ใช้ปัญญาพิจารณาอริยสัจอย่างพระอรหันต์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 11 กันยายน 2014.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความ
    พลัดพรากจากของที่รักของชอบใจย่อมมีแก่คนและสัตว์ที่เกิดมา นี่เราก็นั่ง
    นึกดูว่าคนที่เกิดมาแล้วนี่มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไหม เราเองเราก็นั่ง
    เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกาย เพราะว่าเติบใหญ่
    ขึ้นมาหรือว่าแก่ลง คนรุ่นราวคราวเดียวกันสมัยเมื่อเป็นเด็กนักเรียน เวลานั้น
    ร่างกายยังมีความกระฉับกระเฉงยังมีความคล่องตัว เวลานี้เราไปพบเพื่อน
    สมัยนั้น แต่ว่าระยะเวลามันเป็นสมัยนี้เราจะไปดูว่ารูปร่างของเขานั้นเปลี่ยน
    ไปมากไม่เหมือนกับเมื่อสมัยเราเป็นนักเรียนด้วยกัน เราเห็นเขาแก่เขา
    เปลี่ยนแปลงไปได้แล้วเราคิดหรือเปล่าว่าเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น
    นี่ความเป็นอนิจจังของร่างกายมันปรากฏ

    ทีนี้ความเป็นอนิจจังของอารมณ์มันก็มีอีก อารมณ์ที่เรารักเรายึดมั่นถือมั่นใน
    สิ่งเหล่านี้ว่ามันจะคงอยู่ไปกับเราตลอดกาลตลอดสมัย อารมณ์ประเภทนี้
    แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นอารมณ์ที่สร้างความทุกข์ เพราะว่าตามกฎ
    ธรรมดาของโลก มีอะไรที่มันจะมีการทรงตัว คนหรือสัตว์ที่เรารัก มันจะอยู่
    กับเราตลอดกาลตลอดสมัยไม่พลัดพรากจากกันมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า
    ความเป็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงมันบังคับ อนัตตาการสลายตัวมันบังคับ คน
    และสัตว์ที่ปรากฏว่าอยู่กับเรามันก็มีอาการแก่ อาการเสื่อม มีการสลายตัว
    การสลายตัวมีอยู่ ๒ อย่าง สลายตัวเพราะการสิ้นลมปราณ ที่เราเรียกว่าตาย
    หรือว่าสลายไปจากใจของเรา เอาจิตห่างออกไปก็เรียกว่าสลายตัวไป ถ้า
    หากว่าเราเอาปัญญาพิจารณาไว้เสมอว่าสิ่งทั้งหลายในโลกไม่มีอะไรเป็น
    เรา เป็นของเรา เราไม่มีในสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่มีในเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นแต่
    เพียงอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น และไม่ช้ามันกับเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน
    ทำใจให้สบายไว้แบบนี้ เวลาร่างกายที่ความแก่มันเกิดเราก็ไม่หนักใจ เรารู้
    ตัวว่ามันจะแก่ เวลาความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นเราก็ไม่หนักใจเพราะว่าเรา
    รู้ตัวว่ามันจะเกิด นี่รู้ตัวไว้ก่อน ทีนี้ความตายจะเข้ามาถึงเราก็ไม่หนักใจ
    เพราะรู้ว่ามันจะตาย รู้ว่าเกิดมาแล้วมันต้องตาย ทีนี้อาการอย่างหนึ่งอย่างใด
    อาการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น เราก็ไม่หนักใจ เพราะเราคิด
    อยู่แล้วว่าคนก็ดีสัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะต้องพลัดพรากจาก
    เรา เราจะต้องพลัดพรากจากมัน มันเป็นของธรรมดาของชาวโลก มันไม่เป็น
    ของแปลกสำหรับเรา

    ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาตัวนี้เข้า จิตใจของเราก็จะมีความสุข เหมือนอย่าง
    พระอรหันต์ เราจะเห็นว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีอารมณ์ความทุกข์ แต่
    ว่าท่านรู้ว่าร่างกายหรือขันธ์ห้าหรือวัตถุเป็นปัจจัยของความทุกข์ ท่านไม่
    หนักใจ ขันธ์ห้ามันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขันธ์ห้ามันจะป่วยก็ถือว่าเป็นเรื่อง
    ธรรมดาก็รู้ว่าจะป่วย เมื่อป่วยแล้วก็มีทางรักษาเพื่อเป็นการบรรเทาเวทนา
    หายก็หาย ไม่หายจะตายก็ช่าง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อร่างกายมันจะตาย
    เราก็ไม่แปลกใจ รู้ตัวว่าเราจะตาย ถึงแม้ว่ารู้ตัวว่าเราจะตาย คิดไว้อยู่เสมอ
    ว่าเราจะตาย นี่จิตเราคิดไว้ตลอดเวลา ของรักของชอบใจที่มันมีไม่ว่าจะเป็น
    คน สัตว์ หรือวัตถุก็ตาม ต้องคิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งข้างหน้ามันจะต้อง
    พลัดพรากจากเราไป นี่จงมีความเข้าใจตามนี้ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าสิ่ง
    ใดก็ตามที่เรารักแล้วพลัดพรากจากเราไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรา
    รู้ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ให้มันเป็นปกติวิสัย



    (ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนโดยหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ กรรมฐาน 40
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) ความดีนี้ขอให้ข้าพเจ้าและทุกท่านที่มีความเคารพใน พระรัตนตรัยและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จงมี
    ความเจริญในธรรมะโลกุตรธรรมยิ่งๆขึ้นไป เพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ทุกท่านด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กันยายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...