7 วัน บรรลุธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 16 พฤศจิกายน 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    " เรื่องที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นนี้ เป็นบทความส่วนบุคคล ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ และ ตีพิมพ์ ส่งต่อ เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผู้เขียนได้นำมาเขียนขี้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินของผู้ปฏิบัติในขั้นตอนหลักสูตรเร่งรัดฯ ซึ่งสามารถบรรลุผลได้ภายใน 7 วัน

    (ขอย้ำ) หากปฏิบัติจริงจะเกิดผลเองทางจิตของท่านโดยตรง ขอให้ไปเป็นลำดับอย่าเพิ่งเกิดความวิตกวิจารณ์อันจะเป็นเครื่องกั้นสมาธิ และ ขัดขวางในสภาวะจิต ให้เกิดความสับสน และ จิตไม่ตั้งมั่นรวมตัว เพราะจิตอันบริสุทธิ์มิได้หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน อย่างไรก็ดีขอให้เป็นวิจารณญานส่วนบุคคลของผู้เขียน และ ผู้อ่านเองในการที่จะศึกษาเรื่องราวทางจิตอันบริสุทธิ์ ต่อไป "


    7 วัน บรรลุธรรม </B>


    ฉบับเผยแพร่ เพื่อ ธรรมทาน และ การดำเนินในมรรคคาปฏิปทา เพื่อการรู้แจ้งเห็นจริง ในสัจธรรม ด้วยตัวเอง ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นหลักสูตรแบบเร่งรัด หากปฏิบัติอย่างจริงจัง ผลย่อมเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน มิต้องสงสัย ผู้เขียนมิได้ปรารถนาสิ่งใดเลยเป็นการตอบแทน หากแต่เพียงผู้ที่ยังติดค้างในมรรคผลปฏิบัติ จักได้นำไปเปรียบเทียบสอดทาน เพื่อ ความเข้าใจเพิ่มเติมอันจะนำไปสู่หนทางแห่งการ บรรลุสัจธรรม!!

    "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงท่านก็ได้รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว ....
    ขาดก็แต่ลงมือปฏิบัติ..อย่างจริงจัง เท่านั้น ....
    ที่สุดแล้ว....ทุกอย่างเป็น ...
    เช่นนั้นเอง............"


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 1

    ก่อนจะมาถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องราวของชีวิตทั้งชีวิตทั้งหมดทั้งมวล กำลังจะถูกลบออกจากข้อมูลความเป็นจริง ของโลกใบนี้ มีอยู่ก็แต่ปัจจุบันขณะ และ ความว่างเปล่า ทว่า มีตัวผู้รู้อาศัยระลึกอยู่เท่านั้น กับความเป็นจริง และ กำลังใจอันมหาศาลอันเป็นตัวการสำคัญในการที่จะผลักดันให้เกิดปฏิกิริยาในทางการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางจิตแบบใหม่ (ทั้งหมด) เพื่อนำไปสู่อะไรบางอย่างที่รู้สึกได้ถึงความมหาศาลแห่งสนามพลัง อันมีอยู่อย่างไม่จำกัด ยากเกินกว่าที่จะคาดคะเนได้ถึงขุมพลังอันนี้ แต่รู้สึก และ รับรู้ได้อยู่ว่ามีฯ

    และก่อนที่จะเดินทางไกล สัมภาระและเสบียงที่ท่านต้องนำติดตัวไปด้วยนั่นก็คือ กำลังใจ ความมุ่งมั่นที่แท้จริงจะเป็นแรงผลักที่สำคัญอันจะนำท่านเดินทางออกจาก วงโคจรของโลกแห่งอัตตา (ความยึดถือและสำคัญมั่นหมายในความมี)เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ทางที่ท่านกำลังจะเดินจากนี้ไป มีแต่ท่านกับจิตหนึ่งเพียงเท่านั้น จะไม่มีผู้ใดร่วมเดินทางไปกับท่านเลย ความยึดมั่นถือมั่นแบบโลกๆ ที่ได้ติดตัวท่านมาตั้งแต่วัยเด็ก จะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากนักในทางสายนี้ แต่จะทำให้ท่านได้รับรู้และเข้าใจโลกตามความหมายที่แท้จริงของมันเท่านั้นเอง!!!

    เบื้องต้นในวันแรกๆนั้นการศึกษาจะเหมือนกับการเรียนรู้จากสิ่งหยาบ เข้าไปหาสิ่งที่ละเอียด ความเป็นสมมุติ ไปสู่วิมุตติอันบางเบา และ ไร้ความหมายในทางการหาข้อสรุปในทางภาษา คือ ในระยะที่จิตเข้าไปสู่ขั้นตอนความละเอียดนั้น จะมีก็แต่การรับรู้ทางสภาวะเท่านั้น ซึ่งจะเป็นขั้นตอนในระยะท้ายๆ ที่ผู้เขียนจะได้อธิบายในตอนต่อ ๆ ไป อย่าลืมว่านี่เป็นบทความของผู้เขียน ซึ่งปรารถนาที่จะเขียนบอกแนวทางให้กลุ่มชนรุ่นหลังได้กรุยทางตามๆกันมา อันจะมีผลก็แต่บุคคลที่มีความตั้งใจจริงเท่านั้นที่จะรู้ผลได้ด้วยตนเอง และจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ได้ลองทำ จะอย่างไรเสีย ผลที่ได้ก็จักปรากฏเฉพาะต่อจิตของผู้ปฏิบัติเท่านั้น หาได้เกิดแก่ผู้ที่มีวิตกวิจารณ์ ตรึกนึก และคิดไปเอง ปรุงแต่งไปตามความคิดเห็นอันเรียกว่า ทิฏฐิ ซึ่งถ้าเป็นความเห็นแล้ว มันก็ย่อมต้องมีแตกต่างไปตามภูมิความรู้ของแต่ละบุคคลซึ่งมีความเห็นไม่เสมอกัน แต่ในทางสายธรรมแล้ว อริยะมรรคา หรือ ธรรมอันเป็นเครื่องอาศัยของเหล่าอริยชน ย่อมมีรสอันเสมอเหมือนกัน ไม่มีแตกแยกแต่อย่างใดเลย จะต่างกันก็แค่ตรงวิธีการที่จะไต่ไปยังจุดหมายอันสูงสุด นั่นก็คือ ความบริสุทธิ์ของจิตเท่านั้นเอง

    ผู้เขียนขอยืนยันว่า การปฏิบัติย่อมมีผลเกิดขึ้นจริง กับผู้ที่ตั้งใจทำจริง ทำถูก และทำอย่างต่อเนี่อง ผลมันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จะ 7 วัน 7เดือน หรือว่า 7 ปี ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละบุคคลเท่านั้นเอง เวลาก็เป็นแค่สมมุติในทางโลก หากกำลังใจเข้มแข็งและจริงจัง ผลก็จะเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า หากท่านเสียเวลาและเนิ่นช้ามามากกับการปฏิบัติขอให้ท่านตั้งใจติดตามเรื่องราวต่อไป ตรวจสอบกำลังใจ และวิธีการที่ท่านได้ทำ หากถูกต้องก็จะไม่ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใดเลย สูดลมหายใจเข้าให้ลึกๆ และลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถามใจตัวของท่านเองอีกครั้งว่าพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะเดินทางไปสู่หนทางแห่งการ บรรลุสัจธรรม!!

