(๑) ว่าด้วยสิ่งที่เลิศ

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 8 กันยายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    อัคคัญญสูตร
    ว่าด้วยสิ่งที่เลิศหรือที่เป็นต้นเดิม

    ว่าด้วยสามเณรวาเสฏฐะและภารทวาชะ

    [๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ในบุพพารม กรุงสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชะสามเณร หวังความเป็นภิกษุ จึงอยู่ประจำในสำนักของภิกษุ ลำดับนั้น ในเวลาเย็นวันหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ได้เสด็จลงจากปราสาท ทรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาท. วาเสฏฐสามเณรได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นลงจากปราสาทแล้ว เสด็จจงกรมอยู่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาทในเย็นวันหนึ่ง ครั้นเห็นแล้ว จึงเรียกภารทวาชะสามเณรกล่าวว่า ภารทวาชะผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เสด็จออกจากที่เร้นลงจากปราสาท เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้งที่ร่มเงาของปราสาทในเวลาเย็น ภารทวาชะผู้มีอายุเรามาไปกัน เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ บางทีเราจะได้ฟังธรรมีกถา ในที่เฉพาะพระพัตกตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง. ภารทวาชะสามเณรรับคำของวาเสฏฐสามเณรว่า ตกลงท่านผู้มีอายุ. ครั้งนั้นแล วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชะสามเณรพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้เดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งกำลังเสด็จจงกรมอยู่.

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่าเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรมาแล้วตรัสว่า วาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแลมีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลของพราหมณ์ วาเสฏฐะและภารทวาชะ พราหมณ์ทั้งหลายไม่ด่า ไม่บริภาษเธอทั้งหลายหรือ? วาเสฏฐสามเณรและภารทวาชสามเณรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมด่า ย่อมบริภาษข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลย. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามว่า วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็พวกพราหมณ์ด่าบริภาษเธอ ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนอย่างไร? สามเณรทั้งสองทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณอื่นต่ำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ คนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม พวกท่านมาละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐที่สุด เข้ามาอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือ พวกสมณะโล้นเป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เกิดจากเท้าของพระพรหม การที่พวกท่านมาละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐสุด ฯลฯ*(ตรงนี้ละคำอวดอ้างของพวกพรามหณ์ ดังข้างต้น จนถึง "เกิดจากเท้าของพระพรหม") เช่นนี้ ไม่เป็นการดี ไม่เป็นการสมควร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ได้พากันด่าบริภาษข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้ จึงกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ คนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ปรากฎชัดเจนอยู่ว่า นางพราหมณีของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ก็พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทางช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น แล้วกล่าวว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด ฯลฯ*(ตรงและคำอวดอ้างของพวกพราหมณ์ ดังข้างต้น จนถึง(เกิดจากเท้าของพระพรหม") เป็นทายาทของพระพรหม ดังนี้ ก็พราหมณ์เท่านั้นย่อมกล่าวตู่พระพรหมและพูดมุสา พวกเขาจะต้องประสบสิ่งไม่เป็นบุญมากมาย.

    ความบริสุทธิ์แห่งวรรณ ๔

    [๕๒] วาเสฏฐะและภารทวาชะ วรรณะเหล่านี้มี ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร. วาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ มีปกติฆ่าสัตว์ มีปกติลักทรัพย์ มีปกติประพฤติผิดทางกาม มีปกติพูดมุสา มีวาจาส่องเสียด มีวาจาหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา มีความเห็นผิด. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้อันใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล มีโทษ นับว่ามีโทษ ไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ ไม่ควรเป็นอริยธรรม ก็นับว่าไม่ควรเป็นอริยธรรม เป็นธรรมดา มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียนดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่านั้นย่อมปรากฎอย่างชัดเจนในกษัตริย์บางพระองค์. วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์... วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้แพศย์...*(ตรงนี้ต่อด้วยคำบรรยายเหมือนกล่าวถึงกษัตริย์ คือ "บางคนในโลกนี้ มีปกติฆ่าสัตว์" จนถึง"....ปรากฎอย่างชัดเจนใน...บางคน") วาเสฏฐะและภารทวาชะอย่างนี้แล ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศลฯลฯ เป็นธรรมดำ มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านั้นก็ย่อมปรากฎอย่างชัดเจนในศูทรบางคน

