(๑) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 26 มิถุนายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    มุนีนาถทีปนี
    ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า


    ปฌามพจน์

    ข้าพเจ้า ขอน้อมนมัสการแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ไปในไตรภพและพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ กับทั้งพระอริยสงฆ์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐด้วยเศียรเกล้าแล้ว จักขออภิวาทนบไหว้ซึ่งท่านบูรพาจารย์ทั้งหลาย ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณและพระคุณอันบริสุทธิ์ ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่งแล้ว จักรจนาเรียบเรียงกถาซึ่งตั้งชื่อว่า มุนีนาถทีปนี เพื่อแสดงถึงเรื่องของพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่งอย่างประเสริฐสุดแห่งประชาสัตว์ในไตรโลก กล่าวคืองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจอมมุนีโดยประสงค์จะสดุดี สรรเสริญ ซึ่งพระพุทธคุณเป็นสำคัญฉะนั้น ขอมวลชนคนดีมีปัญญาทั้งหลายจงตั้งใจสดับกถาของข้าพเจ้า ซึ่งจักกล่าวในโอกาสต่อไปนี้ ด้วยดีเทอญ.

    อารัมภบท

    บัดนี้ จักขอถือโอกาสชี้แจง แก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งปวงว่า บรรดาเราท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พร้อมกับมีศรัทธาเลื่อมใสและมีใจประกอบด้วยสัมมาทิิฐิน้อมนำเอาพระบวรพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชีวิตของตนเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น ถ้าจะถือกันว่าเป็นโชค เวลานี้เราก็กำลังได้ประสบโชคอย่างมหาศาล ซึ่งไม่มีโชคอื่นใดจะเปรียบปาน ถ้าจะถือกันว่าเป็นลาภ เวลานี้เราก็กำลังได้รับลาภอย่างประเสริฐสุดขนาดเป็นบรมลาภทีเดียว ซึ่งจักหาลาภอื่นใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบอีกไม่ได้เลย

    ที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่กล่าวไปด้วยอำนาจความคล่องปากหรือมีใจอยากจะยกย่องพระพุทธศาสนาจนเกินไป ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริง การที่สัตว์โลกทั้งหลายซึ่งยังต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารจักได้มีโอกาสเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศาสดาบรมไตรโลกนาถ แต่ละชาติแต่ละหนนั้น อย่าได้สำคัญผิดคิดอย่างผิวเผินเป็นอันขาดว่า เป็นสภาพที่เป็นไปได้ง่ายๆ ความจริงไม่ใช่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยยากเย็นแสนเข็ญนักหนา ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงมาพิจารณาใคร่ครวญถึงมหาวิบัติ คือความฉิบหายของสัตว์โลกอย่างใหญ่หลวง ตามที่จะพรรณาต่อไปนี้เถิด แล้วก็จะแลเห็นเองว่า การที่เราเกิดมาในชาตินี้ได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จัดว่าได้รับโชคลาภอย่างประเสริฐเพริศพริ้งเพียงไร

    มหาวิบัติ

    ขึ้นชื่อว่าความวิบัติทั้งหลายที่มนุษย์เราต้องประสบกันอยู่เสมอในโลกนี้ ความวิบัติอื่นใดก็จงยกไว้ก่อนเถิด เพราะมิสู้จะสำคัญ แต่ความวิบัติหนึ่งนั้น เป็นความวิบัติอย่างใหญ่หลวงของสามัญสัตว์ ซึ่งจัดว่าเป็นยอดแห่งความวิบัติจริงๆ มีอยู่ ๖ ประการ คือ

    ๑. วิบัติกาล


    วิบัติกาลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะกาลว่างจากพระพุทธศาสนา!