    ทางสายนี้มันสำหรับผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่และมั่นคงเท่านั้น ผู้ที่มีกำลังใจอ่อนแอ สะดุ้งสะเทือนง่าย หวาดกลัวต่อความตาย และ ความจริง คงยากที่จะไปถึง อย่าเพิ่งคิดท้อถอย ว่ายาก หรือลำบาก ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายดาย ย่อมต้องมีการลงทุนกันบ้าง ไม่เสียสละสิ่งหนึ่ง ก็จะไม่ได้สิ่งหนึ่งกลับมา ไม่เข้าถ้ำเสือ ไฉยเลยจะได้ลูกเสือ จะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องลองทำกันดู....

    ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เราเริ่มออกเดินทางก้นเลย ทางทว่าไกล ใจเราคิดว่าไม่ไกลมันก็ไม่ไกล ถ้าใจเราเดิน ถ้าเราไม่เดิน ต่อให้อยู่ต่อหน้ามันก็ดูเหมือนไกลแสนไกล...หากอยู่บนเส้นทางเดินแล้วล่ะก้อ จะช้าจะเร็วย่อมต้องถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน (อยู่ที่ตัวของท่านเอง ว่าจะไปหรือไม่ไป !!!)


    ทางสายบรรลุสัจธรรม

    เอาล่ะนะ.. เรามาเข้าสู่ขั้นตอนและวิธีการกันเลย..เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เพราะหลักสูตรนี้มันระยะสั้นของคนที่มีกำลังใจเด็ดเดี่ยว..มันต้องเร็วๆไวไว สิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ได้และต้องกระทำสืบต่อเนื่องไปจนถึงตอนสุดท้ายนั่นก็คือ สติ (ตั้งที่ใจ) ถ้าทำไม่ได้ เราขอยอมตายเพื่อแลกกับสัจธรรม !!! ขอให้นึกถึงคำอธิษฐานบารมีของพระพุทธองค์ก่อนจะทรงตรัสรู้ธรรมที่ใต้โคนโพธิ์ " หากเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญานแล้วไซ้ แม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปอย่างไรก็ตามที เราจะไม่ลุกจากที่นี้ " แล้วพระพุทธองค์จึงทรงค้นพบหนทาง อันไปสู่มรรคาความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ด้วยกำลังพระหฤทัยอันเด็ดเดี่ยวฯ ขอให้เราตั้งใจจริงเพียงอย่างเดียว เราก็จะพบทางอันบริสุทธิ์ดุจเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบหนทางนั้นเมื่อสองพันกว่าปีล่วงมาถึงยุคปัจจุบัน..
    คำว่าไม่ลุกจากที่นี้..ผู้เขียนขอให้ท่านพึงระลึกไว้ภายในจิตด้วยสติที่ตื่นรู้ ว่าจะไม่ละทิ้งการระลึกรู้ภายในจิตของท่านเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ท่านจงอย่าละทิ้งการระลึกรู้ เกาะมันไปให้จนสุดทางเลยทีเดียว....

    หลุมพลางและขวากหนามย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลา แห่งการเดินทางในเส้นทางสายนี้ อย่าเอา และ จงอย่าสนใจในดอกไม้ริมทาง เพราะมันจะทำให้เนิ่นช้า และ เป็นการเสียเวลาเป็นอย่างมาก แต่ความเย้ายวนมันก็เกินห้ามใจเสียจริงๆ ....

    จงรู้ไว้แต่เพียงว่า ทางข้างหน้ายังมีอีก..กว่านี้ อย่าเสียเวลากับการเก็บดอกไม้ข้างทางเลย
    ในระยะแรก ท่านจะรู้สึกอึดอัด และ ขัดข้องบ้างเป็นธรรมดาสำหรับความไม่เคยชินต่อการที่ต้องฝืน การที่ต้องฝึกความชำนาญในการเฝ้าดูของจิต หรือ เกิดอาการขัดเคืองขึ้นภายใน และเมื่อเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา ก็หมายถึงว่าท่านกำลังวางอารมณ์ใจไว้ผิด จึงเกิดการต่อต้าน เมื่อสติตามรู้อารมณ์ไม่ทันกับสภาวะธรรมที่เข้ามากระทบ ก็ขอให้ค่อยๆผ่อนอารมณ์ อย่าเกร็ง และอย่าฝืน เมื่อไม่ไหว ก็ให้ปล่อยอารมณ์ใจสบายๆ แบบเบาๆ ทางที่ถูกจะไม่มีการเกร็ง ฝืน หรือ รู้สักหนักแต่อย่างใดเลยฯ
    เพียงแค่มีความรู้สึกรู้และระลึกไว้เท่านั้นก็พอ เมื่อถึงตรงจุดนี้ จะมีหลากหลายความคิดความรู้สึกที่เข้ามาในสมองของท่าน จะเข้ามาทดสอบความตั้งใจหรือที่เรียกว่าเครื่องสอบอารมณ์ มันไม่ไหว มันหนัก มันยาก สารพัดเหตุผลวิธีการที่จะยกมาเพื่อที่จะสนับสนุนให้ท่านล้มเลิกความตั้งใจ ก็ขอเป็นกำลังใจและให้นึกถึงแรงอธิษฐานและความตั้งใจจริงในมโนปนิธาน และคนเป็นจำนวนมากก็มักจะพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเอง ขอให้นึกถึงแรงจูงใจ หรือเหตุและผลว่า ทำไมที่ท่านจะต้องมาทนฝืนทำสิ่งที่ขัดกับใจตัวเองเช่นนี้ หาเหตุผลให้เจอ ให้ใจมันยอมรับ เมื่อใจยอมรับแล้วก็จะมีกำลังที่จะเดินทางต่อไป....

