โลกีย์ธรรม

โลกีย์ธรรม

นับตั้งแต่ครั้งบุราณกาล การนับถือศาสนา เป็นการน้อมนำจิตไปกับการปาฐกถาธรรม ซึ่งการได้รับรู้รับฟัง จักต้องอรรถาธิบาย ด้วยเหตุผล ความเชื่อ เป็นสำคัญ มิได้บังเกิดจากการพิสูจน์ด้วยหลักของเหตุผล ดังเฉกเช่นในยุคปัจจุบัน ซึ่งโลกได้วิวัฒนาการไปมากแล้ว การอรรถาธิบาย ในหัวข้อธรรมในยุคปัจจุบัน จักต้องสามารถพิสูจน์ได้ ด้วยเหตุและผล มนุษย์มิได้เชื่อตาม คล้อยตาม ผู้นำดังเฉกเช่นเมื่อครั้งบุราณกาล อีกทั้งวิทยาการก้าวหน้า วิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ วงการแพทย์ มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ ได้ก้าวหน้าไปมาก สู่ยุคของอารยะชน คือเผยแผ่พุทธธรรม สามารถกระทำได้ง่ายดาย เผยแผ่ได้พร้อมกันได้ทันที ทั่วทั้งโลกา มิได้ค่อยๆดำเนินไปทีละขั้นทีละตอน เผยแผ่ไปดังเฉกเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบรรดาสาวกเมื่อครั้งพุทธกาล นานมา

การแสดงปาฐกถาธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้วิธีเล่าเป็นนิทานชาดก อุปมาอุปมัย ให้สาธุชนทั้งหลายได้รับฟัง และคล้อยตามได้โดยมิมีข้อโต้แย้งใด ๆ หากเพียงแต่ว่า วัตถุประสงค์ในการน้อมนำ เพียงเพื่อนำพาให้มีความเข้าใจในข้อธรรมทั้งหลาย เป็นอุบายในการนำเสนอ เพื่อให้เห็นข้อธรรมที่แท้จริงทั้งสิ้น อาทิ เวสสันดรชาดก เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่งซึ่ง พระพุทธองค์ทรงเล่าให้สาวกฟัง ซึ่งหาได้บังเกิดขึ้นจริงไม่ เป็นเพียงอุปมาอุปมัย ให้คล้อยตาม เพื่อจักได้ อรรถาธิบายในข้อธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับขันธ์ 5 คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เพื่อให้ผู้ซึ่งกำลังฝึกฝนจิตได้เข้าใจถึงข้อธรรม ที่เกี่ยวเนื่องกัน อาทิเช่น การละเสียซึ่งสัญญา คือความผูกพัน ในสายโลหิต ซึ่งล้วนกระทำได้ยากเย็นยิ่ง ทั้งนี้ พระพุทธองค์ ได้ทรงปาฐกถาไว้ใน เวสสันดรชาดก ในเรื่องการบริจาคบุตร ธิดา ภรรยา เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ บรรลุอรหัตผล เข้าสู่นิพพาน หลุดพ้นจาก

 

หึหึ...ไอ้หน้ามึน ... ยัง ไม่เลิกอีกรึ?

 

มีอะไรอีกหรือเปล่า? โพสท์มาเรื่อยๆนะ
ข้าฯ จะด่าทุกโพสท์ ... มีอะไรรึเปล่า?.... ไอ้เต่าในกระดอง... ฮะฮะฮ่า