    หมายความว่า ในโลกมนุษย์ที่เราเกิดอยู่นี่ ใช่ว่าจะปรากฏมีพระบวรพุทธศาสนาอยู่เป็นประจำจนชั่วฟ้าดินสลายนั้นหามิได้โดยที่แท้ บางกาลก็มีพระพุทธศาสนา แต่บางเวลาก็ไม่มี เพราะมิใช่คราวที่สมเด็จพระจอมมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ก็ในระหว่างกาลที่มีพระพุทธศาสนากับไม่มีนี้ ปรากฏว่ากาลที่ไม่มีพระพุทธศาสนานั่นแหละ มีปริมาณมากกว่ากาลที่มีพระพุทธศาสนามากมายนัก ซึ่งก็หมายความ ในโลกนี้ นานๆ จึงจะมีพุทธกาลเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ก็นี้ สมมติว่าตัวเราเกิดมาในเวลาที่มิใช่พุทธกาล เป็นกาลว่างเปล่าว ไม่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก เราก็หมดโอกาสที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนา มิได้รับรสพระสัทธรรมเทศนา การเกิดของเราในกาลที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าประโยชน์ หาสาระแก่นสารแห่งชีวิตอันแท้จริงมิได้ เกิดมาเปล่าแล้ว ก็ตายไปเปล่าตามธรรมดาของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเท่านั้นเอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าวิบัติกาล ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะิเกิดผิดกาลเวลา นับว่าเป็นมหาวิบัติประการหนึ่ง

    ๒. วิบัติคติ


    วิบัติคตินี้ ได้แก่วิบัติเพราะไม่ได้คติที่ดี!

    หมายความว่า แม้กาลเวลาจะถึงพร้อมแล้ว คือมีสมเด็จพระมิ่งมงกุฏสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทรงประกาศพระสัทธรรมเทศนายังประชาสัตว์ให้ได้ดื่มอมตรส ทรงโปรดสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสาร ให้ลุล่วงถึงพระนิพพาน ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ปรากฎอยู่ในโลก เช่นในปัจจุบันทุกวันนี้ แต่ทีนี้สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับโชคมีบุญน้อยด้อยวาสนา ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้ เพราะค่าที่เป็นผู้มีคติวิบัติ พลัดไปในเกิดในภูมิอื่นโลกอื่นเสียอย่างเพลิดเพลิน เช่นกำลังไปเกิดอยู่ในนิรยภูมิถือกำเนิดเป็นสัตว์นรกเสียก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในเปตวิสัยภูมิ ถือกำเนิดเป็นเปรตอดอยากอยู่ก็ตาม กำลังไปเกิดอยู่ในอสุรกายภูมิ ถือกำเนิดเป็นอสุรกายมีความหิวกระหายอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ตาม หรือกำลังไปเกิดอยู่ในติรัจฉานภูมิ ถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่เสีย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะมีโอกาสได้มาพบพระบวรพุทธศาสนากระไรได้ เพราะสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเหล่านั้น ทุกวันเวลามีแต่จะมะงุมมะงาหราเสวยทุกข์โทษจนหน้าดำหน้าแดง มีชีวิตอยู่อย่างหดหู่เหี่ยวแห้งน่าสมเพชเวทนา ก้มหน้าก้มตารับผลกรรมชั่วของตน จนหน้ามืดตามัว ไม่มีเวลาหยุดว่างเว้น สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรีกชื่อว่า วิบัติคติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะไปเกิดผิดภูมิผิดโลก จึงโชคร้ายนักหนา นับว่าเป็นมหาวิบัติประการที่สอง

    ๓. วิบัติประเทศ

    วิบัติประเทศนี้ ได้แก่วิบัติเพราะเป็นประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา!