    มหาสติ

    ต่อนี้เป็นต้นไป ท่านจะได้รู้จักกับคำๆนี้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นแต่เพียงคำที่ได้ยินได้ฟังกันมา ขอให้ท่านลงมือปฏิบัติทันที หากท่านทำจริง ผลก็จะเกิดขึ้นจริงทันที สติเมื่อได้ถูกระลึกรู้อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดสายจะพัฒนากลายเป็นมหาสติไปในทันที เหมือนกับโยนก้อนหินลงไปในแม่น้ำเมื่อก้อนหินกระทบกับผิวน้ำก็จะเกิดการสั่นสะเทือนและแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างเหมือนกับกำลังแห่งสตินั่นเอง เมื่อสติได้ถูกรู้และระลึก ผลจากการรู้จะทำให้เกิดพลังทางสมาธิติดตามมาด้วย สติยิ่งระลึกรู้ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดี..หากจะปฏิบัติให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว

    สติต้องตั้งมั่นเข้มแข็งโดยไม่ส่งจิตออกสอดส่ายไปในที่แห่งใดเลย กำลังแห่งสติเมื่อถูกผนวกเข้ากับกำลังแห่งสมาธิ ก็จะพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นมหาสติ อันมีกำลังกล้าแข็งเป็นสมาธิจิตที่มีพลานุภาพมหาศาล อันจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่จำกัด แม้แต่ในเรื่องของฤทธานุภาพ ซึ่งผู้เขียนจะขอผ่านตรงจุดนี้ไปก่อน จะขอลัดตัดตรงไปสู่จุดหมายปลายทางเลย (เพราะจะทำให้เรื่องเกิดความสลับซับซ้อนและยาวนานเกินความจำเป็น)

    ภายในวันสองวันแรกแห่งการเตรียมความพร้อมทางจิต(ที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝน)มาเลยอาจมีความหนักอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านการฝึกฝนทางสภาวะจิตมาบ้างแล้วก็จะไม่เกิดความลำบากแต่อย่างใด หากแต่เพิ่มการรับรู้เข้าไปไม่ท้อถอยเหมือนน้ำไหลไม่ขาดสายที่ละหยดทีละหยาดไม่ช้าก็จะรวมกันกลายเป็นสายนทีอันกว้างใหญ่ไพศาลไปได้เอง อย่าเพิ่งเชื่อ และ อย่าสงสัย ทำไปสบายๆ แต่ให้ทำอย่างต่อเนื่อง การละทิ้งความพยายามจะทำให้ท่านเสียเวลา และ ยิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งเกิดความท้อแท้และสับสน ว่าทำไมปฏิบัติมานานแล้วแต่ยังไม่เห็นผลอะไรสักที..

    ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเพียงอย่างเดียว ถ้าท่านพร้อม ของมันก็พร้อมรอท่านอยู่แล้ว!! พร้อมหรือไม่ใจของท่านก็จะรู้ได้เอง ขอย้ำว่านี่คือ 7 วัน แห่งการบรรลุธรรม ไม่ใช่ 7 เดือน หรือ 7 ปี มันช้าเกินไป

    เอาจริงๆ มันก็แค่ 7 วัน กำลังใจมันต้องเด็ดเดี่ยวเข้มข้นกันสักหน่อย สมัยพุทธกาลไม่มีใครใช้เวลานานเลย นับจากพระอัญญาโกนทัญญะ ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จบเดียวก็ได้บรรลุพระโสดาบัน พระอัครสาวกโมคคัลลานะก็ 7 วัน บรรลุอรหัตผล พระสารีบุตรผู้มากด้วยปัญญา นานหน่อยก็ 15 วัน พระพาหิยะเร็วสุด ฟังธรรมแค่บาทเดียว คือ 4 ประโยค ก็ได้บรรลุอรหัตผลในเพศฆราวาส พระมหาเถรใบลาน ธรรมกถึก ฟังธรรมจากสามเณรองค์อรหันต์ นำไปปฏิบัติเองไม่ช้าไม่นานไม่กี่วันก็บรรลุอรหัตผล...

    ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกำลังใจ หากท่านเอาจริง ตัดสินใจจริง มันก็ไม่กี่วันมันสำเร็จกันที่ใจ ดังคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ ที่ว่า" ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ที่ใจ "

    แรงบันดาลใจที่จะทำให้ท่านดำเนินมีมั๊ย มันมากพอที่จะทำให้ท่านตั้งใจทำอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่มีข้อแม้ให้พ่ายแพ้แก่จิตของตัวเองมั๊ย..หากท่านเห็นถึงความทุกข์ ตั้งใจที่จะค้นหาวิธีการที่จะออกจากทุกข์แล้วล่ะก็..ท่านย่อมพบกับ คำตอบอย่างแน่นอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นภายในจิต ให้รับรู้ระลึกไว้แต่เพียงอย่างเดียว ดูรู้ศึกษา ดูรู้ศึกษาไป จิตของท่านจะทำงานผสานกับปัญญาที่ออกห่างจากกาย ด้วยพลังแห่งสมาธิจิต จะยิ่งลับภูมิทางปัญญาของท่านให้เฉียบคมและมีพลังมากขึ้นๆ " อย่าทิ้งการระลึกรู้...ทำไปจนสุดทาง "

    เมื่อผ่านคืนแรกไปแล้ว จิตของท่านจะรู้สึกเหมือนกับถูกปฏิวัติขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างจะใหม่หมด ทั้งความรู้สึกนึกคิด มุมมอง ความรู้สึกทางกาย ทางใจ ทุกอย่างกลายเป็นของแปลกใหม่ !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 2

    [​IMG]

    ขอแสดงความยินดีด้วย...ถ้าท่านสามารถประคองจิตตัวผู้รู้ระลึกมาได้หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
    การกระทำการระลึกแห่งสตินั้น คือทำเรื่อยๆ ทำเบาๆสบายๆ ไม่ต้องเคร่งเครียส แบบเอาเป็นเอาตาย คือให้ทำเรื่อยๆ รู้เรื่อยๆ สังเกตุการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวของอารมณ์ความรู้สึกทางใจไปเรื่อยๆ..

    ถ้าท่านทำสติตื่นรู้ตลอดเวลา พยายามคุมจิตให้อยู่ภายใต้การระลึกรู้ พร้อมสัมปชัญญะการรู้สึกตัว (ใช้พร้อมกันคือการระลึกรู้..) ทั้งสติ และสัมปชัญญะ..

