(๒) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 29 มิถุนายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    บทที่ ๑

    พระพุทธาธิการ


    บัดนี้้ จักกล่าวถึงพระพุทธาธิการ คือการกระทำอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้พระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงเป็นจอมมุนีทั้งหลาย ก็องค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราท่านทั้งหลายก็คงจะทราบกันได้ดีแล้วว่า มิใช่จะมีปรากฏในโลกแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยที่แท้ ในอดีตกาล ก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกหลายพระองค์ล่วงมาแล้วและในอนาคตกาล พอสิ้นสูญศาสนาองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุำฏศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกนายก ที่เราเคารพบูชาอยู่ทุกวันนี้แล้ว ก็จักมีสมเด็จพระสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้อีก แต่ว่ามาตรัสเป็นครั้งเป็นคราว ไม่เป็นระยะเวลาติดต่อรับช่วงกัน โดยที่บางทีพอสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว โลกก็ว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่ไม่นานนักเพียงในกัปเดียวกันนั่นเอง ก็มีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติขึ้น แต่บางทีนั้น พอสิ้นศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งแล้ว โลกเรานี้ต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานแสนนานนับเป็นสิบๆ มหากัปทีเดียว จึงจะมีศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ปรากฎขึ้นมา

    และเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกคราวใด คราวนั้นพระองค์ท่านย่อมตรัสพระสัทธรรมเทศนาแสดงปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ในวัฏสงสารประทานอมตธรรม นำสัตว์โลกให้ได้บรรลุถึงพระนิพพานสมบัติ เหล่าสัตว์ผู้มีวาสนาบารมี แต่พอได้สดับพระโอวาทานุสสนีขององค์พระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามสมควรแก่อุปนิสัยวาสนาบารมี แห่งตนๆ เป็นอันพ้นจากทุกข์ภัยในสงสารได้เป็นอันมาก แล้วศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็จะพลันเสื่อมถอยลงๆ จนกระทั่งหายสาปสูญไปจากโลกนี้ในคราวหนึี่งๆ ในระยะกาลเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนานี้ โลกก็จะมีสภาวะเป็นโลกมืดมนมืดบอดจากมรรคผลนิพพาน เพราะไม่มีแสงประทีปกล่าวคือ พระสัทธรรมอันแสดงหนทางให้ถึงธรรมวิเศษนี้ได้ สัตว์ที่เกิดมาในระยะนี้ ก็ชื่อว่าเกิดมาเปล่าและก็ตายไปเปล่า หาสาระแก่นสารอันใดมิได้ ต่อเมื่อใด ปรากฎมีสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ เสด็จมาประกาศพระพุทธศาสนาขึ้นอีกนั่นแหละ โลกจึงจะลุกโพลงขึ้นด้วยแสงประทีปอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมนำสัตว์ให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานเสียอีกคราวหนึี่ง จึงเป็นว่าโลกเรานี้ บางทีก็ว่างจากพระบวรพุทธศาสนาอยู่ในนานเท่าใด แต่บางสมัยนั้นโลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานนัก

    มีปัญหาว่า เหตุไฉน สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่ผลัดกันมาตรัสในโลกเรานี้ให้เสมอติดต่อกันไปโดยไม่ขาดสาย จะปล่อยให้โลกว่างจากพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลานานๆ ทำไมกัน? จะมาตรัสให้ติดต่อกันไป เช่น พอสิ้นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์เก่าแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ ก็มาประกาศพระศาสนาแทนต่อไปอีก โดยมิให้โลกต้องว่างจากพระพุทธศาสนาเลยทีเดียวมิได้หรือ? ในกรณีนี้เห็นทีจะขัดสน ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการที่โลกเรานี้ จักได้มีโอกาสต้อนรับการอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งนั้น เป็นการลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุอะไร ก็เพราะว่า จะหาผู้ที่มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละ่ท่านนั้น หากันมิค่อยจะได้เลย

    ก็การที่จะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ดำรงฐานะเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ เมื่ไหร่เล่า โดยที่แท้ เป็นได้โดยยากนักหนา ความยากอย่างยิ่งจะขอยกไว้ในตอนเบื้องต้นนี้ จักกล่าวถึงน้ำใจก่อนท่านที่จักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าคือได้บรรลุถึงพระพุทธภูมินั้นต้องเป็นท่านที่มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดเป็นมหาวีรบุรุษทีเดียว ในข้อนี้พึงทราบอุปมากถาที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

    น้ำใจพระโพธิสัตว์


    กาลเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีถ่านเพลิงซึ่งร้อนรุ่มสุมคุ ระอุ จนเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักวาลก็ดี​



    ในเมื่อโลกจักรวาล อันมีเนื้อที่กว้างใหญ่สุดประมาณนี้มีเปลวไฟลุกแดงเป็นพืดยาวเต็มไปหมด ผู้ใดมีน้ำใจองอาจเพื่อจะเดินฝ่าบุกไปโดยเท้าเปล่าๆ ไปจนสุดหมื่นโลกจักรวาลก็ดี​



