(๑๒) มุนีนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 20 กรกฎาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    บทที่ ๓

    พระบารมีตอนกลาง

    บัดนี้้ จักพรรณนาถึงการสร้างพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสมโพธิญาณ ของสมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคตมบรมครูเจ้าของเราในตอนวจีมโนปณิธาน คือ ตอนที่พระองค์ออกโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาซึีงพระพุทธภูมิต่อไป

    ก็องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ สร้างพระบารมีมาชนิดยอดเยี่ยมด้วยพระปัญญาฉะนั้น หลังจากทรงตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระหฤทัย มิได้ออกพระวาจามาครบถ้วน ๗ อสงไขย ดังกล่าวมาแล้ว พระองค์ยังจะต้องทรงตั้งวจีปณิธานคืออกพระวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีก เป็นเวลานานถึง ๙ อสงไขย ตามความเป็นไปที่จะได้พรรณนา ดังต่อไปนี้

    สาครจักรพรรดิ์ภูมิบดี

    เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด อยู่ด้วยอำนาจวัฏสงสารสิ้นกาลช้านานนักหนา บางเวลาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ บางชาติก็ได้เกิดเป็นเทพบุตร เสวยทิพยสมบัติในสรวงสวรรค์นั้น กาลครั้งหนึ่ง พระองค์ได้อัตภาพมาอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยนั้นเป็นสุญกัป โลกธาตุว่างจากพระบวรพุทธศาสนา พระองค์จึงได้ออกบรรพชาเป็นดาบสประพฤติพรตอยู่ในป่าใหญ่ พยายามบำเพ็ญกสิณบริกรรมภาวนาจนได้สำเร็จปฐมฌาน ครั้นดับสังขารสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษอยู่ ณ พรหมโลกชั้นปฐมฌานพรหมภูมิเสวยพรหมสมบัติชมฌาน เป็นสุขอยู่เป็นเวลาหนึ่งมหากัป แล้วจึงจุติลงมาจากพรหมโลก

    ด้วยเดชะอานิสงส์ผลบุญกุศล ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสมสุจริตธรรมความประพฤติดีงามไว้ ในอดีตชาติแต่ปางก่อนเป็นอันมาก หากมาอำนวยผลให้ในคราวนี้ พอจุติจากพรหมโลกแล้ว พระองค์ก็ได้สืบปฏิสนธิถือกำเนิดในราชตระกูล ณ ธัญญวดีมหานคร เมื่อถึงศุภวารดิถีวันที่จะเฉลิมพระนามนั้น จึงประชุมพระบรมวงศ์ได้พร้อมกันขนานพระนามว่า สมเด็จพระสาครราชกุมาร ครั้นเจริญวัยวัฒนาการนานมา เมื่อสมเด็จพระชนกธิบดีดับขันธ์สวรรคตแล้ว ก็ได้ดำรงสิริราชสมบัติสืบกษัตริย์ขัตติยวงศ์โดยทศพิธราชธรรม ต่อมาทรงพระอุตสาหะปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร ที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์กำหนดถวายต่างๆ อย่างครบถ้วน แต่ที่พิเศษก็คือว่า เมื่อถึงวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิภูมิบดีย่อมเสด็จเข้าที่สรง ทรงชำระสระสนานพระองค์ให้สะอาดแล้ว ก็ทรงพระภูษาโขมพัสตร์พื้นขาวคู่อุโบสถวิเศษ เสด็จขึ้นสถิตอยู่เบื้องบนพระมหาปราสาท ทรงพระอาวัชชนะนึกถึงอุโบสถศีล ที่พระองค์สมาทานเสมอมามิได้ขาด

    ลำดับนั้น ด้วยเดชะอำนาจผลแห่งพระราชกุศล ที่พระองค์ทรงรักษาอุโบสถศีลเป็นประธาน จึงบันดาลให้สัตตรัตนะอุบัติเกิดขึ้น คือ
    ๑. ทิพยรัตนะจักรแก้ว บังเกิดแต่เบื้องปุริมทิศแห่งมหาสมุทรงามบริสุทธิ์พร้อมด้วยพันแห่งกำกง อลงกต ย่อมมีมหิทธิประสิทธิสามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ทุกประการ