    หมายความว่า ถึงแม้จะพ้นจากวิบัติที่กล่าวมาแล้ว คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็ทรงมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว และตัวเราก็พ้นจากคติวิบัติ มาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็แต่ว่าโลกนี้เป็นพื้นแผ่นปฐพีอันกว้างขวางใหญ่โตนักหนา เป็นที่สถิตแห่งนานาประเทศ มีจำนวนมากมายหลายประเทศนัก พระพุทธศาสนาไม่สามารถจักแผ่ไปถึงทั่วประเทศทั้งสิ้นทั้งปวงได้ ประเทศใด พระพุทธศาสนาแผ่ไปไม่ถึง ประเทศนั้น ก็ไม่รู้จักคุณค่าของพระบวรพุทธศาสนา ไม่ทราบเลยว่า ศาสนาคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนิยานิกธรรม สามารถนำสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย ทีนี้สมมติว่า ตัวเราไปเกิดในประเทศนั้น ก็ไม่มีวันที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย เมื่อไม่รู้จักก็ย่อมไม่เห็นคุณค่าของพระศาสนาอันมีอยู่โดยวิเศษเป็นธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จักมีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในชาติหนึ่งอย่างไร้แก่นสาร น่าเศร้า เข้าทำนองเกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าเท่านั้นเอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกชื่อว่าวิบัติประเทศ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดประเทศ จึงต้องโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สาม

    ๔. วิบัติตระกูล


    วิบัติตระกูลนี้ ได้แก่วิบัติเพราะตระกูลที่ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ!

    หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว และเราก็ได้มีโอกาสมาเป็นมนุษย์ เป็นคน ในประเทศที่นับถือพระบวรพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว ก็แต่ว่าในประเทศนี้ย่อมมีวงศ์ตระกูลของหมูมนุษย์อยู่มากมายหลายตระกูลนัก ตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ เคารพนับถือพระพุทธศาสนาก็มี ตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพนับถือในพระพุทธศาสนาก็มี ทีนี้ สมมติว่าตัวเราบังเอิญไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฐิเสีย บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นบรรพชนต้นโคตร ต้นวงศ์ของเรา ท่านไม่รู้จักพระบวรพุทธศาสนา ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอน แห่งองค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาเสียเลย เราก็จะต้องมีความเห็นหรือมีทิฐิไปตามโคตร ตามวงศ์ คือจักไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เห็นคุณค่า อาจมองพระบวรพุทธศาสนาไปในแง่ว่าไม่ถูกต้องก็ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ชีวิตของเราถึงแม้จะได้รับความสมบูรณ์ พูนสุขอย่างไร ก็นับเข้าในจำพวกที่อับโชค เกิดมาในโลกกับเขาครั้งหนึ่ง แต่หาที่พึ่งอันแท้จริงเป็นแก่นสารมิได้ เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายเปล่าอีกเหมือนกัน สภาพการณ์เช่นว่ามานี้ เรียกว่าวิบัติตระกูล ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชาติ เพราะไปเกิดผิดตระกูลจึงต้องโชคร้ายหนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่สี่

    ๕. วิบัติอุปธิ

    วิบัติอุปธิ นี้ ได้แก่วิบัติอุปธิ คือร่างกาย!

    หมายความว่า ถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกอย่างปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และเาก็ได้มีโอกาสเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิเคารพเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาอยู่แล้วก็ตามที แต่ที่นี้ สมมติว่า ตัวเราเป็นคนอาภัพอับวาสนา องคาพยพไม่สมบูรณ์เป็นคนมีอุปธิวิบัติ คือร่างกายไม่สมประกอบ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย กลายเป็นบ้า เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เสียจริต จิตวิปลาสไปเสีย เช่นนี้ก็ไม่สามารถมีปัญญามองเห็นคุณค่าพระบวรพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสจะรู้ว่าศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าทรงไว้ซึ่งความประเสริฐล้ำเลิศเพียงไรอย่างนี้แม้จะได้เกิดมากับเขาชาติหนึี่ง ก็ถึงการนับได้ว่าเกิดมาเปล่าๆ เป็นชีวิตที่ไร้ค่า เท่ากับว่าไม่ได้เกิดมานี้เอง สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าอุปธิวิบัติ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความวิปริตของกายตน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติสำคัญประการที่ห้า

    ๖. วิบัติทิฐิ

    วิบัติทิฐินี้ ได้แก่วิบัติ เพราะทิฐิแห่งตน!