    ท่านผู้มีน้ำใจองอาจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเห็นปานฉะนั้ จึงควรที่จะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีเพื่อจะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณได้ เห็นไหมเล่า ว่าท่านผู้มีปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น จะต้องเป็นผู้มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพียงใด ถ้ามีน้ำใจอ่อนแอมีความกลัวตายมากกว่าพระโพธิญาณแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ก็ผู้ที่มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเช่นว่ามานั้น หากันได้ง่ายๆ ในโลกที่ไหนเล่า​



    อนึ่ง ผู้ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมบำเพ็ญธรรมหนักแน่นด้วยน้ำใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง ไม่ว่าจักเสวยพระชาติคือถือกำเนิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมจะมีน้ำใจสมาทานมั่นคง จะได้ย่อหย่อนเบื่อหน่ายส่ายพักตร์เป็นไม่มีเลย สมณพราหมณ์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมีจิตคิดจะทดลองด้วยอุบาย มุ่งหมายจะให้พระโพธิสัตว์ละเสียซึ่งกุศลสมาทาน ก็มิอาจจะทำได้สำเร็จเลย กิริยาที่พระโพธิสัตว์ประกอบด้วยกุศาลสมาทานมั่นคงนี้ ในชาติที่พระองค์ถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์จะขอยกไว้ ในที่นี้ ใคร่จะขอเล่าแต่เพียงชาติที่พระองค์ทรงเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็ยังมีพระบวรสันอานประกอบไปด้วยกุศลสมาทานมั่นคง มีน้ำใจตรงแน่วไม่หวั่นไหว ตามเรื่องที่ปรากฎมีในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้​




    กระแตผู้โพธิสัตว์





    กาลเมื่อ สมเด็จพระจอมมุนี ยังสร้างสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งต้องทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ปรากฎว่าครั้งหนึ่ง พระองค์อุบัติในดิรัจฉานภูมิเสวยพระชาติเป็นกระแตสัตว์เดียรฉานมีนิวาสสถานอยู่ ณ ที่ใกล้มหาสมุทรทะเลใหญ่​






    อยู่มาวันหนึ่ง เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมมาเป็นอันมาก กระแสน้ำซึ่งมีกำลังเชี่ยวกรากดุดัน พัดผันพาเอารังพร้อมทั้งลูกของพระโพธิสัตว์ลงไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวงหายไป ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อได้ัรับอุปัทวเหตุเช่นนี้ ก็มีใจเศร้าเฝ้าคิดสงสารลูกของตนเป็นหนักหนา เสวยทุกขเวทนาดั่งว่าจะขาดใจตายไปตามบุตร สุดที่จะคิดถึงเหตุผลประการใด มีใจมุ่งหมายครุ่นคิดอยู่แต่ว่า​





    "เราจะกระทำความเพียร วิดน้ำในมหาสมุทรนี้ให้แห้งแล้วจะค้นหาลูกของเราจนพบให้จงได้"​





    ครั้นคิดมุมานะฉะนั้นแล้ว ก็เริ่มกระทำความเพียรเอาหางของตนจุ่มลงไปปในน้ำพอเปียกชุ่มแล้วก็วิ่งขึ้นไปสลัดน้ำลงบนที่ดอน แล้วก็ย้่อนกลับมาเอาหางจุ่มน้ำ และวิ่งไปสลัดน้ำลงบนที่ดอนอีก แต่พระโพธิสัตว์เจ้าเฝ้าวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางแห่งตนอยู่อย่างนี้ จนสรีระร่างกายได้รับความบอบช้ำเหน็ดเหนื่อยนักหนา เป็นเวลาถึง ๕-๖ วัน น้ำนั้นจะได้พร่อมไปสักนิดหนึ่งก็หามิได้ ก็มันจะพร่องไปได้อย่างไรเล่า เพราะว่าไม่ใช้น้ำในตุ่มในไห แต่เป็นน้ำในมหาสมุทรใหญ่ทะเลหลวง ซึ่งมีมากมายเหลือคณนา แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ สัตว์ผู้มีใจเด็ดคือกระแตโพธิสัตว์นั้น ก็มีใจมั่นคง จะได้ย่อท้อหย่อนจากความเพียรเสียก็หามิได้ กลับตั้งใจมีมานะพยายามวิดน้ำในมหาสมุทรนั้นต่อไปอีกอย่างไม่ลดละ​





    ด้วยเดชะวิริยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งใจกระทำอย่างผิดธรรมดาในครานั้น ก็บันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ขององค์สมเด็จพระอมรินทราธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพยเจ้าเืบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ถึงอาการแข็งกระด้างเป็นอัศจรรย์! ครั้นองค์มัฆวานทรงส่องทิพยเนตรทราบประพฤติเหตุนั้นแล้ว จึงเสด็จลงมาจากเทวโลกในวันที่ ๗ แปลงเพศเข้าไปหากระแตโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งกำลังเอาหางวิดน้ำในมหาสมุทรอยู่อย่างอุตลุดแล้วทรงมีเทววาทีเอ่ยถามขึ้นว่า​





    "ดูกร ท่านผู้เป็นกลันทกชาติ คือกระแต! ท่านมาทำอะไรพิกลอยู่ที่นี่?"