    ๒. พญาคชสารหัศดินทร์รัตนสาร คือ ช้างแก้วตัวประเสริฐเกิดมาแต่อุโบสถตระกูลอันยิ่งใหญ่

    ๓. พญาอัศดรรัตนะมัย คือ ม้าแก้วสินธพชาติตัวประเสริฐบังเกิดมีแต่พลาหกตระกูลอาชาไนย

    ๔. ดวงจินดารัตนะมณี คือ แก้วมณีอันช่วงโชติรัศมีบังเกิดมีมาแต่บรรพตคีรี

    ๕. ดรุณรัตนะนารี คือ นางแก้วที่เกิดคู่สำหรับบรมกษัตริย์ ซึีงเทพเจ้าจัดสรรนำมาแต่อุตตรกุรุทวีป

    ๖. คหบดีรัตนะ คือขุนคลังแก้วผู้ประเสริฐคู่พระบารมี

    ๗. ปรินายกรัตนะ คือ พระองค์ทรงมีพระบวรดนัยเชษฐวโรรส ดำรงตำแหน่งที่ปรินายกรัตนะขุนพลแก้ว บริหารราชกิจให้ชาวประชาผาสุกอยู่เป็นนิตย์
    สมเด็จพระเจ้าสาครราชจักรพรรดิทรงประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เสวยมไหศูรย์ราชสมบัติโดยราชธรรมประเพณี ทรงมีพระเดชานุภาพแผ่ไปทั่วพิภพจบสกลพื้นปฐพี มีสาครสมุทรทั้งสี่กั้นเป็นขอบเขต ทรงเสวยจักรพรรดิสุขอยู่แสนจะสำราญ

    กาลครั้งนี้ ปรากฎมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้หนึ่งพระองค์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร ตามพระพุทธประเพณีอันมีสืบมา ด้วยพระมหาเดชานุภาพแห่งพระธรรมจักรของพระองค์ที่ทรงแสดงในกาลครั้งนั้นหนักยิ่งนัก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นปฐพีนี้ จะทรงน้ำหนักซึ่งพระุคุณไว้มิได้ ก็เกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุ ก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหัศจรรย์ทั่วโลกธาตุก็เพราะให้มีอันเป็นเกิดกัมปนาทหวาดหวั่นไหวไปทั่วพื้นปฐพีนี่เอง จึงเป็นเหตุให้จักรแก้วของสมเด็จพระเจ้าสาครราชจอมจักรพรรดิ เคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ เป็นนิมติเหตุให้เห็นประจักษ์ตาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

    แท้จริง ธรรมดาจักรแก้วของพระบรมจักรพรรดิราชเจ้านั้น มหาอำมาตย์ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมมั่นคงสวยงามที่เสาสองต้นแล้วเอาเชือกผูกจักรแก้วประดิษฐานตั้งไว้มั่นคงเป็นอันดี อภิบาลรักษาอย่างถ้วนถี่ไม่มีโอกาสที่จะเคลื่อนคลาดพลาดตกลงมาได้ ครั้นเมื่อเกิดกัมปนาทไปทั่วทั้งแผ่นดินเช่นนั้น จักรแก้วก็พลันตกลงมาจากที่ตั้งอย่ ณ ภายใต้เสาทั้งสองนั้น ฝ่ายราชบุรุษผู้อภิบาลรักษา ได้เห็นแล้วก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้สดับก็ทรงสะดุ้งพระทัยว่าจักรแก้วนี้ ย่อมเป็นที่นับถือทั่วโลก เหตุไฉนจึงพลัดตกไปจากที่ตั้งได้ ในกรณีเช่นนี้อันตรายแห่งชีวิตจะมีแก่เรา หรือว่าอันตรายจะปรากฎมีแก่ราชสมบัติเห็นประการใด ทรงสงสัยดังนี้แล้ว จึงดำรัสถามโหราราชเนมิตทิพาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นประการใด

    พระโหราราชครูผู้รู้นิมิตทั้งหลาย ถึงถวายพยากรณ์กราบทูลว่า
    "ข้าแต่สมมติเทวราช! เหตุที่ทำให้จักรแก้วนี้ เกิดมีอันเป็นเลื่อนเคลื่อนตกลงไปนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ
    ๑. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของสมเด็จพระบรมจักรพรรดิและ

    ๒. เป็นนิมิตแห่งเหตุที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก

    จักรแก้วจะเคลื่อนตกจากที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น พระเจ้าข้า"

    สมเด็จพระจักรพรรดิราช จึงตรัสถามต่อไปว่า
    "ก็จักรแก้วของเราที่เคลื่อนตกครั้งนี้ จะเป็นด้วยเหตุประการใดเล่า?"

    พระโหราราชครูทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันตรวจดูจนแน่แก่ใจแล้ว จึงกราบทูลว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! การที่จักรรัตนะตกลงมาครั้งนี้ จะได้ปรากฎเป็นนิมิตแห่งชีวิตอันตรายของพระองค์นั้น หามิได้ดอก พระเจ้าข้า โดยที่แท้ เป็นนิมิตแห่งความที่สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แท้ทีเดียว

    ก็สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมทรงมีพระเกียรติศัพท์บรรลือด้วยพระคุณมากมายเป็นอดุลนับไม่ได้ ทรงไว้ซึีงเนมิตตกนามดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. อรหํ...ทรงเป็นพระอรหันต์กอรปด้วยพระคุณควรที่จะรับสรรพสักการะน้อยใหญ่ได้ทุกประการของชาวโลกทั้งผอง อาจทำให้เกิดอานิสงส์เนืองนองมากมาย แก่สรรพสัตว์ผู้กราบไหว้บูชา

    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ... ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบด้วยอำนาจพระบารมีธรรม ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาช้านานธรรมทั้งปวงมาเกิดขึ้นพร้อมในพระหฤทัยของพระองค์เอง

    ๓. วิชชาจรณสมฺปนฺโน... ทรงไพบูลย์ด้วยไตรวิชาและอัษฎางควิชา พร้อมทั้งจรณะสิบห้าประการ

    ๔. สุคโต... ทรงดำเนินไปดี เพราะมีพระนิพพานคติอันดีเป็นที่ดำเนินไป

    ๕. โลกวิทู... ทรงรู้แจ้งโลก เพราะทรงพระสัพพัญญุตญาณรู้แจ้งจบทั้งสังขารโลก (โลกแห่งความมีความเป็น) และโอกาสโลก (โลกแห่งความว่าง)

    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ... ทรงเป็นสารถีมีพระปรีชารู้ทรมานบุรุษผู้ควรทรมานอย่างประเสริฐ เลิศยิ่งในไตรภพเป็นอันดีไม่มีผู้เสมอเหมือน

    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ... ทรงเป็นบรมครูใหญ่ ได้โอกาสตรัสพระพุทธฎีกาแก่ฝูงสัตว์ เทพยดา และหมู่มนุษย์พุทธเวไนยทั่วโลกสันนิวาส ให้สามารถบรรลุถึงคุณธรรม อันมีผลเป็นสุขพิเศษ มีพระนิพพานธรรมเป็นที่สุด

    ๘. พุทฺโธ... พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้วเต็มที่ เป็นผู้ตื่นแล้วจากความหลับ คือกิเลสนิทรา

    ๙. ภควา... พระองค์ทรงเป็นผู้จำแนกธรรม และเป็นผู้มีส่วนแห่งพระบารมีธรรมอันจำเริญ


    โดยพระเดชานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสรรเพชญ์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จักรรัตนของพระองค์จึงหวั่นไหวให้มีอันตกลงมา จะได้มีอันตรายอันใดอันหนึ่งก่อนนั้นหามิได้ ขอเดชะ" พระโหราราชครูกราบทูลอธิบายอย่างยืดยาว

    สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์โพธิสัตว์ได้ทรงสดับคำเนมิตตกามาตย์โหราจารย์กราบทูลพรรณนาบรรยายโดยเอนกประการเช่นนั้น ก็ทรงมีพระกมลตื้นตันเต็มไปด้วยปีติ มิอาจจะดำรงพระสติให้มั่นคงได้ จึงตรัสถามเพื่อให้แน่พระทัยว่า

    "เมื่อครู่นี้ ท่านว่ากระไรนะ พระราชครู! ดูเหมือนท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือกล่าวว่ากระไร?
    พระราชครูโหรา จึงกราบทูลสนองไปว่า
    "พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทวราช! บัดนี้สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเกิดในโลกนี้แล้ว พระเจ้าข้า"