    หมายความว่าถึงแม้จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ และทรงประกาศพระบวรพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในโลกเช่นปัจจุบันทุกวันนี้แล้ว และตัวเราก็หลบพ้นจากมหาวิบัติต่างๆ ได้มีโอกาสมาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ มีอุปธิร่างกายเป็นปกติ มิใช่เป็นคนหูหนวก ตาบอด คนบ้า คนใบ้ แต่ประการใดเลย คราวนี้สมมติว่า ตัวเราเองนี่กลายเป็นคนมีทิฐิวบัติ คือมีความเห็นผิดมักบูชาความคิดความเห็นของตนอันไม่ถูกต้อง จะเป็นเพราะว่าไปซ่องเสพสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม แล้วก็ให้มีอันเป็นเกิดความคิดเห็นวิปริตไปโดยนัย เป็นต้นว่า

    "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี! พระธรรมที่พร่ำสอนกัน ก็ไม่เป็นนิยานิกธรรม นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ไม่ได้ แม้พระอริยสงฆ์นั้นไซร็ ก็หาได้มีคุณวิเศษยิ่งไปกว่าตัวเรานี่ไม่ มรรค ผล นิพพาน บุญบาป เป็นสภาพที่เพ้อฝันกันไปอย่างนั้นเอง ความจริงหามีไม่ คำสอนในศาสนาไม่มีคุณ่าควรแก่การปฏิบัติตาม"

    เกิดความเห็นไม่เข้าท่าไปทำนองนี้ ก็เลยไม่มีศรัทธาจิตคิดเลื่อมใส ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฎีกาอันหาได้ยากในโลก เมื่อไม่่ปฏิบัติตาม ก็ย่อมไม่ได้พบความวิเศษสุดของพระบวรพุทธศาสนา เมื่อเป็นอย่างนี้ เกิดมาก็นับว่าเสียชาติเกิดไปเปล่าๆ ได้มาพบศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าอันแสนประเสริฐแล้ว แต่จักษุกลับไม่มีแวว เป็นคนตาบอด ตาใส มองเห็นเป็นของต่ำทรามไม่มีค่า ไม่ช้าก็ถึงกาลกิริยาตายไปโดยไม่มีที่พึ่ง เพราะมีทิฐิดึงดันดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่รู้จักเชื่อฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าทำนองที่ว่า เกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่าอีกตามเดิม สภาพการณ์เช่นว่ามานี้เรียกชื่อว่าวิบัติทิฐิ ประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิต เพราะความเห็นผิดของคน จึงต้องเป็นคนโชคร้ายนักหนา จัดว่าเป็นมหาวิบัติประการสุดท้าย

    บัดนี้ ลองหันมาตรวจดูที่ตัวเราท่านทั้งหลายนี้ดูเถิด เราเกิดมาในชาตินี้จะได้รู้เกิดมาก่อนก็หาไม่ แต่ก็ให้บังเอิญเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนา แม้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฎอยู่ ก็เท่ากับว่าเราเกิดมาทันพุทธกาลเหมือนกัน นอกจากนั้นยังได้มีจิตใจเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน น้อมรับเอาพระพุทธศาสนาอันทรงคุณค่าประเสริฐสุดมาเป็นสรณะที่พึ่งของตน ก็เป็นอันว่าพ้นแล้วจากมหาวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงทั้ง ๖ ประการ ตามที่พรรณามาแล้วนั้นใช่ไหมเล่า? อย่างนี้แล้ว จะไม่ให้กล่าวว่า เราเกิดมาในชาตินี้ กำลังได้รับโชคลาภอย่างมหาศาลอยู่แล้วได้อย่างไร?