    "เรากำลังทำการวิดน้ำในมหาสมุทร" พระโพธิสัตว์ตอบ​


    "ท่านมีความประสงค์สิ่งใดๆ จึงถึงกับต้องวิดน้ำทั้งมหาสมุทรทีเดียว?"​


    "เรากระทำความเพียรในครั้งนี้เพื่อหวังจะให้น้ำในมหาสมุทรนี่แห้ง แล้วจะค้นหาบุตรของเราที่ถูกน้ำพัดพามาจมลงที่มหาสมุทรนี่ให้พบ"​


    สมเด็จพระอมรินทราธิราช จึงตรัสว่า​


    "การที่ท่านจะวิดน้ำในมหาสมุทรนี่ให้แห้งนั้น เห็นทีจะขัดสนนัก คือ ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านจักต้องตายเสียเปล่าเป็นแน่แท้! ท่านมิแลดูดอกหรือว่า น้ำในมหาสมุทรนี้มากมายนัก สุดวิสัยที่ผู้ใดผู้หนึ่งจักวิดให้แห้งได้ ไฉนท่านจึงมากระทำการอันสำแดงความโง่ออกมาให่ปรากฎเห็นปานฉะนี้ หยุดเสียเถิด อย่าได้พยายามต่อไปเลย จะตายเสียเปล่าๆ"​


    "ท่านนั่นแหละ โง่! " พระโพธิสัตว์ผู้เป็นกลันทกชาติกล่าวตอบ แล้วจึงพูดต่อไปตามประสาแห่งตนว่า "ตัวท่านเป็นคนโง่ เพราะเป็นผู้มีใจเกียจคร้านหาความเพียรมิได้ ขึ้นชื่อว่าคนเกียจคร้านเหมือนเช่นตัวท่านนี้ หาควรที่เราจะเจรจาด้วยไม่ ตั้งแต่ท่านมาชักชวนเจรจาอยู่นี่ ก็เป็นการเสียเวลาเราอยู่เป็นอันมาก เราเสียดายเวลานัก ท่านจงไปเสียใหพ้้นเถิด อย่ายืนอยู่ที่นี้เลย อ้าว...ว่าอย่างไรเล่า บอกว่าไปให้พ้น..."​





    พระโพธิสัตว์ตวาดไล่พระอินทร์ดังนี้แล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาวิดน้ำในมหาสมุทรด้วยหางของตนต่อไปอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ยอมพักผ่อนหยุดยั้ง ข้างฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราช เมื่อถูกตวาดเช่นนั้น จึงทรงพระดำริว่า แท้จริงธรรมดาว่า สัตว์ผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรนี้ ย่อมมีความเพียรใหญ่ประจำอยู่ในสันดานอย่างเอกอุ ดูเอาเถิดในกาลบัดนี้ ถึงแม้จะกระทำสิ่งที่เหลือวิสัย เราลองน้ำใจบอกให้เลิกละเสียด้วยเหตุผลอันสมควรนักหนาก็หาได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมเสียไม่ ช่างมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวอาจหาญน่าสรรเสริญนัก เมื่อมีเทวดำริเช่นนี้แล้ว จึงทรงไปนำเอาลูกกระแตซึ่งยังไม่ตายมากมอบให้แก่พระโพธิสัตว์ด้วยเทวานุภาพแล้วก็สำแดงองค์ให้ทราบว่า พระองค์เป็นจอมเทพเบื้องสรวงสวรรค์ เปล่งรัศมีมีพรรณรุ่งเรืองโอภาส เสด็จกลับไปสู่ไพชยนตปราสาท อันเป็นเทวสถานพิมานที่ประทับอยู่แห่งพระองค์​





    เรื่องที่เล่ามานี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์คือท่านผู้ปรารถนาเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด้จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ย่อมจะมีมนัสมั่นคงนักหนา ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้้งไปถือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรฉานก็ดี ก็ย่อมมีน้ำใจมั่นคงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยม ถ้าลงได้ตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้ว แม้จักยากแสนยากเพียงใดก็ตาม การที่จะมีความเพียรอันย่อหย่อนหรือเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคันนั้นเป็นอันไม่มีอย่างเด็ดขาด นี่แหละท่านทั้งหลาย คือความมั่นคงเด็ดเดี่ยวแห่งน้ำใจ ของพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้เฝ้าปรารถนาเพื่อจักได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ













    ;aa41


    พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร)

    ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    (มุนีนาถทีปนี)
    หน้า ๒๕-๓๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...