    (ถ้าทำถูก!!) กายและจิตจะเบา..ความรู้สึกตัวจะตื่นรู้เต็มที่ ระยะนี้กายและจิตจะเริ่มแยกกันเล็กน้อย การทำงานต่างๆจะแยกกันทำงานเป็นส่วนๆ โดยผ่านตัวกลั่นกรองและควบคุมมาจากห้องปฏิบัติการทางสติตัวรู้..อารมณ์ความสุขกายสุขใจจะมีมาก..(เมื่อเริ่มทำ และทำถูก ผลจะเริ่มเกิดขึ้นทันทีเช่นกัน)
    ขอให้ท่านตั้งใจเฝ้าดูและระลึกอยู่เหมือนเดิม ทิ้งไม่ได้เลย ต้องทำประติดประต่อกันไปเช่นนี้ วงแห่งสติและความรู้อันมหาศาลยังรอท่านอยู่..
    สารธารแห่งขุมปัญญาและวิชาความรู้ในสากลธรรมธาตุ กำลังรอท่านเข้าไปพิชิตและสัมผัสฯ

    อย่าเพิ่งให้คะแนนตัวเอง และ หรือ ตักตวงเอาสิ่งต่างๆที่ได้รับรู้และรู้สึกได้ แต่เพียงเท่านี้ อาจให้ท่านพักให้หายเหนือยสักเล็กน้อย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คือ รับรู้ ดู และ ศึกษา(ภายใน) เมื่อเราเชี่ยวชาญและชำนาญ มีความแตกฉานภายใน เราก็จะรู้และเข้าใจภายนอกไปด้วยเช่นกัน นอกและในสอดประสานซึ่งกันและกัน จนถึงจุดสุดท้าย คือ "สว่างทั้งภายนอก และ สว่างทั้งภายใน "

    ในระยะวันสองวันแรกของการฝึกฝน(ภาคพิเศษแบบเร่งรัด)
    ท่านต้องพยายามควบคุมจิตให้ดี ใช้จิตให้เป็น ท่านจะเริ่มเห็นสิ่งต่างๆ แยกออกเป็นส่วนๆ ตัวรู้ หรือ ตัวปัญญา จะให้คำตอบกับสิ่งที่สงสัยต่างๆ แก่ท่านเอง แต่มันจะไม่ได้มาแบบความสงสัยใคร่รู้ ในทางความคิด แต่มันจะเป็นความสงสัยออกมาเองจากภายใน จากผลแห่งการปฏิบัติ และ จิตก็จะมีคำตอบ หรือ หาคำตอบให้กับมัน จนกว่าท่านจะจับจุดของจิตได้อย่างมั่นคงเต็มที่ ถึงตอนนั้นท่านจะหมดข้อสงสัย
    เรียกว่าเข้าสู่ กระแสแห่งวิถีจิต

    จิตจะทำการปฏิวัติตัวเองขึ้นมาใหม่ อาจคงต้องเป็นวันที่สามหรือสี่ เมื่อถึงตอนนั้น จิตจะแยกไปอยู่ส่วนจิต กายจะไปของกาย ปัญญาจะทำงานเต็มที่ เมื่อสติเดินได้เต็มรอบ........

    มหาสติเต็มรอบ......

    นักปฏิบัติส่วนมากมักจะยอมแพ้ ท้อถอย และ หมดกำลังใจที่จะต่อสู้และ พยายามที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรค์ จึง เป็นเหตุผลที่บารมีทั้ง 10 ประการ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ขอทบทวนหัวข้อหลักซึ่งเปรียบเสมือนกับอาวุธหลักทั้งสิบอย่างที่เราจะต้องใช้เพื่อขึ้นให้ถึงยอดเขาแห่งความพ้นทุกข์ หรือ เป้าหมายแห่งการบรรลุซึ่งสัจธรรมนั่นเอง...

    หากขาดตัวหนึ่งตัวใดไปแล้วก็ย่อมต้องใช้พละกำลังมาก ในทัศนะของผู้เขียน บารมีก็คือกำลังใจ บารมีเต็มก็เปรียบเสมือนกำลังใจที่เต็มเปี่ยม คือ กำลังใจมันจะเต็ม และ ทุกอย่างก็เต็มหมดรวมอยู่ภายในใจนั่นเอง ทั้ง ทาน ศีล เนกขัมมะ วิริยะ ขันติ สัจจะ ปัญญา เมตตา อธิษฐาน อุเบกขา

    แต่ขั้นของการปฏิบัติจริงๆแล้ว ในจิตมันจะเหนือสมมุติ เหนือภาษาพูด และ การอธิบาย การสื่อความหมาย ก็คือการพยายามที่จะใช้การสื่อสารเพื่อที่จะสื่อให้เข้าถึงสภาวะจิตนั่นเอง ยิ่งเป็นสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งแล้ว การถ่ายทอดก็จะยิ่งยากแก่การอธิบายออกมาได้ จึงจะได้เห็นการอุทาน หรือ การแสดงออกของผู้ที่บรรลุธรรม ได้เปล่งคำอุทาน หรือ แสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งลีลา ท่าทาง สถานที่ และ อากัปกิริยา บางทีก็ไม่เลยแม้แต่จะเป็นอะไรออกมา คือ เห็น เข้าใจ เข้าถึง หมดคำพูดไปเลยก็มี.......

    ทุกสิ่งจะรวมลงที่จิตหนึ่งทั้งหมด..
    ที่ผู้เขียนยกเอาบารมี หรือ กำลังใจทั้งสิบประการมาเป็นเครื่องวัด และ ตรวจสอบสภาวะจิตด้วย ก็เพื่อให้เราได้เช็คใจของเราดู ว่าเรามีความพร้อมมากน้อยขนาดไหน อาวุธ หรือ เครื่องมือเรามีครบมั้ย ของมันต้องใช้ถ้าเราไม่มี เราจะไม่มีกำลังเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่างที่ว่าไว้ คือ ทุกอย่างรวมลงที่จิตหนึ่งเพียงอย่างเดียว ถ้าเราพร้อม มันก็พร้อม ไม่ถอย ไม่ทิ้ง ไม่ได้ ไม่มี...

    ของมันแพ้คนจริงเท่านั้น ถ้าเราจริงซะอย่าง ผลมันก็เกิดจริง ที่ผลมันยังไม่เกิด คือ เราก็ยังไม่จริง....