    [๕๓] วาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์แม้บางพระองค์ในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดทางกาม เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากการพูดส่องเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจาการพูดหยาบคาย ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นถูกต้อง. วาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ธรรมเหล่านี้เหล่าใด เป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรเสพ นับว่าควรเสพ เป็นอริยธรรม นับว่าควรเป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านั้น ย่อมปรากฎอย่างชัดเจนในกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้. วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์... วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ แพศย์... วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ศูทรบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาทเขา มีความเห็นถูกต้อง. วาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ควรเสพ นับว่าควรเสพ เป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมปรากฎอย่างชัดเจนในศูทรบางคน

    วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้แล รวมกันเป็น ๒ ฝ่าย คือพวกที่ตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายดำ วิญญูชนติเตียน พวกหนึ่ง พวกที่ตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายขาว วิญญูชนไม่ติเตียน พวกหนึ่ง ในเรื่องนี้พวกพราหมณ์พากันกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ คนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พระพรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม วิญญูชนทั้งหลาย ย่อมไม่รับรองถ้อยคำของพราหมณ์เหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะว่า บรรดาวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุผู้อรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว ตามบรรลุประโยชน์ของตนแล้ว มีสังโยชน์เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นย่อมปรากฎเป็นยอดกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้ หาใช่โดยอธรรมไม่. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า วาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยบรรยายมานี้ พวกเธอพึงเจ้าใจข้อนี้อย่างนี้ว่า ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

    [๕๔] วาเสฏฐะและภารทวาชะ พระราชาทรงพระนามว่าปเสนธิโกศลทรงทราบว่า พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยม เสด็จออกบวชจากศากยราชตระกูล. วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกศากยราชแลย่อมเป็นผู้ติดตามพระเจ้าปเสนทิโกศลทุกขณะ. วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกศากยราชแลย่อมกระทำการนอบน้อม การไหว้ การต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระเจ้าปเสนทิโกศล. วาเสฏฐะและภารทวาชะ อย่างนี้แล ศากยะทั้งหลายย่อมทำการนอบน้อม การไหว้ การต้อนรับ อัญชีลีกรรม สามีจิกรรมในพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลยังทรงกระทำการนอบน้อม การไหว้ การต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระตถาคต ด้วยพระดำริว่า พระสมณโคดมมีชาติดี เรามีชาติไม่ดี พระสมณโคดมทรงมีกำลัง เราเองมีกำลังทราม พระสมณโคดมน่าเลื่อมใส เราเองมีผิวพรรณเศร้าหมอง พระสมณโคดมมีศักดิ์ใหญ่ เราเองมีศักดิ์น้อย ดังนี้ โดยที่แท้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะพระธรรม เคารพพระธรรม นับถือพระธรรม บูชาพระธรรม นอบน้อมพระธรรม. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทำการนอบน้อม การไหว้ การต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระตถาคตอย่างนี้แล. วาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยปริยายนี้ เธอพึงทราบอย่างนี้ว่า พระธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

    บุตรเกิดแต่พระอุระพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    [๕๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มีชาติต่างกัน มีชื่อต่างกัน มีโคตรต่างกัน มีตระกูลต่างกัน ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ถูกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกไหน พึงตอบเขาว่า พวกเราเป็นพวกพระสมณศากยบุตร. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในพระตถาคต เกิดแต่มูลรากตั้งมั่นอย่างมั่นคง มีสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เคลื่อนย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่า เราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดจากพระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพระธรรม ดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูติก็ดี พรหมภูติก็ดี เป็นชื่อของตถาคต