    ขณะนั้น จึงนายเนมิตตกาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งปัญญาดี มีความฉลาดไหวพริบรวดเร็ว ได้กระทำผ้าสะไบเฉียงบ่าข้างซ้าย และยอกรประณมถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บ่ายหน้าไปทางทิศที่ตนทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่แล้วกล่าวคำประกาศพระพุทธคุณทูลซ้ำอึกว่า

    "ข้าแต่พระมหาราชะ! สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระองค์ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ ไม่มีผู้ใดจะยิ่งกว่า เป็นพระอริยะผู้ทรงคุณประเสริฐ เป็นพระบรมครูตรัสรู้เญยยธรรมทั้งปวง เป็นผู้จำแนกธรรมคือมรรคผลนิพพาน ทรงพระพุทธลักษณะงดงามศิริพิลาส ข้าพระบาทได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงปรากฎโดยพระนามขนานว่า สมเด็จพระศรีศากยมุนีชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์กำลังเสด็จมาประทับอยู่ ณ มิจจีนอุทยานกรุงธัญวดีของเรานี่ พระเจ้าข้า

    สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์ ได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงมีพระกมลโสมนัสยินดียิ่งนัก จักใคร่เสด็จไปมนัสการสักการะบูชา จึงมีพระบรมราชโองการชักชวนว่า

    "มาเถิด... ชาวเราเอ๋ย เราจักพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า เพื่อเป็นกุศลส่วนทัสสนานุตตริยะ การได้ทอดทัศนายอดเยี่ย ดำรัสสั่งแล้ว ก็ทรงจัดแจงประทีปธูปเทียนและมาลัยเครื่องสักการะบูชา เสด็จด้วยจาตุรงคิกเสนาบรมจักรพรรดิ มีเสวกามาตย์ราชบริษัทเป็นปริมณฑลแวดล้อมมากมาย เสด็จไปยังมิจีนอุทยาน ครั้นไปถึงได้ทรงทอดทัศนาการเห็นพระตถาคตเจ้า พระองค์กำลังสถิตเหนือพระบวรบัลลังก์พุทธอาสน์ ทรงงามพิลาศด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะและพระอสีตยานุพยัญชนะ ก็ทรงถวายอภิวาทด้วยเบญจางคประดิษฐ์ซบพระเศียรเกล้าลงแทบพระบวรพุทธบาทอันไหจิตรด้วยจักรลักษณะทั้งคู่ของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโลกนาถเจ้าแล้ว จึงตรัสสดุดีสรรเสริญพระพุทธสรีระอันงามหาที่เปรียบมิได้ ด้วยพระหฤทัยอันโสมนัสชื่นชมว่า "โอ้...นับว่าเป็นบุญแท้ของตน เราได้ยลพระตถาคตเจ้าพร้อมทั้งได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ณ โอกาสบัดนี้ ความเห็นของเราคราวนี้ นับว่าเป็นความเห็นอย่างประเสริฐได้ การระบายลมหายใจของเราคราวนี้ ควรนับได้ว่าเป็นการระบายได้คล่อง ไม่ข้องขัด ชีวิตของเราคราวนี้ ก็จักได้ว่าเป็นชีวิตดีมีผลประเสริฐ"

    ครั้นตรัสสดุดีเป็นโถมนวาทีฉะนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครจักรพรรดิราช ก็บังเกิดพระปีติ ทรงรำพึงในพระหฤทัยว่า "เรานี้ได้อุดมสมบัติ ปรากฎเยี่ยมเทียมเทพมไหศูรย์อันประเสริฐล้ำเลิศเกิดแก่เราในชาตินี้ ก็เพราะมีอุตสาหะสร้างสมกุศลสมภารมีทานบริจาคและเป็นผู้มากด้วยศีลสมาทานไว้แต่ชาติปางก่อน จึงอำนวยผลให้ได้ประสบสุขเห็นปานนี้ นี่เป็นส่วนหนึีง ก็ในอนาคตเบื้องหน้าเล่า บัดนี้สมเด็จพระตถาคตศรีศากยมุนีเจ้า ได้ทรงเปลื้องพระองค์ให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้แล้ว ทั้งยังทนงนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยฉันใด แม้เรานี้ก็จะตั้งใจเปลื้องตนให้หลุดพ้นจากทุข์ภัยในวัฏสงสารแล้วก็จะนำสัตว์ทั้งหลายอื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยฉันนั้น" เมื่อทรงมีพระมนัสมุ่งหมายซึีงพระโพธิญาณ ดังนี้แล้วก็ถวายบังคมลาลุกจากอาสน์ทำประทักษิณสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคศรีศากยมุนีแล้ว ก็เสด็จกลับคืนสู่พระนคร