    รับรู้รับฟัง ถ้ายังไม่ได้ลอง ก็เท่ากับยังไม่ได้พบของจริง เป็นแต่เพียงได้รับรู้..ต่อเมื่อเราได้สัมผัสด้วยตัวของเราจริง เมื่อนั้นเราก็จะได้สัมผัสของจริงด้วยตัวของเราเอง เอาละ ตัดสินใจให้เด็ดขาดอีกครั้ง ตัดความอาลัยอาวรณ์ทั้งหมดที่เกิดภายในจิต ตัดความคิดฟุ้งซ๋านออกจากใจ เป็นไงเป็นกัน ถ้าไม่ทิ้งสิ่งหนึ่ง ก็จะไม่ได้สิ่งหนึ่ง ไม่ทิ้งสมมุติ ก็จะไม่รู้วิมุติ (ความหลุดพ้น) เมื่อไม่มีวิตกวิจารณ์ จิตก็จะตั้งมั่นรวมตัว ใช้สภาวะที่จิตรวมตัว พิจารณาถ่ายทอนสิ่งยึดติด ก่อนจะเข้าสู่สภาวะรับรู้ทางจิต หรือกำลังจะละจากสมมุติบัญญัติ จิตจะเริ่มเห็นปฏิจจะสมุปบาท หรือ เห็นสายใยแห่งภพ เห็นวัฏจักรแห่งการก่อกำเนิดของสรรพสิ่ง .........

    บางทีภาพแห่งความเกิดดับ จะวนเข้ามาให้เห็น การเกิดของเหตุ และ การดับของเหตุที่เกิด ที่มา และ ที่ไป การสร้างสมอัตตา สิ่งที่ยึดติด ที่หลงงมงายมาตลอดชั่วชีวิต(แค่ชาตินี้ชาติเดียว) บางทีอาจทำให้ท่านซึ้งจนน้ำตาตกใน........ท่านจะพบเห็นความโง่ของตัวเอง........และ ไม่มีใครที่รู้กับท่านเลย นอกจากตัวท่านเพียงคนเดียว...................

    ระยะนี้จิตจะเรี่มถ่ายทอน อวิชชา ความเข้าใจจะเกิดขึ้นทันทีที่จิตเห็น และ อะไรก็ตามที่เห็นแล้วด้วยจิต มันจะไม่หายไปไหน เพราะมันได้ถูก่บันทึกเอาไว้แล้วที่จิต มันจะไม่มีทางลบเลือน หรือทำให้สูญหายไปจากใจได้เลย (ไม่ต้องกังวล) มันไม่เหมือนกับการรู้ด้วยความคิด หรือ ความทรงจำ ที่อาจมีวันลบเลือน นอกจากจะไม่ลบเลือนแล้ว มันยังไม่สูญหายอีกด้วย แต่ทั้งหมดนี้ เราจะใช้มันเพียงเพื่อที่เราจะออกจากมันเท่านั้น รู้ ทำความเข้าใจ แล้ว ก็วาง ................... ให้มันตกตะกอนที่สะท้อนออกมาให้หมด ให้เวลามันสักนิดในการที่จะทำความเข้าใจ และ สละความอาลัยอาวรณ์..
    ถ่ายถอนสมมุติบัญญัติ ออกให้หมด ก่อนที่จะเข้าสู่ การรับรู้ทางสภาวะ เพื่อ ไปสู่ สภาวะไร้อัตตา.......

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 3
    รับรู้ทางสภาวะจิต

    เมื่อได้ผ่านขั้นตอนหลักๆที่สำคัญๆมาแล้วในสองวันแรกก่อนจะเข้าสู่กระบวนการนี้ จิตที่ผ่านการระลึกรู้มาอย่างต่อเนื่องจนเป็นมหาสติแล้ว ตอนนี้จิตจะเริ่มนิ่ง และ เริ่มแยกตัวออกจากสภาวะการถูกควบคุมบังคับบัญชาจากกิเลส เป็นธรรมดาของจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนทางด้านสติ จะถูกควบคุมและ กดข่มจากจากกิเลส ตัณหา และ อุปปาทาน อันมีรากเหง้ามาจาก ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง เมื่อจิตเริ่มที่แยกตัวออกมาจากการถูกควบคุมบังคับบัญชาแล้ว จิตจะมีความเป็นอิสระในการที่จะทำสิ่งใดๆได้ตามความต้องการของจิต ระยะนี้เมื่อความพร้อมเข้าที่แล้ว อินทรีย์แก่กล้า มหาสติตั้งมั่นเต็มรอบแล้ว รอก็แต่จังหวะและเวลาเท่านั้น..........

    ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนของการรับรู้ทางสภาวะ..ผู้เขียนขอย้อนหรือ ทบทวนสภาวะจิตของท่านนักปฏิบัติทางจิต เพื่อมุ่งหวังความหลุดพ้นก่อนสักนิด ด้วยมีผู้ที่สนใจติดตาม ได้ขอให้ชี้ในรายละเอียด รวมถึงวิธีการในการที่จะปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นแนวทางแก่ผู้ที่ยังใหม่ หรือ มิได้มีประสบการณ์ทางด้านการฝึกฝนทางสมาธิจิตมาก่อน จะได้มีหลักในการกระทำ รวมไปถึงวิธีการในการฝึกจิต สักเล็กน้อย ................

    วิธีการฝึกจิต

    1 รวบรวมสติสัมปชัญญะ ลงที่ลมหายใจเข้าออก ฝึกการรู้สึกตัว รู้ให้ชัด เข้าก็รู้สึก ออกก็รู้สึก ตัวที่รู้การเข้า-ออกของลม แหละ คือตัวรู้ ทำตัวรู้ให้รู้ชัด และต่อเนื่อง คือ ไม่ส่งจิตออก ทำอะไรอยู่ก็ตามให้รู้สึกตัว รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่ากำลังทำอะไร ทั้งอาการทางกาย และ สิ่งที่เคลื่อนไหวภายในใจ เช่น ความรุ้สึกนึกคิดปรุงแต่ง ความจำ ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นให้เอาสติตามรู้ โดยมีจุดศูนย์รวมลงที่จิต คือใช้สติตามจิต ทุกอากับกิริยาของจิต ให้อยู่ในการรู้ทั้งหมด(โดยไม่ปล่อยให้คลาดจากการรับรู้เลย!!!!!!!)

    2 เมื่อฝึกฝนจนชำนาญ ต่อเนื่อง ก็จะพัฒนากลายเป็นมหาสติ

    3 และเมื่อมหาสติเริ่มทำงานของมันเต็มรอบ คือ เต็มที่แห่งวงสติ จะเกิดสภาวะการรับรู้ขึ้นที่จิต จิตจะทำงานโดยอิสระ โดย อยู่เหนือการควบคุมและสั่งการใดใด จากความนึกคิด ท่านจะพบกับสภาวะจิตเดิมแท้ได้ ณ จุดๆนี้...

