(๙) ตำนานมูลศาสนา

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 13 กันยายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    โกลาหล ๓

    ในกาลเมื่อพระองค์เสวยทิพยสมบัติอยู่ในชั้นดุสิตนั้น โกลาหลบังเกิดมีขึ้นในโลก ๓ ครั้ง (ในปฐมสมโพธิ ฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ ว่า ๕ ครั้ง มี มีมงคล โกลาหล และโมเนยยโกลาหล อีก ๒ เป็นที่สุด) คือ กัลปโกลาหลหนึ่ง พุทธโกลาหลหนึ่ง จักกวัตติโกลาหลหนึ่ง กัลปโกลาหลนั้น คือโลกทั้งหลายบังเกิดโกลาหลปั่นป่วน พูดจากกันว่า ตั้งแต่นี้ไปถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปีไฟจักไหม้กัลป์แท้ไซร้ ถ้ามิเช่นนั้นยังจักมีเทวดาหมู่หนึ่งชื่อว่าโลกะอยู่ในฉกามาวจร จะลงมามีผมอันหลุดลุ่ยคลี่คลายเรี่ยรายลงมา ภายหลังมีหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตา นุ่งผ้าแดงมีรูปร่างเป็นที่น่ากลัวยิ่งนักเที่ยวเดินไปในท่ามกลางหนทางแห่งคนทั้งหลาย จึงกล่าว่าดูราท่านทั้งหลาย แต่นี้ไประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ไฟจักไหม้กัลป์ โลกจักฉิบหาย น้ำในมหาสมุทรจักบกแห้งสิ้นไปมิได้เหลือหลอ พื้นแผ่นดินและเขาิสิเนรุก็จักไหม้ฉิบหายขึ้นไปถึงพรหมโลกโพ้นทีเดียวแล สูท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญภาวนา มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเป็นต้น จงอุปัฏฐากบิดามารดาและให้มีความสัมมาคารวะผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลของตนๆ จงทุกคน อย่าได้มีความเกียจคร้านเทอญ เหตุอันจักเกิดมีดังนี้ จึงไ้ด้ชื่อว่ากัลปโกลาหลแล

    เมื่อพระพุทธเจ้าจักเกิดมาในปีอันครบถ้วน ๑,๐๐๐ บริบูรณ์นั้น พรหมทั้งหลายที่อยู่ในชั้นสุทธาวาสนั้น จักประดับเนื้อตนไปด้วยเครื่องประดับ โพกหัวไปด้วยผ้าโพก กระทำไปด้วยความปิติยินดีเช่นนี้แล้ว จึงลงมาสรรเสริญพระพุทธคุณแห่งพระพุทธเจ้า เที่ยวเดินไปในท่ามกลางหนทางแห่งคนทั้งหลาย แล้วจึงบอกแก่คนทั้งหลายว่า ดูราท่านั้งหลาย แต่นี้ไปอีด ๑,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าจักลงมาบังเกิดในโลกนี้ เหตุดังนี้ได้ชื่อว่าพุทธโกลาหลแล

    เมื่อพระยาจักรวัตติจักลงมาบังเกิดในปีอันครบถ้วน ๑๐๐ นั้น เทวดาทั้งหลายในฉกามาวจรทก็ลงมาก เที่ยวเดินไปในท่ามกลางหนทางแห่งคนทั้งหลาย แล้วจึงบอกแก่คนทั้งหลายว่า ดูราท่านทั้งหลาย แต่นี้ไปอีก ๑๐๐ ปี พระยาจักวัตติจักลงมาบังเกิดในโลกแท้แล อันนี้ได้ชื่อว่าจักรวัตติโกลาหลแล โกลาหลทั้งหลาย ๓ นี้เป็นนิมติว่า พระพุทธองค์จักจุติจากดุสิตลงมาบังเกิดในโลก สุทธาวาสพรหมทั้งหลายประดับองค์ด้วยเครื่องประดับต่างๆ แล้วลงมาบอกแก่คนทั้งหลายว่า ดูราท่านทั้งหลาย แต่นี้ไป ๑,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าจักลงมาบังเกดในโลกเป็นแน่แท้ เทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ เมื่อได้ยินพุทธโกลาหลดังกล่าวมาแล้วนั้น เขาก็มาประชุมพร้อมกันอยู่ในที่แห่งเดียว จึงรู้ว่าดสิตเทวราชผู้มีบุญสมภารจักได้ลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้น เทวดาทั้งหลายจึงพากันเข้าสู่สำนักแห่งดุสิตเทวราช เหตุที่จะให้รู้ว่าดุสิตเทวราชจักได้ลงไปบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็เนื่องจากบุพพนิมติทั้ง ๕ ประการบังเกิดขึ้นแก่ดุสิตเทวราชองค์นั้น เมื่อเทวดาทั้งหลายเห็นดังนั้นแล้วก็พร้อมกันเข้าไปเฝ้าเพื่ออาราธนาให้ลงมาบังเกิดในมนุษยโลก