    ในบรรดามหาวิบัติทั้งหลายนั้น หากจะพิจารณากันให้ดีก็จะเห็นได้ว่า มหาวิบัติข้อแรก คือ วิบัติกาล นับว่าสำคัญกว่าข้ออื่น เพราะเกี่ยวกับการอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ถ้าลงว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกแล้ว ถึงแม้ว่าเราท่านทั้งหลายจะเพียบพร้อมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติอื่นใดก็ตาม ก็ถือว่าไม่พ้นจากความวิบัติเหล่านี้ไปได้ฉะนั้น การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นอุบัติกาลที่สัตว์โลกพากันถือว่าสำคัญที่สุด อย่าว่าแต่มนุษย์เรานี่เลย แม้แต่ปวงเทพเจ้าเหล่าอมร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งมเหศักดิ์มีปัญญาต่างก็ปรารถนากาลเป็นที่เสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันทุกถ้วนหน้า

    ในกรณีนี้ พึงทราบว่า การเสด็จอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักมีปรากฎขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละหน ย่อมเป็นสภาพที่เป็นไปโดยยากยิ่งนัก ต่อกาลนานนักหนา จึงจะมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าเสด็จมาตรัสสักพระองค์หนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่่านที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น
    จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกว่าวิสิฏฐบุคคล คือเป็นบุคคลพิเศษจริงๆ ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาเพื่อปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กล่าวคือเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และพระบารมีที่ว่านั้น ได้ถูกบ่มมาเป็นเวลานานนับด้วยจำนวนมากมายหลายมหากัปทีเดียว จนถึงความแก่รอบสมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านผู้มีโพธิสมภารเป็นวิสิฏฐบุคคลนั้นจึงจะพลันมาอุบัติ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกุตตมจารย์ แล้วจึงทรงประทานประโยชน์มหาศาลให้แก่ชาวโลก ด้วยการแนะนำให้รู้จักทางหลีกพ้นจากโอฆสงสาร อันมีภัยใหญ่น่ากลัวนักหนา แต่ว่าประชาสัตว์ถูกอวิชาเข้าครอบงำ จึงทำให้ไม่รู้สึกว่า ตนกำลังเวียนว่ายอยู่ในโอฆสงสารอันมีภัยใหญ่แลน่าเกรงกลัวเป็นที่สุดนั้นได้ ครั้นพอมาถูกแนะนำเข้าแล้ว ก็รู้สึกตนหวั่นเกรงภัย พยายามปฏิบัติไปตามกระแสพระพุทธฎีกา ก็พาตนพ้นภัยใหญ่ เข้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมสานติ์มากต่อมากเหลือคณนา ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า บรรดาผู้ที่ำทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกทั่วไปในไตรภพแล้ว ผู้ที่จะสามารถทำได้เท่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไม่มี ก็ท่านผู้ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาลและแท้จริงอย่างนี้ จะหาได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า

    ก็เพราะความที่สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะปรากฏอุบัิติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์เป็นการยากนักหนา ตามที่พรรณนามานี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมโลกเชษฐเจ้าแห่งเราชาวพุทธทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงมีพระกมลหฤทัยประกอบไปด้วยพระมหากรุณาและแสนจะบริสุทธิ์ซื่อตรง จึงทรงมีพระบรมพุทโธวาทตักเตือนอยู่เสมอว่า

    " การอุบัติบังเกิดขึ้น แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก"

    พระพุทธฎีกานี้ ถ้ามีความสนใจน้อย ฟังดูแต่เพียงคร่าวๆ พอผ่านไป ก็จะไม่เกิดความรู้สึกอะไรนัก มักให้เห็นแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธพจน์บทหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้ว ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความจริงเป็นที่สุด เพราะปรากฎว่าพระพุทธฎีกาบทนี้มิใช่จะตรัสแต่เพียงหนหนึ่งครั้งเดียวโดยที่แท้ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสอยู่เนื่องๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเหล่าชาวพุทธบริษัท ด้วยความกรุณาและห่วงใยอันปรากฎเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงหฤทัยแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์ โดยมีหลักฐานที่ท่านพรรณาไว้ ดังต่อไปนี้