    ความปรากฎแห่งง้วนดิน

    [๕๖] วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีบางสมัยบางคราว โดยการล่่วงไปแห่งกาลอันยาวนาน โลกนี้ก็พินาศไป เมื่อโลกกำลังพินาศ หมู่สัตว์โดยมากย่อมไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ในชั้นอาภัสสรพรหมนั้น สัตว์เหล่านั้นมีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภาษา มีรัศมีเอง ท่องเที่ยวไปได้ในอากาศ ดำรงอยู่ในวิมานอันงดงาม ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลยาวนาน

    วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีบางสมัยบางคราว โดยการล่วงไปแห่งกาลยาวนาน โลกนี้เจริญขึ้น เมื่อโลกกำลังเจริญขึ้น เหล่าสัตว์โดยมากพากันเคลื่อนจากชั้นอาภัสสรพรหม มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ( คือมาเกิดเป็นมนุษย์ ดูอรรถกถาพระสูตรนี้ หน้า ๑๗๒ ) และสัตว์เหล่านั้นมีความสำเร็จได้โดยทางใจ มีปีติเป็นภักษา มีรัศมีในตัว ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ ดำรงอยู่ในวิมานอันงดงาม ดำรงอยู่ตลอดกาลยาวนาน

    วาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล จักรวาลนี้ได้กลายเป็นน้ำไปหมด มีความมืด มองไม่เห็นอะไร ทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฎ ดวงดาวนักษัตรยังไม่ปรากฎ กลางวันกลางคืนไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่่งเดือนยังไม่ปรากฎ ฤดูและปียังไม่ปรากฎ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฎ. หมู่สัตว์ทั้งหลายเรีกกันเพียงว่าสัตว์เท้านั้น. วาเสฏฐะและภารทวชะ ครั้นต่อมา โดยอันล่วงไปแ่งกาลยาวนาน ง้วนดินก็เกิดลอยขึ้นบนน้ำ ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้น เหมือนน้ำนมสดที่บุคคลเคี่ยวแล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบนฉะนั้น. ง้วนดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่นรส มีสีคล้ายเนยใสอย่างดีหรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้น และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มอันปราศจากโทษฉะนั้น. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ที่นั้นแลมีสัตว์บางตนมีนิสัยโลภ กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ สิ่งทีลอยอยู่นี้ จะเป็นอะไรแล้วเอานิ้วมือช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วมือช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู ง้วนดินก็ได้ซ่านไปทั่ว เขาจึงเกิดความอยากขึ้น. วาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พากันทำตามอย่างสัตว์นั้นเอานิ้วมือช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้น เอานิ้วช้อนง้วนดินนั้นขึ้นมามาลิ้มดู ง้วนดินแก่ผ่นซ่านไปทั่วสรรพางค์ สัตว์เหล่านั้นก็เกิดความอยากขึ้น วาเสฏฐะและภารทวาชะ ทีนั้นแล สัตว์เหล่านั้นจึงพากันพยาบามเอานิ้วมือปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ เพื่อบริโภค

    ความปรากฎแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นต้น

    วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแลที่สัตว์เหล่านั้นพยายามที่จะเอามือปั้นง้วนดินทำให้เป็นคำเพื่อบริโภค เมื่อนั้นรัศมีในตัวของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป. เมื่อรัศมีในตัวหายไป ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฎขึ้นมา เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฎขึ้นแล้ว หมู่ดาวนักษัตรก็ปรากฎ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรปรากฎแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฎ เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฎแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฎ เมื่อเดือนหนึ่งและกึีงเดือนปรากฎแล้ว ฤดูและปีก็ปรากฎ. วาเสฏฐะและภารทวาชะด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงได้กลับเจริญขึ้นมาอีก