    บุพพนิมิต ๕

    บุพพนิมิต ๕ ประการนั้น คือว่าดอกไม้ทิพย์อันบังเกิดสำหรับองค์นั้นก็เหี่ยวแห้งไป ๑ ผ้าสำหรับทรงนั้นก็เศร้าหมองไป ๑ มีเหงื่ออันไหลออกจากรักแร้ ๑ มีวรรณอันไม่ผ่องใสปรากฎออกมา ๑ ไม่มีความชื่นชมยินดีในทิพย์อาศน์ ๑

    อธิบายว่า ชาติแห่งเทวดานั้นมีรูปร่างลักษณะสัณฐานสูงใหญ่เท่าใด เมื่อลงมาบังเกิดในมนุษยโลก ก็มีรูปร่างลักษณะสัณฐานสูงใหญ่เท่านั้น อาการอันบังเกิดนั้นก็ได้ชื่อว่าอุปปาติกะ รัศมีกาย รัศมีผ้าที่ทรง รัศมีเครื่องประดับ และรัศมีแห่งดอกไม้ทิพย์อันมีสำหรับองค์ก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีรัศมีเปล่งออกไปได้สิ่งละ ๑๐ โยชน์ ทุกๆ สิ่งแล

    ก่อนที่จะจุติลงมาเกิดในมนุษยโลกนี้ รัศมีสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็พลันเหี่ยวแห้งเศร้าหมองไป ถ้าจะประมาณวันคืนในมนุษยโลกเรานี้ก็ไม่ถึง ๗ วัน เมื่อวิการเกิดมีปรากฎขึ้นมาดังนี้ เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ ก็มาประชุมพร้อมกันแล้วจึงเข้าไปอาราธนาด้วยวจีเภทว่า มหาวีร ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรเป็นอันมาก ถึงการแก่มหาปุริสเจ้าแล้ว ขอเจ้ากูผู้มีบุญจงลงไปบังเกิดในท้องแห่งมารดาเจ้ากูเทอญ และเจ้ากูจงได้ตรัสรู้ยังคลองแห่งพระนิพพานเพื่อนำสัตว์ให้ข้ามพ้นจากโลก มีเทวดาและมนุษย์เป็นต้น ทว่ามหาปุริสเจ้าแห่งเรานี้ เทวดาทั้งหลายหากอาราธนาด้วยประการฉะนี้แล

    อาการ ๕

    ครั้นเมื่อพระองค์ได้ให้ปฏิญาณขานคำแห่งเทวดาั้งหลายแล้ว ก็พิจารณาดูอาการทั้ง ๕ คือกาล เทศ กุล อายุ และนางผู้จักเป็นมารดานั้นก่่อน กาลเมื่อใดอายุแห่งสัตว์ทั้งหลายยิ่งกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ปี และถอยลงมากว่า ๑๐๐ ปีนั้น ก็หาใช่กาลอันควรจกบังเกิดแห่งพระุทธเจ้าทั้งหลายแท้ไซร้ เหตุใดมนุษย์มีอายุยิ่งกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ปีนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ลงมาบังเกิด เหตุว่าชาติชรามรณธรรมทั้งหลาย ไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ก็เทียรย่อมติดอยู่กับด้วยไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกชัง อนัตตานั้น สัตว์ทั้งหลายที่ไปเข้าใจในธรรมคำสั่งสอนนั้นๆ เหตุที่มนุษย์ทั้งหลายมีอายุยืน เขาก็เข้าใจว่าเป็นของเที่ยง จึงไม่เป็นกาลอันสมควรที่จะลงมาบังเกิด แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อกาลเมื่ออายุสัตว์ทั้งหลายถอยลงมากว่า ๑๐๐ ปีนั้น บาปธรรม คือราค โทส โมห มีมากอยู่ในสันดานสัตว์ทั้งหลายแล้ว พุทธโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ในสันดานสัตว์ทั้งหลาย ประดุจดังไม้ลอยอยู่บนน้ำนั้นทีเดียว ครั้นพระพุทธโอวาทของพระศาสดาไม่ตั้งอยู่ ดังนั้น เขาก็ไม่รู้จักในการปฏิบัตินั้นๆ โลกียสุขและโลกุตตรสุขเขาก็ไม่สามารถจะถึงได้ เหตุว่าอายุแห่งคนทั้งหลายถอยลงมาน้อยกว่า ๑๐๐ ปีนั้น เรียกว่าไม่ใช่กาลอันจักควรลงมาบังเกิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเพื่อเหตุนั้น

    ในกาลที่พระองค์เห็นเป็นกาลอันควรนั้น คือว่าอายุสัตว์ทั้งหลายถึง ๑๐๐ ปีบริบูรณ์ และต่อแต่นั้นมาพระองค์ก็พิจารณาทวีปใหญ่ทัง ๔ และทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ในทวีปทั้ง ๓ คือ อุตตรกุรุทวีปหนึ่ง บุพพวิเทหทวีปหนึ่ง อมรโคญาณทวีปหนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่เคยมาบังเกิดนอกจากในชมพูทวีปนี้พระองค์ก็เห็นแจ้งแล้ว แม้เช่นนั้นก็ดี ชมพูทวีปนี้ก็เป็นอันกว้างใหญ่นัก พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะบังเกิดในทวีปอันใดหนอ

    พระองค์พิจารณาจึงเห็นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาเทียรย่อมบังเกิดในมัชฌิมประเทศในปัจจันตประเทศนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้ไปบังเกิด เหตุดังนั้น พระองค์ึจึงเห็นว่าเมืองกบิลวัตถุอันมีอยู่ในมัชฌิมประเทศนี้ ควรกูลงไปบังเกิดในเมืองนี้

    ครั้นต่อมาพระองค์ก็พิจารณาดูตระกูล อันจะลงมาบังเกิดด้วยคำว่า ชาติพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เคยบังเกิดในตระกูลพ่อค้าและตระกูลพ่อครั้ว ย่อมบังเกิดในตระกูลอันโลกทั้งหลายสมมติว่าประเสริฐ คือตระกูลกษัตริย์และตระกูลพราหมณ์นั้นแล กาลบัดนี้ โลกทั้งหลายหากสมมติตระกูลพระยานั้นว่าเป็นอุดมประเสริฐ คือตระกูลกษัตริย์และตระกูลพราหมณ์นั่นแล กาลบัดนี้โลกทั้งหลายหากสมมติตระกูลพระยานั้นว่าเป็นอุดมประเสริฐ ควรกูไปบังเกิดในตระกูลพระยาสิริสุทโธทนะๆ นั้นแลควรเป็นบิดาแห่งกู พระองค์พิจารณาเห็นฉะนี้แล้วก็พิจารณาดูหญิงผู้จักเป็นมารดาต่อไป ก็จึงเห็นนางสิริมหามายาพระอัครมเหสีพระยาสิริสุทโธทนะ ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาถึง ๑๐๐,๐๐๐ มหากัลป์ และเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์จักควรได้เป็นมารดาแห่งกู แล้วก็พิจารณาดูอายุแห่นางสิริมหามายาผู้มารดานั้น ด้วยคำว่าอายุแห่งมารดากูนี้จักมีประมาณเท่าใดหนอ พระองค์พิจารณาดูก็รู้ว่ามารดาจักมีอายุได้ประมาณ ๑๐ เดือนกับ ๗ วันเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่พระองค์ลงมาถือเอาปฏิสนธิจนถึงวันประสูติออกมาแล้วอีก ๗ วัน เมื่อพระองค์พิจารณาเห็นอาการทั้ง ๕ ประการ พร้อมทุกอันแล้ว จึงขานคำปฎิญญารับเอานิมนต์แห่งเทวดาทั้งหลาย แล้วสั่งให้เทวดาทั้งหลายพากันกลับไปสู่ที่อยู่แห่งตนๆ ว่ากูจักลงไปบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแก่สูทั้งหลายเป็นอันเที่ยงแท้

    เทวดาทั้งหลายเมื่อได้ยินคำปฏิญญาของพระองค์ดังนั้น ก็บังเกิดความปิติยินดีเป็นอันมากทุกๆ องค์ แล้วก็อำลาพากันไปสู่ที่อยู่แห่งตนๆ วันนั้นแล เมื่อเทวดาทั้งหลายกลับไปแล้ว ดุสิตเทวราชพร้อมด้วยเทวดาที่เป็นบริวาร ก็เสด็จเขาไปสู่สวนอุทยานนั้นแล สวนอุทยานนั้นมีทุกชั้นฟ้าแท้ไซร้

    ครั้นว่าเสด็จเข้าไปถึงแล้ว เทวดาทั้งหลายจึงเสวยโอกาสแห่งบุญกรรม ด้วยอันอธิบายว่าดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งข้างทั้งหลายนี้ เมื่อว่าพระองค์จุติจากที่นี้แล้ว ขอจงให้พระองค์ไ้ด้ไปสู่ที่สุขเทอญ เทวดาทั้งหลายที่ได้เสวยบุญกรรมว่าฉะนี้ ดูราเจ้ากูตนมีบุญ เจ้ากูได้สร้างสมภารมามากมายทั้งนี้ เทวดาทั้งหลายได้เสวยสุขในพระคุณมิได้ขาด ครั้นแล้วจักเดินตรงไปสู่สวนอุทยาน ณ ที่นั้น แล้วพระองค์ก็จุติในที่นั้น ครั้นจุติจากที่นั้นแล้วก็มาถือเอาปฏิสนธิในท้องแห่งนางสิริมหามายาในปีเต่าสัน (ปีวอก) เดืนอ ๖ เพ็ญ วันพฤหัสบดี เวลาเที่ยงคืนวันนั้นแล



    อ่านต่อเริ่มต้นพุทธประวัติ


     

แชร์หน้านี้

Loading...