    ตรวจสอบสภาวะภายในของท่านดูอีกที..ว่ามีความพร้อมแค่ไหน ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจ ถ้าท่านตัดสินใจได้เด็ดขาดทันที อย่างไม่มีข้อแม้ ประตูแห่งการบรรลุสัจธรรมก็จะเปิดออกรอท่านก้าวข้ามผ่าน...และเมื่อนั้นท่านก็ต้องตัดสินใจอีกที ว่าท่านพร้อมที่จะไปแล้วรึยัง เมื่อได้เห็นประตูนั้น..ทุกอย่างอยู่ที่ารตัดสินใจของตัวท่านเองทั้งหมด..พอทีกับการที่หลอกตัวเองไปทุกวันๆ พลัดวันประกันพรุ่งด้วยข้อแม้และข้อโต้แย้งต่างๆ นานา มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้ช่วยให้ท่านได้สัจจธรรมที่แท้จริงกลับมา เลิกหลอกตัวเอง ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอาจริงเอาจังสักที...ลงมือทำซะตั้งแต่วันนี้..ที่นี่..เดี๋ยวนี้ ..และ เวลานี้..ทันที..

    เตรียมสภาวะภายในเพื่อการรับรู้ทางสภาวะจิต..........
    วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการปฏิบัติจิต(ขึ้นอุกฤติ) แบบเร่งรัด เอาล่ะ หวังว่าทุกท่านของจะได้รับทราบข้อมูลรวมทั้งวิธีการต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเข้าใจแจ่มแจ้งลึกซึ้งเพียงใด ตัวผู้ปฏิบัติเองจะพึงรู้ได้ .. หากท่านตั้งใจจริง ผลสำเร็จย่อมเกิดแก่ ท่านเป็นที่แน่นอน

    ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ประสบผลสำเร็จ..พบสัจจธรรมอันเป็นแดนเกษม พ้นจากความเกิด-ตาย อันเป็นที่หมายของทุกๆคน ขอให้ท่านตั้งใจจริงเถิด อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้คุณค่าและเสียเวลาไปกับความไร้แก่นสารสาระแห่งชีวิตเลย.........

    เมื่อทุกคนพบเห็นสัจจธรรมสันติสุขก็จะพึงเกิด...โลกก็จะเกิดความสงบเย็น ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอย่างทุกวันนี้...

    จะเข้าใจหรือไม่..มากน้อยเพียงใด ผู้เขียนขอดำเนินเรื่องราวต่อไป
    ขอเชิญท่านผู้แสวงหาสัจธรรม จงติดตามเรื่องราวต่อไป เมื่อมาถึงวันนี้ จากจิตที่ฝึกฝนด้านมหาสติจนชำนาญกลายเป็นความชินของจิต หรือ เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ คือ ไม่ว่าจะกำหนดนึกระลึกหรือไม่ จิตมันจะทำงานของมันเองโดยอัตโนมัติ ไม่ผ่านการควบคุมสั่งการจากสิ่งใด..ระยะนี้ ความรอบรู้จะเริ่มเกิดผลจากการเฝ้าดูของจิตในการเกิดขี้น เปลี่ยนแปลง และดับไปของสภาวะอารมณ์ ทั้งภายนอกและภายใน จะทำงานในการรับรู้สภาวะอารมณ์อย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เข้าไปปรุงแต่ง ตั้งแต่สิ่งหยาบ ไปจนถึงสิ่งละเอียด ทั้งหมดจะถูกชำระสะสางกัน ณ จุด ๆ นี้ เลยทีเดียว สิ่งที่ไม่เข้าใจ สงสัย ทั้งหมดทั้งมวล จะสยบราบคาบ ภายใต้สภาวะการรับรู้ทางจิต..จิตจะเริ่มฉลาดขึ้น และ เปลี่ยนระบบรูปแบบและวิธีการในการจัดการกับสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ทั้ง 6 ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปปาทาน ท่านจะเข้าใจ และ เห็นวงจรแห่งการปฏิสนธิ ถือกำเนิด สาเหตุ หรือ รากเหง้า แห่งกองทุกข์ทั้งปวง และนับจากนี้เป็นต้นไป

    ปัญญาวิมุตติ

    ปัญญาวิมุตติ (จะเริ่มเกิดขึ้นเล็กน้อย)และจะทำงานเคียงข้างท่านไปจนตลอดเส้นทางแห่งการบรรลุธรรม
    ท่านจะมีระบบแห่งการตรวจสอบหรือ การตรวจทานจากสติ (ที่ไม่ต้องอาศัยระลึก) เพราะเป็นการรู้เข้าใจภายในจิต ความเข้าใจนี่เองจะเป็นเหตุให้ท่านรู้เข้าใจถึงที่มาและที่ไป..เหมือนผู้ที่เข้าใจเหตุ เข้าออกได้อย่างอิสระ เพราะรู้ทางเข้า และ ทางออก รู้ว่าเมื่อไรเข้า และ เข้ามาได้อย่างไร ก็จักรู้ทางไป ว่าจะไปในที่ใดด้วยเช่นเดียวกัน.....

    วันทั้งวัน คืน ทั้งคืน จะทำให้ท่านเพลิดเพลินจนไม่ยอมหลับยอมนอน ยิ่งกว่าติดเกมออนไลน์เป็นไหนๆ..ยิ่งทำก็ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ก็ยิ่งทำ ความแปลกใหม่ในจิตที่เปรียบเสมือนเป็นจิตดวงใหม่ ให้ความรู้สึกตื่นเต้น แต่ท่านไม่ต้องตกใจ อะไรที่เมื่อได้มาใหม่ๆ มันจะมีความปีติและอิ่มเอมใจเป็นธรรมดา นานวันไปก็จะกลายเป็นความเคยชิน หรือ เกิดความวางเฉยจนเป็นธรรมดาไป อย่าเพิ่งคว้าและหยุดลงแต่เพียงเท่านี้...........
    ดำเนินจิตต่อไป อย่าลืมว่าการระลึกรู้ต้องทำไปจนสุดทาง....ไม่มีวาง .. ไม่มีหยุด..ไม่มีปล่อย...(ถ้าปล่อยก็โง่แล้วล่ะ เมื่อมาจนถึงขั้นนี้) เอากันให้เสร็จสำเร็จมรรคผลกันไปเลย.........