    [๕๗] วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นพากันบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษา มีง้วนดินเป็นอาหาร ได้ดำริอยู่ตลอดกาลยาวนาน. วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษา มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงมาตลอดกาลยาวนาน ความแข็งกล้าก็เกิดมีในกายของสัตว์เหล่านั้น ความมีผิวพรรณแตกต่างกันก็ได้ปรากฎชัดขึ้นมา สัตว์บางพวกก็มีผิวพรรณดี สัตว์บางพวกมีผิวพรรณเลว. บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณเลวกว่า เรามีผิวพรรณดีกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณเลวกว่าเรา เมื่อสัตว์เกิดมีมานะถือตัวเพราะการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็ได้อันตรธานหายไป. เมื่อง้วนดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็ทอดถอนใจว่า รสดี รสดี แม้ในทุกวันนี้พวกมนุษย์ ได้ของมีรสดีบางอย่าง มักพูดกันอย่างนี้ว่า "รสดี รสดี." พวกพราหมณ์พากันนึกได้แต่อักขระที่รู้กันว่าเป็นของเลิศ เป็นของเก่าเท่านั้น แต่หาได้รู้ถึงความหมายของอักขระนั้นไม่

    การเกิดกระบิดินเป็นต้น

    [๕๘] วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป กระบิดินก็ปรากฎขึ้น. กระบิดินนั้นปรากฎคล้ายเห็ด กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีเหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มที่ปราศจากโทษฉะนั้น. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นก็พยายามเพื่อจะบริโภคกระบิดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินนั้น มีกระบิดินเป็นภักษา มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่มาตลอดกาลยาวนาน. วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดิน มีกระบิดินเป็นภักษา มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่มาตลอดกาลยาวนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฎว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณดี บางพวกมีผิวพรรณเลว. บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็พากันดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณเลวกว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าสัตว์เหล่านี้ สัตว์เหล่านี้มีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา. เมื่อสัตว์เหล่านั้นต่างเกิดมีมานะเกิดขึ้นเพราะการดูหมิ่นผิวพรรณเป็นปัจจัย กระบิดินก็อันตรธานหายไป

    เมื่อกระบิดินหายไปแล้ว เครือดินได้ปรากฎขึ้นมา. เครือดินนั้นได้ปรากฎคล้ายเถาผักบุ้ง. เครือดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้ม ซึ่งปราศจากโทษฉะนั้น. วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นได้พากันพยายามเพื่อที่จะบริโภคเครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินมีเครือดินเป็นภักษ มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่มาตลอดกาลยาวนาน. วาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดิน มีเครือดินเป็นภักษ มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ตลอดกาลยาวนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฎว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณดี บางพวกมีผิวพรรณเลว. บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็พากันดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณเลวว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าสัตว์เหล่านี้ สัตว์เหล่านี้มีผิวพรรณเลวกว่าเรา. เมื่อสัตว์เหล่านั้นต่างเกิดมานะเกิดขึ้น เพราะการดูหมิ่นผิวพรรณเป็นปัจจัย เครือดนิก็ได้หายไป. เมื่อเครือดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็ประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็ทอดถอนใจว่า เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราหนอ เครือดินของพวกเราได้สูญหายไปแล้วหนอ. แม้ในทุกวันนี้ พวกมนุษย์พอถูกความระทมทุกข์บางอย่างมากระทบมักพูดกันอย่างนี้ว่า "ของนี้ได้เคยมีแล้วแก่เรา ของนี้ของเราได้สูญหายไปแล้วหนอ" พวกพราหมณ์พากันนึกได้แต่อักขระที่รู้กันว่าเป็นของเลิศ เป็นของเก่าเท่านั้น แต่ว่าหาได้รู้ถึงความหมายของอักขระนั้นไม่

    อ่านต่อความปรากฎแห่งข้าวสาลี

    พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล
    พระสุตตันตปิฎก
    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
    ภาค ๓ เล่ม ๑
    อัคคัญญสูตร
    หน้า ๑๔๓-๑๕๒
    ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย



     

แชร์หน้านี้

Loading...