก็เข้าใจคำว่า “ความหมุนเวียนในวัฏสงสาร” เมื่อนั้น จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ก็นั่นแหละ... ชาติสุดท้ายที่จะมาเกิด) จริงๆ แล้ว การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย... ก็เหมือนกับที่เราต้องกินข้าว ต้องหายใจ ต้องเข้าห้องน้ำ ฯลฯ จะว่าไปแล้วง่ายกว่าการดิ้นรนเอาตัวรอดจากสภาวการณ์สภาพสังคมในปัจจุบันนี้ซะอีก... และเชื่อไหมว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในศาสนาไหนคุณก็มีความสุขกับการปฏิบัติธรรมได้

    ไม่ต้องอะไรมากเลย... ตอนเช้า พอรู้สึกตัวลืมตาปุ๊บ อย่าเพิ่งรีบลุก ให้เวลากับตัวเองสักนาทีสองนาที... ตามดูลมหายใจของตัวเองว่ามันกำลังเข้าหรือออก ยาวหรือสั้น ดูเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำสักพักใจจะเริ่มเบาสบาย

    ทีนี้ระลึกนึกถึงพระพุทธรูปที่เราชื่นชอบที่สุดหรือพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพศรัทธาและเชื่อถือมากที่สุด (ท่านจะนึกถึงองค์ศาสดา หรือพระเจ้าที่ท่านนับถือก็ได้) นึกถึงรูปร่างลักษณะหรือจะปฏิปทาของแต่ละท่านก็ได้ ประคองใจให้อยู่กับการระลึกถึงตรงนั้นให้ได้สักครึ่งนาที (แต่ถ้านานกว่านั้นได้ก็ลุยเลย)... เมื่อทำได้แบบนั้นใจของเราจะยิ่งโปร่งโล่งสบาย...

    ทีนี้นึกถึงแต่ความรู้สึกสดชื่น ความสุขความสบายใจ นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ที่เราเคยได้รับ ความรักความปรารถนาดีที่คนที่รักเรามีให้เรา และ...ที่เรามีให้กับคนที่เรารัก... อ้า! ช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้... ใจของเราจะชุ่มเย็นสดชื่นจนบอกไม่ถูก... (การแผ่เมตตาและความปรารถนาดีให้ดวงจิตอื่นนี้เราสามารถทำได้ตลอดเวลาที่อยากทำ ยิ่งทำบ่อยทำมากเท่าไหร่ความสุขทั้งในจิตของเราเองและคนรอบข้างก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปเท่านั้น)

    ที่นี้ตั้งความปรารถนาดีว่า เราอยากให้คนอื่นๆ มีความสุขแบบนี้บ้าง... นึกแผ่ความรู้สึกดีๆ พวกนั้น (ถ้านึกให้เห็นเป็นแสงสีเหลืองทองหรือสีขาวได้จะยิ่งดีเยี่ยม... แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) นึกให้เห็นรัศมีแสงสีทองนั้นแผ่จากดวงจิตของเราออกไปเป็นวงกลมโดยมีตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง... นึกให้แสงแห่งความสุขนั้นคลุมทุกคนในครอบครัวของเรา บ้านของเรา ขยายออกไปทั้งอาณาบริเวณโดยรอบ ให้ความสุขนั้นครอบคลุมไปทั้งจังหวัดที่เราอยู่ ทั้งประเทศไทยของเรา คลุมไปทั่วโลก ทั่วทั้งจักรวาลไม่มีที่สุดไม่มีขอบเขตใดๆ ทั้งสิ้น... นึกขอให้ทุกดวงจิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย พรหมเทพเทวาทุกทิศทุกสถาน เจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยไปล่วงเกินไว้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม หรือทุกดวงจิตที่เคยล่วงเกินเรา... ให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเบาสบายกายสบายใจ เหมือนกับที่เรากำลังรู้สึกด้วยเถิด ขอทุกดวงจิตอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ให้อโหสิกรรม ให้อภัยแก่กัน... มีความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจให้แก่กัน... ประคองสติและอารมณ์ให้อยู่กับตรงนั้นให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้... จิตเราจะมีแต่ความสุขความชุ่มเย็น... เมื่อทำจนพอใจแล้ว... ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ... ยิ้มให้กับความสุขของตัวเอง และความสุขที่มอบให้ผู้อื่น...

    เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอาบท่า ถ่ายหนักถ่ายเบา.. แล้วลองคิดสิว่า... ถ้าเราถ่ายไม่ออก มันจะทุกข์จะทรมานขนาดไหน.. ร่างกายเรามันสกปรกไหม... ถ้าไม่อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน คงมีแต่กลิ่นเหม็นเน่า มีแต่คนรังเกียจหาใครคบด้วยไม่ได้... ร่างกายเรามันก็ถังส้วมดีๆ นี่เอง... จะไปยึดไปติดอะไรกับมันนักหนา พอทานอาหาร... ก็นึกสิว่า อาหารเหล่านี้มันก็ซากศพ ถ้าปล่อยทิ้งไว้มันก็ต้องบูดต้องเน่า... แต่เราก็ต้องทานเพื่อให้ร่างกายมันอยู่ได้เป็นปกติ เพราะเรายังมีหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูตัวเอง ครอบครัวและช่วยเหลือผู้อื่นบ้างเท่าที่จะทำได้ (การช่วยเหลือ ต้องไม่ช่วยเหลือจนตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนไปด้วย... เพราะนั่นคือการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นเช่นกัน)

    ไปทำงานไปเรียนหนังสือ... โดนคนอื่นกระแทกบ้างเจอปัญหาต่างๆ สารพัดบ้าง... ชีวิตมันสุขหรือมันทุกข์ ไอ้ที่ว่าสุขนะ สุขจริงหรือแค่ความพอใจที่สมหวังชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พอไม่ได้อะไรดั่งใจมันจะสุขไหม... เมื่อโดนคนอื่นทำอะไรไม่ดีด้วย ไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ... ให้นึกซะว่า ถ้า... เราเคยทำไม่ดีกับเขา ชาตินี้เราจะไม่โต้ตอบ เราอโหสิกรรมให้ ให้วงเวียนของความอาฆาตแค้นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมันจบในชาตินี้... แต่ถ้าเราไม่เคยทำอะไรเขา ก็คิดซะว่า... เราอภัยให้... เพราะเราไม่อยากที่จะต้องอยู่บนกองไฟถูกเผาไหม้ไปด้วยเช่นเดียวกับผู้นั้น

    ทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติที่เคยทำ... แค่มุมมอง การวางกำลังใจ และสติ เท่านั้นที่เปลี่ยนไป... ก่อนจะนอน... นึกถึงความสุข ความรู้สึกดีๆ แบบที่ทำในตอนเช้าอีกสักรอบ... ทำจนไม่มีความขุ่นข้องหมองใจใดๆ เหลือติดค้างในดวงจิตของเราอีก... พอใจชุ่มเย็น เบาสบายแล้ว... ก็นอนดูลมหายใจของตัวเอง เข้า – ออก เข้า – ออก ไปเรื่อยๆ จนหลับ...

    อย่าแค่อ่านผ่านๆ ขอให้ลงมือทำแล้วท่านจะเข้าใจว่า จะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ใกล้แค่นี้เอง... แค่จิตของเราเท่านั้นเอง


    ชนินทร
    Email : chdhorn@gmail.com


    .................................................................................
     
  2. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    [09 March 2011]

    Title : Dhamma - it isn't that difficult



    When talking about “Dhamma”, most people would shake their head and said “Boring, it is very difficult, it is out of date ” or “ It is for those who enjoy studying Bhuddhism, not for us” or “It is for a monk and a Buddhist nun only, not for a layman like us” “We are not the old men who are waiting for passing away, we are still full of ambition and aspiration.” And so on.

    But… from the one who has been studied Dhamma for sometimes, studying and practicing Dhamma is not difficult at all.

    [Because Dhamma is the fact occurring naturally around us. It is the eternal truth. It is the truth of the nature. … It doesn’t matter how millions life one has been reborn again and again, one couldn’t learn all of those natural things happening in the transmigration. The circle of life will end when one gets bored of rebirthing and try to find the way out, which is going into the state of Nirvana. [Nirvana is the place where there is the extinction of the fires of greed, of hatred, ignorance, all defilements and suffering. It is the Supreme Final Goal of Buddhism.]]


    Following the teaching of the Lord Buddha is as simple as eating rice [taking your meal], breathing, going to a toilet and so on. Would you believe that it is easier than trying to survive in these days of living. Moreover, believe it or not, It doesn’t matter what religious you are in, you can be happy by practicing the dhamma.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2011
  3. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    What you have to do is as follow….

    In the morning, as soon as you open your eyes, just give yourself a little more times. Then, follow your breathing… in and out. Don’t expect anything, don’t try to know anything, don’t have any questions… just see… See how the breathing starts and where it stops. Follow the wind starting from your nose, flowing pass your chest and ending at your stomach. Just look at it calmly. Don’t control your breathing, let it go naturally. After you have done this way correctly for sometimes, your breathing will get slower and calmer. You will feel much relax and peaceful.


    Now go on to the next step, think of the Buddha image that you belove most or the holy Buddhist monk whom you respect with your whole heart. [The one who isn’t a Buddhist, feel free to think of your god or your religious founder.] You could think of their figure or their method of reaching their goal. Try to maintain the state of thinking [or anyone who can see the picture insight, try looking at it calmly.] Do it as long as you can. Until you feel delight inside.


    Next, think of the most happinest time you have ever had. Think of the freshness time you have ever touch. Think of the most peaceful time you have ever feel. Think of good things happening in your life. Think of good wishes, love, fondness you have ever taken and given.

    [To be continued]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...