    อนุสาสนีประจำวัน

    กาลเมื่อ องค์สมด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทุกวันพอได้เวลาอรุณสมัยรุ่งเช้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงพาพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จออกไปเพื่อบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ เหล่าชนผู้ใดได้ทอดทัศนาการเห็น ย่อมบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสนั้นในดวงใจนักหนาเพราะสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าทรงมีพระวรกายอันรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวแห่งพระฉัพพัณณรังสี มีพระสรีระครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสะมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะอันวิจิตร ตั้งแต่พระอุณหิสตลอดลงมาถึงพื้นฝ่าพระบาทไพโรจน์ด้วยพระพุทธสิริวิลาสหาที่จะเปรียบได้ ด้วยว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้นไซร้ ทรงมีเส้นพระเกษาอันอ่อน และวงเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้นเป็นอันดี และทรงมีพระนลาตงามเลิศบริสุทธิ์ ประดุจสุริยมณฑลอันปราศจากเมฆมลทิน และพระนาสิกของพระชินสีห์นั้น ก็มีสัณฐานยาวงามยิ่งนัก รุ่งเรืองไปด้วยพระรัศมีพรรโณภาส พระองค์ทรงเป็นนรสีห์ราชบุรุษมนุษย์สุดประเสริฐ งามเลิศตลอดทั้งพระวรกายแม้ภายใต้พื้นพระยุคลบาท ก็มีพรรณอันแดงประดับไปด้วยพระลายลักษณวงกงจักร์ และรอยรูปมหามงคลร้อยแปดประการเป็นอัศจรรย์

    สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จไปในกาลนั้น เพื่อทรงทำประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งผอง ด้วยพระพักตร์มีพรรณผ่องเพียงศศิธรมณฑลอันเต็มดวงในวันปุณณมีดิถีและพระพุทธกิริยาที่ทรงดำเนินไป ก็งามเหมือนประดุจดังลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราช มฤคินทร์ สมควรที่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทพยดาหมู่อมรและมนุษย์นิกร จักอ่อนน้อมอภิวาทพระบวรพุทธบาท เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวกทั้งปวง แลดูประหนึ่งดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยหมู่ดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศสมเด็จพระโลกเชษฐ์ผู้ทรงพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ย่อมเสด็จบทจรไปเพื่อบิณฑบาต ตามลำดับตรอกลำดับเรือนแห่งมหาชนชาวประชา ไม่ทรงเลือกหน้าว่าไพร่ผู้ดี พระพุทธจริยานี้แลเป็นพระอริยวงศ์ประเพณีแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ปางก่อนสืบมา

    ครั้นว่าเสด็จกลับจากบิณฑบาต ทรงกระทำภัตกิจแล้วเมื่อตอนสายแห่งทิว่า บรรดาพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ใกล้พระคันธกุฎีที่ประทับ ด้วยมีใจมุ่งหมายจักสดับพระบรมพุทโธวาทประจำวัน และพระสงฆ์สาวกบางองค์นั้น ก็มีความประสงค์จะทูลขอบทพระกรรมฐานในกาลหลังจากที่ทรงประทานพระบรมพุทโธวาทจบลงแล้วด้วยเหตุนี้ จึงปรากฎมีพระภิกษุสงฆ์สาวกพากันมารอคอยการเสด็จออกของพระบรมโลกุตมาจารย์อยู่ในขณะนี้มากมาย

    ครั้นได้เวลา สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย ก็เสด็จออกมาจากพระคันธกุฎีด้วยพระพุทธลีลางดงามหาที่เปรียบมิได้แล้ว ประทับนั่งห้อยพระบาทเหนือพระแท่นที่ตั้งไว้ในที่นั้น เพื่อจักทรงล้างพระยุคลบาทให้บริสุทธิ์ สะอาดปราศจากละอองธุลี เสร็จแล้วก็ทรงยืนขึ้นทอดพระเนตรดูหมู่พระสงฆ์สาวกที่พากันมาเฝ้า และกำลังน้อมเกล้าประนมกรอยู่ทุกถ้วนหน้า ด้วยพระพุทธนัยนาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาเป็นยิ่งนัก และแล้วในขณะนั้น และ ณ ที่นั่นเอง พระองค์ก็ทรงเปล่งพระกระแสพุทธฎีกาเป็นโอวาทนุสาสนีแก่พระองค์สาวกทั้งปวงว่า

    ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ขอเธอทั้งหลายจงตกแต่งรักษาซึ่งตนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ด้วยว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลกเป็นสิ่งที่หาได้โดยยากนักหนา การที่จะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก การที่เป็นมนุษย์แล้วจะถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นสิ่งหาได้โดยยาก การที่ผู้มีศรัทธาจะได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก และการที่จะได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเล่า ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก

    ครั้นทรงประทานโอวาทานุสาสนีดังนี้แล้ว สมเด็จองค์ประทีปแก้วพระมหากรุณาเจ้าจึงประทับนั่งลง ณ พระบวรพุทธอาสน์ แล้วจึงทรงเริ่มประทานพระบรมพุทโธวาทอย่างอื่นหรือทรงประทานบทพระกรรมฐานเพิ่มเติมให้แก่พระสงฆ์สาวกที่ต้องการจะนำไปปฏิบัติต่อไป เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่เป็นปกติทุกวันโดยมาก ในสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่

    เราท่านทั้งปวง ผู้เป็นสาวกของพระพุทองค์ท่านในกาลบัดนี้เป็นปัจฉิมชนคนมีวาสนาน้อย เกิดมาในกาลสุดท้ายภายหลัง ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้พบประสบการณ์เช่นที่ว่ามานี้ แต่จะอย่างไรก็ดี พระอนุสาสนีนี้ก็ยังปรากฎก้องอยู่ คล้ายกับจะเป็นองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้าคอยเฝ้าเตือนจิต ด้วยเหตุนี้ขอจงเร่งคิดเร่งอนุสรณ์ถึงพระอนุสาสนีประจำวันนี้ให้จงมากเถิด จะได้เกิดความไม่ประทาทในวัยและชีิวติของตน เพื่อผลกล่าวคือความได้สาระแก่นสารอย่างแท้จริง อันเนื่องมาจากการเกิดมาพบพระบวรพุทธศาสนาของตัวเราในชาตินี้ อย่าให้พลาดท่าเสียทีได้

    ต่อจากนี้ไป จักได้อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีประจำประการแรกคือข้อที่ว่า

    ทุลฺลโก พุทฺธูปฺปาโท โลกสฺมึ

    ซึ่งแปลว่า เวลาที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบังเกิดขึ้นในโลก เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก อัญเชิญเอาพระอนุสาสนีข้อนี้มาเป็นต้นเค้า แล้วจักเล่าเรื่องราวอันเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้้าทั้งหลาย ต่อจากนั้น ก็ตั้งใจไว้ว่าจักพรรณาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ คือ พระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคตมบรมครูเจ้าแห่งเราท่านทั้งหลายในขณะนี้ กับทั้งจักพรรณนาถึงความพระองค์ทรงเป็นนาถะ คือเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของพวกเราทั้งหลาย โดยให้ชื่อเรื่องว่า มุนีนาาถทีปนี หรือศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า ซึี่งหมายถึงการชี้้แจงแสดงเรื่องพระองค์ผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่ง คือสมเด็จพระสัมมามาพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ทรงมีพระปัญญาลึกล้ำสามารถนำสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ทั้งนี้ ก็ด้วยมีเจตจำนงใคร่จะสดุดีพระคุณแห่งพระองค์เป็นประการสำคัญ

    ฉะนั้น ขอมวลท่านพุทธศาสนิกชนผู้สนใจในความเป็นไปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวมานี้ จงมีมนัสมั่นอุตสาห์พยายามติดตามศึกษาต่อไป ตามสมควรแห่งอัธยาศัยแห่งตนเถิด.

    ;aa41

    พระเทพมุนี (วิลาส ญาณวโร)

    มุนีนาถทีปนี : ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๑-๒๓










     

แชร์หน้านี้

Loading...