    ครั้นเสด็จมาถึงแล้ว ก็ทรงเร่งร้อนดำรัสสั่งให้ราชบริพารนำเอาแก่นจันทน์บริบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาเป็นอันมาก รับสั่งให้ประชุมนายช่างก่อสร้างทั้งหลายมากมายหลายหมวดหลายกอง เ่ร่งให้สร้างปราสาทกุฎิอันเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ด้วยไม้แก่นจันทน์มากมายหลายหลัง แล้วรับสั่งให้สร้างกุฎีศาลามณฑปที่พักผ่อนที่หลีกเร้นในราตรีทิวาวัน สร้างหอฉัน ที่จงกรม โรงไฟ และซุ้มพระทวาร ล้วนแล้วแต่แก่นจันทน์อีกเช่นกัน ในวาระสุดท้าย ทรงให้เรียกนายช่างชั้นเอกมาประชุมกันออกแบบสร้างพระคันธกุำีที่ประทับขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค สวยงามวิจิตรสัมฤทธิ์ด้วยแก่นจันทน์มีกลิ่นหอม ครั้นมหาวิหารอันสร้างด้วยไม้แก่นจันทน์สำเร็จลงเรียบร้อยทุกประการแล้ว สมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยราชบริวาร เสด็จออกมาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทรงถวายอภิวาทกราบทูลถวายพระมหาวิหารว่า
    "ข้าพระองค์ผู้เจรญ! พระเจ้าข้า พระมหาจันทน์วิหารนี้ ข้าพระบาทสร้างถวายเฉพาะพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์จงทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ข้าพระบาท ขอจงรับเสนาสนะมหาจันทวิหารแห่งข้าพระบาทนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