    (ต้องขออภัยหากเกิดความผิดพลาดบกพร่อง ในการพิมพ์และการดำเนินเรื่องราวอาจไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นการพิมพ์ที่ยังไม่ได้คัดกรองใดๆ นึกตอนใดได้ก็เขียนลงไปเพื่อให้เป็นรูปแบบ และ แนววิธีการ และ หรือ อาจมีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปรับปรุงในภายหลังฯ เพื่อความสมบูรณ์ต่อการศึกษาต่อไป)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 4

    วันที่ 3 และ 4 จิตจะเริ่มขบวนการในการตรวจสอบและชำระล้างสิ่งที่คั่งค้าง ความสกปรก ความหลง ความไม่เข้าใจ ตะกอนที่ตกผลึกและฝังลงในจิตมานานแสนนาน อัตตากิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบ กลาง และ ละเอียด จะวนเวียนขึ้นมาให้ท่านได้รับรู้และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งภายใน อันไหนเข้าใจท่องแท้แจ่มแจ้งสิ้นสงสัย จิตจะยอมรับและผ่านไปสู่ข้อธรรมอื่นๆ หรือ สิ่งอื่นที่ติดและตกค้างภายในจะแสดงตัวออกมาเอง ให้ท่านใช้ปัญญาที่มีเครื่องรู้ที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาใหม่ๆ ให้พอทำงานและลองผิดลองถูกไปได้จนกว่าจะพัฒนาความชำนาญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางทีจิตนึกรู้หรือสงสัยข้อธรรมในเรื่องใดเรื่องนึง ขึ้นมา จิตจะทำงานหาเหตุหาผลในตัวเอง ถึงที่มาและที่ไป (โดยไม่ผ่านความคิดแต่อย่างใดเลย เป็นการทำงานของจิตเองล้วนๆ) ขั้นตอนนี้ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ในวันที่สามและสี่ ...........

    จนกระทั่งถึงวันที่..................

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 5

    ในวันนี้ จิตของท่านจะบางเบามากเป็นที่สุด กว่าทุกวัน เส้นประสาทต่างๆจะเริ่มคลายตัว ความชำนาญจากการฝึกฝนวิธีการทางจิต และ การใช้งานเริ่มคล่องตัวและเป็นระบบของจิตเองโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสและรับรู้ จะเปลี่ยนจากความหยาบกลายเป็นความละเอียดเข้าละเอียดเข้าเรื่อยๆ แม้แต่จุดเล็กน้อยภายใน หรือ อะไรก็ตามแต่ จะต้องถูกระบบการทำงานของจิตตรวจสอบทุกครั้งไปเหมือนการสแกนไวรัสเป็นตัวๆเลย...
    จะไม่มีการทำงานแบบหยาบๆ หรือขอไปทีอีกแล้ว ทุกอย่างจะดูนุ่มนวลละมุลละไม..วิธีการและความชำนาญเฉพาะของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ดูคล้ายกัน เอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะลอกเลียนแบบกันได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปจดลิขสิทธิ์หรือ สิทธิบัตรลิขสิทธิ์ทางปัญญาแต่อย่างใด เพราะจะไม่มีใครเลียนแบบและcopyข้อมูลจากท่านไปได้เลย...ถึงตอนนี้ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะว่าง หรือ ไม่มีอะไรจะทำ เพราะงานภายในจิตของท่านจะมีมาให้ท่านทำอย่างล้นมือ..จนอยากจะหาคนมาช่วย แต่ก็ป่วยการที่ไม่สามรถหาใครมาทำแทน หรือทำร่วมกับท่านได้ คงต้องมีแต่ท่านเพียงผู้เดียวเอีกเช่นเคย....มันดูไม่ง่ายสักเท่าไหร่นักในขั้นตอนนี้จะกินเวลายาวนานเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ...(อาจต้องอธิบายเรื่องราวในคอลัมภ์อื่น ซึ่งจะแยกย่อยอธิบายให้ได้ติดตามศึกษาต่อไป)... แต่ในทัศนะของผู้เขียน เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ยังไงกระแสจิตมันจะต้องเหวี่ยงให้วงจรการทำงานมันทำงานต่อไป เหมือนกับการติดเครื่องจักรกล ขึ้นมาแล้ว จะทำงานเสร็จหรือไม่ อย่างไรก็ต้องได้ผลของงาน ขั้นตอนนี้ผู้เขียนให้เวลา3วัน เพิ่อรวบรวมทบทวนข้อมูลทั้งหมด(ข้อธรรมทั้งหมด)มีหลักอยุ่แล้วภายในจิต(เมื่อมาถึงตอนนี้จิตจะทำงานเองโดยอิสระ ความรับรู้สื่อสาร จะไม่ผ่านการทำงานของสมองแล้ว)จิตจะทำการรื้อทอนสมมุติบัญญัติทั้งหมดเพื่อก้าวเข้าสู่โลกุตระภูมิ เพื่อความวิมุตติ คือความบริสุทธิ์หลุดพ้นของจิต(โดยสิ้นเชิงและถาวร)

    สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อนี้ไป....จะเป็นปรมัทธรรมภายในจิตล้วนๆ จิตจะสว่างสไสว...ศีล สมาธิ และ ปัญญา จะไหลรวมลงภายในจิต ทุกอย่างเกิดที่จิต และ ออกจากจิต.................



    สมมุติบัญญัติ แยก ปรมัทธรรม

    การดำเนินของจิตใกล้จะถึงจุดสำคัญที่สุด......................(ผู้เขียนขอเล่าไปอย่างรวบรัดรวดเร็ว..ไม่ชักช้าเพื่อให้เสร็จสิ้นกระบวนวิธีการ น้ำหรือคำอธิบายแบบละเอียดแยกย่อย ค่อยทำการเพิ่มเติมแก้ไขได้ในภายหลัง)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันที่ 6

    กระบวนการทบทวนเพื่อการชำระสะสางได้ดำเนินการด้วยสภาวะจิตตื่นรู้เต็มรอบ (ไม่ผ่านขั้นตอนกฎเกณฑ์ ลำดับก่อนหลัง) เพื่อรอการทะลุทะลวง เพื่อ ความกระจ่างแจ้งในสัจจธรรม อย่างสิ้นสงสัย ดำเนินมาถูกต้องตามระบบของจิต ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว เร่งก็ไม่ได้ ถึงเวลาเร่งมันจะเร่งของมันเอง ถึงเวลาหยุด มันจะหยุดของมันเอง

    ญาณเริ่มเกิด......