    ครั้นกราบทูลถวายมหาจันทน์วิหาร ฉะนี้แล้ว ก็ทรงนำเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าสู่ภายในวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่พระอริยสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมกับทรงอุทิศถวายเครื่องอุปกรณ์ทานอีกมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วทรงมีพระกมลผ่องแผ้วชื่นชมโสมนัส บัดนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิสาครราชบรมโพธิสัตว์ จึงเปล่งพระวจีปณิธานว่า
    "ด้วยเดชะอำนาจแห่งบุญกรรมนี้ ของจงเป็นปัจจัยราสีเสริมส่งให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ด้วยเถิด"
    ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว พระองค์จึงทรงตั้งวจีปณิธาน ซ้ำลงไปอีกว่า
    "พระบรมไตรโลกนาถเจ้านี้ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทจักของตรัสเป็นพระพุทธเจ้าจะยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันนั้น พระผู้ทรงพระภาคผู้นาถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทขอจงได้เป็นนาถะของโลก ล่วงพ้นจากทุกข์ในสงสารแล้ว และสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนั้น พระผู้มีพระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงข้ามได้แล้ว จากโลกและย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันใด ขอข้าพระบาทจงได้เป็นพระโลกนาถะข้ามได้แล้วจากโลก และยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันนั้นเถิด"
    ลำดับนั้น สมเด็จพระปุณาณศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    "ดูกร มหาบพิตร! การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ถ้าพระองค์ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จงค่อยสดับความอุปมาดังนี้ คือ ในเมื่อห้วงจักรวาลอันกว้างลึกสุดที่จะประมาณ เต็มไปด้วยภูเขาเหล็กลุกเป็นโพลงอยู่ไม่รู้ดับ และมีพื้นเบื้องต่ำตามระหว่างๆ ข้างซอกแห่งภูเขานั้น เต็มไปด้วยน้ำทองแดงที่ร้อนแรงจนเหลวละลายไหลเหลวเคว้งๆ อยู่ดุจมหากุมภีนรก ผู้ใดมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถที่จะว่ายน้ำทองแดงไปได้ด้วยกำลังแขนของตน จนตลอดถึงฟากจักรวาลโน้นได้ โดยมิได้อาลัยถึงเลือดเนื้อร่างกายและชีวิต ผุ้มีน้ำจิตองอาจเห็นปานนี้ จึงจะทำตนให้ถึงพุทธภาวะความเป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่แหละมหาบพิตร พระพุทธภูมิสำเร็จได้โดยยากดังกล่าวมานี้ ขอจงทราบไว้ในพระทัยเถิด"
    สมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิได้ทรงสดับพระบรมพุทธาธิบายเปรียบดังนั้น ด้วยกำลังพระปิติกล้า ก็ทรงออกพระวาจารับเอาว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! พระเจ้าข้า ข้าพระบาทนี่และสู้ก้มหน้าว่ายข้ามแม่น้ำทองแดงร้อนนั้นไปให้ได้ อย่าว่าแต่สิ่งที่มีในมนุษยโลกที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาชักอุปมาเปรียบเทียบมานี่เลย ถึงแม้ว่าพระสัพพัญญุตฐาณจะมีอยู่ใต้อเวจีมหานรกก็ดี ตัวข้าพระบาทนี่แลพระเจ้าข้า จะสู้ก้มหน้าดำด้นลงไปค้นคว้าหาให้พบให้จงได้"
    สมเด็จพระปุราณศรีศากยมุนีได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า ปณิธานของพระบรมจักรพรรดิพุทธางกูรโพธิสัตว์นี่ นานไปอีกแสนนานถึง สิบสอง อสงไขย กับเศษแสนมหากัปจึงจักสำเร็จได้ และพระราชาผู้นี้จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมเสมอด้วยนามเราตถาคตนี้ เมื่อพระองค์ทรงทราบชัดฉะนี้จึงมีพระพุทธฏีกาดำรัสเป็นพระโอวาทว่า
    "ดูกรมหาบพิตร! ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์ซึีงพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว จงทรงบำเพ็ญพระบารมี ๓๐ ให้ครบบริบูรณ์เถิด"
    ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิเจ้า ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธโอวาท ดังนั้น ก็มีพระกมลโสมนัสเป็นนักหนาประหนึ่งว่า ตนจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ก็ปานกัน จำเดิมแต่่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นอันมาก กระทำบุญสร้างกุศลปลูกฝังไว้ในพระบวรพุทธศาสนา แต่ยังหาทรงอิ่มในพระทัยไม่ ในภายหลัง จึงได้ออกบรรพชาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์สาวกของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงพระอุตสาหะหมั่นศึกษาในทางคันถธุระจนชำนิชำนาญในพระไตรปิฎกแล้ว จึงทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐานภาวนาทำฌานอภิญญามิให้เสื่อม ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ขึ้นไปอุบัติเกิดในรูปาพจรพรหมโลก

    การสร้างพระพุทธบารมีที่เล่ามานี้ เป็นการสร้างพระบารมีตอนกลาง คือ ตอนเปล่งวจีปณิธานออกโอษฐปรารถนาพระพุทธภูมิ ของสมเด็จพระบรมครูเจ้าของเราทั้งหลายแต่เพียงชาติแรกชาติเดียว ต่อจากชาตินี้ไป พระองค์ก็ได้ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพระพุทธภูมิต่อพระพักตร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกมากมาย จนไม่สามารถจะนำมากล่าวไว้ในที่นี้ให้หมดสิ้นลงได้ จำไว้่ง่ายๆ ก็แล้วกันว่า องค์สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าที่ทรงมีพระมหากรุณาประทานคำสอนไว้ ให้พวกเราได้ประพฤติปฏิบัติกันทุกวันนี้น่ะ พระองค์ี
    สร้างพระบารมีตอนเปล่งวจีปณิธานนี้ เป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย


    พรรณนาในวจีปณิธาน ความปรารถนาตอนออกโอษฐเปล่งพระวาจากว่าจะตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูศรีศากยมุนีโคดม เห็นสมควรจะยุติลงไปแล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้

    จบบทที่ ๓


    ;aa41


    พระเทพมุนี

    มุนึนาถทีปนี: ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า
    หน้า ๑๓๒-๑๔๓







     

แชร์หน้านี้

Loading...