    ในวันที่หกอันเป็นวันเกือบจะสุดท้ายที่จะรื้อถอนวงจรแห่งการเกิดดับ เพื่อความหมดสงสัยในสัจธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เครื่องรู้ของจิตหรือที่เรียกันว่าญาน จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองตามเหตุของมัน เป็นเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นมาฯ เมื่อมีเหตุหนึ่ง ย่อมเกิดผลหนึ่ง ทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุปัจจัย


    รอแต่เวลาที่จะดำเนินไปจนหมดสิ้นกระบวนการทำงาน..... และ สิ่งที่จะอธิบายต่อจากนี้ไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะอธิบายออกมาได้เป็นคำพูดใด มันเป็นสิ่งปัจจัตตัง อันรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ความรับรู้ เข้าใจในความมี ความเป็น การก่อกำเนิด เหตุและผลต่างๆอันเป็นปัจจัยที่สืบเนื่องแก่กัน เป็นวัฎฎะ การก่อกำเนิดภพชาติ จิตจะเข้าใจความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด อย่างหมดจดสิ้นเชิง เพราะแจ่มเจ้งแล้วแก่จิต ของผู้รู้ ตื่น เบิกบาน จิตจะทวนกระแสโดยความปราศจากความเป็นตัวตน มีแต่จิตดวงเดียวที่รับรู้สภาวะ เข้าใจ และ ปล่อยวาง จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติที่เหนือความคิดในตรรกะใดๆจะเข้าไปได้ เป็นความฉลาดล้ำลึกของปัญญา ที่ทำงานอย่างเข้มข้นในการที่จะหักล้างกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาภายในจิต ที่จะทำคืนสู่สภาวะเดิม อันหมดจด และ สว่างใส ภายในจิตเดียว ฯ

    [​IMG]

    วันที่ 7

    วันบรรลุธรรม

    ..........................................................................................
    ..........................................................................................
    ..........................................................................................
    .............................................!!!!!!!..................!!!!!...............
    .........................!!>...................................!!!.......................
    !!>>>>>......................!!>..................................................
    ...........................................!!!!!!!........................................
    .................................................................!!.......................
    .........................................................!!>.............................
    ................................!>.......................................................
    ...................!>....................................................................
    ..........................................................................................
    ..........................................................................................
    ...............................................................!..........................
    ..........................................................................................
    ..........................................................................................
    ..........................................................................................
    ..................................................................... .

    (




    [​IMG]







    )



    (จบการบรรยายเรื่อง 7 วัน บรรลุธรรมไว้แต่เพียงเท่านื้)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  8. วิมลรัตน์

    วิมลรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +302
    อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติ ขอขอบพระคุณท่านผู้ให้ความกระจ่าง จะรวบรวมกำลังใจที่มีอยู่ฝึกฝนต่อไป ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ที่ผู้เขียนพิมมานี่ตอนต้นทำไมต้องมีการสงวนสิทธิ์ด้วยครับ ....เป็นธรรมดาของผู้บรรลุธรรมย่อมมีจิตเมตตา กรุณาต่อมวลสัตว์ ไม่หวงแหน... การเมตตาผู้อื่นไม่ได้เกิดที่ความอยากแต่จะเกิดขึ้นด้วยจิตมันเห็นเองด้วยความบริสุทธิ์..
     
  10. ดับกิเลสทั้ง5

    ดับกิเลสทั้ง5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +238
    ถูกต้องครับ ผมก็ปฏิบัติเกิดผลเหมือนกันครับขอยืนยันครับ ผมนึกว่าจะมีแต่ผมเท่านั้น ผมมีคนยืนยันแล้ว ตอนนี้ผมก็จะบวชแล้วครับเพราะเชื่อแล้ว ก็มันเกิดเองที่จิตตัวเองครับ ผมไปบวชแล้วครับ ตอนนี้มีแต่ความสงบไม่สงสัยอะไรแล้วครับ บอกได้แต่ว่ามหัศจรรย์ครับลองปฏิบัติกันเองครับ ของอย่างนี้รู้ได้เฉพาะตัว เหนือวิสัย ตา หู จมูก จะรู้ได้ครับ เพราะจิตมันละเอียดครับ อยากมีครูสายพระป่าหลวงปู่มั่นครับ หรือทำเองต้องมีวิธีกรรมฐานตามถนัดแต่ละบุคคลครับ
     
  11. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    อนุโมทนาครับ
    อยู่กับเสี้ยวของเสี้ยววินาทีของเสี้ยววินาทีๆ
    ล้มแล้วจะพยายามใหม่ครับ
     
  12. ประกอบบุญ

    ประกอบบุญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    มีข้อสัยค่ะ คือ การปฏิบัติแบบต่อเหนื่องแบบไม่หยุด หมายถึง ต้องทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องนอนเลยใช่หรือเปล่าค่ะ แล้วร่างกายจะผักผ่อนได้อย่างไรบ้าง ช่วยตอบข้อส่งสัยหน่อยให้ด้วยค่ะ

    มีปัญญาน้อยค่ะ
     
  13. lab555

    lab555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +12
    เห็นดีด้วยครับ กับการปฏิบัติธรรมครับ

    แต่ว่า เท่าที่อธิบายมานี้ โดยความเห็นส่วนตัว แล้วนั้น
    การใช้คำว่า บรรลุธรรม นี้ ยังไม่เหมาะสม ครับ

    ผมเห็นว่า ยังไม่ผ่านภวังค์ เลยครับ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถ้าปฏิบัติแบบต่อเนื่องไม่พักเลย
    จะเป็นวิสัยการปฏิบัติส่วนบุคคลครับ
    ไม่ใช่วิสัยการปฏิบัติ อย่างคนทั่วไป
    คือแล้วแต่จริต
    วิธีปฏิบัติ ก็คือจะต้องประคองอารมณืใจ อารมณ์จิตให้เกิดความสบายมากที่สุด
    ถ้าง่วงก็นอน ถ้าเมื่อยก็ยืน ถ้าปวดขาก็นั่ง อึดอัดก็เดิน
    ทำให้ใจของเราสบายเข้าไว้ ก็จะปฏิบัติได้เร็ว
    ถ้าฝืนมากเกิดความเครียด ก็จะปฏิบัติได้ช้า
    ดังนั้นผมแนะนำให้ทำสบายๆ ทำไปเรื่อยๆครับ อย่าเครียด
     
  15. ประกอบบุญ

    ประกอบบุญ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณมากนะค่ะ ที่ให้ความกระจ่างในทางปฏิบัติ
    ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติหรือว่างตัวอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับจริตของตนเอง
     
  16. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +39,008
    เจ็ดวันบรรลุธรรม

    เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์

    คงไม่พ้นวันใดวันหนึ่ง แต่จะชาติไหน เท่านั้นเอง รู้และมีสติไปเรื่อยๆแล้วกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...